บทที่ 19
วังหลวงในเมืองหลินอันสร้างตามรูปแบบวังในราชวงศ์ก่อน
ชาวต้าเฉินชื่นชมในความงามอันเรียบง่าย ดูผ่านๆ หน่อยก็พอไหว แวบแรกที่เห็นดูซอมซ่อมอซอ แต่ครั้นขุดรายละเอียดกลับมีความมั่งคั่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากกล่าวตามคำของบัณฑิตก็เรียกว่าหรูหราอย่างไม่กระโตกกระตาก
ฮ่องเต้อยู่ในตำหนักเสวี่ยนเต๋อด้วยอารมณ์กลัดกลุ้มอยู่บ้าง อัครมหาเสนาบดีเกาเพิ่งจะออกไปจากที่นี่ ถ้วยชาบนโต๊ะยังอุ่นๆ อยู่
มือข้างหนึ่งจับพู่กันที่แต้มหมึกแดงไว้ สายตามองไปที่ฎีกาเบื้องหน้าของตน เป็นนานก็มิได้จรดพู่กัน
“เกากง* พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม มู่เฉิงเองก็เติบโตมาภายใต้สายพระเนตร เป็นเด็กเฉลียวฉลาดน่ารัก เคยประสบเรื่องเช่นนี้เสียที่ใด ฝ่าบาท ปัจจุบันเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันครึกโครม หากพระองค์ยังมิมีพระราชโองการลงไปปิดปากคนทั้งหลาย มู่เฉิงไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้เพคะ เดิมก็เป็นเพราะเยี่ยเอ๋อร์เหลวไหล…”
“เจ้าลูกเนรคุณ เหลวไหลจริงๆ ควรเอาขี้เถ้ายัดปากเขาตั้งแต่เกิดออกมาแล้ว จะได้ไม่ต้องก่อเรื่องขายหน้าผู้คน” ฮ่องเต้ตบโต๊ะดังปัง ตัดบทเกากุ้ยเฟย
พู่กันเกิดสั่น ทำให้หมึกหยดบนกระดาษสีขาวหิมะเป็นวงใหญ่ ฎีกากองใหญ่นั้นถูกแรงสะเทือนจากเขาทำให้ร่วงครืนลงมา ฮ่องเต้เหลือบมองดูก็เห็นคำว่า ‘เฉินกง’ เรียงเป็นพืด ตริตรองแล้วก็ให้หงุดหงิดขึ้นมาทันที “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้เราย่อมจะมีคำตัดสินเด็ดขาด”
เกากุ้ยเฟยเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดี ไหนเลยจะยังกล้าวิ่งเข้าหาปลายหอก จึงบิดผ้าเช็ดหน้าพลางขอตัวจากไป
ในห้องเงียบสงบลงแทบจะในทันที ฮ่องเต้แค่นเสียงทีเดียวขันทีที่ด้านข้างก็ก้มลงเก็บฎีกาที่ร่วงตกทั้งหมดขึ้นมาวางไว้ ก่อนจะเก็บพู่กันด้วยความระมัดระวัง
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้วถึงได้ลอบถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “ฝ่าบาท ฮูหยินราชบัณฑิตเฉินรวมถึงว่าที่พระชายาองค์ชายเจ็ด…คุณหนูรองเฉินมารอเข้าเฝ้าอยู่ที่ตำหนักข้างนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังเขาพูดจบก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนมองฮ่องเต้ปราดหนึ่งอย่างระวังตัวแจ
ฮ่องเต้มองฎีกาปึกหนานั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ให้เข้ามาพบได้”
เฉินวั่งซูลุกขึ้นยืน วุ้นซานจา ของในวังหลวงแคว้นต้าเฉินนี้รสชาติดีโดยแท้ นางอดไม่ไหวกินไปหลายชิ้น แต่บัดนี้กลับท้องร้องโครกคราก อยากกลับจวนไปกินให้เต็มคราบใจจะขาดแล้ว
เพียงเข้ามาในตำหนักเสวี่ยนเต๋อกลิ่นกำยานฉุนกึ้กจนทำให้คนหายใจไม่ออกก็โชยมาปะทะหน้า ทั้งสี่ด้านของห้องมีแต่หนังสือ มืดทะมึนจนชวนให้คนหายใจไม่ออก
เฉินวั่งซูลอบเหลือบมองปราดหนึ่ง ดีมาก หนังสือข้างบนนั้นยังใหม่เอี่ยม ไม่ต่างอะไรจากที่คู่แข่งนางในชีวิตก่อนซื้อหนังสือไม่มีไส้ในมาวางโชว์เต็มผนังเพื่อตบตาว่าเป็นคนมีการศึกษา
ฮ่องเต้มีเส้นผมสีดอกเลา ดวงตาเรียวยาวอีกทั้งแหลมคม ริมฝีปากหนาประหนึ่งถูกเหล่าพระสนมชายาที่ตำหนักในผลัดกันจุมพิตจนบวมก็มิปาน แก้มตอบ มิได้ดูสูงวัยหรือหัวล้านหน้าผากย่นเหมือนกับชายชราทั่วไปเหล่านั้น อีกทั้งใบหน้าก็แดงเปล่งปลั่ง
ขณะยังอยู่ในวัยหนุ่มน่าจะเป็นหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ดูเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่ภายในซ่อนเจตนาร้าย มีอุบายลึกล้ำ
เฉินวั่งซูลงคำตัดสินในใจโดยอาศัยวิชา ‘โหงวเฮ้ง’ ที่ตนเองไม่ได้มีความรู้สักกระผีก
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถวายบังคม เฉินวั่งซูก็ทำตามนาง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่ต้องมากพิธี เฉินกงมีคุณธรรมสูงส่ง หลายปีมานี้เราระลึกถึงเสมอ คิดเพียงว่ารอปราบปรามทางเหนือได้สำเร็จเสร็จสิ้นก็จะซ่อมป้ายสุสาน สร้างศาลเซ่นไหว้ให้เฉินกง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถวายบังคมด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง ในดวงตาปรากฏน้ำตาคลอ “นี่เป็นเรื่องที่เขาพึงกระทำในฐานะขุนนางผู้ภักดีเพคะ”
ฮ่องเต้ลังเลอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็เหลือบมองฎีกาบนโต๊ะหนังสือ ในที่สุดก็ออกปากว่า “เรื่องในสองสามวันนี้คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินคงจะรู้แล้วเช่นกัน อัครมหาเสนาบดีเกามีบุตรชายหลานชายเต็มบ้าน แต่กลับมีหลานสาวเพียงผู้เดียว จึงเห็นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงอย่างดี เรื่องนี้พูดแล้วก็กระดากปาก ทว่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินส่ายศีรษะ ถวายบังคมฮ่องเต้เป็นครั้งที่สาม
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา ก่อนจะจับมือเฉินวั่งซูขึ้นมาตบปลอบเบาๆ “ฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันเข้าวังก็เพื่อจะขอบังอาจมาพูดเรื่องนี้ คำสั่งสอนของผู้เป็นสามียังชัดเจนปานเพิ่งเกิดตรงหน้า ผู้เป็นขุนนางมีหน้าที่แบ่งเบาความทุกข์และคลายข้อสงสัยแด่องค์เหนือหัว เขาได้นำบุตรชายสองคนนั้นของหม่อมฉันไปทำเรื่องที่บุรุษพึงกระทำแล้ว วันนี้หม่อมฉันมาก็เพื่อทำเรื่องที่ราษฎรแห่งต้าเฉินพึงกระทำ”
ฮ่องเต้ชะงักงันไป ปากเผยออ้าน้อยๆ สายตาที่มองดูฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเปลี่ยนไปเล็กๆ จากนั้นก็กวาดมามองดูเฉินวั่งซู เห็นนางเพียงยืนค้อมกายต่ำอย่างเคารพนบนอบถึงขนาดคนมองไม่เห็นหน้า แล้วก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้
ตอนแรกที่เลือกเฉินวั่งซูให้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ด สาเหตุประการหนึ่งก็คือมีความต้องการให้สกุลเฉินสืบทอดยืนยาวต่อไปหลายร้อยปี ไม่กล่าวถึงคุณงามความดีอื่น บุตรสาวของบ้านใหญ่สกุลเฉินก็นับว่ามีมารยาทมีความเคารพ ค้ำจุนครอบครัวไหวจริงๆ
วันนี้ได้พบ แม้เกามู่เฉิงจะเป็นที่น่าพอใจ แต่หากกล่าวถึงความสุขุมและการรับมือปัญหากลับด้อยกว่าเฉินวั่งซูผู้นี้หลายสิบขุม
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเองก็เป็นคนรู้จักกาลเทศะ หากเขาบอกไปตรงๆ ว่าจะลดขั้นเฉินวั่งซูเป็นอนุ ผู้ตรวจการเหล่านั้นจะต้องไม่มีทางยอมเลิกราเป็นแน่ ถึงแม้พูดออกไปแล้วจะไม่น่าฟัง แต่หากสกุลเฉินยอมเป็นฝ่ายถอยเอง เช่นนั้นก็ดีมิมีใดเกินแล้ว
ทว่าถ้าพวกนางเป็นดั่งคำเล่าลือ ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่ก้าวเดียว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขา…
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวมาได้เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “คุณหนูเกามีนิสัยร่าเริง มีความรู้ มีเหตุผล เป็นคู่บุพเพฟ้าประทานกับองค์ชายเจ็ด”
เฉินวั่งซูพยักหน้าน้อยๆ ไม่ผิดสักนิด ผีเน่ากับโลงผุ คู่กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
ฮ่องเต้โล่งพระทัยทันที “ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน…”
ไม่รอให้เขาเอ่ยชมฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็ชิงพูดต่ออีกว่า “แต่ฝ่าบาทออกพระโอษฐ์เลือกคุณหนูรองเฉินของหม่อมฉันเป็นพระชายาเอกองค์ชายเจ็ดอยู่ก่อนแล้ว หากทรงกลับคำไปมาก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้คนประณาม”
นางเน้นน้ำเสียงหนักตรงคำว่า ‘เอก’
แววตาของฮ่องเต้คมกริบขึ้นมาทันควัน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นหลายส่วน “เจ้า!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเห็นอีกฝ่ายเริ่มโมโหแล้วถึงค่อยกล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าวังครานี้เพื่อมาทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ ช่วยคลายความทุกข์ขจัดความลำบากพระทัยให้ฝ่าบาท ไม่กี่วันก่อนสำนักโหรหลวงตรวจดูเทียบชะตาตกฟากขององค์ชายเจ็ดกับหลานสาวหม่อมฉัน พบว่าชะตาพิฆาตกันเพคะ”
ฮ่องเต้มุ่นหัวคิ้ว มีท่าทางคล้ายไตร่ตรองอะไรบางอย่างในใจขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “โจ่งแจ้งเกินไปหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจึงลุกขึ้นกล่าวอีกว่า “เมื่อปีก่อนฝ่าบาททรงให้สำนักโหรหลวงหาหญิงสาวผู้มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์นางหนึ่งมาชำระร่างกาย คัดคัมภีร์เพื่อภาวนาขอพรแด่ไทเฮาเป็นเวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน หลานสาวผู้นี้ของหม่อมฉันด้อยความรู้ มิมีความสามารถอื่นใด แต่กลับเขียนอักษรได้งดงามเป็นเลิศ”
ฮ่องเต้นิ่งงันไป ก่อนจะพลันหัวเราะออกมาด้วยความยินดียิ่ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นจู่เก่อเลี่ยง ในหมู่สตรีโดยแท้!” ฮ่องเต้เอ่ย น้ำเสียงสบายใจขึ้นมาก ครั้นเขาแย้มรอยยิ้มใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยย่น ทำให้ความรู้สึกบีบคั้นที่แฝงมากับสายตาดูอ่อนลง กลายเป็นดูอบอุ่นขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกลับมิได้ยิ้ม เพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนตบหลังมือเฉินวั่งซูเบาๆ จากนั้นก็ถวายบังคมฮ่องเต้เป็นหนที่สี่ “แบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาทเป็นหน้าที่ของขุนนางผู้ภักดีเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดตามองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง เห็นนางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จมูกของนางแดงก่ำ ในดวงตาแฝงประกายชุ่มชื้น ปากน้อยๆ เม้มแน่น เมื่อมองเห็นเขามองไปก็รีบก้มหน้าลง น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นไม้กระดานเบาๆ
ฮ่องเต้หัวใจบีบรัด กระแอมเบาๆ สองสามที สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมีคุณธรรมสูงส่ง ทำหน้าที่ได้ดีมิแพ้บุรุษ”
บทที่ 20
เฉินวั่งซูก้มหน้างุด นางอดจะเหลือกตามองบนในใจอย่างเงียบๆ ไม่ได้
ในวังนี้มั่งคั่งมีเกียรติสุดแสนจริงๆ แต่หากเจ้าของมิใช่นาง ความมั่งคั่งมีเกียรติที่ต้องพึ่งจมูกผู้อื่นหายใจเช่นนี้นางทนไม่ไหวหรอก
ฮ่องเต้คลายความวิตกแล้วก็ย่อมจะมือเติบ มอบคทาหยกสมปรารถนาหนึ่งคู่พร้อมด้วยคัมภีร์ม้วนหนึ่งให้แก่เฉินวั่งซู แล้วกล่าวสั่งให้ขันทีไปส่งสองย่าหลานสกุลเฉินออกจากตำหนักเสวี่ยนเต๋อ
กลางวังหลวงแคว้นต้าเฉินเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกสองสามตัวร้องดังแว่วๆ
“คุณหนูรองเฉินระวังทางข้างหน้าด้วยขอรับ ตรงนั้นมักมีก้อนหิน หากเหยียบถูกจะเจ็บได้ง่าย เดินช้าลงหน่อยจะได้ไม่พลาดเหยียบ” ขันทีที่นำทางหันหน้ากลับมามองชายกระโปรงที่ปลิวไสวของเฉินวั่งซูก่อนกระซิบเสียงเบา
น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยแววเวทนาสงสารในความอาภัพของนาง
เฉินวั่งซูที่ได้รับความเห็นใจยามนี้กลับกำลังดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้นว่า สำเร็จแล้วๆ!
อีกไม่ถึงสองวันนางก็สามารถเตะชายเส็งเคร็งลอยกระเด็นไปได้ และเริ่มวางแผนแต่งคนงามแซ่เหยียนได้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกนางสามีภรรยารวมหัวสมคบคิด…ไม่สิ ร่วมแรงร่วมใจกันพลิกโฉมแคว้นต้าเฉิน ถึงเวลานั้นเจียงเยี่ยเฉินก็จะต้องมาคุกเข่าเรียกนางว่าบิดาแต่โดยดี!
ถึงเวลานั้นนางหลุดจากภารกิจได้อย่างราบรื่น ซ้ำยังได้เชยชมคนงามฟรีๆ…นับได้ว่าเหมือนกับบัณฑิตรูปงามได้พบเสี่ยวเชี่ยน ช่างโรแมนติกวาบหวามมิมีใดเกิน!
“ขอบคุณมากที่เตือน” ในใจเฉินวั่งซูกระหยิ่มยิ้มย่องแล้ว ภายนอกกลับสงบเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ สุขุมปานสุนัขแก่ ทำให้คนมองพิรุธไม่ออกโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะผลจากสภาพจิตใจหรือไม่ ทางออกจากวังถึงได้สั้นกว่าขามามาก
ขณะใกล้ถึงหน้าประตูวังเฉินวั่งซูอดจะหันหน้ากลับไปมองเล็กน้อยไม่ได้ มิได้สูงตระหง่านสุดลูกหูลูกตาอะไร และก็มิได้เห็นปรากฏการณ์มงคลอันแสดงถึงผู้เป็นโอรสสวรรค์อะไร มีก็แต่กระเบื้องมุงกำแพงปกติธรรมดาเท่านั้นเอง
ถึงขนาดว่าเนื่องจากฤดูใบไม้ผลิฝนตกชุกเชิงกำแพงหลายจุดยังมีตะไคร่เขียวขึ้นมาแล้ว ดูค่อนข้างเป็นด่างดวง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ
พอขึ้นมาบนรถม้าแล้วเฉินวั่งซูก็มีท่าทางผ่อนคลายลง
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินตบหลังมือนางเบาๆ เป็นการปลอบโยนเหมือนที่ทำขณะอยู่ในวัง “เอาล่ะ เรื่องที่เจ้าคิดไว้สำเร็จแล้ว หากอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ย่าเห็นเจ้าอยู่ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ดูน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเป็นลูกแมวตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินวั่งซูส่ายศีรษะพลางแสยะปากยิ้ม “ท่านย่า หลานอยากร้องไห้เสียที่ใดกันเจ้าคะ ยามนี้หลานอยากแต่จะหัวเราะให้ก้องฟ้า แต่ก็เกรงว่าท่านย่าจะตกใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินลูบศีรษะนางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะสิ อายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหก แต่เจ้าดันรู้ความเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว บุตรสาวสกุลเฉินเราล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า มีสักกี่คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเฉกเช่นเจ้า” นางกล่าวพลางเปลี่ยนน้ำเสียง “เจ้ามีอะไรอยากถามหรือไม่”
เฉินวั่งซูปรับสีหน้าให้จริงจัง ก่อนโพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิด “เดิมทีหลานคิดว่าขอเพียงทำให้สำนักโหรหลวงบอกว่าหลานกับองค์ชายเจ็ดมีชะตาไม่สมพงศ์กัน ฝ่าบาทก็จะทรงมีทางลง เรื่องนี้ก็เป็นอันจบแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงรังเกียจว่าบันไดนี้ทำจากไม้ผุ มีพระราชประสงค์จะได้บันไดหยก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา ใช้มือบิขนมที่สาวใช้ข้างๆ ยื่นมาให้ แล้วหยิบส่งให้เฉินวั่งซูชิ้นหนึ่ง “เจ้าเด็กตัวแสบ มีใครทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่เช่นนี้บ้าง ได้ยินท้องเจ้าร้องโครกครากนานแล้ว กินขนมรองท้องไปก่อนจะดีกว่า”
เฉินวั่งซูรับมากินทันทีอย่างไม่มีเกรงใจ นางถูกวุ้นซานจานั่นทำให้หงุดหงิดใจยิ่ง “เหตุใดท่านย่าต้องพูดเรื่องไทเฮาขึ้นมาด้วยเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเองก็ไม่แปลกใจ “เจ้าอายุยังน้อย ทั้งยังอยู่แต่ในเหย้าในเรือน จึงไม่รู้เรื่องเมื่อนมนานกาเลพวกนั้น หนุ่มสาวแคว้นต้าเฉินเรามีเพียงหลักพันหลักหมื่นเสียที่ใด คิดจะหาคนที่มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์เสริมส่งไทเฮาให้ได้สักคนนั้นมีอันใดยากกัน แล้วไยหามานานปานนี้ก็ยังหาไม่ได้ อันที่จริงน่ะ เรื่องหาคนมีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์เป็นเรื่องเท็จ แต่หาพระธิดาให้ไทเฮาอีกคนต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริง”
เฉินวั่งซูอ้าปากหวอด้วยอารามประหลาดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็ไม่ลีลา เล่าต่อไปว่า “หากไม่มีเรื่องนี้ ปฏิบัติตามแผนเจ้าก็ยังถอนหมั้นได้ แต่หลานสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของข้ามิได้กระทำความผิดใด แล้วเหตุใดต้องแบกรับชื่อว่าถูกถอนหมั้นด้วยเล่า ที่เจ้าคิดก็มิได้ผิด เนื่องจากละอายพระทัย ฝ่าบาทอาจจะทรงชดเชยให้แก่สกุลเฉินเรา ย้ายบิดาเจ้าออกมาจากกรมพิธีการ แล้วทรงมอบหมายงานที่เป็นจริงเป็นจังให้ ทว่าวั่งซู…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวพลางทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าต้องจำให้มั่น คำสัญญาปากเปล่าไม่มีประโยชน์ใดๆ ผลประโยชน์ที่คว้ามาไว้ในมือได้จึงจะเป็นของจริง พอรู้ว่าเจ้ามีความคิดจะถอนหมั้น ย่าก็คิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ไทเฮามีพระประสูติกาลพระโอรสและพระธิดาอย่างละหนึ่งพระองค์ พระโอรสคือฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ห่างไปหลายปีก็ได้พระธิดามาในตอนชรา ก็คือองค์หญิงเป่าจู แต่ยังไม่ทันเติบใหญ่ก็สิ้นพระชนม์ไปก่อนวัยอันควร ไทเฮาพระชนมพรรษามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทรงคะนึงหาองค์หญิงมากขึ้นเท่านั้น หลายปีมานี้กลัดกลุ้มพระทัยเป็นที่ยิ่ง
ฝ่าบาททรงกตัญญู มีพระราชประสงค์จะหาสตรีชั้นสูงที่เกิดในวันเดือนปีเดียวกันมาถวายไทเฮา หนึ่งเพื่อถวายปรนนิบัติไทเฮา สองเป็นเพราะในวังเคยมีไต้ซือทำนายไว้ว่าถ้าตัวแทนผู้นี้คัดคัมภีร์แทนองค์หญิงเป่าจู จะช่วยให้องค์หญิงได้เสด็จไปแดนสุขาวดีเร็วขึ้นและจะได้ไปเกิดในครอบครัวอันมั่งคั่ง”
เฉินวั่งซูไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้า เมื่อครู่จึงไม่เข้าใจ แต่ฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจึงยกมือชี้ตนเอง “ความหมายของท่านย่าคือหลานเกิดวันเดือนปีเดียวกันกับองค์หญิงเป่าจูพระองค์นั้น? แต่ว่ามิได้บอกไปก่อนหน้านี้จะมิใช่เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินส่ายศีรษะ “ในเมืองมีชนชั้นสูงอยู่เป็นโขยง แต่ละบ้านมีบุตรสาวเป็นแปดคนสิบคน ไม่แน่ว่าจะมีเจ้าที่สอดคล้องเกณฑ์เพียงผู้เดียว”
นางกล่าวพลางยกมุมปากยิ้มเย็น “พระธิดาของไทเฮา แม้จะมิได้มาจากพระอุทร แต่ขอแค่ทรงยอมรับก็เท่ากับได้เป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท ความสัมพันธ์ซับซ้อนในเรื่องนี้ไหนเลยจะแยกได้ชัดในเวลาเพียงประเดี๋ยวประด๋าว สมุดรายนามนั้นวางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของฝ่าบาทนานแล้ว แต่ผู้ที่ตัดสินพระทัยมิได้เสียทีก็คือฝ่าบาท พวกเราหลอกลวงเบื้องสูงเสียที่ใดกัน”
เฉินวั่งซูแจ้งใจในฉับพลันแล้วจึงปรบมือขึ้นมา ความนับถือที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไหลท่วมท้นประดุจสายน้ำในแม่น้ำ
“ในช่วงนี้ไม่ว่าทำอย่างไรฝ่าบาทก็ล้วนจะดูเหมือนไม่สนพระทัยในอนุชนของขุนนางผู้มีความดีความชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากทรงให้หลานเป็นผู้ที่มีชะตาตกฟากรุ่งโรจน์นี้เพื่อทรงแสดงความกตัญญูต่อไทเฮา เช่นนั้นเรื่องทั้งหมดทั้งปวงก็จะดูเป็นการสมควรแล้ว นี่เป็นแค่บันไดหยกเสียที่ใดกัน นี่คือเส้นทางใหญ่อันเที่ยงธรรมน่ายกย่องที่ไต้ซือเคยเปิดทางสว่างให้เลยทีเดียว!” นางพูดพลางชูนิ้วหัวแม่มือ “ท่านย่ายิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกหลายตัว หนึ่งคือได้ช่วยถอนหมั้นให้หลานอย่างมีหน้ามีตา สองคือทำให้หลานได้มีไทเฮาเป็นที่พึ่ง สามคือหลานมีชะตาตกฟากเสริมส่งไทเฮา องค์ชายเจ็ดกลับมีชะตาพิฆาตกับหลาน…เห็นได้ว่าเป็นคนที่ไร้ชะตาฟ้าลิขิต…แม้แต่แค้นที่บุรุษต่ำช้าหยามหลานท่านย่าก็ยังคิดบัญชีด้วยกัน”
เฉินวั่งซูทอดถอนใจ นางมีอคติต่อคนในนิยายเรื่องนี้เกินไปจนพานจะดูถูกพวกเขาแล้วจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้ยินดังนี้ก็สบายใจยิ่งยวด แต่ทั้งๆ ที่ดีใจหน้าบานแล้วปากกลับกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย สามารถทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อายุสี่สิบสิ้นสงสัย ห้าสิบเข้าใจชะตาฟ้าลิขิต หกสิบฟังสิ่งใดล้วนรื่นหู เจ็ดสิบทำทุกสิ่งได้ตามปรารถนาโดยมิละเมิดกฎ”
เฉินวั่งซูพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ทันใดนั้นก็พลันตบหน้าผากตนเอง “ท่านย่า พระธิดาของไทเฮาเป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท พระขนิษฐาของฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดต้องเรียกนางว่ากระไร” นางพูดพลางมีท่าทางอยากรู้อยากลองขึ้นมา ก่อนจะตอบตนเองว่า “อาหญิง!”
ในเมื่อยังเร็วไปที่จะเรียก ‘บิดา’ เช่นนั้นก็ขอฟังเจียงเยี่ยเฉินผู้นั้นเรียกนางว่า ‘อา’ เป็นดอกเบี้ยก่อนก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!
นางอดใจรอไม่ไหวแล้ว อยากจะให้ถึงวันนั้นแล้ว จะได้เห็นเจียงเยี่ยเฉินมีสีหน้ายุ่งเหยิงถึงขีดสุด!
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกรกฎาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.