บทที่ 17
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินแย้มยิ้ม ยกมือขึ้นกวัก แมวที่ตกใจหนีไปก่อนหน้านี้ไม่รู้เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร มันกระโดดขึ้นตักนางแล้วนอนหลับต่อ
“มีผลดีอันใดต่อสกุลเฉินเรา อยู่ดีๆ ก็ขาดพระชายาองค์ชายไปผู้หนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ นี่มิใช่ขาดทุนหรือไร”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็เก็บสีหน้าล้อเล่นลง “สกุลเฉินเราสืบทอดมาเป็นร้อยๆ ปีด้วยการอาศัยบุตรหลานในบ้านบากบั่นหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียน ยืนหยัดในหนทางที่ถูกต้อง มิใช่ตระกูลที่ให้บุตรสาวไปปรนนิบัติผู้อื่นแล้วอาศัยเกาะชายกระโปรง เพราะทำเช่นนั้นจะเดินไปได้ไกลเท่าไรเชียว หากท่านย่ารู้สึกว่าตำแหน่งพระชายาองค์ชายนี้สำคัญมากจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้หลานกระทำการเหลวไหล และยิ่งจะไม่พูดว่าบุตรสาวสกุลเฉินไม่เป็นอนุเด็ดขาด”
นางพูดพลางเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมีท่าทางสนใจก็รู้ว่าพูดถูกจุดแล้ว จึงเริ่มปั้นแต่งคำพูดต่อ
“พึ่งภูเขาภูเขาถล่ม พึ่งแม่น้ำแม่น้ำเหือดแห้ง* บัดนี้ฝ่าบาทยังไม่ทรงแต่งตั้งรัชทายาท องค์ชายแต่ละพระองค์ต่างจ้องตาเป็นมัน มีแบ่งฐานะแบ่งศักดิ์ แบ่งอายุแบ่งสายเลือดด้วยหรือ แม้องค์ชายเจ็ดจะมิมีสิ่งใดโดดเด่น แต่แค่เขาเข้ากับองค์ชายสามก็เท่ากับอยู่ใจกลางพายุแล้ว บรรดาคนสกุลเฉินในตอนนั้นมาถึงเจียงหนานก็เป็นท่านย่าลงแรงแยกบ้านใหญ่กับบ้านรองออกจากกัน หลังทางนั้นมีพระชายาองค์ชายขึ้นในบ้านรอง นอกจากเทศกาลปีใหม่แล้วสองจวนก็ยิ่งไปมาหาสู่กันแทบนับครั้งได้ ถ้ามิใช่ท่านย่าไม่ถูกใจองค์ชายสามก็ต้องเพราะถือเบี้ยต่อรองอยู่จึงไม่อยากวางเดิมพัน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินหัวเราะออกมาแล้ว “เจ้าประเมินย่าสูงไปแล้ว ย่าแค่ลองคิดดูแล้วเห็นว่าบัดนี้ยายแก่บ้านรองนั้นดูจะสูงส่งกว่าย่าอยู่หนึ่งช่วงศีรษะ มักจะหัวเราะเยาะย่า แล้วใครจะไปอยากต้องคอยดูสีหน้าผู้อื่นเล่า”
เฉินวั่งซูเงียบงันไป นี่ข้ามิใช่กำลังลอบสอพลอท่านอยู่เนื่องจากมีเรื่องต้องขอร้องท่านหรือไร อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์อันแสนจะยิ่งใหญ่สุกใสรุ่งโรจน์ให้ท่าน! ปรมาจารย์นักเหน็บแนมกล่าววาจาเถรตรงน่าเกรงขามมาแต่ไหนแต่ไร ปานว่าพร้อมจะพลีชีพเพื่อความสัตย์จริงได้ทุกเมื่อ! เนื้อในหลังลอกหนัง* พรรค์นี้ท่านไม่บอกข้าก็รู้!
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเห็นเฉินวั่งซูไม่รับส่งความต่อก็เอ่ยถามว่า “ตระกูลขุนนางอย่างพวกเรานี้มิใช่วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าฝักเข้าฝ่ายมาแต่ไหนแต่ไรหรือ”
เฉินวั่งซูหัวเราะคิกคักขึ้นมา “ท่านย่าหยอกหลานเล่นแล้ว ใต้ฟ้านี้มีผู้ที่เป็นกลางอย่างแท้จริงเสียที่ใด ไม่เอาใจทั้งสองฝ่ายอย่างนั้นหรือ ท่านไม่แสดงท่าที แต่มีบ้านรองอยู่ พวกเราก็มิใช่นับเป็นพวกเดียวกับองค์ชายสามหรือเจ้าคะ ฝ่าบาททรงยกหลานให้อภิเษกสมรสกับองค์ชายเจ็ด ไม่แน่อาจเพราะมีพระราชดำริว่าองค์ชายสามมีอำนาจเทียมฟ้า มีสกุลเกากับสกุลเฉินคอยช่วยเหลือเต็มที่ จึงไม่มีพระราชประสงค์ให้พวกเขาอาศัยเรื่องเลือกพระชายาให้องค์ชายเจ็ดมาหากำลังเสริมเพิ่มอีกถึงได้ได้ทรงเลือกหลาน…เพื่อที่จะถ่วงดุลอำนาจและยุให้แตกกัน บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาวางหมาก หลานถอยออกมาได้อย่างสะอาดหมดจดก็นับเป็นความดีความชอบต่อบ้านใหญ่ อีกประการหนึ่งท่านย่าก็ยังรอดูอยู่ว่าในที่สุดท่านพ่อก็จะย้ายออกจากกรมพิธีการที่สังกัดมานานหลายปีแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินลูบแมวเบาๆ เสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “ท่านปู่เจ้าตอนหนุ่มๆ ก็หัวไวเหมือนกับเจ้า อีกทั้งยังแสดงเก่ง ตอนโน้นท่านแม่ของย่ายังบอกว่าเขาเป็นพวกดูไม่เอาไหนแต่ใจแข็งดั่งเพชร ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะธรรมชาติของเจ้าเป็นเช่นนี้ ท่านปู่เจ้าถึงได้เลือกเลี้ยงเจ้าด้วยตนเอง หรือว่าเป็นเพราะเขาเลี้ยงเจ้ามา เจ้าถึงได้เหมือนกับเขา” นางพูดพลางถามด้วยความสงสัยอีกว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าย่าไหว้วานอาสะใภ้สามของเจ้า”
เฉินวั่งซูเติมน้ำชาลงในถ้วยที่ว่างเปล่าของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน “เรื่องหมั้นหมายของอาเถียนเดิมทีไม่ต้องรีบร้อนปานนี้ ท่านย่ากลับจงใจเลือกวันชนกับวันงานเลี้ยงวสันต์ก็เพื่อให้ท่านแม่ของหลานปลีกตัวไม่ได้ อาสะใภ้สามจะได้ไปแทน อาสะใภ้สามเห็นเรื่องราวทั้งหมด แต่อยู่ในห้องกลับไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว เพิ่งจะเป็นเดือดเป็นแค้นตอนพ้นประตูมา แสดงว่าความเดือดแค้นนี้จริงเจ็ดส่วนเท็จสามส่วน ได้คิดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องแสดงละครให้ผู้อื่นดู”
เฉินวั่งซูพูดพลางนวดบ่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างประจบประแจง “แน่นอนว่าข้อสำคัญที่สุดคือหลานยังคิดได้ว่าต้องยืมปากบ้านเดิมของอาสะใภ้สามมาช่วยป่าวประกาศเรื่องนี้ไปให้ถึงในกองทัพ…ท่านย่ามีสายตากว้างไกล เป็นไปได้หรือที่จะคิดไม่ได้ จะต้องวางแผนจัดการให้หลานเรียบร้อยแต่เนิ่นแล้วแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินฟังมาถึงตรงนี้ถึงค่อยหัวเราะร่วนออกมา “เจ้าลิงซนนี่ เจ้าพูดหมดแล้ว ย่ายังเหลืออะไรให้พูดอีก ย่าน่ะจะไม่ตรากตรำกับอะไรแล้ว ทุกอย่างทำตามที่เจ้าว่า รอไป เมื่อเวลามาถึงเจ้าบอกให้ย่าเข้าวัง ย่าก็จะเข้าวัง”
เฉินวั่งซูนวดแรงขึ้น “ท่านย่าปราดเปรื่อง เป็นหนึ่งในใต้หล้าตลอดกาล!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินหัวเราะหนักกว่าเดิม “ชมเจ้าสองคำเจ้าก็ตัวลอยแล้ว นี่กำลังพูดเลื่อนเปื้อนอะไร เป็นเพราะบัดนี้บิดาเจ้ากับพี่ชายเจ้าไม่อยู่ในบ้านถึงได้ทำให้เจ้าเหลวไหลปานนี้”
เฉินวั่งซูพยักหน้าคล้อยตาม จะว่าไปหลังจากนางทะลุเข้ามาก็ยังไม่เคยพบเฉินชิงเจี้ยนผู้เป็นบิดารวมถึงเฉินฉางเยี่ยนผู้เป็นพี่ชายเลย
เฉินชิงเจี้ยนถูกส่งตัวไปดูแลการซ่อมแซมศาลบูรพกษัตริย์ตั้งแต่หลังปีใหม่ แม้จะไม่ต้องขนอิฐแบกไม้ แต่ในฐานะคนของกรมพิธีการ พิธีรีตองหยุมหยิมยุ่งยากเหล่านั้นล้วนจำเป็นที่เขาต้องจับตาดูทั้งกระบวนการเพื่อไม่ให้เกิดการผิดข้อห้าม
ราชวงศ์ต้าเฉินอพยพลงใต้อย่างฉุกละหุก ตำราสะสมหายไปไม่น้อย หลายปีที่ผ่านมานี้ได้ส่งคนไปตระเวนค้นหาโดยตลอด
หลังเฉินฉางเยี่ยนสอบขุนนางผ่านก็ถูกส่งไปซ่อมตำรา ไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้รู้ข่าวว่ามีตำราของปราชญ์เมธีผู้ล่วงลับที่หล่นหายไปส่วนหนึ่งปรากฏที่จิงโจวจึงได้เร่งเดินทางไป จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินคลายความหนักใจ รู้ว่าเฉินวั่งซูมีวิธีแก้ปัญหาก็หายหวั่นใจแล้ว จึงยัดแมวตัวนั้นใส่อ้อมแขนนางก่อนลุกขึ้นยืน “เรื่องมารดาเจ้ามอบเป็นหน้าที่ย่าเอง ทว่าแม้ย่าจะขวางนางไม่ให้อาละวาดวุ่นวายได้ แต่ก็ห้ามไม่ให้นางเสียใจเป็นทุกข์กังวลไม่ได้ รอเรื่องนี้จบลงเจ้าจะต้องขอขมานางดีๆ”
เฉินวั่งซูกะพริบตา “ท่านย่าคงซวงลู่เล่นจนเอียนแล้ว โยนศรก็ไม่สนุกแล้ว มิเป็นไรเจ้าค่ะ ตอนนี้หลานมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านย่ากับท่านแม่คลายทุกข์ได้!”
หนึ่งก้านธูป ให้หลัง ในหอเล็กของเฉินวั่งซูก็ครึกครื้นขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน หลี่ซื่อ อีกทั้งเฉียนฝูหรงต่างนั่งล้อมวง
“แปดเหรียญ…ชนะแล้ว!” เฉินวั่งซูดันไพ่นกกระจอกอันทำจากหินสลักให้หงายลงบนโต๊ะด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“ข้าเป็นแม่เจ้านะ! ลูกบ้านี่! แม้แต่เงินของแม่เจ้ายังจะกินไปอีก เจ้ามันไม่มีหัวใจ แม่อุตส่าห์คลอดเจ้ามา สู้คลอดกระบอกไม้ไผ่ออกมายังจะดีเสียกว่า!”
เฉินวั่งซูกุมศีรษะพลางกะพริบตาใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน
หลี่ซื่อเห็นแล้วก็เริ่มโวยวาย “ไม่ได้การๆ นี่ท่านแม่กำลังส่งสัญญาณลับอะไรกับวั่งซูเจ้าคะ!”
ทางด้านจวนบ้านใหญ่สกุลเฉินกำลังชื่นมื่นกลมเกลียว กินดื่มเล่นสนุกกันจนไม่อยากหยุดไปสามวันสามคืน แต่ทางอีกด้านหนึ่งกลับมีสายตาเวทนาที่ล้วนพากันจ้องมองมา
เห็นกับตาว่าคู่หมั้นนอกใจสองหนในวันเดียว คุณหนูอันธพาลก็บีบบังคับบุรุษอ่อนแอให้ลดขั้นคนเขาเป็นอนุ…นี่ยังไม่เลวร้าย? เรียกว่าเลวร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในโลกเลยทีเดียว!
ดูทั้งจวนนั้นสิ ไม่แม้แต่จะก้าวออกประตูแล้ว เกรงว่าคงร่ำไห้หวนโหยอยู่ในจวนทุกวันทุกคืน แต่กลับไร้แผนการจะรับมือ
ณ จวนอัครมหาเสนาบดีเกาที่มุมหนึ่งใกล้วังหลวง ประตูใหญ่พลันเปิดออก รถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้าเข้าวังในคืนเดียวกัน
ในเขตบ้านเรือนราษฎรทางใต้ของเมืองผู้ตรวจการมือสะอาดจับพู่กันนิ่งอยู่เป็นนาน ขณะน้ำหมึกจะหยดลงบนกระดาษนั้นเองก็จรดพู่กันตวัดเขียนออกมาเต็มหน้ากระดาษได้ปึกใหญ่ในเวลาเพียงชั่วครู่
เฉินวั่งซูบิดขี้เกียจ ทุบแขนทุบขาตนเอง ดึกมากแล้ว หากมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินอยู่ต่อไม่ไหววันนี้พวกนางคงยังเลิกเล่นไม่ได้
นางเดินไปริมหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก มองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ดูสวยงามเป็นพิเศษ
ถึงจะต่างมิติต่างเวลากัน ผู้คนก็แตกต่างกัน แต่ท้องฟ้านี้กลับยังคงเหมือนกับขณะนางยังเป็นซ่งชิงทุกกระเบียดนิ้ว
และขณะนางเป็นซ่งชิงยังลำบากกว่ายามเป็นเฉินวั่งซูมากนัก
บทที่ 18
ตอนซ่งชิงยังเด็กเคยอาศัยอยู่ในตึกที่เหมือนกับท่อในเมือง ห้องพักเก่ามาก ผิวผนังเป็นด่างดวงจนเหมือนหน้ามารปีศาจในละครเทวตำนาน หลุดร่อนเป็นชิ้นๆ ตลอดเวลา จากนั้นก็สลายเป็นเศษผง
ภาพคำว่า ‘รื้อถอน’ สีแดงสะดุดตาเขียนอยู่บนหน้าประตู ขณะกลับมาตอนกลางคืนมองไปแวบแรกก็ตกใจมาก
ต้นไม้แก่ที่ไม่รู้อยู่มากี่ปีสูงใหญ่บังท้องฟ้าบังดวงอาทิตย์ แหงนหน้ามองไปจะเห็นเพียงแสงจันทร์และเงาต้นไม้เป็นจุดๆ
ช่วงนั้นซ่งชิงก็ชอบดูดาวอย่างมาก
บ้านเธออยู่ชั้นบนสุด เวลาเปิดหน้าต่างยอดต้นไม้จะมีช่องว่างเหลือให้เธอขนาดเท่าปากชามพอดี มองตามช่องไปจะเห็นดาวได้
ในฤดูร้อนอากาศร้อนมาก คนไม่น้อยจะล้วนเปิดหน้าต่าง คุณลุงที่ชั้นล่างชอบเปล่งเสียงหัวเราะขึ้นมา ‘นี่ เด็กน้อยอย่างเธอทึ่มไปแล้วเหรอ คอแหงนจนจะหักแล้วก็เห็นแค่ใบไม้ จะหัดดูดาวดูพระจันทร์เหมือนคนอื่นก็ต้องมองให้เห็นดาวเห็นพระจันทร์ก่อนสิ!’
ซ่งชิงมักจะไม่สนใจเขา
เธอเกิดมาหน้าตาดีสุดๆ ไม่ว่าเดินไปออกตกเหนือใต้ไกลแค่ไหนก็หาคนที่สวยกว่าเธอไม่ได้แม้แต่คนเดียว เพราะเหตุนี้ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ล้วนเป็นที่พูดถึง เธอชินจนเห็นก็เหมือนไม่เห็นนานแล้ว
กลางคืนวันนั้นเธอยังคงดูดาวอยู่เช่นเดิม
คุณลุงที่ชั้นล่างก็มาเคาะประตู ‘เด็กน้อยอย่างเธอยังมัวดูอะไรอยู่อีก! พ่อเธอไปเข้างานดึกแล้วเกิดเรื่อง เสียชีวิตแล้ว แม่เธอก็หายไปไหนไม่รู้ เธอรีบไปกับฉันเถอะ…’
ปีนั้นเธอกำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปีที่สาม
หลังพ่อเสียชีวิตแม่ก็ทิ้งเธอไปแต่งงานใหม่อย่างไม่ไยดี
ต่อมาภายหลังซ่งชิงมักจะคิดว่าถ้าแม่เธอเข้าใจว่าคำว่า ‘รื้อถอน’ หรือลองมาอยู่ในจุดที่เธออยู่ มองมุมเดียวกันกับเธอบ้างบางทีคงจะไม่จากไป
ก็เหมือนคุณลุงชั้นล่าง ถ้ามายืนอยู่สูงเท่าเธอก็จะรู้ว่าเธอมองเห็นดาวได้จริงๆ
วันที่เธอจับพลัดจับผลูได้เข้าวงการการแสดงก็เป็นค่ำคืนที่เธอดูดาวอยู่เช่นกัน
ในครอบครัวไม่มีญาติพี่น้อง แม่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เธออยู่ตัวคนเดียวก็หอบเอาบ้านเก่าที่พ่อทิ้งไว้ให้รวมถึงค่าย้ายบ้านและบ้านที่ได้รับชดเชยมาเนื่องจากการรื้อถอนตึกที่เหมือนกับท่อนั้นหนีไปจากบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดที่จ้องตะครุบสมบัติเธอ
เธอซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีชานระเบียงเปิด นอนดูดาวบนนั้นได้
‘คุณอยากเป็นดาราไหมครับ’ คนข้างบ้านถาม เขาเป็นคนอ้วนท้วน ขี้เหร่จนคนทนดูไม่ได้ ‘หาเงินได้มากเลยนะ’
ซ่งชิงส่ายหน้าอย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย ‘ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ฉันจนมากจนแทบไม่เหลือเงินแล้ว’
‘คุณรู้จักจ้าวเหยาไหม หน้าตาดีไหม ถ้าคุณเป็นดาราก็จะได้ถ่ายละครกับจ้าวเหยา’
ซ่งชิงส่ายหน้าอีกครั้ง ‘ส่องปีศาจ*? ฉันไม่เคยเรียนวิชาเต๋า ทำไม่เป็นและก็ไม่รู้จัก’
คนคนนั้นเหมือนว่าจะร้อนใจแล้วจึงวิ่งตึงตังกลับเข้าห้องตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หยิบโปสเตอร์ขนาดเท่าตัวคนออกมาแผ่นหนึ่ง ‘คุณดูสิ คุณดู!’
ซ่งชิงถูกเขาทำให้รำคาญเหลือทนแล้ว พอหันหน้าไปมองก็อึ้งงันไปพักใหญ่
‘ฉันจะเป็น’
ดาวบนฟ้าแตะต้องไม่ได้ แต่คนงามบนดินเชยชมได้
เฉินวั่งซูลูบคางตนเอง เดิมทีนางคิดจะนั่งกำสรวลกับดวงจันทร์ แต่งกลอนสักบทแด่ความทุกข์ พร้อมกับหวนรำลึกเรื่องราวอันน่าเศร้าสังเวชในชีวิตก่อน
ทว่าคิดไปคิดมาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความลำเค็ญจางหายไปแล้วจึงทำให้นางจำไม่ค่อยได้แล้ว หรือว่าเป็นเพราะการร่ำรวยจากการต้องย้ายบ้านเป็นความสุขล้นเกินไป ทำให้นางถึงกับนึกไม่ออกว่าอะไรควรค่าให้ทุกข์ระทม
สิ่งเดียวที่ชวนให้เศร้าใจคือกว่านางจะได้เป็นราชินีจอเงิน สามารถร่วมแสดงกับจ้าวเหยาได้ จ้าวเหยาก็แสดงได้แค่บทพ่อของนางแล้ว
ครั้นคิดได้เช่นนี้กลอนก็พรูออกมาจากปากนาง “ท่านเกิด ข้ายังไม่เกิด ข้าเกิด ท่านชราแล้ว…”
เฉินวั่งซูยังร่ายกลอนไม่ทันจบมู่จิ่นที่จัดห้องอยู่ด้านในก็เดินมาหา “ไฉนคุณหนูจึงเอ่ยกลอนนี้ขึ้นมาเล่าเจ้าคะ มันเป็นของชนรุ่นก่อนหรือ ช่างธรรมดายิ่งนัก เทียบกับที่นายท่านผู้เฒ่าของพวกเราเขียนไม่ติดเลย”
มู่จิ่นพูดพลางชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสริมอีกว่า “จะว่าไปท่านผู้นั้นจากไปเสียก็มีข้อดี คุณหนูของข้าจึงได้มีอิสรเสรีเช่นนี้”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หัวเราะพรืดออกมาพลางตีมู่จิ่นอย่างแรง “หากข้าแต่งกลอนสู้เจ้าก็ยังไม่ได้ เช่นนั้นก็ตายไปเสียดีกว่า”
นางพูดพลางหมุนตัวผละจากหน้าต่าง หาวทีหนึ่ง ก่อนเดินไปที่เตียง
มู่จิ่นเกาศีรษะพลางมองไป๋ฉือปราดหนึ่ง ก่อนอ้าปากถามโดยไม่เปล่งเสียงว่า ‘คุณหนูหัวเราะอะไร’
ไป๋ฉือกระตุกมุมปากพลางเอ่ยกระซิบเสียงเบาว่า “ดึกแล้ว คุณหนูจะนอนแล้ว วันนี้ชนะได้เงินมามาก ไม่หัวเราะจะให้ร้องไห้หรือ เจ้าไปพักเถอะ วันนี้ข้าจะอยู่เวรเฝ้าคุณหนูเอง”
ครั้นนางพูดจบและเดินเข้าไปเฉินวั่งซูก็นอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว
หมอนกระเบื้องเคลือบ* ที่สูงมากถูกนางเตะไปไว้ปลายเท้า แล้วคว้าหมอนนุ่มใบหนึ่งมาหนุนแทน ผ้าห่มเลื่อนตกอยู่ข้างๆ
ไป๋ฉือขมวดคิ้ว ห่มผ้าให้นางเสร็จก็ดับตะเกียง
ผ่านไปเช่นนี้จนถึงวันที่สาม เฉินวั่งซูเล่นไพ่นกกระจอกก็กลายเป็นแพ้มากกว่าชนะแล้ว
“นางเด็กผู้นี้จะตระหนี่เกินไปหน่อยแล้ว มีของดีเช่นนี้กลับไม่ยอมใช้วัสดุดีๆ มาทำ หินผุๆ นี้เล่นไม่กี่วันก็แตกแล้ว” หลี่ซื่อกล่าวพลางบอกให้คนเปลี่ยนเป็นไพ่ไม้ที่นางสั่งทำใหม่แทน
เฉินวั่งซูหยิบมาเขย่าในมือ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้ไม้อะไรทำถึงได้น้ำหนักกำลังดี ช่างที่ทำดูใส่ใจเป็นพิเศษ ขัดจนเกลี้ยงเกลายิ่งยวด ไม่เห็นเสี้ยนแม้แต่นิดเดียว
เฉินวั่งซูประสานมือคารวะหลี่ซื่อ “ข้าเพียงแต่ค้นหาของเล่นแปลกใหม่ออกมาจากในตำราโบราณ แล้วลองสั่งให้ช่างศิลาทำดู แค่นั้นยังต้องใช้เวลาทำหนึ่งวันเต็มๆ ทว่าของท่านแม่นี้ดียิ่ง วันหน้าสามารถเป็นสมบัติตกทอดได้เลยเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางวางไพ่ไม้กลับไป ก่อนจะคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเต็มพิธี “ท่านย่า ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า “อุตส่าห์เข้าวังทั้งที วั่งซูไปด้วยกันกับย่าแล้วกัน จะได้ให้เจ้าได้เห็นด้วยว่าสิ่งที่เจ้าโยนทิ้งไปนั้นมั่งคั่งอลังการเพียงไร วันหน้าจะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง”
เฉินวั่งซูอึ้งงันไป ก่อนที่ในใจจะนึกลิงโลดขึ้นมา
แม้นางจะเคยแสดงบทฮองเฮาและสนมคนโปรดมาไม่น้อย แต่การเข้า ‘วังหลวงของจริง’ นี้นับเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ ความมั่งคั่งอลังการหลานหาเองได้ มีหรือจะนึกเสียใจภายหลัง”
สองย่าหลานกลับเรือนแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็แต่งองค์ทรงเครื่องตามบรรดาศักดิ์ เฉินวั่งซูยังมิมีบรรดาศักดิ์ใด จึงเพียงเลือกชุดตัวใหม่ที่ดูเรียบร้อย ชำระร่างกาย จุดธูปไหว้พระ แล้วให้หลี่ซื่อตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อไม่พบเห็นจุดใดไม่เหมาะสมถึงค่อยตามฮูหยินผู้เฒ่าเฉินขึ้นรถม้าเดินทางไปวังหลวง
เมืองหลินอันในวสันตฤดูเริ่มร้อนขึ้นแล้ว หัวถนนท้ายตรอกยังคงคึกคักไม่ธรรมดา ซ้ำยังได้ยินคนซุบซิบนินทาเรื่ององค์ชายเจ็ดได้แว่วๆ
เฉินวั่งซูหูตั้ง แทบอยากพุ่งตัวลงจากรถม้าไปฟังเองกับหูว่าคนเหล่านั้นใส่สีตีไข่ แต่งเรื่องนี้ให้กลายเป็นตำนานเมืองหลวงกันอย่างไร แม้นางจะได้ยินมู่จิ่นเล่าหลายรอบแล้วก็ตามที
เมื่อวานบอกว่าเกามู่เฉิงคลอดบุตรชายนามว่าเยาเอ๋อร์ให้องค์ชายเจ็ดตั้งนานแล้ว เช่นนั้นมาถึงวันนี้เยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็น่าจะลอบมีหลานให้องค์ชายเจ็ดด้วยอีกคนแล้วกระมัง…
รถม้าแล่นอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเข้าวังหลวงของแคว้นต้าเฉินได้
ครั้นเข้าประตูมาเสียงจอแจทั้งหมดก็คล้ายว่าถูกสกัดไว้นอกประตูแทบจะทันที ทำให้คนจิตใจครั่นคร้าม อดจะเคร่งขรึมนิ่งเงียบขึ้นมาไม่ได้
เฉินวั่งซูสูดหายใจลึก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตบหลังมือนางเบาๆ “ร้อนตัวกลัวขึ้นมาแล้วรึ”
เฉินวั่งซูส่ายหน้า “หลานมิมีความผิด จะกลัวไปไยเจ้าคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.