X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 133-135

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 133

เหยียนเจวี๋ยมองมายังเฉินวั่งซูด้วยความรู้สึกปนกันยุ่งเหยิง

เปลี่ยนมามีชีวิตในร่างใหม่เหมือนกัน แต่เขาไม่มีแม้แต่ความทรงจำ ทุกครั้งที่เห็นโบราณวัตถุและตำรับตำราเหล่านั้นก็จะแสร้งทำเป็นลูกผู้สูงศักดิ์พูดขมุบขมิบฟังไม่รู้เรื่อง อ้าปากบอกได้แค่ว่าเป็นแจกันเป็นจานเป็นชาม ต้องมานั่งพยายามเริ่มเรียนจากตำราพันอักษรใหม่ตั้งแต่ต้น

แต่เฉินวั่งซูมีความรู้และสติปัญญา มีแผนการเต็มหัวไม่ต้องนั่งท่องก็ช่างเถอะ นี่ยังถึงกับติดตั้งตัวช่วยพิเศษเสริมไว้เช่นนี้อีก…

คนเราที่สุดแล้วก็ต่างกันจริงๆ

ทว่ายังดีที่ตอนนี้เฉินวั่งซูเป็นภรรยาของเขา

เฉินวั่งซูพูดจบก็รู้สึกได้แล้วเช่นกันว่านี่เป็นเสมือนการโจมตีติดคริติคอลต่อเหยียนเจวี๋ยที่ตาบอดมาหลายเดือน จึงหัวเราะเสียงต่ำ “ไว้กลับไปแล้วข้าจะมอบสิ่งนี้ให้ท่าน ถึงอย่างไรพวกที่อยู่ในสมองข้าก็พอใช้แล้ว”

เหยียนเจวี๋ยกุมหน้าผาก เจ้าไม่พูดยังจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าข้ารู้แล้วว่าการถูกมีดแทงซ้ำเป็นอย่างไร!

 

ลุงหลินถ่อเรือไวยิ่ง พวกเขาหาฝั่งที่ใกล้กับจวนฮู่กั๋วกงที่สุด เฉิงอู่บังคับม้ามารออยู่ตรงนั้นแล้ว อีกฝ่ายนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าคนเดียว แม้จะยังไม่เห็นเหยียนเจวี๋ยแผ่นหลังก็ยังตั้งตรงราวกับมีใครดามแผ่นเหล็กไว้ที่หลังเขาก็มิปาน

พอเข้าประตูจวนได้เฉินวั่งซูก็สั่งให้ไป๋ฉือเปิดหีบหาคู่มือภาพนั้นออกมา เปิดดูได้ไม่กี่หน้าก็ได้ยินไป๋ฉือถามขึ้นว่า “คุณหนูอยากหาว่าของพวกนี้มาจากที่ใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เฉินวั่งซูพยักหน้า “เจ้าเองก็มาช่วยหาที นี่จะหนาเกินไปหน่อยแล้ว ไม่รู้ต้องหาถึงปีใด”

ไป๋ฉือขยับริมฝีปากเล็กน้อย ชี้ของสี่อย่างบนโต๊ะ “คุณหนู นี่น่าจะเป็นของราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อและองค์หญิงเฉิงอัน…”

มือที่เปิดหนังสือของเฉินวั่งซูเกิดอาการชะงัก “เจ้ารู้จัก?”

ไป๋ฉือหยิบกาน้ำชาสีฟ้าใบนั้นบนโต๊ะขึ้นมา “บรรพบุรุษบ่าวมีภูมิลำเนาอยู่ที่เยวี่ยโจว แม้จะไม่เคยไป แต่ยามได้ยินคำว่าเยวี่ยโจวก็จะให้ความสนใจมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย องค์หญิงเฉิงอันกับราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อล้วนมาจากเยวี่ยโจว”

เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยที่จับต้นชนปลายไม่ถูกคราหนึ่งก่อนอธิบาย “องค์หญิงเฉิงอันเป็นคนรุ่นเดียวกับปู่ของฝ่าบาท นางไม่ได้มีสายเลือดราชวงศ์ เวลานั้นแคว้นต้าเฉินต้องการองค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่องค์หญิงตัวจริงไม่มีสักคนที่เต็มใจไป บิดาขององค์หญิงเฉิงอันเป็นแม่ทัพพิทักษ์แถบเยวี่ยโจว นางเกิดมาพร้อมความองอาจกล้าหาญ จึงอาสาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ คลี่คลายเรื่องเร่งด่วนให้ราชสำนัก ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเฉิงอัน มีความหมายว่าบ้านเมืองมั่นคงสงบสุข แต่ไหนเลยจะเคยคิดว่าองค์หญิงไม่เพียงเป็นคนแข็งแกร่ง ดวงชะตาก็แข็งกร้าวเช่นกัน ตอนแรกคนเถื่อนบอกจะให้คนพี่แต่งกับองค์หญิง ผลคือคนพี่ดันตายไป คนเถื่อนไม่สนใจ เลือกคนกลางมาแทน ผลคือคนกลางก็ตายไปอีก สุดท้ายหมดทางเลือกจึงเปลี่ยนเป็นเด็กสิบขวบ ผลคือเด็กคนนั้นก็ตายไปเช่นกัน องค์หญิงเฉิงอันพิชิตศัตรูได้ด้วยกำลังของนางเพียงผู้เดียว ฝ่าบาทในเวลานั้นทรงโสมนัสอย่างมาก ตรัสชมว่าองค์หญิงทรงเป็นต้าอ๋องสามกลับชาติมาเกิด…”

เฉินวั่งซูฟังเรื่องเล่ามาถึงตรงนี้ก็แจ้งใจในฉับพลัน “ข้านึกออกแล้ว ฝ่าบาทในตอนนั้นดีพระทัยมาก จึงมอบบันทึกล้างมลทินเล่มนั้นที่ตัวต้าอ๋องสามเองเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอมในสมัยโน้นให้เป็นรางวัลแก่องค์หญิงเฉิงอันด้วยพระองค์เอง”

ไป๋ฉือพยักหน้า กล่าวต่ออีกว่า “องค์หญิงเฉิงอันเป็นที่โจษจันเรื่องชื่อเสียงอัปมงคล อายุใกล้สามสิบยังไม่ได้แต่งงาน ภายหลังมีผู้ปราดเปรื่องนามซูซั่วจากเยวี่ยโจวขอนางแต่งงานต่อหน้าธารกำนัลในงานเลี้ยงอุทยานฉยงหลินที่จัดเพื่อต้อนรับจ้วงหยวนคนใหม่ ขณะซูซั่วสอบผ่านอายุเพิ่งจะสิบแปด น้อยกว่าองค์หญิงเฉิงอันถึงแปดปีเต็มๆ เวลานั้นไม่รู้มีคนตั้งเท่าไรด่าซูซั่วว่ามุ่งหวังเกียรติยศและความมั่งคั่ง แต่คนทั้งสองล้วนมิเคยออกมาอธิบายแม้แต่คำเดียว สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง มิต้องบอกเลยว่าสุขสันต์กลมเกลียวกันมากเพียงไร กาน้ำชาสีท้องฟ้าหลังฝนนี้เป็นของที่ซูซั่วราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อนำไปจากเยวี่ยโจว เป็นของตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา ได้ข่าวว่าในรัชกาลก่อนเครื่องกระเบื้องเยวี่ยโจวมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งใต้หล้า แต่ต่อมาภายหลังมิรู้เหตุใดจึงขาดการสืบทอดไป เครื่องกระเบื้องที่มีสีทำนองนี้ไม่สามารถเผาออกมาได้แล้ว เวลานั้นในย่านการค้าลือกันว่าราชบุตรเขยชอบดื่มชา ทุกครั้งที่เป็นวันฝนตกจะชงชากาหนึ่งในห้องหนังสือและอ่านบันทึกล้างมลทินของต้าอ๋องสามให้องค์หญิงเฉิงอันฟัง นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนั้นทั้งวัน”

ไป๋ฉือพูดพลางหยิบสร้อยทองที่ในความธรรมดามีความตระการตาอย่างไร้รสนิยมปนอยู่เส้นนั้นขึ้นมา

“สร้อยเส้นนี้เป็นของที่ท่านย่าขององค์หญิงเฉิงอันสวมให้นางตอนที่นางไปจากเยวี่ยโจว ได้ยินว่าที่เผ่าคนเถื่อนลำบากแสนเข็ญไม่พอ ยังไม่สามารถใช้เงินของแคว้นต้าเฉินเราได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านผู้เฒ่าจึงนำทองมาหลอมเป็นปลอกคอขนาดเท่านิ้วมือ แต่ต่อมาก็คิดอีกว่าหากต้องใช้อย่างเร่งด่วน ปลอกคอทองไม่สะดวกจะแบ่งออกมาใช้ จึงสั่งให้คนหลอมทำใหม่เป็นสายสร้อยทองเส้นนี้ จี้หยกที่ด้านล่างนั้นข้างนอกกลมกลึงเหมือนไข่ห่าน แต่เมื่อนำไปส่องกับไฟจะปรากฏรูปกระบี่แหลมคมออกมา จุดประสงค์คือต้องการให้องค์หญิงจดจำไว้เสมอว่าต่อให้ชีวิตบีบคั้นจนต้องเปลี่ยนมาทำตัวกลอกกลิ้งเพียงไรก็อย่าได้ลืมความหลักแหลมคมคายในตนเอง องค์หญิงเชื่อมสัมพันธ์จะเสียศักดิ์ศรีไม่ได้เป็นอันขาด คุณหนู ท่านลองส่องกับแสงดูก็จะทราบแล้วเจ้าค่ะว่านี่ใช่เป็นขององค์หญิงเฉิงอันหรือไม่”

เฉินวั่งซูพยักหน้า หยิบจี้หยกนั้นมาส่องก็เห็นเส้นแหลมคมเส้นหนึ่งอยู่ด้านในเหมือนที่ไป๋ฉือบอกจริงๆ บอกว่าเป็นกระบี่ แต่จริงๆ กลับมองไม่ออกเลย เพียงให้ความรู้สึกคมปลาบเท่านั้นเอง

“เป็นขององค์หญิงเฉิงอันมิผิดแน่ ทว่าองค์หญิงเฉิงอันสิ้นพระชนม์ไปหลายปีมากแล้ว…”

เฉินวั่งซูพูดพลางยื่นสร้อยคอนั้นให้เหยียนเจวี๋ยต่อ

เหยียนเจวี๋ยขมวดคิ้ว “หรือจะเป็นของฝังร่วมกับคนตาย”

“ขณะฝังร่างองค์หญิงเฉิงอันกับราชบุตรเขยเจิ้งเต๋อร่วมกันได้นำของเก่าที่พวกเขาใช้เป็นประจำฝังลงไปด้วยจริงๆ แต่สุสานนั้นอยู่ที่เมืองตงจิง…องค์หญิงเฉิงอันได้ฝังในสุสานหลวง”

เฉินวั่งซูพูดแล้วก็หยิบกวนอินหยกนั้นขึ้นมาดูต่อ แต่กลับมองจุดพิเศษใดๆ ไม่ออก

“เรื่องนี้แปลกยิ่ง เกลือเถื่อนห้าลำเรือนั้นล้วนเป็นจวนองค์ชายสามให้เถ้าแก่โจวนำไปแยกขาย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือของในสุสานขององค์หญิงเฉิงอันเป็นของจวนองค์ชายสาม พวกเขาต้องการกำไรจากเกลือเถื่อน เรื่องชะล้างของล้ำค่าที่มีที่มาอันให้ใครรู้ไม่ได้ให้ใสสะอาดพวกเขาก็ทำด้วยเช่นกัน

สองคือของนี้เป็นของเถ้าแก่โจวเอง นำมาสอดไส้ไว้ข้างในจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจคน ทว่าสภาพการณ์ในคืนนี้ท่านเองก็เห็นแล้ว เถ้าแก่โจวถูกเกาฮูหยินซื้อตัวไปแล้ว ก่อนเขาจะไปพบเฉินสี่หลิงได้มองคนของเกาฮูหยินที่รอโอกาสอยู่ที่ร้านบะหมี่ก่อน เช่นนั้นเขาจะต้องรู้แน่นอนว่าสินค้าทั้งห้าลำเรือไม่มีทางขนออกไปได้อย่างปกติ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปลืองแรงยัดของไว้ข้างในโดยไม่ได้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขามีของล้ำค่ามากเพียงนี้ ไยจึงต้องเสี่ยงอันตรายเป็นนายหน้าให้ผู้อื่นด้วย”

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็มุ่นคิ้ว “ของเป็นของจวนองค์ชายสาม แต่เขาแซ่เจียง ถึงองค์หญิงเฉิงอันจะเป็นองค์หญิงต่างแซ่ แต่องค์ชายสามก็ไม่มีเหตุผลให้หยิบฉวยสิ่งของของคนตายมาจากสุสานหลวง ตามที่เจ้าว่า องค์หญิงเฉิงอันค่อนข้างมีชื่อเสียง หากสุสานของนางถูกปล้น เรื่องนี้น่าจะเป็นที่ครึกโครมยิ่งยวด ทว่ากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”

เฉินวั่งซูพยักหน้า “สิบปีก่อนย่อมไม่มีเรื่องนี้แน่นอน เวลานั้นคนแซ่เจียงยังนั่งบัลลังก์มั่นคงอยู่ที่เมืองตงจิง สุสานหลวงมีการพิทักษ์รักษาอย่างแน่นหนา ใครจะเข้าไปปล้นสุสานองค์หญิง นั่นต้องเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง ต่อมาแคว้นเป่ยฉีเข้าปกครอง ได้เลียนแบบวิธีการของจงหยวนทุกอย่างเพื่ออุดปากคนในใต้หล้า ราชวงศ์ของแคว้นเป่ยฉีได้ออกปากเองว่าจะไม่ทำเรื่องอย่างการขุดสุสานผู้อื่นเป็นอันขาด เช่นนั้นของเหล่านี้มาได้อย่างไร อีกทั้งตกมาอยู่ในมือองค์ชายสามได้อย่างไรเล่า”

บทที่ 134

เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจพลางมอง ‘ข้อคิดจากการอ่านหนังสือของจิ้นซื่อมือใหม่’ ที่พี่ภรรยามอบมาให้เขาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าปราดหนึ่งด้วยท่าทางน่าสงสารเป็นหนักหนา

“เห็นทีพวกเราคงต้องไปที่ตั้งเผ่ามู่ซีสักเที่ยวจริงๆ ปรากฏของฝังร่วมกับคนตายหนึ่งชิ้นยังไม่แปลก อาจจะเป็นพวกคนเถื่อนแคว้นเป่ยฉีนั่นลักลอบเข้าสุสานหลวงก็เป็นไปได้ แต่ทว่าในสินเดิมของท่านแม่ข้ามีต้นไม้ทองที่แปลกประหลาดต้นนั้น ในวงแหวนรูปงูกินหางสีทองที่เป็นของดูต่างหน้าของท่านปู่เจ้ามีแผนที่สุสานใหญ่ของเผ่ามู่ซี บัดนี้ก็มีของจากสุสานขององค์หญิงเฉิงอันโผล่มาอีก แต่ละเรื่องเชื่อมเข้าด้วยกัน จะต้องมิใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่างแน่นอน ในเรื่องนี้จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันเป็นแน่แท้”

เหยียนเจวี๋ยยิ่งพูดในใจก็ยิ่งกลัดกลุ้ม

แม้เขาจะอวดตัวว่าเป็นคนฉลาด แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะคนที่บากบั่นร่ำเรียนมาเป็นสิบๆ ปีด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือนได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เฉินวั่งซูหลับไปแล้วเขาก็จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ พอฟ้าใกล้สางถึงได้เอนตัวลงนอนอีกครั้ง

จุดประสงค์ก็เพื่อเมื่อถึงเวลาที่สอบผ่านแล้วเฉินวั่งซูจะได้ปรบมือพร้อมพูดว่า ‘สามี ท่านถึงกับเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง!’

แล้วตอนนั้นเขาจะตอบกลับไปเนิบๆ ว่า ‘ก็ทั่วไปกระมัง แค่อ่านส่งๆ นิดเดียว ไม่ได้อยากจำ แต่ดันไม่ลืมเอง’

แต่ทีนี้ฝันคงต้องสลายแล้ว

ปริศนาที่ยังแก้ไม่ได้เดิมก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว คราวนี้ยังมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็หรี่ตาพลางอ้าปากหาว “จะไปหรือไม่ไปวันหน้าค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้ข้าง่วงแล้วจริงๆ อย่าว่าแต่องค์หญิงเฉิงอันเลย ต่อให้ฝ่าบาทมาฉุดรั้งข้า ข้าก็จะไปนอน”

นางว่าแล้วก็ตรงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเล็กด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะเก็บของบนโต๊ะเหล่านั้น

เหยียนเจวี๋ยมองดูแผ่นหลังที่โซซัดโซเซของนางแล้วก็ก้มหน้าลงหัวเราะเบาๆ

 

วันรุ่งขึ้น ณ วังหลวงแคว้นต้าเฉิน

เฉินวั่งซูคีบเนื้อลูกแพะย่างถ่านชิ้นหนึ่งมาจิ้มเครื่องเทศในจานเล็กแล้วบรรจงส่งเข้าปาก เมื่อรู้สึกถึงสายตาจากฝั่งตรงข้ามเฉินวั่งซูก็ขยับเปลี่ยนมุมเล็กน้อย เผยใบหน้าด้านขวาที่น่ามองที่สุดของตนเองออกมา

นี่เป็นมุมที่ดีที่สุดที่นางส่องคันฉ่องอยู่หลายวันจนหาออกมาได้

จากสายตาขององค์ชายเจ็ดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มุมนี้แสดงความสูงส่งและความชาญฉลาดของหญิงสาวออกมาได้อย่างไร้ที่ติ…

แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล มุมนี้แสงส่องดีมาก ย่อมจะทำให้นางดูขาวผ่องขึ้น อยู่กับเหยียนเจวี๋ยก็ไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้หลุดลุ่ยปานนั้น

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็อดจะเหลือบมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่งไม่ได้ เขากำลังจับมีดสั้นแล่เนื้อแพะให้นางอย่างตั้งอกตั้งใจ

พอรู้สึกถึงสายตาของนางเหยียนเจวี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “เป็นอะไรไป รู้สึกเบื่อแล้วหรือ”

จะไม่เบื่อได้อย่างไร!

เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองนับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว ตั้งแต่เข้ามาในวังก็ราวกับว่าเล่นเกมผู้เล่นเดี่ยวกับคนอื่นแล้วประวัติการเล่นหายไป ต้องเริ่มเล่นใหม่ก็มิปาน ถ้อยคำสรรเสริญเยินยอที่พูดไปเมื่อวาน วันนี้ต้องพูดใหม่เหมือนเดิมอีกรอบ

แค่นี้? คนทั้งตำหนักยังคงสามารถสุขสันต์ชื่นมื่น ดีอกดีใจเสียเหมือนว่าเพิ่งจะค้นพบนิมิตมงคลนั่นก็มิปาน

บอกว่าพวกเขาอุดหูขโมยกระดิ่งหลอกตนเองยังเป็นการดูหมิ่นคำเหล่านี้เลย

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็คีบเนื้อแพะขึ้นมาอีกชิ้น จิ้มเครื่องเทศอีกจานแล้ววางลงในชามเหยียนเจวี๋ย “ท่านอย่าห่วงแต่แล่เนื้อให้ข้า ตนเองก็กินด้วย มิเช่นนั้นเดี๋ยวเย็นแล้วขาแพะย่างจะมีกลิ่นสาบ”

นางพูดพลางใช้หางตาเหลือบมองฝั่งตรงข้าม

เห็นองค์ชายเจ็ดมองมาทางนี้ตาละห้อยก็อดจะหัวเราะเสียงต่ำไม่ได้ บุรุษเลวนี่กินในชามมองในหม้อเห็นนางเป็นแสงจันทร์ขาวอย่างหน้าไม่อายแล้ว

นางกำลังด่าในใจก็ได้ยินเหยียนเจวี๋ยพูดว่า “ยอดดวงใจ ข้าไม่น่ามองหรือไร”

เฉินวั่งซูกระแอมกระไอให้คอโล่ง แต่กลับดึงแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ย ทำท่าบอกให้เขามองไปยังจุดที่ฮ่องเต้อยู่

ยามนี้เห็นเพียงอัครมหาเสนาบดีเกาลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ปลดหมวกขุนนางและตรามัจฉาของตนเองลงมาเบาๆ “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว หูตาไม่ดีแล้ว จึงใคร่กราบทูลขอลาออกจากตำแหน่ง เกษียณกลับบ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นอัครมหาเสนาบดีเกากล่าววาจานี้ออกมาทั้งห้องก็เงียบฉี่ มีเพียงนักดนตรีเหล่านั้นที่มีประสบการณ์ความรู้มาก ยังคงบรรเลงเพลงต่อไปประหนึ่งไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้พลันแข็งทื่อ เขาโบกมืออย่างรำคาญใจ เป็นสัญญาณบอกให้นักดนตรีออกไป แล้วถึงมุ่นหัวคิ้วพลางกล่าวว่า “อัครมหาเสนาบดีเกากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ขยันหมั่นเพียร เป็นแขนซ้ายแขนขวาของเรา วันนี้เป็นวันดี ไยต้องเอ่ยเรื่องนี้”

อัครมหาเสนาบดีเกาส่ายศีรษะ ก้าวออกมาถวายบังคมเต็มพิธีการต่อฮ่องเต้ “เป็นเพราะได้เห็นยุคสมัยอันเจริญรุ่งเรืองนี้ ในใจกระหม่อมจึงได้ประหวัดอย่างใจหาย ขณะฝ่าบาทยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์ก็ได้ตรัสเรียกกระหม่อมว่าอาจารย์แล้ว ก่อนหน้านี้แม้ภายนอกกระหม่อมจะถ่อมตัว แต่ในใจภาคภูมิยิ่งยวด มีฐานะเป็นพระอาจารย์ฮ่องเต้ก็แทบอยากจะพิจารณาตนเองวันละสามหนเพื่อธำรงให้แว่นแคว้นมีความเที่ยงธรรม แต่บัดนี้กระหม่อมกลับละอายใจ แม้แต่หลานชายแท้ๆ ของตนเองยังสั่งสอนให้ดีไม่ได้ ไม่มีหน้าเป็นอาจารย์ผู้ใดจริงๆ”

ฝ่าบาทมองอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง ผ่านไปเป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “อัครมหาเสนาบดีทรงความรู้ความสามารถ ไม่ต้องถ่อมตัวจนเกินไป ผู้ใดไม่มีบุตรหลานอกตัญญูกันบ้างเล่า เรารู้นิสัยของท่านดี เกาอี้เสียงคือเกาอี้เสียง อัครมหาเสนาบดีเกาก็คืออัครมหาเสนาบดีเกา”

อัครมหาเสนาบดีเกาเบ้าตาแดง เริ่มมีประกายน้ำตาระยิบระยับ เขาจับแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา ก่อนกล่าวเสียงเครือ “อี้เสียงเผลอเดินทางผิด สมคบคิดกับตันหยางจวิ้นอ๋อง* กระทำเรื่องภูตผีปีศาจนั่น ความผิดมิอาจได้รับการอภัยโดยแท้ กระหม่อมใคร่กราบทูลขอฝ่าบาทจากใจจริงให้ทรงลงโทษอย่างหนักตามกฎหมายแคว้นต้าเฉินโดยมิต้องละเว้น กระหม่อมเป็นปู่ของเขา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อบรมเลี้ยงดูและควบคุมดูแลได้ก็ถือเป็นความผิดใหญ่ ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่กระหม่อมรับใช้แคว้นต้าเฉินด้วยความจงรักภักดี ถอดชุดขุนนางนี้ของกระหม่อม ริบตรามัจฉากลับไป…เหลือศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาท รู้สึกอับอายแค้นใจจนกลางคืนข่มตาหลับไม่ลงแล้วจริงๆ”

ตันหยางจวิ้นอ๋องคือบ้าบออะไรอีก!

เฉินวั่งซูรู้ว่าพอนิมิตมงคลปรากฏขึ้นเมื่อวาน สกุลเกากับพวกองค์ชายสามจะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอน แต่ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นใครอีกเล่า

ไม่เพียงแค่นาง แต่ขุนนางทั้งราชสำนักก็ต่างเริ่มแอบกระซิบกระซาบกัน ‘อะไรน่ะ ตันหยางจวิ้นอ๋องเป็นผู้ใด’ ‘แคว้นต้าเฉินของเรามีจวิ้นอ๋องผู้นี้ด้วยหรือ’

ฮ่องเต้ยิ่งตะลึงไปครู่ใหญ่ ขันทีชราที่ด้านข้างต้องขยับไปกระซิบเตือนว่าเขายังมีญาติผู้พี่ห่างๆ ผู้นี้อยู่บนโลก

แม้ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นี้จะแซ่เจียงเหมือนกัน แต่หากกล่าวตามลำดับเครือญาติแล้วกลับนับเป็นญาติอะไรไม่ได้นานแล้ว ทว่าเมื่อสิบปีก่อนราชวงศ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แทบจะเหลือคนแซ่เจียงเพียงไม่กี่คน

ราชวงศ์ใหญ่ราชวงศ์หนึ่งจะเหลือแค่คนสองสามคนก็ใช่ที่ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงพยายามตามหาไปทั่วสารทิศ ในที่สุดก็ไม่รู้ไปหาผู้ที่พอมีเชื้อสายร่วมกับเขามาได้สองสามคนจากซอกมุมใด จากนั้นก็แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้

ตันหยางจวิ้นอ๋องท่านนี้นับว่ามีสายโลหิตใกล้ชิดที่สุดแล้วถึงได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง

เพียงแต่บรรดาศักดิ์เหล่านี้นอกจากสามารถได้รับเบี้ยหวัดจากในวังแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใช้สอยอื่นใดอีก

ตันหยางจวิ้นอ๋องไม่เคยวนเวียนในวงการขุนนาง ใครจะไปจำเขาได้!

ฮ่องเต้จึงกระแอมอย่างกระอักกระอ่วนเช่นกัน “เกี่ยวอะไรกับตันหยางจวิ้นอ๋อง”

อัครมหาเสนาบดีเกาช้อนสายตาขึ้นมาก่อนถอนหายใจเบาๆ คำรบหนึ่ง “ฝ่าบาท วันประสูติของตันหยางจวิ้นอ๋องก็คือวันที่สิบห้าเดือนเก้าพ่ะย่ะค่ะ”

บทที่ 135

เฉินวั่งซูหวิดจะหลุดสบถออกมา

แต่เนื่องด้วยจิตสำนึกของดาราสาวจึงเพียงแต่ด่าเงียบๆ ในใจให้ระบบฟัง

ดูท่าทางงุนงงสับสนของคนทั้งตำหนักนี้สิ ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นหน้าเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้ว่าวันเกิดของเขาคือวันที่สิบห้าเดือนเก้าแล้ว นี่คืออะไร จะต่อว่าที่ทุกคนไม่ได้ฉลองวันเกิดให้เขาหรืออย่างไร

ผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวภายในนั้นมองอัครมหาเสนาบดีเกาอย่างหมดคำจะกล่าว นี่ช่างเป็นคนซื่อจริงๆ เขาไม่ได้โกหก เขาแก่จนสมองไม่ดีแล้วจริงๆ เชื้อพระวงศ์ที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากซอกมุมใดผู้หนึ่ง ใครจะไปสนใจว่าเขาเกิดวันใด

ผู้ที่รู้ยิ่งหมดคำจะกล่าว ตันหยางจวิ้นอ๋องอะไร ท่านรีบเปลี่ยนชื่อเป็นแพะรับบาปเร็วๆ เถอะ นี่เป็นบาปมหันต์เชียวนะ หล่นใส่ตัวได้ตายแน่!

ฮ่องเต้ใช้สายตามองอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาแฝงความหมายลึกซึ้ง หาได้กล่าวสิ่งใดไม่

อัครมหาเสนาบดีเกาไม่ใส่ใจ กล่าวต่ออีกว่า “เกาอี้เสียงหลานชายอกตัญญูผู้นั้นของกระหม่อมได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากฝ่าบาท จึงได้มีตำแหน่งในกองราชองครักษ์ ออกทำภารกิจเป็นประจำ ถึงยามเทศกาลก็ล้วนได้เขาคุ้มกันของขวัญไปส่งญาติๆ เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ยากจะเลี่ยงไม่ให้ยโสโอหัง อีกทั้งหันไปชอบพวกเรื่องแปลกๆ ยิ่งเมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์สองปีก่อน เขานำเบี้ยหวัดไปส่งยังจวนตันหยางจวิ้นอ๋อง ได้บังเอิญค้นพบว่าตันหยางจวิ้นอ๋องกับหลิวเจาหยางผู้นั้นคุยกันถึงความมหัศจรรย์ของเผ่ามู่ซี

บันทึกในตำราโบราณที่พวกเขาค้นพบบอกว่าชาวเผ่ามู่ซีเป็นผู้เหลือรอดของเผ่าสวรรค์ มีวิธีติดต่อกับเทพ คนในเผ่าปกติไม่เคยเจ็บป่วย แข็งแรงอายุยืน ใช้มีดกรีดข้อมือก็แผลหายสนิทได้ในบัดดล นอกจากนี้วงเวทที่ตกทอดมาแต่บรรพบุรุษนั้นยังสามารถฝืนกฎฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต ปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้”

อัครมหาเสนาบดีเกาพูดพลางเช็ดน้ำตา “อี้เสียงไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก เห็นพวกเขาพูดเสียเป็นจริงเป็นจังมีเหตุมีผลจึงได้เผลอเดินทางผิด ความผิดที่เขาเคยกระทำผู้เป็นปู่อย่างกระหม่อมจะไม่กลบเกลื่อนให้เขาแม้แต่กระผีกเดียวเป็นอันขาด เด็กผู้นี้หมกมุ่นจนเสียสติเพราะเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อฝ่าบาทจะทรงส่งคนไปปราบโจรเขาถึงได้ขันอาสาไปเอง จุดประสงค์ก็เพื่อวิชาลับของเผ่ามู่ซี ฝ่าบาท ทรงพระราชดำริดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ เขาทำความผิดมากมายเพียงนี้ มีประโยชน์ต่อเขาแม้แต่น้อยนิดหรือไม่ ทว่าตันหยางจวิ้นอ๋องมีโรครุมเร้ามานาน หยูกยารักษาไม่หาย หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินปีนี้ อี้เสียงเห็นเขาเป็นสหาย ด้านหนึ่งเกิดความสงสารเห็นใจ อีกด้านก็อยากเห็นว่าเรื่องที่บันทึกอยู่ในตำราโบราณเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถึงได้รวมหัวกับหลิวเจาหยางผู้นั้นกระทำความผิดมหันต์ลงไป”

เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ก็ใช้เท้าเตะเหยียนเจวี๋ย

อัครมหาเสนาบดีเกาผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นขุนนางกังฉิน แต่งเรื่องมาเรียบร้อยหมดแล้ว!

อีกทั้งโชคดีที่เขาหาคนที่สอดคล้องได้ในเวลาที่สั้นปานนี้ ถ้าหากตันหยางจวิ้นอ๋องป่วยหนักจริงๆ ขอเพียงเขารับอุปการะบุตรหลานทายาทของอีกฝ่าย อย่าว่าแต่รับบาปเลย ให้ตายไปตรงๆ ก็ย่อมได้

ยิ่งไปกว่านั้นกลวิธีการพูดแบบใช้อ่อนพิชิตแข็งนี้ก็เป็นแบบอย่างของพวกคนถ่อยเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว ตัวร้ายทั้งหมดล้วนสมควรพากเพียรศึกษา องค์ชายสามนั่นรวมหัวกับเกาอี้เสียงต้องการฝืนกฎฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต หมายมุ่งตำแหน่งรัชทายาท ทว่าพอมาอยู่ในปากของอัครมหาเสนาบดีเกา

นั่นกลับมิใช่วางแผนกบฏ แต่เป็นคนจิตใจดีต้องการรักษาอาการป่วยให้สหาย!

มียางอายบ้างหรือไม่! รักษาอาการป่วยให้ผู้อื่นก็ต้องสังหารชาวเผ่ามู่ซีทิ้งทั้งเผ่า ถึงขนาดฆ่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ตายไปแปดคน คราบโลหิตและน้ำตาเหล่านี้พอออกมาจากปากเขากลับเบาหวิวจนคล้ายเป็นใบไม้ร่วง

ไม่คู่ควรที่จะถูกเอ่ยถึงอย่างจริงจังโดยสิ้นเชิง!

เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ให้ใจหล่นวูบ มองไปยังฮ่องเต้

ฮ่องเต้มององค์ชายสามปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตนเอง คล้ายว่าฟังจนงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกก็อ้าปากถามว่า “ตันหยางจวิ้นอ๋องป่วยหนัก อยู่บนโลกได้อีกไม่นาน ไม่เคยมาเชิญหมอหลวงในวังไปตรวจดู?”

ขันทีชราที่ยืนอยู่ข้างกายเขาสะบัดแส้ปัดทีหนึ่ง ก่อนก้าวออกมาพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท เคยเชิญอยู่ครั้งสองครั้งพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตันหยางจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด เมื่อกอปรกับขณะอพยพลงใต้ในตอนโน้นได้รับความตกใจ เผลอถูกแทงเข้าที่อก หมอหลวงดูแล้วก็จนปัญญา เพียงใช้ยาบำรุงประคองอาการไว้เท่านั้น”

อัครมหาเสนาบดีเกาฟังแล้วก็ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนยื่นถวายด้วยสองมือ “นี่เป็นหนังสือให้การที่ตันหยางจวิ้นอ๋องเขียนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกระหม่อมรู้ความจริงของเรื่องนี้จากอี้เสียงแล้วไปถึงจวนจวิ้นอ๋อง เขาก็ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกเรื่องในนี้อธิบายไว้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ฝ่าบาท กระหม่อมพูดมากเพียงนี้หาได้เป็นเพราะต้องการช่วยให้เกาอี้เสียงหลานชายของกระหม่อมพ้นผิดไม่”

เขาพูดพลางร่ำไห้ขึ้นมาอีก สองมือสั่นไม่หยุด ปากกระตุกหลายทีถึงได้กล่าวว่า “บัดนี้หลิวเจาหยางตายแล้ว ตันหยางจวิ้นอ๋องก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว…ฝ่าบาท กระหม่อมใคร่กราบทูลขอให้ทรงเห็นแก่ที่ทั้งสกุลเการับใช้แว่นแคว้นด้วยความจงรักภักดี…เหลือศพสมบูรณ์ให้เกาอี้เสียงหลานชายกระหม่อม…เพื่อที่ชาติหน้าเขาจะยังสามารถมาเกิดเป็นคนเพื่อชดใช้ความผิดของตนเองได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

อัครมหาเสนาบดีเกาพูดจบก็หมอบลงกับพื้น เริ่มโขกศีรษะถวายบังคมเต็มพิธีการ

“ท่านปู่ ท่านกำลังพูดอะไร พี่ชายข้าจะตายได้อย่างไร เกาอี้เสียงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ! เขาก็แค่ทำความผิดเพราะต้องการช่วยคนเท่านั้นเอง พี่ชายข้าจงรักภักดีต่อราชสำนัก เมื่อปีกลายเขายังพูดกับข้าอยู่เลยว่าขณะอพยพลงใต้ในตอนโน้นเขาหวิดจะตกน้ำ เป็นไทเฮาทรงคว้าคอเสื้อเขา ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างหวุดหวิด เขาระลึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ต้องการช่วยขจัดความทุกข์กังวลให้ไทเฮามาเสมอมา ไทเฮามีพระทัยระลึกถึงองค์หญิงเป่าจู เขาเองก็ตามหาวิชาลับที่จะทำให้องค์หญิงฟื้นคืนพระชนม์ชีพได้มาโดยตลอด ข้าไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ซ้ำยังหัวเราะเยาะเขาว่าเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า…จะเกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านพี่ไม่ให้ข้าพูดเรื่องนี้ออกมา บอกว่ากลัวจะเสื่อมเสียถึงไทเฮา แต่ข้าเกามู่เฉิงมีเรื่องอะไรก็พูดตามตรงตลอดมา ท่านพี่กระทำผิดจริงแท้ แต่เขาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮา จงรักภักดีต่อราชสำนักสุดหัวใจ มีน้ำใจต่อมิตรสหาย…ไยจึงมีโทษถึงตาย ท่านปู่คิดถึงแค่หน้าตาของสกุลเกา แต่ว่านั่นเป็นพี่ชายของข้านะเจ้าคะ…ฝ่าบาท…ฝ่าบาท มู่เฉิงใคร่ขอให้ทรงพระราชดำริดู มีหลายครั้งที่ทรงประสบภยันตราย ล้วนเป็นพี่ชายหม่อมฉันออกไปบังอยู่ด้านหน้าเป็นคนแรก เรื่องอื่นไกลไม่ขอกล่าวถึง แต่ที่หมู่บ้านสกุลจาง…”

“หุบปาก! เรื่องในราชสำนักไหนเลยจะให้เจ้าพูดเหลวไหลได้ พี่ชายเจ้ามีความผิด…” อัครมหาเสนาบดีเกาพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน ก่อนเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าเกามู่เฉิง

เกามู่เฉิงกุมใบหน้าไว้ด้วยความตะลึงพรึงเพริด ทั้งตำหนักเงียบกริบ

ในเวลานี้เองขันทีน้อยผู้หนึ่งก็พลันวิ่งเข้ามาร้องโหวกเหวกว่า “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้จวนตันหยางจวิ้นอ๋องมารายงานว่าตันหยางจวิ้นอ๋องโรคเก่ากำเริบ ขอเชิญหมอหลวงไปตรวจดู แต่หมอหลวงยังไม่ทันไปถึง…เขาก็…เขาก็สิ้นลมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พอฟังมาถึงตรงนี้เฉินวั่งซูก็พลันรู้สึกว่ามือถูกบีบรัด นางก้มหน้าลงมองก็พบว่าเหยียนเจวี๋ยจับมือนางไว้แน่นที่ใต้โต๊ะ เขากำลังเดือดดาล

เฉินวั่งซูกระตุกแขนเสื้อของเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ

เหยียนเจวี๋ยได้สติกลับมาก็รีบคลายมือออก ก่อนเขาจะถอนหายใจ “เกินเยียวยาแล้ว”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: