บทที่ 15
ฝั่งเหนือของจวนสกุลเฉินมีเรือนเล็กอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่อย่าว่าแต่ป่าไผ่และภูเขาจำลอง แม้แต่วัชพืชก็มีแค่ไม่กี่ต้น ล้วนใช้ศิลาเขียวปูทั่วพื้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กลางเรือนแห่งนั้นมีหอกยาวสามเล่มตั้งอยู่ เรียงจากเล็กไปใหญ่
เฉียนฝูหรงกวาดตามองหอกเหล่านั้นปราดหนึ่งก่อนเดินเข้าห้อง นี่เป็นเรือนที่นางอาศัยมานับสิบปีในเมืองหลินอัน
“แม้ฮูหยินจะรักและเอ็นดูคุณหนูรอง แต่ไปล่วงเกินฮู่กั๋วกงฮูหยินเพื่อนางได้อย่างไรเจ้าคะ ฮู่กั๋วกงท่านนั้นมีอำนาจล้นฟ้าในกองทัพ หากฮู่กั๋วกงฮูหยินเกิดไปเป่าหูเขาเข้า เช่นนั้นท่านแม่ทัพชราและท่านแม่ทัพน้อยที่อยู่ในกองทัพ…” จย่ามามาที่ติดตามรับใช้เฉียนฝูหรงมาตั้งแต่บ้านเดิมยกชามาให้นางเสร็จก็กล่าวอย่างหวั่นวิตกอยู่บ้าง
เฉียนฝูหรงถอนหายใจ “ฮู่กั๋วกงฮูหยินผู้นั้นแต่งงานมาทีหลัง ทั้งยังเป็นบุตรสาวอนุในตระกูลขุนนางบุ๋น ตอนแรกถูกฮู่กั๋วกงฉุดขึ้นเขาไปเป็นภรรยาหัวหน้าโจร จะไปมีไมตรีอะไรได้ ฮู่กั๋วกงกลับเมืองหลวงนับครั้งได้ นางจะเป่าหูอย่างไร ยิ่งกว่านั้นท่านพ่อก็เคยบอกข้าว่าฮู่กั๋วกงนับว่าเป็นคน…มีศีลธรรมมีคำสัตย์ ไม่มีทางสร้างความลำบากให้ท่านพ่อกับท่านพี่ข้าเพราะเรื่องโสมมหลังบ้านพรรค์นี้แน่ จย่ามามา ข้ารู้จักหนักเบาอยู่”
จย่ามามาโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ นายท่านหายไปไร้ข่าวคราว สกุลเฉียนเป็นที่พึ่งสุดท้ายของฮูหยินแล้วนะเจ้าคะ”
เฉียนฝูหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ “สกุลเฉียนเป็นที่พึ่งของข้า แต่สกุลเฉินเป็นที่พึ่งของลูกข้า วันนี้ข้าออกหน้าแทนวั่งซู แม้จะบอกว่ามีความจริงใจอยู่เจ็ดส่วน แต่ก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่สามส่วนเช่นกัน บุตรชายข้าร่างกายอ่อนแอ ทำได้เพียงทิ้งบู๊มาเอาดีด้านบุ๋น อำนาจในกองทัพของท่านพ่อกับท่านพี่ข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงเดินบนเส้นทางการสอบขุนนาง บุตรชายสองคนของฝั่งพี่สะใภ้ใหญ่ คนโตเพิ่งสอบได้จิ้นซื่อหมาดๆ เหยาซื่อที่แต่งเข้ามาก็มาจากตระกูลดังแถบเจียงหนาน…ส่วนคนเล็กนั้นยิ่งเลื่องชื่อในความรู้ความสามารถ มหาปราชญ์ให้ความสำคัญ…หากบุตรชายข้าเดินบนเส้นทางขุนนางก็จะขาดสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกเขาไปไม่ได้ หากมามาหวังดีต่อข้าจริง วันหน้าก็อย่านำทุกเรื่องไปบอกให้ท่านแม่ข้าฟังอีก หากเหล่าบัณฑิตคิดจะใช้ความคิดความอ่านขึ้นมา พวกเรามีกันแปดคนก็ยังไม่พอให้ตาย”
เฉียนฝูหรงกล่าวพลางแสดงสีหน้าคิดตริตรองอย่างสุขุมออกมาเล็กน้อยพลางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
จย่ามามาตัวสั่น หมอบลงกับพื้น
เฉียนฝูหรงมองดูเล็บอันกลมกลึงของตนเองที่ตัดแต่งเรียบร้อยยิ่ง “ท่านแม่ชมชอบแต่พี่หญิงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่สนิทสนมกับข้า พวกเรื่องไม่เป็นเรื่องในสมัยก่อนข้าเองก็ไม่อยากจะพูดถึงอีก ปกติมามาชอบวิ่งไปรายงาน ข้าเห็นชัดอยู่ในสายตา แค่ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างเท่านั้นเอง เรื่องวันนี้มามาติดตามอยู่ข้างกายข้าก็ได้เห็นไปด้วย นั่นเป็นเรื่องฉาวโฉ่ถึงเบื้องสูง หากมามากล้าพูดออกไปส่งเดชก็ระวังถูกคนสาวมาถึงตัว ทีนี้แม้แต่ข้าก็คุ้มหัวมามาไม่ได้”
จย่ามามาตัวสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม
เฉียนฝูหรงแย้มยิ้ม ก่อนประคองจย่ามามาลุกขึ้น “ข้าแค่เตือนเท่านั้น มามาไม่ต้องกลัว ข้าหิวแล้ว อยากกินห่านอบสุราแดงของร้านอู่เซียง มามาไปซื้อมาให้ข้าที บัดนี้ในจวนกำลังเจรจาเรื่องหมั้นหมายให้เถียนเอ๋อร์ ข้ากับวั่งซูกลับมาเงียบๆ รอเรื่องนั้นแล้วเสร็จ เกรงว่าในจวนคงจะได้วุ่นวายแล้ว ฉะนั้นต้องกินอาหารเย็นล่วงหน้าไว้ก่อน”
จย่ามามารับคำก่อนกระวีกระวาดถอยออกไป
ครั้นนางไปแล้วสาวใช้นางหนึ่งที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็เดินเข้ามา
นางเดินมาหยุดข้างกายเฉียนฝูหรง แล้วนวดขมับให้อีกฝ่าย “นายหญิงปล่อยยายเฒ่านั่นออกไป นางคงไปรายงานข่าวอีกเป็นแน่”
เฉียนฝูหรงหัวเราะพลางชี้ไปทางเรือนใหญ่ “ถ้านางไม่พูด ข้ามิใช่แสดงความภักดีต่อฮูหยินผู้เฒ่าไปอย่างเสียเปล่าหรือไร”
เฉินวั่งซูนอนอยู่บนตั่งเล็กริมหน้าต่าง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ปากเคี้ยวรากกล้วยไม้ มือถือหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง กำลังอ่านอย่างออกรสออกชาติ ด้วยเกรงผู้อื่นมาเห็นแล้วจะไม่ดี นางยังจงใจเปลี่ยนปกหนังสืออีกด้วย มองดูแวบแรกจะเห็นคำว่า ‘จั่วจ้วน’ ตัวเขื่อง
ข้างขานางมีแมวสามสีตัวกลมปุ๊กนอนอยู่ตัวหนึ่ง กำลังกรนครอกๆ หลับสนิทอยู่
มู่จิ่นที่อยู่ด้านข้างทำท่าจะพูดบางอย่างอยู่หลายที เฉินวั่งซูถึงค่อยถูกเสียงกลืนน้ำลายของอีกฝ่ายเรียกสติออกมาจากในหนังสือ
“เจ้าคงมิใช่อยากกินเนื้อกระมัง มองแมวตัวหนึ่งแล้วยังกลืนน้ำลายได้” เฉินวั่งซูพูดพลางพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยัดแมวใส่อ้อมแขนมู่จิ่น “ล้อเจ้าเล่น มีอะไรอยากพูดก็พูดมาเถอะ”
มู่จิ่นมองดูรอบๆ ในที่สุดก็พูดขึ้นอย่างสุดจะกลั้น “คุณหนู โลกนี้มิมีกำแพงใดไม่มีหู เรื่องในวันนี้เกรงว่าคงจะลือออกไปในไม่ช้าแล้ว องค์ชายเจ็ดทรงกระทำเช่นนี้ คุณหนูคงต้องขายหน้าสิ้นแล้ว ไยท่านยังไม่ร้อนใจอีกเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูเคี้ยวรากกล้วยไม้อีกราก เบิกตาโต แล้วชี้หน้าตนเอง “ข้าคุณหนูรองเฉินเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไฉนคนหน้าไม่อายเหล่านั้นไม่ขายหน้า กลับเป็นข้าขายหน้าแทนเสียแล้วเล่า เจ้าคิดได้อย่างไรกัน”
มู่จิ่นชะงักงันไป ไม่ ท่านไม่ได้บริสุทธิ์ มือเท้าก็มิได้ผุดผ่อง ท่านจุดควันยาสลบ อีกทั้งยังยัดคนเข้าใต้เตียงอีกด้วย!
“บ่าวก็มิได้เป็นห่วงเรื่องนี้เจ้าค่ะ เพียงแต่หงไถผู้นั้นเรียกคุณหนูไปที่หอเหวินเซียง ต่อให้ตลอดทางไม่มีใครเห็น แต่นางก็รู้ว่าพวกเราเข้าไปในบริเวณนั้น หากองค์ชายเจ็ดทรงสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาก็สาวมาถึงตัวคุณหนูได้ง่ายยิ่ง ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูหรี่ตา ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “ข้าจะไปจุดควันยาสลบได้อย่างไร เจ้าเห็นว่าคุณหนูของเจ้าอย่างข้าโง่ขนาดสวมเขาให้ตนเอง ซ้ำยังชอบอวดให้คนทั้งหลายดูหรือไร ทั่วทั้งเมืองมีเพียงข้าที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่รู้เรื่องราวอันใดที่สุดแล้ว”
มู่จิ่นมองดวงตาโตที่กะพริบปริบๆ ของเฉินวั่งซู ก่อนมองผ้าเช็ดหน้าที่หงไถให้นางมาเช็ดมือผืนนั้น…“คุณหนูฉลาดล้ำปานเทพเซียน!”
เฉินวั่งซูหัวเราะ “ฮ่าๆ ชมอีก!”
มู่จิ่นงันไปเล็กน้อยก่อนชมต่ออีกว่า “มือกุมชะตากรรมฟ้าดิน…”
เฉินวั่งซูหุบยิ้มฉับ ฉวยเจ้าแมวมา ก่อนจะนั่งลงบนตั่งเล็กอย่างรวดเร็ว พิงเสาพลางลูบแมวด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
สีหน้าของนางเปลี่ยนไวจนคนต้องทึ่งเลยทีเดียว
มู่จิ่นยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู
“น้องหญิงรองวันนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว!”
มู่จิ่นหันหน้ากลับไปก็เห็นพระชายาองค์ชายสามนำบ่าวไพร่กรูเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ
เฉินวั่งซูอุ้มแมวลุกขึ้นยืน ทำความเคารพด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระชายาองค์ชายสามเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ งานเลี้ยงนั้นเลิกเร็วปานนี้? คุณชายเหยียนเลือกสตรีนางใด”
พระชายาองค์ชายสามจมูกแดงก่ำ เอื้อมมาจับมือเฉินวั่งซูไว้ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ทางสกุลเหยียนยังจะมีแก่ใจจัดงานเลี้ยงเลือกหญิงคนใดได้อีกหรือ”
นางพูดพลางโบกมือ เหล่าบ่าวไพร่ก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นมู่จิ่นไม่ขยับ ยังยืนทื่ออยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้นางก็ขมวดคิ้ว แต่ที่สุดแล้วก็มิได้ไล่อีกฝ่ายออกไป
“วันนี้น้องหญิงรองได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว เรื่องวันนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก เจ้ากับข้ามาจากตระกูลเดียวกัน อีกทั้งพี่สาวก็โตกว่าเจ้าไม่กี่ปี มีความในใจบางอย่างจะต้องพูดกับเจ้าให้ได้ องค์ชายเจ็ดทรงมีอุปนิสัยซื่อตรง นี่เป็นเรื่องที่ประจักษ์กันถ้วนทั่ว เรื่องในวันนี้จะต้องมีเลศนัยเป็นแน่แท้ ข้าช่วยสืบให้เจ้าแล้ว หลิ่วอิงผู้นั้นกับองค์ชายเจ็ดเป็นสหายวัยเยาว์กันจริงๆ เรื่องที่แม่ของนางป่วยก็เป็นความจริงเช่นกัน แต่แม้องค์ชายเจ็ดจะมีพระทัยให้นาง รับเข้าจวนเป็นอนุ แต่จะนับเป็นอะไรได้ ยังสู้หมาแมวไม่ได้ด้วยซ้ำไป เจ้าดูอย่างพี่เขยของเจ้าสิ มิใช่มีอนุหลายคนเช่นกันหรือไร แต่ข้าเป็นพระชายาเอก ยังคงเป็นผู้ที่เขาให้ความสำคัญที่สุดอยู่ดี จะยุ่งยากก็ที่เกามู่เฉิงผู้นั้น เรื่องนี้หากโจษจันออกไป ถึงเกามู่เฉิงผู้นั้นไม่อยากแต่งกับองค์ชายเจ็ดก็ต้องแต่งแล้ว ถึงเวลานั้นน้องหญิงรองจะวางตัวไว้ตรงที่ใด”
บทที่ 16
เฉินวั่งซูเม้มปาก มือที่ถูกพระชายาองค์ชายสามกุมไว้พลิกกุมกลับไปสุดแรงเกิด พระชายาองค์ชายสามร้องโอ๊ยออกมาพร้อมน้ำตาร่วงเผาะ
เจ็บเกินไปแล้ว! เฉินวั่งซูไม่เคยฝึกยุทธ์ ไยจึงมีแรงมากปานนี้!
นางสูดหายใจ รีบเก็บมือกลับมาแทบไม่ทัน หยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา แล้วอดจะสะบัดมือที่ขึ้นสีแดงไปมาไม่ได้ “พี่รู้ถึงความลำบากใจของเจ้า ที่นี่มิมีคนนอก หากเจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถิด”
เฉินวั่งซูเงยหน้ามองพระชายาองค์ชายสามด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าไม่ร้อง เหตุใดข้าต้องร้อง ข้าควรวางตัวไว้ตรงที่ใด? ข้าเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายเจ็ด พี่หญิงควรถามเกามู่เฉิงผู้นั้นมากกว่าว่าควรวางตัวเช่นไร ชู้กลายมาเป็นอนุ! คนแซ่เกานางนั้นจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดี จะเข้าจวนไปเป็นอนุก็ช่าง ไม่ว่าอย่างไรข้าเฉินวั่งซูก็จะเป็นผู้ที่องค์ชายเจ็ดจำเป็นต้องใช้เกี้ยวแปดคนหาม* มารับเข้าจวน! สกุลเกาอวดดีเพียงไร เข้าจวนไปแล้วก็ยังต้องเรียกข้าด้วยความเคารพ ต้องคอยยกน้ำชาให้ข้าอยู่ดี!”
นางมีท่าทางฮึกเหิม วาจาทำเอาพระชายาองค์ชายสามตะลึงงัน ทว่าประหนึ่งเปิดประตูปล่อยน้ำ ครั้นแรงฮึดนั้นหมดไปเสียงก็อ่อนลงอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้พี่หญิงมิใช่บอกข้าเช่นนี้หรือไร พี่เขยมีอนุเป็นโขยง แต่ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก เป็นผู้ที่ได้รับความสำคัญที่สุด”
พระชายาองค์ชายสามถูกฟาดโดยไม่ทันตั้งตัวก็อ้าปากพะงาบ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉินวั่งซูนึกขบขันในใจ ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะแสดงต่อไปอย่างไร!
เห็นใครเป็นคนโง่กัน คันฉ่องในใจนางชัดใสกว่าคันฉ่องทองแดงที่ส่องเมื่อเช้านี้เป็นหมื่นเท่า
หากถามว่าในเมืองหลวงนี้ใครหวังให้เกามู่เฉิงแต่งกับองค์ชายเจ็ดที่สุด มิใช่คนตรงหน้านี้จะยังเป็นใครไปได้
หากนางแต่งงานไปกับองค์ชายเจ็ดสกุลเฉินก็จะมีพระชายาองค์ชายถึงสองคน ไม่ว่าสนับสนุนใครขึ้นเป็นใหญ่ก็จะได้เป็นเครือญาติฝ่ายฮองเฮาทั้งสิ้น
แม้เฉินเป่ยผู้เป็นปู่จะไม่อยู่แล้ว ชาวต้าเฉินก็จดจำเขามิค่อยได้แล้ว แต่กิตติศัพท์ความยอมหักไม่ยอมงอของเขายังคงอยู่ในตระกูล สกุลเฉินนี้จะมีฝ่ายเรืองอำนาจได้แค่ฝ่ายเดียว ดังนั้นหากเฉินวั่งซูได้ขึ้นมาก็เท่ากับตัดทอนอำนาจของจวนองค์ชายสาม
ถัดมาต้องเริ่มกล่าวถึงสกุลเกา
สกุลเกามีองค์ชายสามและองค์ชายแปด องค์ชายสามมีอายุมากกว่า ทั้งยังเลื่องลือด้านความเก่งกาจสามารถ ปัจจุบันกำลังได้เปรียบ สกุลเกาย่อมจะสนับสนุนเต็มกำลัง
ทว่าถ้ามิใช่เพราะสกุลเกาเกิดความคิดจะให้กำเนิดตัวสำรอง มีหรือจะต้องบังคับเกามู่เฉิงให้แต่งงานกับองค์ชายแปดให้ได้
เสี่ยวเกาซื่อมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายแปดเป็นที่โปรดปรานในวังมาหลายปี แม้อายุของเขาจะยังน้อย แต่ความฉลาดเฉลียวก็เริ่มแสดงออกมาแล้ว เป็นที่ชื่นชมปลาบปลื้มของฮ่องเต้อย่างมาก หากองค์ชายแปดแต่งงานกับเกามู่เฉิงก็เท่ากับมีสายสัมพันธ์กับสกุลเกาแน่นขึ้นอีกชั้น ถึงเวลานั้นแนวโน้มสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ยังยากจะบอกได้
หากพระชายาองค์ชายสามหวังดีต่อนางจากใจจริงก็เรียกได้ว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ แล้ว!
“น้องหญิงรอง ปกติเจ้ามิได้ไปมาหาสู่กับสกุลเกา ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของพวกเขา หากเป็นยามที่สกุลเฉินเรากำลังรุ่งเรืองอาจจะพอสู้กับพวกเขาได้ แต่จากเมื่อสิบปีก่อน…สกุลเฉินเราเสียหายใหญ่หลวง”
พระชายาองค์ชายสามกล่าวพลางเอามือทาบอก “ข้าขอพูดกับเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจสักคำ เกามู่เฉิงชอบองค์ชายเจ็ดมาตั้งแต่เล็ก ก่อนหน้านี้นางก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว แต่ข้าห้ามเอาไว้ องค์ชายเจ็ดเป็นน้องสามีของข้า ข้าจะปล่อยให้…แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่านางจะผุดความคิดขึ้นมาอีก ซ้ำยังทำสำเร็จแล้วด้วย วันนี้เจ้าเองก็เห็นแล้ว เกาฮูหยินเอาแต่บอกว่าจะไปทวงความยุติธรรมต่อพระพักตร์ฝ่าบาท สกุลเกามีอำนาจมาก หลานสาวสายตรงของอัครมหาเสนาบดีเกาจะไปเป็นอนุผู้อื่นได้อย่างไร ข้าจึงห่วงว่าป้าสะใภ้จะนำเรื่องนี้ไปอาละวาดต่อพระพักตร์ ทำให้ฝ่าบาทหงุดหงิดพระทัย ถึงเวลานั้นถ้าฝ่าบาททรงยอมให้เกามู่เฉิงเป็นพระชายา เจ้าเป็นอนุ ทีนี้จะทำอย่างไรดี ข้าคิดว่าเกามู่เฉิงต้องการแต่งงาน จะเอะอะก็ดี เงียบไว้ก็ช่าง ล้วนแก้ไขอันใดไม่ได้ สู้เจ้ายอมถอยก้าวหนึ่งกลับจะเป็นผลดีกว่า”
เฉินวั่งซูตบตั่งเล็กดังปังก่อนลุกขึ้นยืน ทำเอาแมวตัวนั้นร้องเมี้ยวด้วยความตกใจและกระโดดลงจากอ้อมแขนนาง ก่อนจะวิ่งเผ่นออกไป “พี่หญิง เชิญกลับไปได้แล้ว พวกเราบุตรสาวสกุลเฉินไม่มีเหตุผลให้ต้องเป็นอนุ แม้นเรื่องจะไปถึงฝ่าบาท ท่านกับข้าก็มีเหตุผล ตระกูลสามีพี่หญิงแซ่เกาย่อมจะหวั่นกลัว แต่ข้าแซ่เฉินกลับมิมีสิ่งใดต้องกลัว!”
นางพูดจบก็โอบกอดพระชายาองค์ชายสาม “ข้าอารมณ์พลุ่งพล่านไปชั่วขณะ พี่หญิงอย่าได้ถือโทษ พี่หญิงมิใช่บอกแล้วหรือว่าขอเพียงเรื่องนี้ไม่แพร่ออกไป ตระกูลเราไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็มิทรงมีเหตุผลที่จะลดข้าเป็นอนุ ถูกต้องหรือไม่เล่า พี่หญิงเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในสกุลเฉินเรา มีใครไม่พูดกันว่าพระชายาองค์ชายสามฉลาดหลักแหลมบ้าง วาจาของพี่หญิงข้าจดจำไว้ขึ้นใจ จะไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ จะถือว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เรื่องเป็นอนุ ข้าเฉินวั่งซูยอมตาย แต่จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด”
พระชายาองค์ชายสามยังสับสนอยู่บ้าง นางถูกเฉินวั่งซูพาพูดอ้อมวกวนจนมึนงง
เฉินวั่งซูมองมู่จิ่นปราดหนึ่ง มู่จิ่นก็ผายมือไปทางประตูด้วยท่าทางเด็ดขาด “พระชายาองค์ชายสาม เชิญเพคะ วันนี้ในจวนมีเรื่องมงคล พระชายามีพระประสงค์จะไปร่วมเสวยชามงคลที่เรือนส่วนหน้าหรือไม่”
พระชายาองค์ชายสามได้สติกลับมาก็ยิ้มเล็กน้อย “มิได้ๆ ข้าจะไปแย่งความสำคัญของงานได้อย่างไร ข้ากลับไปก่อนดีกว่า หากน้องหญิงรองมีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็จงอย่าได้เกรงใจ”
เฉินวั่งซูพยักหน้าด้วยสองแก้มแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ายังมิคลายโทสะ
ครั้นพระชายาองค์ชายสามพาคนจากไปอย่างเอิกเกริกแล้ว เฉินวั่งซูถึงได้หัวเราะออกมาก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัด “ท่านย่ามานานแล้ว ไยจึงไม่ออกมาให้พี่หญิงคนดีผู้นั้นของหลานได้คารวะสักหน่อยเล่าเจ้าคะ”
ระหว่างที่พูดฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็เดินถือไม้เท้าเข้าประตูมา
เฉินวั่งซูรีบก้าวไปต้อนรับ พยุงนางมานั่งข้างโต๊ะเล็ก ก่อนรินชาให้ด้วยตนเอง และสั่งให้มู่จิ่นไปยกขนมกับผลไม้มา
“แม่เจ้าอยากอาละวาด แต่ย่าห้ามไว้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวพลางมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
เฉินวั่งซูยิ้มหน้าเป็น “ท่านย่าก็เห็นแล้วนี่เจ้าคะ เมื่อครู่พระชายาองค์ชายสามกำลังยั่วยุหลาน! คนผู้นี้ช่างโลภโมโทสัน มาเป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้สกุลเกา มอบทางตันให้หลานสองทาง หากหลานมีนิสัยรุนแรง ถูกนางยั่วโมโหด้วยการที่เอะอะก็อนุ เอะอะก็บอกสกุลเการ้ายกาจจนนำเรื่องนี้ไปอาละวาดต่อพระพักตร์ ผลสุดท้ายก็คงเป็นดั่งที่นางพูด เกามู่เฉิงจะต้องแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด ฝ่าบาททรงพระพิโรธ หลานต้องกลายเป็นอนุ หากหลานมีนิสัยปวกเปียก ฟังคำของนางแล้วยอมเป็นอนุเอง โยนความหยิ่งในศักดิ์ศรีของผู้มีปัญญาทิ้งไป ไม่ต้องกล่าวว่าคนในตระกูลจะมองหลานอย่างไร ท่านย่าคงเป็นคนแรกที่ตัดญาติขาดมิตรกับหลาน กวาดหลานออกไปให้พ้นจวน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าก่อนกล่าวเนิบๆ “สกุลเฉินเรามิมีบุตรสาวที่เป็นอนุ”
“เหตุใดหลานต้องร้อนใจ หลานไม่ร้อนใจเลยสักนิด เรื่องมาถึงบัดนี้ มีให้เพียงคำเดียว นั่นก็คือรอ!” เฉินวั่งซูกล่าวพลางชูนิ้วสามนิ้ว “หนึ่งรอสกุลเกานั่งไม่ติด วางท่าประกาศว่าหลานต้องยอมถอยให้เกามู่เฉิงต่อหน้าคนในเมืองหลินอัน สองรอให้จวนองค์ชายสามนั่งไม่ติด ด้วยเห็นพวกเราไม่มีการเคลื่อนไหว สกุลเกาก็ปิดบังอำพรางจนร้อนใจกระพือเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นมาในที่แจ้ง บีบให้ฝ่าบาทแก้พระราชโองการ สามรอ…”
เฉินวั่งซูพูดพลางมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพร้อมรอยยิ้มหวาน “สามรออาสะใภ้สามกระพือเรื่องที่อัครมหาเสนาบดีเกาใช้อำนาจข่มคน ฝ่าบาทไม่ทรงคำนึงถึงหน้าขุนนางผู้มีความดีความชอบ บีบให้บุตรหลานของเขาเป็นอนุไปถึงในกองทัพ…เมื่อสร้างแรงกระตุ้นนี้เรียบร้อย ยกฝ่าบาทขึ้นย่างบนกระถางไฟจนทรงเดินหน้าถอยหลังไม่ได้แล้ว…ก็ถึงเวลาที่ท่านย่าผู้เป็นดั่งพระโพธิสัตว์มาโปรดของจวนเราจะเข้าวัง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.