บทที่ 13
ฮู่กั๋วกงฮูหยินที่เป็นเจ้าภาพลุกขึ้นแล้ว ในสวนจึงมีสายตาไม่รู้กี่คู่ที่เอียงกระเท่เร่ คอยเหลือบมองทุกความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ รัศมีความสอดรู้สอดเห็นแทบจะล้นออกมาจากในนั้น
ทว่าแต่ละคนก็ยังแสร้งทำเหมือนหูหนวกตาบอด
เฉินวั่งซูคิดอย่างสะท้อนในใจ ‘ระบบ คนซื่อแบบฉันมีไม่มากเลยจริงๆ ไม่ใช่แค่ซื่อ ยังรวมถึงจิตใจดีด้วย พระโพธิสัตว์กวนอินยังดีได้ไม่เท่าฉันที่ใครต้องการอะไรก็ได้ตามคำขอทุกประการเลย’
ระบบมิได้ส่งเสียง มันรู้สึกว่าตนเองอาจจะถูกใช้งานมากไปแล้ว การทำงานชักไม่เสถียรแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เกิดอาการว่าโฮสต์คนนี้พูดมาสิบคำ มันจนปัญญาจะตอบโต้ไปถึงเก้าคำ ไม่รู้ว่าควรรับส่งคำพูดอย่างไรดี
ดอกซิ่งสองข้างทางกำลังบานสะพรั่ง ฮู่กั๋วกงฮูหยินมองเห็นเฉินวั่งซูมาแล้วก็หยุดฝีเท้าเพื่อรอนาง
ถึงจะไม่มองเฉินวั่งซูก็รู้สึกได้ว่าฮูหยินกลุ่มนี้ล้วนลอบจ้องมองตนด้วยสายตาร้อนแรง
นางมุ่นคิ้วน้อยๆ เก็บรอยยิ้มลง เพียงยืดตัวตรงขึ้นเล็กน้อย นำประโยคที่ว่า ‘แม้จะรู้ว่าข้าเดินหน้าอีกก้าวเดียวก็จะตกหลุมพรางขายขี้หน้าแล้ว แต่ข้าก็ไม่หวั่น ข้าเกิดในตระกูลที่มีชื่อ’ มาสลักไว้บนหน้า
มีคนไม่น้อยเห็นแล้วก็ลอบเก็บสายตากลับไป รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมา
คนทั้งกลุ่มเท้าประหนึ่งติดปีก ไม่ถึงครู่เดียวก็มาถึงหอเหวินเซียง
เรื่องเกิดแค่พริบตาเดียว ที่นี่กลับต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก
ประตูห้องเปิดอ้า เสียงร่ำไห้และเสียงด่าทอของสตรีดังมาแว่วๆ “พี่เยี่ยเฉิน ท่านเห็นข้าเกามู่เฉิงเป็นผู้ใดกัน แม้ข้าจะชื่นชมท่าน แต่ข้าหาใช่พวกที่เกิดในตระกูลเล็กๆ เช่นนั้นไม่ จะทำเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทตรัสแล้วไม่คืนคำ ทรงเลือกน้องหญิงสกุลเฉินให้ท่าน ข้าย่อมเสียใจ แต่ข้าเองก็เคยพบน้องหญิงสกุลเฉิน นางเรียบร้อยเป็นกุลสตรี คู่ควรกับท่าน พวกเราเติบใหญ่มาด้วยกัน แม้จะน่าเสียดาย แต่ข้าคิดว่าที่สุดแล้วก็เพราะไร้วาสนาต่อกัน…”
“ข้า…ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้…”
เสียงของนางดังมากจนคนนอกห้องล้วนได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
ทีนี้คนทั้งหมดก็ต่างมองมาที่เฉินวั่งซูอย่างอดไม่อยู่
ยังมีอะไรไม่กระจ่างอีก นี่ก็คือเกิดเรื่องฉาวโฉ่ที่คนชอบดูชอบฟังที่สุดขึ้นในงานเลี้ยงแล้วตามคาดนั่นเอง
เฉินวั่งซูสูดหายใจลึกคำรบหนึ่ง เวลาทดสอบทักษะการแสดงมาถึงแล้ว นางกะพริบตาทีเดียวเบ้าตาก็แดงขึ้นมาทันที น้ำตาคลอหน่วย แต่กลับมิได้หยดออกมา ร่างโงนเงนน้อยๆ บนหน้าปรากฏแววสับสนลนลาน แต่เพียงไม่นานก็ระงับไว้ได้
“ขอฮู่กั๋วกงฮูหยินช่วยตัดสินด้วยเจ้าค่ะ…” นางกล่าวพลางทำความเคารพผู้เป็นเจ้าบ้าน
ฮู่กั๋วกงฮูหยินมุ่นคิ้ว “เรื่องนี้ข้าช่วยตัดสินมิได้ ทางนั้นเป็นถึงองค์ชายเจ็ด…”
นางยังพูดไม่ทันขาดคำ เฉินวั่งซูก็กล่าวเสียงดังฟังชัดขึ้นตัดบทเสียก่อน “ยังคงขอให้ฮู่กั๋วกงฮูหยินช่วยตัดสินด้วยเจ้าค่ะ เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป เพื่อที่องค์ชายเจ็ดจะได้มิขายพระพักตร์ และชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของราชวงศ์จะมิต้องเสื่อมเสีย”
นางพูดต่อพลางกุมหน้าอก “ส่วนคุณหนูเกา…เรื่องขององค์ชายเจ็ด ฝ่าบาทย่อมจะมีพระราชวินิจฉัยเอง”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินโล่งใจ มองเฉินวั่งซูปราดหนึ่งด้วยสีหน้าพิกล
นางย่อมจะคิดเช่นนี้เช่นกัน แต่ก็เกรงว่าคู่หมั้นคนนี้ขององค์ชายเจ็ดจะระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วอาละวาดขึ้นมา เช่นนั้นคงปั้นหน้ายากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวขุนนางเล็กๆ ก็พอจะจัดการถูไถไปได้ ทว่าบุตรสาวสายตรงของสกุลเกาเกิดเรื่องขึ้นที่จวนฮู่กั๋วกงของพวกนาง นางที่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องรับผิดชอบ
“ปิดปากให้สนิท” เกาฮูหยินมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินตรงเข้าห้อง
เฉินวั่งซูถอนหายใจเบาๆ แม้เสียงนั้นจะเบา แต่กลับดังเข้าหูคนทั้งหมดได้พอดิบพอดี
นางยังคงยืดหลัง คอตั้งตรง เดินตามเกาฮูหยินเข้าห้องไปโดยที่จับมือของเฉียนฝูหรงผู้เป็นอาสะใภ้สามไว้แน่น
ในห้องมีสภาพดูไม่ได้ตามคาด
เฉินวั่งซูใบหน้าไร้อารมณ์ ในใจกลับยิ้มแย้มสุขสม เกามู่เฉิงไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ ชี้แนะนิดเดียวก็เข้าใจ
นางนั่งอยู่ด้านหนึ่ง เสื้อตัวนอกถูกฉีกขาด ผมยุ่งอยู่บ้าง ปิ่นสองสามอันร่วงกระจายบนเตียง ชาดทาปากสีสดสวยซึ่งถูกคนทำให้หายไปครึ่งหนึ่งแล้วเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็บีบมือแน่น ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อยพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะกลับมามีท่าทางปกติอย่างรวดเร็ว
‘ระบบ ชมทักษะการแสดงที่ตีบทแตกกระจุยของฉันมาเลยเร็วๆ! สาวน้อยชนชั้นสูงผู้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณธรรมฝืนสะกดกลั้นความปวดใจ อยากตีชายโฉดหญิงชั่วให้ตายใจแทบขาด กลับยังคงรักษาเกียรติของตระกูลไว้อย่างดื้อดึง…
ผู้เป็นภรรยาเอกทั้งหมดในใต้หล้าล้วนจะรู้ซึ้งถึงหัวอก…มองเห็นแววตาของบรรดาฮูหยินที่รายล้อมอยู่หรือยัง มีแววเวทนาอยู่สามส่วน และแววนับถืออีกเจ็ดส่วน!’
ระบบกระแอมเล็กน้อย ‘อะแฮ่ม สามส่วนเจ็ดส่วนมองออกได้ยังไง’
เฉินวั่งซูเห็นมันมีการตอบสนองแล้วก็คึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที หากนางแสดงอยู่คนเดียวไม่มีคนดูคงเหงาแย่
‘แค่กำหนดตัวเลขไปส่งๆ คุณจะบอกว่าเวทนาสี่ส่วน นับถือหกส่วนก็แล้วแต่ แต่ว่าในนิยายรักที่ฉันอ่านแบ่งส่วนแบบนี้ทั้งนั้น สามส่วนอย่างงี้อย่างงั้น…บางทีสามส่วนเจ็ดส่วนอาจจะเป็นอัตราส่วนทองคำ* ด้านความรักของตัวเอกล่ะมั้ง’
ระบบอึ้งงัน ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง
เกามู่เฉิงเหลือบมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลง โผเข้าอ้อมกอดของเกาฮูหยิน แล้วเริ่มร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเรื่องอะไร ข้าทำชุดเปื้อนขณะอยู่ในสวนจึงมาเปลี่ยนที่นี่ พอเข้าห้องมาก็เห็นพี่เยี่ยเฉินนอนอยู่บนเตียง…ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรจึงขยับไปดูใกล้ๆ คิดว่าเขาดื่มเยอะไป…
ในเมื่อคนไม่เป็นอะไร ข้าก็คิดว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันจึงจะออกจากห้องไป แต่พี่เยี่ยเฉินเขา…เขา…ท่านแม่ ลูกไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
นางพูดพลางปิดหน้า ก่อนจะมองไปยังองค์ชายเจ็ดเจียงเยี่ยเฉินที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดอย่างอ้ำอึ้ง “แต่ว่าพี่เยี่ยเฉินเป็นสุภาพบุรุษ เขาไม่ทำเรื่องฉวยโอกาสแน่…ต้องโทษ…ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรโทษผู้ใดดี”
เกาฮูหยินสีหน้าอึมครึม รับเสื้อคลุมจากมือบ่าวหญิงสูงวัยมาคลุมลงบนตัวเกามู่เฉิง ผูกสายให้นางเสร็จก็มองไปยังองค์ชายเจ็ดด้วยสายตาเยียบเย็น “องค์ชาย เรื่องนี้ต้องทรงมีคำชี้แจงนะเพคะ”
องค์ชายเจ็ดลุกขึ้นยืน มองไปที่เฉินวั่งซูก่อนสลับกลับมามองที่เกามู่เฉิง “เรื่องนี้มีคนใส่ความข้าแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าอยู่…ข้าอยู่ดีๆ ก็ผล็อยหลับไป…”
เขาพูดพลางพุ่งไปที่หน้าต่าง มองดูอย่างละเอียด ก็ค้นพบรูที่เฉินวั่งซูเจาะไว้ก่อนหน้านี้ในชั่วพริบตา
“ดูสิ ตรงนี้มีรู จะต้องมีใครใช้ควันยาสลบรมข้าเป็นแน่…”
เกาฮูหยินหัวเราะเสียงเย็น “องค์ชาย หากหมายความว่าผู้ใช้ควันยาสลบรมท่าน เป็นบุตรสาวของหม่อมฉัน…หึ องค์ชายมีกลิ่นสุราอวลพระวรกาย รบกวนฮู่กั๋วกงฮูหยินช่วยหาน้ำแกงแก้เมามาถวายองค์ชายสักชามเถิด! เรื่องนี้พวกหม่อมฉันย่อมต้องไปกราบทูลขอคำอธิบายต่อพระพักตร์ฝ่าบาท”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินรีบพยักหน้า “องค์ชาย หอเหวินเซียงนี้ของจวนหม่อมฉันมีไว้ใช้หลบร้อน ปีนี้ยังมิได้เปลี่ยนกระดาษกรุหน้าต่างใหม่ หากขาดเป็นรูก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
เฉินวั่งซูยืนอยู่ด้านข้าง มองดูกลเล่ห์เพทุบายของคนทั้งกลุ่ม ในใจให้ปลงอนิจจังเหลือประมาณ
องค์ชายเจ็ดไม่ปรารถนาจะตกเป็นที่ติฉินนินทาว่าหลับนอนกับหญิงสาวเนื่องจากเมามาย จึงโยนความผิดให้เกามู่เฉิงกับจวนฮู่กั๋วกง…
เกาฮูหยินไม่ต้องการให้บุตรสาวตกเป็นที่ติฉินนินทาว่าวางยาก้าวขึ้นเตียงเอง จึงโยนความผิดกลับไปให้องค์ชายเจ็ด…
ฮู่กั๋วกงฮูหยินไม่อยากถูกเห็นว่าในจวนไม่สะอาด มีคนวางยาให้องค์ชายเจ็ดกับเกามู่เฉิงได้เสียกัน จึงโยนความผิดกลับไปสุดแรงเช่นกัน…
นี่…ช่างเป็นฉากสุนัขกัดกันที่สนุกโดยแท้
บทที่ 14
เจียงเยี่ยเฉินอ้าปาก อยากบอกว่าเขาไม่ได้ดื่มสุราจนเมา แต่เวลานั้นเขาคิดจะมาพบหลิ่วอิง จึงได้อ้างไปว่าจะออกมาพักให้สร่างเมาจริงๆ
เขาอยากพูดเหลือเกินว่าฮู่กั๋วกงออกรบจนร่ำรวย จวนนี้มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลินอันแล้ว กระดาษกรุหน้าต่างจะเป็นรูไปทั่วได้อย่างไร
ทว่าเขาก็หาหลักฐานใดๆ ออกมาพิสูจน์ว่ามีคนใช้ควันยาสลบทำให้เขาหมดสติไปไม่ได้จริงๆ
เฉินวั่งซูมองดูพลางเผยอปากน้อยๆ กล่าวอย่างกินปูนร้อนท้องอยู่บ้างว่า “องค์ชายทรงเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง บางทีเรื่องนี้อาจจะมีเลศนัยซ่อนเร้นอยู่”
เจียงเยี่ยเฉินทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น ประหนึ่งเป็นคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ไว้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าไปหาเฉินวั่งซูก้าวหนึ่ง
สาม สอง หนึ่ง ตอนนี้นี่ล่ะ!
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้นใต้เตียง เกามู่เฉิงที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกทำเอาตกใจจนสะดุ้งโหยง ส่งเสียงร้องอุทานออกมา “กรี๊ด! อะไรน่ะ!”
นางหดตัวไปด้านหลังในฉับพลัน ชนแจกันกระเบื้องเคลือบที่อยู่ใกล้ๆ ล้มแตกกระจายเต็มพื้น กลีบดอกไม้และน้ำไหลออกมาเลอะเทอะไปทั่ว
เจียงเยี่ยเฉินรู้สึกถึงมือที่เท้าเหยียบอยู่ก็รีบชักเท้าออก ที่ใต้เตียงนั้นมีสตรีผมกระเซิงนางหนึ่งคลานออกมาพร้อมเสียงครางด้วยความเจ็บปวด
“อาอิง เจ้าไปอยู่ใต้เตียงได้อย่างไร” เจียงเยี่ยเฉินพูดพลางรีบประคองหลิ่วอิงให้ลุกขึ้น
หลิ่วอิงสะบัดศีรษะ มองรอบๆ ด้วยความงวยงง ก่อนจะอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าแจ่มใสได้สติขึ้นมาในทันที
นางกัดริมฝีปาก ในดวงตามีหยาดน้ำตาคลอ “หม่อมฉันเองก็มิทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ท่านแม่หม่อมฉันไม่สบาย ขาดโสมแก่ทำกระสายยา หม่อมฉันรู้จักคนเพียงไม่กี่คนในเมืองหลินอันนี้ จนปัญญาแล้วจริงๆ ถึงได้วานให้คนทูลเชิญองค์ชายให้เสด็จมาพบ…คิดว่าสมัยก่อนท่านแม่ข้าเคยถวายการสอนปักผ้าแด่องค์หญิงอวี้ผิง จึงหวังว่าองค์ชายจะทรงเห็นแก่ที่เคยรู้จักกัน…เรื่องราวต่อจากนั้นหม่อมฉันก็มิทราบเช่นกันว่าเป็นเรื่องอะไร หม่อมฉันพูดได้ไม่กี่คำก็สลบไปแล้ว…ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มีสภาพเช่นนี้แล้วเพคะ”
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทว่าเพียงไม่นานก็สงบลง “เป็นตามที่อาอิง…” เขาพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิง “เป็นตามที่อาอิงพูด พวกข้าคุยกันได้ไม่กี่คำดีก็สลบไปแล้ว ต้องเป็นเพราะมีใครใช้ควันยาสลบกับพวกข้าเพื่อจัดฉากนี้ใส่ร้ายคนอย่างแน่นอน”
เกาฮูหยินได้ยินก็หัวเราะเสียงเย็น “ใช้ควันยาสลบ? แล้วควันยาสลบนั่นอยู่ที่ใดเพคะ แล้วในเมื่อคุณหนูหลิ่วรู้จักมักคุ้นกับองค์หญิงอวี้ผิง ไฉนจึงไม่ไปขอยาที่จวนองค์หญิงเล่า องค์หญิงอวี้ผิงทรงเลื่องพระนามด้านความมีเมตตาการุณย์ หากหม่อมฉันจำมิผิด ปีก่อนองค์หญิงเพิ่งจะอภิเษกสมรสออกไป ป้ายจวนราชบุตรเขยออกจะโดดเด่นจนคนทั้งเมืองล้วนมองเห็น แต่ไฉนคุณหนูหลิ่วกลับมองไม่เห็นเล่า”
นางพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ “เบื้องหลังของเรื่องนี้ข้าก็มิอยากฟังให้ระคายหูเช่นกัน พวกท่านจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่มู่เฉิงของข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ ข้าที่เป็นแม่จะต้องทวงความยุติธรรมให้นางให้ได้!”
หลิ่วอิงเบิกตาโพลง เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าเกาฮูหยินจะกำเริบเสิบสานวางอำนาจบาตรใหญ่ปานนี้ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะหยุดยั้งนาง
เฉินวั่งซูมองหลิ่วอิงปราดหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เป็นนางเอก ตอบสนองได้รวดเร็วดีแท้ ซ้ำยังไม่ล้มง่ายๆ ด้วย
ทว่าเกาฮูหยินก็ไม่เห็นองค์ชายเจ็ดอยู่ในสายตาจริงๆ นั่นล่ะ บัดนี้อัครมหาเสนาบดีเกากุมอำนาจของสามกองงานฮ่องเต้เชื่อฟังคำพูดของเขาทุกประการ นับเป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งแคว้นต้าเฉิน
มีคำกล่าวว่าสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าเฉินอยู่ใต้ฮ่องเต้ แต่อยู่เหนือคนทั้งปวง สองผู้ยิ่งใหญ่นี้ฝ่ายบุ๋นหมายถึงอัครมหาเสนาบดีเกา ฝ่ายบู๊หมายถึงฮู่กั๋วกง สกุลเกามีพระสนมชายาตำแหน่งสูงอยู่ในวังถึงสองคน ให้กำเนิดองค์ชายสองพระองค์ มีหน้ามีตาไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว
เกาฮูหยินไม่กำเริบเสิบสานจะให้ใครกำเริบเสิบสาน เกาฮูหยินไม่วางอำนาจบาตรใหญ่จะให้ใครวางอำนาจบาตรใหญ่
เฉินวั่งซูคิดว่าหากตนเป็นเกาฮูหยิน วันนี้คงตบใบหน้าน้อยๆ ขององค์ชายเจ็ดไปนานแล้ว!
เกาฮูหยินพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิงอย่างรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “ยังมัวอยู่ตรงนี้ทำกระไร กลับไปกับแม่เสีย ตราบใดที่มีแม่อยู่ ตราบนั้นก็ไม่มีใครรังแกเจ้าได้”
เกามู่เฉิงมององค์ชายเจ็ดด้วยดวงตาแดงเรื่อแวบหนึ่ง ก่อนกระทืบเท้าวิ่งตามฝีเท้าเกาฮูหยินออกไป
ในห้องเงียบกริบลงอีกครั้ง
ฮู่กั๋วกงฮูหยินยิ้มกระอักกระอ่วน เดินไปตบไหล่หลิ่วอิงเบาๆ “ข้าเห็นว่ามือเจ้าถูกเหยียบบาดเจ็บแล้ว จะให้คนมาทายาให้เจ้าแล้วกัน ส่วนที่ต้องการโสมไปเป็นกระสายยา ในจวนข้ามีอยู่ ประเดี๋ยวจะสั่งให้คนนำมาให้เจ้า องค์ชายเจ็ดจะได้ไม่ต้องทรงวิ่งวุ่นอีกรอบ”
หลิ่วอิงน้ำตาร่วงเผาะ นางคารวะต่อฮู่กั๋วกงฮูหยิน “ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ ข้าขอขอบคุณในบุญคุณช่วยชีวิตของฮูหยินแทนท่านแม่ข้าด้วย”
ว่าแล้วฮู่กั๋วกงฮูหยินก็มองไปยังฮูหยินท่านอื่นๆ ที่ตามมา “เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ทุกท่านกลับไปดื่มสุรากันต่อก่อนเถิด หากมีใครถามก็บอกว่าพวกเรามาส่งเกาฮูหยิน รบกวนทุกท่านด้วย”
เหล่าฮูหยินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใครๆ ก็อยากสอดรู้สอดเห็นทั้งนั้น ทว่าก็มิมีใครอยากให้เรื่องแปดเปื้อนมาถึงตนเองเช่นกัน
พวกนางอยากแบ่งปันให้ผู้อื่นฟัง แต่เกาฮูหยินกับฮู่กั๋วกงฮูหยินล้วนมิใช่คนไร้พิษสง
“นั่นสิๆ เช่นนั้นพวกข้าจะล่วงหน้ากลับไปดื่มสุราในสวนก่อน ฮูหยินรีบตามมาเร็วๆ เล่า”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินพยักหน้า แย้มยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรขึ้นสามส่วน “ประเดี๋ยวเดียวๆ”
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็คล้องแขนเฉียนฝูหรง คิดจะตามไปเช่นกัน กลับถูกฮู่กั๋วกงฮูหยินขวางไว้
“คุณหนูรองเฉินอย่าเพิ่งไป เรื่องนี้…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเฉียนฝูหรงตัดบทอย่างเฉียบขาด นางหัวเราะออกมาเสียงเย็น “นี่ฮูหยินหมายความว่าอย่างไร เดิมทีเรื่องในวันนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องกับสกุลเฉินของพวกข้า ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายอยู่ แต่ตราบใดที่ยังมิได้แต่งงาน คุณหนูของตระกูลเราก็มิอาจยุ่งเรื่องพวกนี้ได้ หลานสาวผู้นี้ของข้ามีจิตใจดี ฮูหยินเรียกนางก็มา แต่แล้วอย่างไร มาแล้วยังไม่ยอมปล่อยให้จากไปอีกหรือ สกุลเกาต้องการความยุติธรรม พวกข้าสกุลเฉินก็ต้องการเช่นกัน หลานสาวข้าพูดง่าย แต่ข้าเฉียนฝูหรงเป็นพวกไร้เหตุผล! ในเมื่อพวกท่านเป็นตระกูลแม่ทัพ ก็ต้องรู้ว่าคนแซ่เฉียนอย่างพวกข้าแต่ละคนล้วนไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น บัดนี้ข้ากำลังเดือดจัด คันมืออยากทุบตีคน ฮูหยินยังจะขวางข้าอีกหรือไม่”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินเห็นเฉียนฝูหรงมีท่าทางเอาจริงก็หน้าซีด รีบกล่าวพร้อมยิ้ม “เข้าใจผิดแล้วๆ ข้าเพียงคิดจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ให้คุณหนูรองเฉินได้ฟังองค์ชายเจ็ดทรงอธิบายดีๆ แต่ในเมื่อทางบ้านฮูหยินมีธุระ ข้าก็ไม่รั้งไว้แล้ว”
เฉียนฝูหรงแค่นเสียงหึคราหนึ่ง ก่อนจะดึงมือเฉินวั่งซูก้าวอาดๆ จากมา
เพิ่งจะเดินออกพ้นประตูเฉินวั่งซูก็ลดเสียงลงพูดว่า “อาสะใภ้สาม อย่าหงุดหงิดเลยเจ้าค่ะ จะทำให้เราดูไม่ดี”
เฉียนฝูหรงได้ยินก็จิ้มหน้าผากเฉินวั่งซูอย่างแรง “ข้าว่าเจ้าถูกท่านย่าเจ้าล้างสมองแล้ว! ดูดี? ดูดีแล้วอิ่มท้องหรือ ทางนั้นจะอธิบาย? อธิบายบ้าบออันใด ใครตาไม่บอดก็ล้วนเห็นกันทั้งนั้นว่าองค์ชายเจ็ดนั่นดื่มสุราเมามายแล้วลอบนัดพบกับหลิ่วอิง ผลคือเกามู่เฉิงมาถึง หลิ่วอิงหนีไปไม่ทันจึงไปหลบใต้เตียง องค์ชายเจ็ดก็คงจะดื่มมากไป พอมีคนเสนอตัวให้ก็…สกปรกโสมมที่สุด แค่พูดยังกระดากปาก! วั่งซูของข้าวันนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่แล้วจริงๆ”
เฉินวั่งซูมองรอบๆ ก่อนทำมือให้อีกฝ่ายเบาเสียง “อาสะใภ้สาม มีเรื่องอะไรพวกเรากลับไปค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางก้าวขึ้นรถม้าตามเฉียนฝูหรงที่กำลังโมโหโทโส ในใจอดจะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
พูดให้รู้ชัดแล้วจะไปมีความหมายอะไร นางมิใช่กำลังแสดงหนังสืบสวนสอบสวนอยู่เสียหน่อย ใครจะไปสนใจความถูกความผิดความจริงความเท็จกัน
ข่าวลือจะต้องไม่ชัดเจน ต้องมีช่องให้ใส่สีตีไข่ถึงจะสามารถลือต่อกันไปได้อีกนาน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.