บทที่ 192
เฉินวั่งซูเล่าจบก็มองไปยังเกามู่เฉิง อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงที่เรื่องราวกลายมาเป็นทิศทางนี้
เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังกำลังรออยู่ข้างหลัง! ไม่หัดประมาณกำลังของแขนขาเล็กๆ นั่นของเจ้าเสียบ้าง ทั้งที่เห็นข้าเป็นยอดเขาตระหง่านปานนี้ก็ยังกล้ามาพุ่งชน นั่นเรียกว่ากลัวตนเองจะกระดูกไม่หักชัดๆ!
“เยี่ยกงชอบมังกร* แม้จะไม่เคยเห็นมังกรตัวจริง แต่ก็สามารถเล่าเรื่องใหญ่น้อยของมังกรได้อย่างชัดแจ้ง พระชายาองค์ชายเจ็ดสะสมสร้อยประคำ น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้กระมัง กระบี่ยังมีชื่อ สร้อยประคำอันมีจิตวิญญาณนี้ย่อมจะมีเรื่องราวเช่นกัน ทว่า…” เฉินวั่งซูหรี่ตา “ในจวนของพระชายาองค์ชายเจ็ดมีของสะสมอยู่นับไม่ถ้วน การจำผิดไปก็เป็นเรื่องธรรมดา สร้อยประคำนั้นยังวางอยู่ข้างหมอนข้า มันมีสิบหกเม็ดหรือสิบแปดเม็ดกันแน่นั้นบนสมุดรายการของบรรณาการจากอำเภอจูหยามีบันทึกไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งในจวนมีธรรมเนียมสืบต่อกันมาว่าเครื่องประดับอันเป็นสินเดิมนี้หากพังแล้วไม่ควรซ่อม ให้หาสาวใช้ที่ดูแลเครื่องประดับมาจัดการวาดแบบตามรูปแบบเดิม จะได้ให้ช่างทำขึ้นใหม่ตามรูปแบบนั้น ฉะนั้นไข่มุกเม็ดนี้ย่อมจะไม่ใช่ของข้า หากพระชายาองค์ชายเจ็ดอยากรู้ก็ควรถามเจ้าของของมันจึงจะถูก!”
เฉินวั่งซูพูดจบก็ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ ก่อนเอ่ยบอกด้วยท่าทางงดงามหยาดเยิ้ม “ฝ่าบาท วั่งซูเล่าจบแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ปรายตามองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับว่าเหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซูเป็นแก้วตาดวงใจของเขาจริงๆ
เฉินวั่งซูเห็นแล้วหวิดจะสำรอกข้าวเย็นออกมา
อะไรเรียกว่า ‘สุภาพบุรุษจอมปลอม’ ภายนอกดูดีมีศีลธรรม ก็นี่อย่างไรเล่า! ไม่แน่เจ้าคนผู้นี้อาจจะเป็นศัตรูผู้สังหารมารดาของเหยียนเจวี๋ยก็เป็นได้ ถึงจะไม่ใช่ ผู้ที่ส่งคนมาลอบสังหารเหยียนเจวี๋ยตลอดหลายปีมานี้ก็ขาด ‘ผิงอ๋อง’ ที่จ้องอยากได้สมบัติตาเป็นมันไปไม่ได้
เพียงแต่มีใครสวมหน้ากากไม่เป็นบ้าง
“ถึงกับยังมีเรื่องพรรค์นี้ด้วย? สมแล้วที่พระอาจารย์หงฮุ่ยเป็นภิกษุชั้นสูงผู้บรรลุธรรม สำหรับพวกเราไข่มุกนี้เป็นเพียงของเล่น แต่สำหรับหนานเกอผู้นั้นกลับเป็นของช่วยชีวิต ความกตัญญูนำคุณธรรมทั้งปวง!”
เฉินวั่งซูพยักหน้า ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนมองเกามู่เฉิงด้วยรอยยิ้มละไม
เรื่องในวันนี้นางมองได้ทะลุปรุโปร่ง พอแม่ลูกสกุลเกาแยกตัวออกมาสู้ด้วยตนเองแล้วความทะเยอทะยานกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เจียงเยี่ยเฉินมีฐานะเป็นองค์ชาย เดิมทีไม่จำเป็นต้องไปส่งศพเป็นเพื่อนเกามู่เฉิง และยิ่งไม่จำเป็นต้องโยนงานทิ้งเพื่อตามนางไปพักฟื้นรักษาอาการป่วยที่หมู่บ้านนอกเมือง บุรุษที่ทำเยี่ยงนี้หนึ่งคือทำเพื่อความรัก สองคือทำเพื่อผลประโยชน์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าเจียงเยี่ยเฉินหาได้มีไมตรีใดๆ ต่อแม่นางเกาไม่
ถ้าเช่นนั้นก็เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ แม่ลูกสกุลเกาแยกตัวออกมา ยามนี้ไม่มีอัครมหาเสนาบดีเกาคอยนั่งบงการ เห็นได้ชัดว่าอ่อนกำลังลงบ้างแล้ว แต่ต้าเกาซื่อกับองค์ชายสามหยั่งรากในราชสำนักมาหลายปี อุบายและเส้นสายมิอาจดูเบาได้ องค์ชายสามมาตกม้าตายกะทันหัน ต้าเกาซื่อยังไม่ทันได้ใช้ไพ่ที่ซ่อนไว้ก็ตามบุตรชายไปแล้ว
ต้าเกาซื่อและเสี่ยวเกาซื่อต่างมีบุตรชายหนึ่งคน เดิมทีก็มีแผนการคิดคำนวณอยู่ในใจ มิเช่นนั้นตอนแรกคงไม่อยากให้องค์ชายแปดแต่งงานกับเกามู่เฉิง แม้ว่าบัดนี้ต้าเกาซื่อจะล้มลงแล้ว แต่คนในกลุ่มนั้นที่ไม่อยากสนับสนุนคู่ต่อสู้เก่าก็มีอยู่พอสมควร
และอำนาจในส่วนนี้ก็ล้วนถูกสกุลเกาจวนตะวันตกรับเอาไปทั้งหมด
เจียงเยี่ยเฉินมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ย่อมจะยอมทำตัวเป็นรองเพื่ออนาคต ขณะนี้ไม่ว่าเขาจะชอบหลิ่วอิงมากเพียงไรก็ล้วนไม่มีเหตุผลให้พานางเข้าวังมาทำให้เกามู่เฉิงรำคาญใจ
มิเช่นนั้นที่ทำตัวเป็นลูกเต่าไปก่อนหน้านี้จะมิใช่เสียเปล่าหรือไร
เช่นนั้นในเรื่องนี้ย่อมจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง
นี่ก็คือสาเหตุว่าไฉนเฉินวั่งซูถึงเริ่มจับตามองพวกนางตั้งแต่เข้ามาในตำหนักใหญ่
ก่อนหน้านี้เฉินวั่งซูนำเรื่องที่ระบบแจ้งมารวมกัน รวมถึงเรื่องที่ว่าหลิ่วอิงคลอดบุตรชายในคืนหิมะตก จึงสงสัยว่าเจียงเยี่ยเฉินพาหลิ่วอิงเข้าวังมาด้วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายคลอดลูกในวังตอนงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ เช่นนี้แม้เด็กที่ออกมาจะเกิดจากอนุ แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่มีบุญ
แต่ครั้นเกามู่เฉิงพุ่งตรงมาหาเฉินวั่งซูก็เพิ่มความตื่นตัวขึ้นเป็นสิบสองส่วน เห็นทีทั้งครอบครัวองค์ชายเจ็ดจะล้วนแต่ใจใหญ่ เขาไม่พอใจแค่ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกสองตัว เขาแทบอยากจะยิงดอกเดียวให้ได้เป็นผลไม้เสียบไม้
น่าเสียดายที่นางเฉินวั่งซูมิใช่ผลไม้ นางเป็นก้อนเหล็ก คิดจะมาแทะนางเช่นนี้ช่างไม่กลัวฟันตนเองหลุดเอาเสียเลย
เฉินวั่งซูคิดว่าเรื่องสร้อยประคำมุกนี้บางทีอาจไม่ใช่ความคิดของเกามู่เฉิง เนื่องจากเกามู่เฉิงผู้นี้มีความกล้าแต่ไร้แผนการ มุทะลุวู่วามอย่างยิ่ง ไม่มีทางคิดอุบายเหี้ยมเกรียมปานนี้ออกมาได้
หากเฉินวั่งซูไม่เคยจับสร้อยประคำมุกเส้นนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่ามีไข่มุกทั้งหมดสิบหกเม็ด เมื่อถูกคนนำมาใช้เป็นหลักฐานก็ยอดเยี่ยมไปเลย
อยู่ดีๆ สร้อยประคำสิบแปดเม็ดหายไปสองเม็ดได้อย่างไร
เม็ดหนึ่งอยู่ใต้เท้าองค์ชายแปด อีกเม็ดถูกเกามู่เฉิงถือโอกาสซ่อนไว้ในตัวนาง
ครั้นนึกถึงช่วงที่องค์ชายแปดล้มไปกระแทกหลิ่วอิง เฉินวั่งซูก็ต้องอุทานในใจอีกครั้ง
ข้ามาแคว้นต้าเฉินนานเพียงนี้ยังไม่เคยเห็นคนที่โลภปานนี้เลย
นี่พวกเขาต้องการยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกสามตัวนี่!
สถานการณ์ในราชสำนักปัจจุบันนี้ยังดูคลุมเครือ เหล่ามังกรไร้จ่าฝูง ฮ่องเต้รับเอาบทเรียนจากประสบการณ์ในอดีตมาใช้ มิได้เมตตาใครเป็นพิเศษ ตำแหน่งรัชทายาทนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น
หากเจียงเยี่ยเฉินต้องการการสนับสนุนจากอัครมหาเสนาบดีเกา อุปสรรคแรกก็คือองค์ชายแปด
หากองค์ชายแปดไม่สามารถขึ้นเป็นรัชทายาทได้แล้ว เช่นนั้นสกุลเกาควรจะสนับสนุนผู้ใด และสนับสนุนได้เพียงใครเท่านั้น
นั่นย่อมจะต้องสนับสนุนบุตรเขยของสกุลเกา องค์ชายเจ็ดเจียงเยี่ยเฉิน อย่างน้อยถ้าเขาได้ขึ้นครองราชย์ ฮองเฮาก็สกุลเกา ในตัวรัชทายาทภายภาคหน้าก็มีเลือดของสกุลเกาไหลเวียนอยู่
ทว่าจำต้องรักษาท่าทีให้ดี หากพวกเขาทำองค์ชายแปดตายไปก็เท่ากับจะมีความแค้นที่มิอาจปลดเปลื้องได้กับสกุลเกา เกิดกินแหนงแคลงใจกัน แต่ถ้าอยู่ดีๆ องค์ชายแปดก็ถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับตำแหน่งใหญ่เล่า…
เฉินวั่งซูคิดพลางมองขาขององค์ชายแปด
แม้คนในที่นี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ล้วนมองออกกันทั้งนั้นว่าขาขององค์ชายแปดผิดปกติ ก่อนหน้านี้เกามู่เฉิงต้องการดูใต้รองเท้าเขา เขาหมดทางเลือกจึงต้องงอขาดูพื้นรองเท้าตนเอง
องค์ชายแปดมีโรคภัยที่บอกใครไม่ได้
นี่ต่างหากที่เป็นเกาทัณฑ์ดอกสำคัญที่สุดที่องค์ชายเจ็ดยิงออกไปในคืนนี้ ส่วนที่ยิงพุ่งมาทางนางนั้นก็แค่ทำได้จึงทำ เล่นงานนางได้เท่าไรก็ทำไปเท่านั้น มาคิดดูดีๆ เป็นไปได้แทบจะเต็มร้อยว่าเจียงเยี่ยเฉินกับเกามู่เฉิงรวมถึงหลิ่วอิงต่างจับมือสมัครสมานสามัคคีกันเป็นการชั่วคราว
ให้ตายสิ พอได้นอนคุยกันบนเตียงเรื่องของขวัญถูกสับเปลี่ยนในคืนวันแต่งงานวันนั้นก็ได้รับการแถลงไขแล้ว คนทั้งสามจะต้องมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน ผู้ใดขัดหูขัดตาที่สุด นั่นย่อมจะเป็นนางอยู่แล้ว!
เฮ้อ ดาราสาวเดินไปที่ใดล้วนเป็นเป้าดึงดูดสายตาคนจริงๆ เลิศเลอเกินไปก็น่าหงุดหงิด
เกามู่เฉิงได้ยินดังนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย กัดริมฝีปาก ก่อนคารวะต่อเฉินวั่งซู “เป็นข้าตัดสินโดยคิดไปเองแล้ว เจ้าอย่าได้โมโห เรื่องนี้น่าจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าจริงจังจนเป็นนิสัย หวังว่าเจ้าจะอภัยด้วย”
นี่เฉินวั่งซูกำลังอวดว่าในจวนของตนเองแม้แต่สาวใช้ก็ยังวาดภาพเขียนอักษรได้หรือ มิเช่นนั้นคนจวนใดกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำ ซ้ำยังมานั่งวาดแบบอีก!
นางขอโทษเสร็จ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห อ้าปากยังอยากจะพูด กลับถูกเจียงเยี่ยเฉินห้ามไว้ “เซี่ยนจู่โปรดอภัยด้วย”
เดิมทีเฉินวั่งซูก็มิได้เป็นเป้าหมายหลัก หากยังบีบคั้นคนต่อไปก็จะดูชัดเจนเกินไป ทำให้คนเกิดความแคลงใจได้
เกามู่เฉิงเม้มปาก ไม่พูดไม่จาแล้ว
เฉินวั่งซูยิ้มก่อนหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะตนเอง หยิบจอกสุราขึ้นมา “เทศกาลปีใหม่วันนี้เป็นวันมงคล มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ดื่มสักจอกก็มิใช่คลี่คลายได้แล้วหรือ พระชายาองค์ชายเจ็ดควรดื่มกับวั่งซูจึงจะถูก”
ฮ่องเต้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมาดังลั่น “วั่งซูพูดได้ดี อย่ามัวแต่วุ่นวายกับไข่มุกไม่กี่เม็ดนั้นเลย ทุกคนยกจอกมาร่วมดื่มกันเถิด”
เกามู่เฉิงหันไปรินสุราก่อนยกจอกแหงนหน้าดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง
ติ๊ง ได้ยินเพียงเสียงไข่มุกตกพื้นดังใสเสนาะเพราะพริ้ง…
เฉินวั่งซูก้มหน้ามอง ไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งกระดอนขึ้นลงอยู่ข้างกายเกามู่เฉิงสองสามที ก่อนจะกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างเท้าองค์ชายเจ็ด
“พระชายาองค์ชายเจ็ด ไข่มุกของพระชายาหล่นแล้ว”
บทที่ 193
เกามู่เฉิงมองแขนเสื้อของตนเองตามจิตใต้สำนึก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ช่องใส่ของตรงแขนเสื้อขาดเป็นรู
นางพุ่งปราดไปข้างหน้าหมายจะเก็บไข่มุกสีดำเม็ดนั้นบนพื้นขึ้นมา ทว่าช้าเกินไป องค์ชายแปดก้มตัวลง ยื่นสองนิ้วออกไปคีบไข่มุกขึ้นมาแล้ว
เกามู่เฉิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เหลือบมองเหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซูคราหนึ่งด้วยอาการหวาดหวั่นลนลาน
เฉินวั่งซูยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางว่านอนสอนง่ายประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เหยียนเจวี๋ยมุ่นหัวคิ้วไม่ชอบใจ เขาคีบกับแกล้มให้นาง ทำประหนึ่งรอบข้างไม่มีผู้คนอยู่…ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตำหนักใหญ่ แต่เป็นในเรือนของพวกเขาเองต่างหาก
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกามู่เฉิงทำลงไปเมื่อครู่นี้นึกว่าตนเองวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในสายตาผู้อื่นกลับเหมือนเป็นฝุ่นบนเสื้อผ้าก็มิปาน แค่ปัดสักหน่อยฝุ่นก็หายไปแล้ว
เกามู่เฉิงใจหายวาบ ยกมือปิดแขนเสื้อ “น้องแปดคงจะมองผิดไปแล้ว ไข่มุกเม็ดนั้นข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่ามาจากที่ใด จู่ๆ ก็กระดอนออกมา ทำเอาข้าตกใจนัก หากเหยียบมันเข้าเกรงว่าคงได้หกล้มอีกเป็นแน่”
องค์ชายแปดหยิบไข่มุกเม็ดนั้นขึ้นมา จากนั้นเลียนอย่างท่าทางของเกามู่เฉิงก่อนหน้านี้ ส่องมันกับแสงไฟ ก่อนจะเดินมาหยุดเบื้องหน้าเฉินวั่งซูแล้วกล่าวว่า “ท่านอาหญิง ท่านดูที ไข่มุกเม็ดนี้เหมือนกับเม็ดก่อนหน้านี้หรือไม่ หากมีม้าดำสองตัวข้ายังพอแยกแยะได้ แต่ไข่มุกนี้เว้นแต่จะเป็นคนละสี มิเช่นนั้นข้าก็แยกไม่ออก”
เขาพูดพลางยัดไข่มุกเม็ดนั้นเข้ามาในมือเฉินวั่งซู ก่อนจะหันหน้าไปมองเกามู่เฉิง “เกามู่เฉิง! เจ้าอย่านึกนะว่าเจ้าเป็นสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าชกเจ้า ข้าอยากชกเจ้ามานานแล้ว!”
เขาพูดพลางถลกแขนเสื้อ พุ่งตัวไปหาเกามู่เฉิงราวกับวัวคลั่งตัวหนึ่ง
อย่าว่าแต่คนอื่นๆ ในที่นี้เลย แม้แต่เฉินวั่งซูก็ยังถูกการกระทำนี้ขององค์ชายแปดทำเอาปากอ้าตาค้าง
นางรู้เพียงว่าในอดีตองค์ชายแปดกับเหยียนเจวี๋ยต่างก็เป็นพวกชนชั้นสูงมั่งคั่งที่ไม่เอาการเอางาน ชื่อเสียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่นางคิดไม่ถึงสักนิดว่าเจ้าคนผู้นี้จะถึงกับไม่ได้เรื่องปานนี้
เกามู่เฉิงตกใจจนใบหน้างดงามถอดสี รีบวิ่งไปอยู่ข้างหลังองค์ชายเจ็ด เจียงเยี่ยเฉินไหนเลยจะเคยเห็นภาพเยี่ยงนี้จึงเก็บกระบี่ยาวที่ข้างเท้าขึ้นมาตั้งท่าป้องกัน “น้องแปด เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ นี่จะทำอะไร”
“เหล่าปา!” ฮ่องเต้ตวาดออกมาด้วยความโกรธ
องค์ชายแปดชกหมัดไปถึงหน้ากระบี่แล้วกลับพลันชะงักกึก ครั้นแล้วก็ร้องไห้ออกมา
เฉินวั่งซูมุมปากกระตุก มองไปยังฉินเจ่าเอ๋อร์ ปากของฉินเจ่าเอ๋อร์กระตุกจนเหมือนจะเป็นลมชักแล้ว วิธีร้องไห้โฮนี้นางเคยได้เปิดหูเปิดตามาก่อน เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทั้งเช้า แม้แต่เจดีย์เหลยเฟิง* ยังจะถูกน้ำตาเขาท่วมจนมิด
องค์ชายแปดน้ำตาไหลพรากๆ “เสด็จพ่อ กระหม่อมคับข้องใจ กระหม่อมกับเกามู่เฉิงโตมาด้วยกัน ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ เสด็จพ่อทรงมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้พวกกระหม่อม บอกว่าในนั้นมีเพียงชิ้นเดียวที่เป็นไส้เนื้อกวาง
กระหม่อมโชคดีหยิบได้ชิ้นนั้นมา ตนเองกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องเหลือให้เกามู่เฉิงอีกครึ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตอนแรกกำหนดการแต่งงานไว้แล้ว แต่มู่เฉิงกลับจะแต่งกับพี่เจ็ดให้ได้ พี่น้องคนใดในเมืองหลินอันไม่หัวเราะเยาะว่ากระหม่อมเป็นเจ้าโง่ถูกสวมเขาบ้าง
เรื่องนี้กระหม่อมยอมทน คิดเสียว่านางเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของกระหม่อม ยามนางแต่งงานกระหม่อมก็ได้นำเอาของที่พระองค์พระราชทานมาตลอดหลายปีนี้เติมเป็นสินเดิมให้นางด้วย”
องค์ชายแปดหันไปมองเกามู่เฉิง “เกามู่เฉิง เจ้าบอกมา ข้าเคยทำความผิดใดต่อเจ้า! เจ้าถึงได้ทำร้ายข้าเยี่ยงนี้ เจ้ามองสองตานี้ของข้านะ มันมีตาขาวใหญ่กว่าเจ้าหรือไร ข้ามองเห็นชัดกับตา ไข่มุกเม็ดนั้นถูกสะบัดออกมาจากในแขนเสื้อของเจ้า ก่อนหน้าที่ข้าจะหกล้มตรงนี้วุ่นวายยุ่งเหยิง พี่สะใภ้ห้ากับพี่สะใภ้หกที่นั่งอยู่ด้านข้างล้วนขยับที่นั่งแล้ว มีเจ้าเป็นสตรีอยู่เพียงคนเดียว ไม่ใช่ของเจ้าแล้วจะเป็นของผู้ใด คิดว่าใครเป็นคนโง่กัน!” พูดจบเขาก็คำรามลั่น
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าเสี้ยวเวลาถัดไปองค์ชายแปดคงจะพุ่งตัวไปคว้าไหล่เกามู่เฉิงไว้แล้วจับนางเขย่าไปมาไม่หยุดเพื่อแสดงความเจ็บใจและความเดือดดาลของตนเอง
ฝีมือการแสดงระดับราชานักคำรามนี้ช่างชวนให้คนต้องทอดถอนใจว่า…ได้มาเห็นเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ
เฉินวั่งซูคิดพลางมองฮ่องเต้ปราดหนึ่ง ขิงแก่ผู้นี้เกิดบิดเบี้ยวผิดพลาดจากตรงที่ใดกันแน่ เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งแปดถึงได้ไม่มีใครปกติเลยสักคน! ดูเจ้าหนูน้ำเต้าคนอื่นๆ สิ ท่าทางเหมือนบอกว่าตีกันเลยๆ มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นทั้งนั้น
“ท่านอาหญิง ท่านดูเสร็จหรือยัง มันเหมือนกันใช่หรือไม่”
เจ้าหนูน้ำเต้าผู้เป็นราชานักคำรามมองมา เฉินวั่งซูที่ถือไข่มุกเม็ดนั้นอยู่ก็ร่างกายโงนเงน หวิดจะยืนไม่อยู่ เหยียนเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างนางรีบยื่นมือมาโอบไว้ไม่ปล่อยให้นางล้มลงพื้น
เกือบไปแล้ว! รับทันพอดี! เหยียนเจวี๋ยเหงื่อซึมฝ่ามือ
เฉินวั่งซูปรายตามองเขาทีหนึ่ง วางใจเถอะ ก็แค่หงายไปด้านหลังสี่สิบห้าองศา ข้าไม่ล้มแน่!
“นี่…เหมือนกันจริงๆ…เพียงแต่หม่อมฉันไม่เข้าใจ เมื่อครู่นี้พระชายาองค์ชายเจ็ดพูดอยู่ตลอดว่าไข่มุกที่ทำร้ายคนนั้นเป็นไข่มุกในสร้อยเส้นที่เกาเฟยประทานให้หม่อมฉัน หากเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องจะมีความคิดเยี่ยงนี้ก็มิแปลก แต่พระชายาองค์ชายเจ็ด ไข่มุกที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วนี้ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของท่านชัดๆ ท่านรู้ว่ามันอยู่ที่ใด แล้วไยยังต้องพูดโยงมาถึงหม่อมฉันด้วย”
นางพูดพลางยกมือปิดปาก เหลือบมองคราบเลือดบนพื้นด้วยความตกตะลึง
“ประเดี๋ยวเกาเฟย หม่อมฉันขอยืมไข่มุกในมือของท่านมาดูสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ…หม่อมฉันพบว่าบนไข่มุกเม็ดนี้มีรอยประหลาดอยู่ น่าจะเคยผ่านการเลี่ยมด้วยดิ้นทอง หากบนเม็ดนั้นมีเหมือนกัน ก็เป็นไปได้สูงว่าไข่มุกสองเม็ดนี้จะถูกคนดึงออกมาจากเครื่องประดับสักชิ้นหนึ่ง…ปกติแล้วขั้นตอนการเลี่ยมเครื่องประดับให้ไข่มุกไม่หลุดร่วงมักจะกดทับไข่มุกไว้จนแน่น นานวันเข้าก็จะปรากฏรอยกดขึ้นมา”
เกาเฟยรีบจับไข่มุกในมือตนเองขึ้นดู ครั้นแล้วก็อุทานออกมา “มีจริงๆ ด้วย!”
นางพูดพลางยื่นไข่มุกเม็ดนั้นให้เฉินวั่งซู
ไข่มุกสีดำขลับทั้งสองเม็ดวางอยู่บนมือขาวผ่องอ่อนนุ่มของเฉินวั่งซู ขนาดเท่ากัน สีสันความมันเงาเท่ากัน มีรอยกดจางๆ อยู่ตรงตำแหน่งเดียวกัน ไม่ว่าใครมาดูก็ต้องบอกว่านี่เป็นคู่แห่งโชคชะตา
เฉินวั่งซูยกมือขึ้น นำไข่มุกคู่นี้ไปวางบนโต๊ะของฮ่องเต้ จากนั้นก็หมุนตัวไปมองเกามู่เฉิง “พระชายาองค์ชายเจ็ด คราวนี้ถึงตาหม่อมฉันถามบ้างแล้ว พระชายากับหม่อมฉันไม่มีความแค้นเคืองต่อกัน ไยท่านจึงต้องการทำร้ายหม่อมฉัน”
นางพูดพลางก้มหน้าลง ก่อนจะมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่งอย่างระมัดระวัง
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า
เฉินวั่งซูคล้ายได้รับกำลังใจจึงเงยหน้าขึ้นมา “หม่อมฉันยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระชายาต้องทรงจงใจทำให้องค์ชายแปดล้ม ทำให้อนุหลิ่วต้องคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งเหตุใดต้องปล่อยให้องค์ชายเจ็ดรวมถึงทุกคนรู้สึกว่าเรื่องอำมหิตนี้เป็นฝีมือของหม่อมฉัน ทำเช่นนี้มีผลดีอะไรต่อพระชายาเล่า”
เกามู่เฉิงได้ยินวาจานี้ก็ราวกับเป็นคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ลอยน้ำไว้ได้จึงพูดต่อจากเฉินวั่งซูทันที “ใช่น่ะสิ ทำเช่นนี้มีผลดีอะไรต่อข้า เด็กคนนั้นก็เป็นลูกของพี่เยี่ยเฉิน อยู่ดีๆ เหตุใดข้าต้องทำร้ายเด็กด้วย
ต่อให้ข้าชังที่เด็กเป็นลูกอนุ แต่ข้าก็ไม่ได้โง่เขลาถึงขั้นทำร้ายนางจนตายต่อหน้าธารกำนัลมากมาย น้องแปดใกล้ชิดสนิทสนมกับข้ามาแต่ไหนแต่ไร ข้ากับจวนฮู่กั๋วกงของพวกเจ้าก็ไม่มีความแค้นต่อกัน ข้าคงกินอิ่มมากไปกระมังเลยมาทำเรื่องพวกนี้”
เฉินวั่งซูดูเวลาเล็กน้อย ก่อนนับในใจ สาม สอง หนึ่ง!
หมอตำแยคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามาจากหน้าประตู กล่าวด้วยสีหน้าปีติยินดีว่า “ยินดีด้วยเพคะๆ องค์ชายเจ็ดทรงได้โอรส วันสิ้นปีเพิ่งจะผ่านพ้นไป เด็กคนนี้คลอดในวันปีใหม่ ถือเป็นมงคลเพคะ!”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก พลันเงยหน้าขึ้นรำพึงรำพันกับตนเอง “อย่างนี้นี่เอง มีบุตรชายในเร็ววัน”
บทที่ 194
มีบุตรชายในเร็ววัน!
มิใช่ต้องการยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้ผลไม้เสียบไม้หรือไร เช่นนั้นย่อมต้องตัดข้อต่อที่สำคัญที่สุดให้ขาดฉึบอย่างไร้ปรานี
มีบุตรชายนั้นดี แต่บุตรชายที่ใช้วิธีการร้อยแปดอย่างเพื่อพยายามจะคลอดออกมาให้ได้นั้นกลับชวนให้คนรำคาญใจ
หากเจ้าไม่มีความคิดก่อกบฏกระทำการอกตัญญูจะต้องการบุตรชายไปทำอะไร
เฉินวั่งซูหรี่ตา ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม มิได้พูดอะไรต่อ
วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ ฮ่องเต้กับไทเฮาอยากสร้างบรรยากาศสันติสุขมาตั้งแต่ต้น ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หลิ่วอิงมิได้ตกเลือดสิ้นใจ เด็กในท้องนางยิ่งคลอดออกมาได้โดยปลอดภัย
ในเมื่อไม่เกิดเรื่องราวรุนแรงหรือมีคนถึงแก่ชีวิต ด้วยฝีมือด้านการประนีประนอมผ่อนปรนของฮ่องเต้ นั่นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก…เรื่องเล็กกลายเป็นให้แล้วกันไปอีกหรือ
“แม่ลูกปลอดภัยเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ” ฮ่องเต้ได้ยินก็พยักหน้าพึงพอใจ ก่อนมองไปยังเกามู่เฉิง “ปกติอัครมหาเสนาบดีเกาอยู่ที่บ้านอบรมสั่งสอนเจ้าอย่างไร ล่วงเกินผู้อาวุโสครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ยังก่อเรื่องวุ่นวายปานนี้ออกมาอีก
ในฐานะนายหญิงช่างไร้คุณธรรมโดยแท้ ในฐานะพี่สะใภ้ก็ใส่ร้ายป้ายสีน้องชายสามี ไม่ว่าหยิบเรื่องใดออกมามีเรื่องใดไม่ตรงกับเหตุให้หย่าเจ็ดประการบ้าง เด็กอย่างเจ้ามันเรียกว่าเหิมเกริม เห็นผู้อาวุโสรักใคร่เอ็นดูเข้าหน่อยจึงได้ก่อกรรมทำชั่วจนเป็นนิสัย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ฮองเฮา เจ้าหามามาในวังที่เข้มงวดกวดขันมาช่วยอบรมสั่งสอนพระชายาองค์ชายเจ็ดสักคน ให้นางเรียนกฎระเบียบใหม่ตั้งแต่ต้น เรียนจนเข้าใจดีเมื่อไรค่อยปล่อยตัวออกมา!”
เกามู่เฉิงอ้าปากพะงาบๆ ยังอยากจะแก้ตัวไม่ยอมแพ้ แต่เจียงเยี่ยเฉินที่อยู่ข้างๆ กลับขยับตัวมาบังเบื้องหน้านางเสียก่อน ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ทันที “ลูกและมู่เฉิงจดจำรับสั่งของเสด็จพ่อไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ มู่เฉิงอายุยังน้อย เรื่องนี้เป็นเพราะชีหลางทำผิดต่อนาง นางเลอะเลือนไปชั่วครู่ถึงได้กระทำผิดไป ขอน้องแปดกับเซี่ยนจู่โปรดอภัยให้ด้วย นางแค่เผลอทำไข่มุกสองเม็ดตกลงพื้น หาได้มีใจต้องการทำร้ายใครไม่…”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็อยากจะยกนิ้วหัวแม่มือให้เจียงเยี่ยเฉิน เป็นยอดแห่งดอกไม้ขาวโดยแท้! เวลาโกหกหน้าไม่แดงแม้แต่น้อย!
นางกำลังเตรียมจะเอ่ยปากยกโทษให้ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็จัดการเรื่องนี้ไปแล้ว คงไม่มีโทษหนักกว่านี้ตามมาอีก ตามเอาเรื่องต่อไปก็ไร้ความหมาย ทว่ากลับได้ยินเหยียนเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ตามที่องค์ชายเจ็ดตรัสมา ใส่ร้ายป้ายสีภรรยาของกระหม่อมตามอำเภอใจไปแล้ว แค่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจมาเช่นนี้ก็จบเรื่องได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เขาพูดพลางมองไปยังเกามู่เฉิงที่หลบอยู่ด้านหลังเจียงเยี่ยเฉินด้วยสายตาคมกริบปานลูกธนู “เช่นนั้นก็ให้กระหม่อมลองแทงพระชายาองค์ชายเจ็ดสักที จากนั้นก็ขออภัยต่อท่าน บอกว่าตนเองมือลื่นแล้วก็หายกันเถิด”
หางตาเฉินวั่งซูเหลือบไปเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าไม่สู้ดีแล้วจึงดึงแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ยเล็กน้อย
เหยียนเจวี๋ยมองนางปราดหนึ่งก่อนประสานมือคารวะต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาทมีพระเมตตา มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชนรุ่นหลัง ทรงไม่ถือสาหาความ ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แต่เหยียนเจวี๋ยมิได้ใจดี วันหน้าหากมีใครเห็นภรรยากระหม่อมจิตใจดีงามแล้วมาข่มเหงรังแกนาง ก็อย่าหาว่าเหยียนเจวี๋ยไม่เกรงใจ”
หลังพูดจบเหยียนเจวี๋ยก็จูงมือเฉินวั่งซูที่กำลังอึ้งงันเดินกลับไปยังโต๊ะตนเอง เขามองอาหารบนโต๊ะปราดหนึ่งก่อนมุ่นหัวคิ้ว เรียกนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ข้างหลังมา บอกให้นางยกชาร้อนๆ มาถ้วยหนึ่งแล้วถึงยอมเลิกรา
ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็แทบจะเหลือกตาไปถึงด้านหลัง บ่นใส่คนที่เพิ่งหาเรื่องใส่ตัวมา “นี่! ท่านไม่ชอบใจที่พี่สี่ของท่านอายุยืนเกินไปหรือไร”
มามาที่เป็นหมอตำแยยืนอยู่ตรงประตู เห็นว่าไม่มีใครสนใจตนเองแล้วก็ทำตัวลีบกระเถิบเข้าหาประตูอย่างวางตัวไม่ถูก
“ลำบากมามาแล้ว องค์ชายเจ็ดได้โอรสเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง พึงต้องตกรางวัล บัดนี้เป็นวันปีใหม่ เรื่องไม่พึงใจทั้งหมดทั้งปวงล้วนให้เป็นอดีตไป อย่ามัวเก็บมาใส่ใจเลย ผืนฟ้าปีใหม่นี้ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ราบรื่นสมประสงค์ บ้านเมืองสงบ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขแน่นอน” ฮ่องเต้กล่าวคลี่คลายความขุ่นข้อง
“ขอฝ่าบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีพระราชประสงค์สิ่งใดขอให้ทรงสำเร็จดังพระทัยทุกประการ”
คนในตำหนักใหญ่ต่างถวายบังคมเสียงดังกังวาน เกามู่เฉิงยอบตัวลงทั้งที่ยังอึ้งงัน เบือนหน้าไปมองเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ย เฉินวั่งซูก็ยิ้มท้าทายมาให้นางก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
วันปีใหม่มาถึงก็นับว่าเสร็จสิ้นการเฝ้าปี* แต่เนื่องจากไทเฮามีอายุมากแล้ว อดนอนจนฟ้าสว่างไม่ไหว ไม่กี่ปีมานี้ในวังจึงพระราชทานของขวัญปีใหม่แต่เนิ่นๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ไปหามารดาใครมารดามัน งานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่นี้ก็นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
เฉินวั่งซูเพิ่งจะขึ้นรถม้าก็มองเห็นหัวใหญ่ๆ สองหัวเบียดเข้ามาด้วยกัน
ฉินเจ่าเอ๋อร์นั่งลงตรงกลางระหว่างเหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซู บิดสะโพกเบียดเหยียนเจวี๋ยให้ขยับไปอีกข้าง ก่อนจะคล้องแขนเฉินวั่งซูไว้ด้วยท่าทางยินดีปรีดิ์เปรม “ยามนี้เลยเวลาเข้านอนไปแล้ว จะนอนก็นอนไม่หลับ ทั้งยังมีหิมะตกหนักอีก ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นได้ พวกเราไปกันเถอะ”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากอย่างหมดคำจะกล่าว “ท่านเพิ่งพูดเองว่าตอนนี้หิมะตกหนัก ไหนเลยจะยังเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น”
“เจ้าพูดอ้อมค้อมเพียงนี้ไปเพื่ออะไร ท่านอาหญิงของข้าเป็นคนอิดเอื้อนหรือ อีกประการหนึ่งเจ้าพูดอ้อมไปอ้อมมาหลายครั้ง สมองของข้ากับเหยียนเจวี๋ยล้วนฟังไม่เข้าใจหรอก” องค์ชายสี่พูดพลางล้วงขวดสุราขวดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ฮะๆ ขโมยมาเมื่อครู่นี้ อย่ามาหาว่าข้าไม่แบ่งกับเจ้าเชียว”
เหยียนเจวี๋ยชี้เฉินวั่งซู “ท่านเรียกภรรยาข้าว่า ‘ท่านอาหญิง’ แล้วควรเรียกข้าว่าอย่างไร”
องค์ชายสี่ได้ยินก็ฟาดฝ่ามือมาทันที “ข้าเคยเห็นสภาพตอนเจ้าใส่ผ้าอ้อมมาแล้ว เจ้ายังคิดอยากเป็นอาเขยของข้าอีก!”
เหยียนเจวี๋ยยังไม่ทันโต้ตอบ ฉินเจ่าเอ๋อร์ก็เหลือกตาใส่แล้ว “พอได้แล้วกระมัง เหยียนเจวี๋ยเขาเคารพผู้อาวุโสเอ็นดูผู้น้อย เห็นท่านมีรอยย่นเต็มหน้าจึงทำใจชกท่านไม่ลง มิเช่นนั้นด้วยวรยุทธ์ของเขา อย่าว่าแต่ฟาดท่านจนท่านต้องเอ่ยปากเรียกอาเขยเลย ต่อให้ฟาดจนท่านต้องเรียกเขาว่าท่านปู่ก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยนิด”
“เจ้าว่าอะไรนะ หาว่าข้าสู้เขาไม่ได้? ออกไปประลองกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ฉินเจ่าเอ๋อร์โบกมือไปมา “ข้างนอกหนาวจะตาย ท่านอยากออกไปกลิ้งบนพื้นหิมะก็ไปเองแล้วกัน ทำมาพูดขู่ให้คนกลัว ไม่เห็นหรือว่าผู้อื่นล้วนคร้านจะสนใจท่านแล้ว…” นางหันมาหาเฉินวั่งซู “วั่งซู ไปกันเถอะ ข้าได้ยินว่าบนเขาลูกนั้นเวลาหิมะตกจะมีไก่ฟ้า** ปรากฏตัวให้เห็นจำนวนมาก ไก่ฟ้าระวังหัวไม่ระวังหาง ประเดี๋ยวเดียวก็จับได้แล้ว ขนบนตัวมันงดงามนัก ในนิยายมากมายที่ข้าอ่านเจอมีพูดถึงไก่ขอทาน*** พวกเราไปจับมาทำกินกันเถิด ท่านยังไม่เคยออกไปเที่ยวกับข้าเลยนี่ เฮ้อ รอเข้าฤดูใบไม้ผลิข้าก็ต้องแต่งงานแล้ว ถึงเวลานั้นอยากออกมาเที่ยวก็ไม่สะดวก”
องค์ชายสี่ได้ยินก็หัวเราะร่า “เจ้าอยากปีนเขากับข้าก็บอกมาตรงๆ ได้ ยังอุตส่าห์ลากท่านอาหญิงของข้ามาเกี่ยว…คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนังหน้าหนาปานนั้นยังขัดเขินเป็นด้วย!”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็มององค์ชายสี่หนหนึ่งอย่างเห็นใจ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกพายุเข็มดอกสาลี่แทงจนมีสภาพเป็นเม่นแน่
การกระทำไวกว่าคำพูด ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยกเท้าถีบออกไปอย่างปราศจากความลังเลแล้ว องค์ชายสี่ตกใจ หลบไปด้านข้าง แต่กลับชนถูกผนังรถม้าดังโครม
เขากุมหน้าผากร้องโวยวายขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ พวกเจ้าดู อะไรเรียกว่าพิษร้ายที่สุดคือใจสตรี ท่านแม่ข้าดูเป็นคนชาญฉลาด แต่ไฉนต้องหาสะใภ้เช่นนี้มาแต่งกับข้าด้วย”
ฉินเจ่าเอ๋อร์แค่นเสียง “ท่านแม่ท่านหวังดีต่อท่าน เห็นว่าท่านได้กินกำปั้นน้อยไป จึงได้ตั้งใจเลือกหม่อมฉันมาจากคนนับหมื่นเพื่อมาต่อยท่าน!”
* เยี่ยกงชอบมังกร เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงคนที่ภายนอกแสดงออกว่าชอบของบางอย่าง แต่อันที่จริงไม่ได้ชอบและอาจถึงขั้นหวาดกลัว มีเรื่องเล่าว่าในสมัยชุนชิวมีนายอำเภออยู่คนหนึ่ง ผู้คนเรียกขานว่าเยี่ยกง เขาแสดงออกว่าชอบมังกรมาก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมีรูปมังกร มังกรตัวจริงบนฟ้าได้ยินเรื่องนี้จึงลงมาหาเขา ครั้นมาถึงก็ยื่นหัวเข้าไปทางหน้าต่าง เยี่ยกงเห็นแล้วกลับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
* เจดีย์เหลยเฟิง เดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 977 โดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งของแคว้นอู๋เยวี่ย หนึ่งในสิบแคว้นของยุคห้าราชวงศ์สิบแคว้น ณ บริเวณเนินเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซีหู โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อเก็บรักษาพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเฉลิมฉลองที่สนมเอกให้กำเนิดบุตรชาย แต่ด้วยเวลาที่ยาวนานทำให้เจดีย์องค์เดิมพังลงมา ต่อมาได้มีการสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ครอบเจดีย์องค์เดิม
* เฝ้าปี เป็นประเพณีหนึ่งของจีน โดยทุกคนจะอยู่โต้รุ่งเพื่อรอต้อนรับวันปีใหม่
** ไก่ฟ้ามีรูปร่างไล่เลี่ยกับไก่บ้าน มีจะงอยปากและขาที่แข็งแรงมาก ลักษณะเด่นคือตัวผู้จะมีหางยาวและสีสันสวยงามกว่าตัวเมีย ถือเป็นความแตกต่างระหว่างเพศอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยไก่ฟ้าบินได้เพียงระยะทางสั้นๆ ทำรังบนพื้นดิน กินเมล็ดพืช ผลไม้สุก และแมลงเป็นอาหาร
*** ไก่ขอทาน คืออาหารขึ้นชื่อของเมืองเจียงซู เป็นไก่ยัดไส้ที่ทำคล้ายกับเป็ดแปดสมบัติ หมักเครื่องปรุงรส ยัดไส้ด้วยขิง เห็ด และหน่อไม้ จากนั้นพอกด้วยดินเหลืองแล้วนำไปอบในกองฟาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.