บทที่ 195
เฉินวั่งซูปรบมือแปะๆๆ พินิจมองเหยียนเจวี๋ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาแฝงความนัยลึกซึ้ง ที่แท้การเป็นภรรยายังทำเช่นนี้ได้ด้วย!
เหยียนเจวี๋ยตัวสั่นสะท้าน ขยับเข้าหาองค์ชายสี่อีกเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนไปนั่งคนละฝั่งกับเฉินวั่งซูทันที
“มือของภรรยาเหมือนกับเต้าหู้อ่อน เอามาใช้ต่อยตีคนได้เสียที่ใดกัน เจ้าบอกมาว่าเจ้าอยากต่อยตรงจุดใด ข้าจะลงมือเอง!”
เหยียนเจวี๋ยกับฉินเจ่าเอ๋อร์ยืนอยู่บนแนวรบฝั่งเดียวกันอย่างหาได้ยาก
ไม่เคยเห็นคนที่หน้าหนาไร้ยางอายเท่านี้มาก่อนเลย รู้จักเขินอายบ้างหรือไม่!
“เหยียนเจวี๋ย! สามีเป็นใหญ่ สามีเป็นใหญ่! จะปล่อยให้ภรรยาตัวน้อยขี่หัววางอำนาจกับเจ้าได้อย่างไร!” องค์ชายสี่ตระหนกตกใจก่อนจับตัวเหยียนเจวี๋ยไว้ เจ้าคนผู้นี้เป็นคนทรยศในหมู่บุรุษเลยทีเดียว
เหยียนเจวี๋ยมององค์ชายสี่ปราดหนึ่งก่อนกล่าวอย่างเนิบนาบ “ไยข้าจึงเห็นแม่นางฉินกระโดดโลดเต้นอยู่บนศีรษะท่านไปหลายรอบแล้วเล่า! ท่านลองสำแดงบารมีให้ดูสักหน่อยเป็นไร”
องค์ชายสี่แค่นเสียงก่อนหันไปมองฉินเจ่าเอ๋อร์ ยังไม่ทันเอ่ยปากก็ชูสองมือขึ้นแล้ว
“แม่นาง วางหน้าไม้ลงเถิด ครั้งแรกเจ้ายิงข้าเสียจนข้ามีสภาพราวกับเม่น ข้าต้องเอาแม่เหล็กมาดูดออกเองอยู่ในจวนเป็นนานสองนาน ส่องหาเข็มจนตาเกือบบอดแล้ว”
ฉินเจ่าเอ๋อร์สอดหน้าไม้เล็กเก็บเข้าแขนเสื้อ ก่อนมองไปยังเฉินวั่งซู “หน้าไม้เล็กคันนี้ของข้าเป็นของที่ทำใหม่ ยาที่ให้ท่านไปนั้นล้ำค่าราคาแพงยิ่ง จึงไม่ได้เอามาทาที่เข็มหน้าไม้ ทว่าเข็มนี้บิดงอเป็นพิเศษ แทงเข้าในเนื้อจะเหมือนมีหนอนไชเข้าไป พอดูดเข็มออกจะเกิดเป็นรู”
องค์ชายสี่ได้ยินแล้วก็ขดร่างเข้าหาผนังรถม้า แทบอยากจะเอาตัวแนบเข้าไปทั้งร่าง “พิษร้ายที่สุดคือใจสตรี เจ้าเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง ในสมองกลับไม่คิดเรื่องสายลมบุปผาหิมะจันทรา* เอาแต่คิดว่าจะทรมานคนเยี่ยงไร…เจ้าหน้าที่สอบปากคำของกรมอาญาศาลต้าหลี่ยังไม่ร้ายกาจเท่าเจ้าเลย!”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ถลึงตาใส่เขา “หม่อมฉันรู้สึกว่าตนเองใจดีมากแล้วที่ใช้แค่เข็มปักผ้ากับท่าน ดูท่าทางท่านจะไม่พอใจมาก เช่นนั้นคราวหน้า…”
องค์ชายสี่ตัวสั่นสะท้าน ทุบตนเองดังปั้ก “ข้าทำเอง!”
เหยียนเจวี๋ยส่งเสียงจุปาก เลียนอย่างวิธีที่องค์ชายสี่เคยทำมาก่อนแล้วจับตัวเขา “สามีเป็นใหญ่! สามีเป็นใหญ่!”
เฉินวั่งซูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงหัวเราะร่วนออกมา “พอได้แล้ว! หากข้ายังหัวเราะต่อไป เสียงหัวเราะของข้าคงได้ทำให้หิมะในเมืองหลินอันสั่นสะเทือนจนพังถล่มแล้ว!”
องค์ชายสี่หน้าดำราวกับก้นหม้อ เพิ่งคิดจะต่อปากต่อคำอีกเล็กน้อยก็นึกได้ว่าคนตรงหน้านี้คืออาหญิง เป็นคนโหดที่สามารถสั่งสอนให้อันธพาลกลายเป็นสุนัขที่จงรักภักดีได้ จึงเปลี่ยนคำพูดให้เบาลงทันที
“หากท่านอาหญิงมีความสามารถนั้นจริง รอถึงเวลาชาวบ้านตากข้าวจะให้ท่านไปลองหัวเราะอยู่ข้างๆ ทำให้ข้าวฟ่างสะเทือนจนลอยขึ้นมา นั่นมิใช่ไม่ต้องฝัดข้าวแล้วหรือไร”
เฉินวั่งซูไม่โกรธ กลับพยักหน้า “หม่อมฉันก็คิดอยู่ รอท่านถูกเจ่าเอ๋อร์ฟาดจนนอนหมอบบนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้ ท่านก็ให้เชิญหม่อมฉันไปหัวเราะสักสองที สามารถช่วยให้ท่านพลิกตัวได้พอดี ท่านจะได้ไม่ต้องนอนจนรากงอก นับว่าไมตรีฉันอาหลานของพวกเราสมบูรณ์แล้ว”
องค์ชายสี่อ้าปากพะงาบ…
ฝีปากคมแล้วอย่างไร
หนังหน้าของผู้อื่นหนาจนขีดข่วนไม่เข้าแล้ว!
เฉินวั่งซูสบตากับฉินเจ่าเอ๋อร์ ก่อนจะพากันหัวเราะร่วน
ฉินเจ่าเอ๋อร์บิดขี้เกียจ ชะโงกหน้าออกไปรับลมด้านนอก พอสัมผัสอากาศหนาวจนจามออกมาแล้วก็หดศีรษะกลับมา “ตรงกลับจวนเลยแล้วกัน เฉิงอู่ พอถึงทางแยกแล้วก็ปล่อยพวกข้าลง เดิมทีอยู่ในวังเห็นคนพวกนั้นปากหวานก้นเปรี้ยวจนหงุดหงิด บัดนี้อยู่กับวั่งซูได้ครู่เดียวก็รู้สึกสบายอกสบายใจแล้ว ข้าว่านะ ถึงอย่างไรเหยียนเจวี๋ยเขาก็ใช้การ…แค่กๆ วั่งซูมิสู้แต่งงานกับ…ข้า…”
ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นแววตาโหดเหี้ยมของเหยียนเจวี๋ยแล้วก็กลัวหงอในทันที “ช่างเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้พูด”
นางว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน “วันนี้ข้าเห็นขาขององค์ชายแปดดูเหมือนจะมีอาการเจ็บ ท่าทางขณะเขายกขาดูแข็งทื่อไปสักหน่อย ทว่าก่อนหน้านี้…” ฉินเจ่าเอ๋อร์มองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาสอบถาม “ก่อนหน้านี้เขาเที่ยวเล่นกับท่าน ขี่ม้าล่าสัตว์เป็นประจำ ข้าเองก็เคยตีคลีกับเขา แต่มิได้พบปัญหานี้ ท่านเคยพบอาการนี้ของเขามาก่อนหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดจะทรงมีความคิดความอ่านลึกซึ้งปานนี้ ทั้งยังไม่ไว้ไมตรีอีก เขาได้การสนับสนุนจากสกุลเกาไปครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่พอ นี่ยังต้องการกระชากองค์ชายแปดให้ร่วงหล่นลงมา จะได้รวบผลประโยชน์ไว้คนเดียวไม่แบ่งใคร! แล้วไหนจะบุตรชายนั่นอีก…โชคดีที่ถูกวั่งซูทำลายจุดมุ่งหมายของเขาทิ้งแล้ว มิเช่นนั้นก็ดูไม่ออกเลย ปกติเขาเก็บงำท่าทีไว้แนบเนียน แต่สองสามครั้งหลังมานี้ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือเขา”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
เห็นทีเรื่องที่บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์ชี้แนะนางไปจะได้ผลพอดู ฮ่องเต้ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียที องค์ชายคนใดจะไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่คิดจะลองดูสักครั้งกันบ้าง
อย่างวันนี้ฉินเจ่าเอ๋อร์กับองค์ชายสี่มุดขึ้นรถม้าของพวกนางตรงหน้าประตูวัง นั่นก็หาใช่อยากไปปีนภูเขาหิมะเสียหน่อย แต่หนึ่งคือพวกนางมีสายสัมพันธ์กันอยู่พอสมควรจริงๆ และสองก็เป็นการแสดงความสนิทสนมต่อหน้าคนทั้งหลาย
เหยียนเจวี๋ยส่ายศีรษะ “ในอดีตไม่เคยเห็นเลย เหล่าปาชอบออกกำลัง เตะลูกหนังเป็นประจำ เดิมทีไม่น่าจะมีอาการเจ็บป่วยอะไร”
‘ไม่น่าจะมี’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ไม่มี’ เสียหน่อย คืนนี้คนมากมายล้วนเห็นกันหมดแล้ว ขาองค์ชายแปดเคลื่อนไหวไม่สะดวก เห็นทีอีกไม่นานก็น่าจะรู้จุดจบของบุตรชายคนโตสายตรงแล้ว
องค์ชายสี่ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยว สุดท้ายยังคงพูดออกมา “เรื่องนี้แม้แต่ในวังก็ยังมีคนรู้น้อยมาก มารดาบังเกิดเกล้าของเสี่ยวเกาเฟยจากโลกนี้ไปเนื่องจากเป็นโรคประหลาดชนิดหนึ่ง ตอนนางยังสาวไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เวลาผ่านไปขากลับค่อยๆ เคลื่อนไหวไม่สะดวก ต่อมามือก็แข็งตามไปด้วย มาตอนหลังทั้งร่างก็มีสภาพเป็นเช่นก้อนหิน…คนสกุลเกาหวาดกลัว เนื่องจากดูเหมือนกับศพ เห็นแล้วประหลาดนัก จึงไม่กล้าไปเชิญหมอหลวงจากในวัง เพียงให้หมอที่มีอยู่ในจวนคอยตรวจดู
ทว่าไม่นานนักมารดาของเสี่ยวเกาเฟยก็สิ้นใจตาย สกุลเกาเผานางเป็นเถ้าถ่านในคืนเดียวกัน ที่หลุมศพทุกวันนี้ยังฝังไว้เพียงแค่เสื้อผ้า ไร้เถ้ากระดูก”
องค์ชายสี่พูดเบาเสียงลงอีก “เรื่องนี้เป็นท่านแม่ข้าเล่าให้ฟัง นางบอกว่าเสี่ยวเกาเฟยกลัวตนเองจะเป็นโรคนี้เป็นพิเศษ มีหนหนึ่งนางอาศัยความโปรดปรานทำตัวโอหัง กระทำความผิดลงไป ถูกไทเฮาลงโทษให้คุกเข่าในห้องพระจนขาชา ให้ตายสิ นางตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง หลังฟื้นคืนสติก็กินโสมเข้าไปทั้งต้นจนเลือดกำเดาไหลอยู่สามวัน!”
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว “ดังนั้นท่านสงสัยว่าองค์ชายแปดจะป่วยเป็นโรคเดียวกับท่านยายของเขา?”
องค์ชายสี่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “มีเพียงคำชี้แจงนี้แล้ว เกามู่เฉิงเองก็เป็นคนสกุลเกา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีไปกว่านาง เกิดเหตุอันใดขึ้นกับน้องแปด นางย่อมจะได้รับข่าวเร็วกว่าพวกเรามาก โรคนี้กำเริบอย่างกะทันหัน ข้าเห็นว่าขาของน้องแปดเพียงแต่เคลื่อนไหวติดขัดเล็กน้อย บางทีอาจจะแค่บาดเจ็บจากการเตะลูกหนังเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เป็นได้ ทว่าเสด็จพ่อจะมีพระราชดำริอย่างไร นั่นก็บอกได้ยากแล้ว”
ฉินเจ่าเอ๋อร์มององค์ชายสี่อย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง “คนแซ่เจียงอย่างพวกท่านวันๆ เอาแต่สู้กันเป็นไก่ชน จริงสิ วั่งซู ไข่มุกเม็ดนั้นเกามู่เฉิงน่าจะวางไว้ในตัวท่านแล้วจึงจะถูก แล้วมันกลับไปอยู่บนตัวนางใหม่ได้อย่างไรกัน”
บทที่ 196
เฉินวั่งซูใช้คางชี้เหยียนเจวี๋ย
เหยียนเจวี๋ยก็รีบอธิบาย “หลังวั่งซูพบไข่มุกเม็ดนั้นก็ส่งให้ข้า ข้าจึงทำเยี่ยงนี้…”
เหยียนเจวี๋ยพูดพลางล้วงเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มององค์ชายสี่ทีหนึ่งก่อนดีดนิ้วเบาๆ…
ฉึบ!
องค์ชายสี่หน้าเปลี่ยนสี ก่อนล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อตนเอง เหรียญทองแดงที่อยู่ในมือเหยียนเจวี๋ยก่อนหน้านี้ได้เข้ามาอยู่ในแขนเสื้อของเขาแล้วจริงๆ เขาใช้นิ้วควานดู แขนเสื้อนั้นถึงกับขาดเป็นรูขนาดเท่าเหรียญ
อุบายพรรค์นี้ผู้ที่เชี่ยวชาญอาวุธลับสิบคนจึงจะมีหนึ่งคนที่ทำได้
ผ้ามีความอ่อนนุ่ม การจะกรีดมันให้ขาดแต่ไม่ทำให้ทะลุนั้นยากกว่าการฝังเหรียญทองแดงเข้ากับต้นไม้มาก
ยิ่งการทำให้ผู้ที่สวมอยู่นั้นไม่รู้สึกตัวก็มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่ทำได้
ทว่าเหยียนเจวี๋ยกลับทำได้อย่างง่ายดาย ราวกับเด็กเล่นดีดลูกหินก็มิปาน
องค์ชายสี่คิดแล้วก็พลันลุกขึ้นยืน ศีรษะจึงโขกกับเพดานรถม้า
เสียงนั้น…ลำพังเฉินวั่งซูได้ยินยังรู้สึกเจ็บเอง หากหัวขององค์ชายสี่เป็นแตงโม ป่านนี้คงแตกเป็นเสี่ยง เผยเนื้อสีแดงข้างในออกมาแล้ว
องค์ชายสี่กุมศีรษะ แต่กลับพูดกับเหยียนเจวี๋ยด้วยท่าทางจริงจัง “เหยียนเจวี๋ย หากวันหน้าข้าได้ครองราชย์ จะมอบกำลังพลทั่วใต้หล้าให้เจ้า วันที่ยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาได้จะเป็นวันที่ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นอ๋อง”
เขาพูดได้จริงจังอย่างที่สุด ประหนึ่งว่าต้องการควักหัวใจออกมายืนยันก็มิปาน
เหยียนเจวี๋ยนิ่งงันไป ก่อนจะมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทางคัดค้านก็ลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก่อนกล่าวว่า “พี่สี่ หวังว่าท่านจะไม่ลืมวาจาที่เคยลั่นไว้ขณะอยู่ที่ชานเมืองเมื่อในอดีต”
องค์ชายสี่ชูมือขึ้นมา “ข้าสาบาน หากข้าลืมขอให้ฟ้าผ่าตาย!”
เหยียนเจวี๋ยส่ายศีรษะ “ท่านไม่ต้องสาบานต่อข้า วาจานั้นท่านก็มิได้พูดกับข้า ยิ่งไม่จำเป็นต้องให้ฟ้าผ่า แค่ไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจก็เพียงพอแล้ว”
องค์ชายสี่ยังอยากจะพูดบางอย่าง แต่ฉินเจ่าเอ๋อร์กลับตวัดขาเตะมาแล้ว “ไม่เห็นหรือว่ารถม้าแล่นช้าลงแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจสั่งให้เฉิงอู่วนรถม้ากลับไปใหม่ได้…ท่านควรทำให้ตนเองเดินได้ตรงก่อน แล้วค่อยไปคิดถึงของจอมปลอมเหล่านั้น ผู้ใดพูดสัญญาปากเปล่าไม่เป็นบ้างเล่า หม่อมฉันก็พูดเป็น หากวันหน้าหม่อมฉันได้ครองราชย์จะแต่งตั้งวั่งซู…แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา! วั่งซูยินดีหรือไม่” นางเอ่ยกับองค์ชายสี่ต่อ “อย่าเห็นว่าผู้อื่นเป็นคนโง่เชียวล่ะ ผู้อื่นไม่เปิดโปงท่านเท่ากับไว้หน้าท่าน หม่อมฉันคิดว่าหน้าของท่านใหญ่กว่าเกามู่เฉิงแล้ว!”
องค์ชายสี่ชะงักค้าง มองไปยังฉินเจ่าเอ๋อร์ด้วยความเดือดดาล “เจ้า!”
ฉินเจ่าเอ๋อร์สายตาเยียบเย็น “พูดความจริงไม่กี่คำท่านก็รับไม่ได้แล้ว? ปกติท่านมิใช่พูดกับผู้อื่นเยี่ยงนี้หรือไร ข้าวต้องกินทีละคำ ทางต้องเดินทีละก้าว หม่อมฉันไม่แยแสต่อสัญญาที่ท่านให้กับท่านพ่อของหม่อมฉัน เหยียนเจวี๋ยเองก็ไม่แยแสต่อบรรดาศักดิ์อ๋องอันไร้ค่านั่น เขาเป็นว่าที่ฮู่กั๋วกง หากตายไปย่อมจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องตามหลัง เขาแค่นอนรอความตายอยู่บนเตียงก็สามารถได้รับทุกอย่างที่ท่านสัญญาว่าจะให้มาอย่างง่ายดาย”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วอึ้งตะลึง พูดตามตรงเขาเพิ่งจะสารภาพรักกับเฉินวั่งซูไป ยังไม่อยากนอนรอความตายแม้แต่น้อย “แค่กๆ!”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยินเสียงไอของเหยียนเจวี๋ย น้ำเสียงก็อ่อนลงหลายส่วน นางเอ่ยกับองค์ชายสี่ว่า “คำเตือนด้วยความหวังดีมักฟังขัดหู คนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ฉลาด หม่อมฉันมาหาวั่งซูก็เพราะในเมืองหลินอันไม่มีใครไม่รู้ว่าหม่อมฉันกับนางเป็นสหายสนิทกัน ที่ท่านกุลีกุจอตามมาก็มิใช่เพราะอยากให้คนเห็นว่าจวนฮู่กั๋วกงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับท่านหรือไร ไม่สิ คนในที่นี้นอกจากท่านก็ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเราใจใสกระจ่างประดุจคันฉ่อง ถึงแม้ท่านจะโง่เหมือนเป็นลูกวัวน้อย แต่สาเหตุที่พวกเรายังไม่ถีบท่านลงรถม้าไปอีก นั่นเป็นเพราะบิดาของท่านให้กำเนิดแต่ผลแตงบูดๆ เบี้ยวๆ คัดไปคัดมาก็มีแค่ท่านที่ยังนับว่าได้สัดส่วนดี”
องค์ชายสี่นิ่งงันไป ก่อนจะคอตกเหมือนมะเขือที่มีน้ำค้างแข็งเกาะ “ข้านึกว่าพวกเราคิดเหมือนกัน”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “เรื่องคิดน่ะคิดอยู่ ทว่าคนฉลาดเขาไม่มาโหวกเหวกโวยวายหรอก เขาจะไปลงมือทำจริงๆ ต่างหาก หม่อมฉันพูดมาเพียงนี้ก็มิใช่เพราะรู้สึกว่าท่านพูดผิดไป เรื่องบางเรื่องวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่สะดวกจะพูด แต่หม่อมฉันพูดได้ ยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาก็ดี จะฟื้นฟูแคว้นต้าเฉินก็ช่าง ล้วนมิใช่เรื่องที่แค่พูดปากเปล่าก็สามารถทำได้ ยิ่งมิใช่เรื่องที่แค่ปัดแข้งปัดขาชิงเอาตำแหน่งนั้นมาแล้วก็จะทำได้
คำว่า ‘ฮึกเหิม’ นั้นมีไว้สำหรับเหล่ากวีและโจร ท่านทำของจริงออกมาแล้วย่อมจะมีผู้แข็งแกร่งมาสวามิภักดิ์เอง มิใช่นั่งบนรถม้า ครั้นเห็นว่าญาติมิตรของท่านร้ายกาจก็จะชูธงลากคนเขาลงเรือมาด้วยให้ได้เช่นนี้ เหยียนเจวี๋ยวรยุทธ์ร้ายกาจอย่างหาได้ยากมากจริงๆ แต่แค่เพราะเขาร้ายกาจก็จะต้องมารับใช้ท่านแล้ว? ท่านอย่าประเมินตนเองสูงแล้วดูถูกผู้อื่นนักเลย”
เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก องค์ชายสี่ก้มหน้าเงียบอยู่เป็นนาน จวบจนรถม้าหยุดลงถึงได้เงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่ข้าถึงเลือกเจ้ามาเพียงผู้เดียว”
ฉินเจ่าเอ๋อร์แค่นเสียงอีกครั้ง จากนั้นก็แหวกม่านรถม้าแล้วกระโดดลงไปก่อน “ก็บอกแล้วว่าถูกใจที่หม่อมฉันเป็นเหมือนไม้ทุบผ้า สามารถทุบเรียกสติท่านได้ทุกวัน” นางหันไปเอ่ยกับเฉินวั่งซูต่อ “วั่งซู รออากาศอุ่นขึ้นสักหน่อย พวกเราไปปีนเขาด้วยกัน สถานที่ที่ข้าบอกนั้นดีจริงๆ ข้ายังมีเรือนอยู่บนเขาด้วย พอถึงฤดูใบไม้ผลิทัศนียภาพของที่นั่นจะเต็มไปด้วยดอกท้อ สายน้ำไหล ยังมีปลากุ้ยตัวอ้วนพี ช่างงดงามเหลือเกิน!”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วหนังศีรษะชาวาบ อย่าได้พูดถึงเรื่องดอกท้ออีกเลย…ขณะนางเพิ่งจะทะลุเข้ามาก็อยู่บนทางไปป่าท้อ ซ้ำยังมองเห็นว่าที่สามีของตนเองโอบกอดแม่นางดอกไม้ขาวด้วย
เชื่อเขาเลย!
ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดพลางหาวหวอดก่อนเดินไปทางรถม้าของตนเอง เมื่อครู่ที่นางขึ้นรถม้าของเฉินวั่งซูรถม้าของตนเองก็แล่นตามอยู่ด้านหลัง
องค์ชายสี่เห็นนางเดินไปแล้วก็เกาศีรษะอย่างเก้อกระดาก “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ข้าวู่วามไปแล้ว แต่คำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ในใจข้าก็คิดเยี่ยงนี้เช่นกัน เจ้าเรียกขานข้าว่า ‘พี่สี่’ ข้าไม่หลอกเจ้าแน่”
เขาพูดจบก็กระโดดลงจากรถม้า ส่งเสียงโหวกเหวกว่า “หิมะตกหนัก ยามนี้ยังเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้าเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว ข้าจะไปส่งเจ้า”
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็นึกขัน นางปล่อยม่านรถม้าลง เฉิงอู่ตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนฮู่กั๋วกง
“สองคนนี้เป็นคู่กัดมาเจอกันของแท้! ตามความเห็นข้า วันหน้าเจ่าเอ๋อร์จะต้องจัดการองค์ชายสี่ได้อยู่หมัดแน่นอน”
เฉินวั่งซูพูดแล้วก็บิดขี้เกียจ ย่นคอน้อยๆ หิมะตกหนักขึ้นทุกที อากาศก็หนาวมากขึ้นแล้วเช่นกัน
เหยียนเจวี๋ยแตะเตาอุ่นมือของเฉินวั่งซู เห็นว่าเย็นแล้วก็ยื่นมือมากุมมือนางไว้ก่อนถูเบาๆ
“ข้าเคยไปชานเมืองกับองค์ชายสี่หนหนึ่ง ยามนั้นเขาเพิ่งจะกลับมาหลินอัน กำลังเป็นช่วงที่ชื่อเสียงเขาโด่งดังพรวดพราด ชาวบ้านจำนวนมากต่างนำสิ่งของของบ้านตนเองมาวางไว้หน้าประตูจวนของเขา”
เฉินวั่งซูตกตะลึงอยู่บ้าง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? แล้วไฉนจึงไม่มีใครส่งมาให้จวนฮู่กั๋วกงบ้างเล่า กล่าวถึงความดีความชอบในการศึก ท่านพ่อท่านมีมากกว่าเขานัก”
เหยียนเจวี๋ยกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย “นั่นมิใช่เพราะเมื่อก่อนข้าชั่วช้าเกินไปหรือไร ชาวบ้านไม่มาโยนหินใส่ก็ไม่เลวแล้ว”
เขาพูดพลางถอนหายใจ “เพิ่งจะผ่านพ้นภัยใหญ่ของแคว้นต้าเฉินมาเพียงสิบปี ปกติหากพูดถึงก็จะพูดเพียงเรื่องความร่วงโรยของราชวงศ์และความตกต่ำของตระกูลขุนนางใหญ่ ทว่าผู้ที่ลำบากที่สุดยังคงเป็นชาวบ้านสามัญชนเหล่านั้น”
บทที่ 197
“ท่านพ่อข้าก็เป็นดั่งรูปปั้นหน้าประตู ถูกเล่าขานจนผิดเพี้ยนไปไม่น้อย เจ้าลองคิดดู บรรดากองทัพของแคว้นต้าเฉินในเวลานั้นล้วนถูกโจมตีพ่ายแพ้ยับเยิน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฮู่กั๋วกงนำกองทัพที่ปล้นสุสานเป็นประจำกองหนึ่งมาต้านศัตรูไว้นอกประตูได้ เมื่อแรกฝ่าบาทเองก็ทรงหนีเตลิดไปทั่วสารทิศ ชาวเป่ยฉีปล้นชิงฆ่าคนวางเพลิงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ชาวบ้านในดินแดนทางใต้ก็หาได้รอดพ้นไม่ ต่อมาแคว้นต้าเฉินสร้างเมืองหลวงขึ้นที่เมืองหลินอัน สำหรับชาวบ้านทั่วไปในเมืองหลินอันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องโชคดีอะไร”
ยุคโบราณนี้ไม่เหมือนกับโลกยุคปัจจุบันที่เมื่อสถานที่หนึ่งกลายเป็นเมืองหลวงแล้วชาวบ้านก็มีชีวิตอยู่ประหนึ่งใกล้ชิดฮ่องเต้ พอราคาบ้านสูงขึ้นก็สามารถนั่งกินนอนกินเหมือนเป็นรัชทายาทได้ชั่วชีวิต ซึ่งผู้คนในโลกยุคปัจจุบันนั้นต่างคุยกันด้วยเหตุผล บ้านและที่ดินเป็นของเจ้า หนีหายไปที่ใดไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าสภาพบ้านเมืองในยุคโบราณนี้ทั้งๆ ที่ล้วนเป็นคนเหมือนกัน แต่บุตรหลานชนชั้นสูงกลับสูงส่งกว่าชาวบ้านทั่วไป
บังคับซื้อบังคับขาย ใช้กำลังขู่เข็ญยึดครองที่ดินที่นา นี่ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ
“รอบเมืองหลินอันมีผู้อพยพไม่น้อย ด่านชายแดนยังไม่อาจคลายความเข้มงวดกวดขัน บุรุษวัยฉกรรจ์ในบ้านต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน ชนชั้นสูงพอแต่งงานล้วนต้องมีที่นาร้านค้า ทว่าเมืองหลินอันใหญ่เท่านี้เอง ที่ดินโดยรอบก็มีเพียงเท่านั้น แล้วต้องไปหาที่ดินจากที่ใด สภาพบ้านเมืองในตอนนี้บางคนรวยล้นฟ้า บางคนแค่กางเกงตัวเดียวยังแทบอยากจะใส่ด้วยกันทั้งครอบครัว ภรรยากับข้าล้วนเกิดมามั่งคั่งสูงศักดิ์ ย่อมจะไม่เคยเห็นสภาพอันน่าสลดหดหู่ถึงขั้นนั้น”
เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจ
“คราวนั้นองค์ชายสี่ได้รับการไหว้วานจากพี่น้องคนหนึ่งที่ชายแดนให้ไปเยี่ยมมารดาชราของเขาที่บ้าน ข้าเองก็มิใช่ลูกผู้สูงศักดิ์จอมสำมะเลเทเมาตัวจริง ไม่อยากจะไปอยู่กับพวกคนเสื่อมทรามเหล่านั้นในเมืองนี้จึงได้ตามเขาไปด้วย
พอไปถึงก็ให้เจ็บปวดใจนัก น้องชายที่ชายแดนผู้นั้นอายุเพิ่งจะสิบแปดปี มีพี่ชายหนึ่งคนกับน้องสาวหนึ่งคน บิดาถูกเกณฑ์เป็นทหารเมื่อหลายปีก่อนแล้วไม่เคยกลับจากสนามรบอีกเลย พี่สะใภ้ของเขาเพิ่งจะตั้งครรภ์ บุตรชายสองคนในบ้านต้องมีคนออกไปคนหนึ่ง เขาจึงอาสาไปเอง
เวลานั้นเขาเดินผ่านหน้ากระโจมขององค์ชายสี่จึงฝากเบี้ยหวัดให้องค์ชายสี่นำกลับมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในบ้านเขาจะเกิดเหตุเภทภัยขึ้น เมื่อปีกลายน้องสาวคนเล็กของเขาเกิดไปเข้าตาอันธพาลเข้า จึงถูกฉุดไปเพื่อจะให้เป็นอนุ
พี่ชายของเขาย่อมไม่ตกลงจึงเข้าไปคุยด้วย คิดไม่ถึงว่าจะถูกลูกสมุนของอันธพาลตีจนตายไปทั้งอย่างนั้น อันธพาลเห็นแล้วก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง จึงส่งตัวน้องสาวผู้นั้นกลับมา
มารดาชราปวดใจจากการสูญเสียบุตรชายคนโต บุตรชายคนรองก็ไปเป็นทหาร จึงล้มหมอนนอนเสื่อแทบจะทันที ทั้งบ้านต้องขายที่นาถึงสามารถจัดงานศพให้เรียบร้อยและรักษาอาการป่วยให้มารดาชราได้ พี่สะใภ้อายุยังน้อย บ้านเดิมมารับตัวนางกลับไป ทิ้งทารกอายุเพียงเดือนเดียวไว้
น้องสาวผู้นั้นเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ในละแวกหมู่บ้านมีใครไม่รู้บ้าง จึงถูกผู้คนติฉินนินทา มักจะมีพวกอันธพาลมาหาเรื่องอยู่หน้าประตูเป็นประจำ นางอยากจะผูกคอตายอยู่หลายครา แต่ในบ้านยังมีทั้งเด็กและคนชราจึงตัดสินใจไม่แต่งงานชั่วชีวิต แบกรับภาระดูแลครอบครัวเพียงลำพัง ชีวิตลำเค็ญเหลือแสน”
เฉินวั่งซูฟังแล้วตกใจ
แม้ว่ากองทัพแคว้นต้าเฉินจะอ่อนแอ แต่อย่างน้อยชาวบ้านตามตรอกตามถนนในเมืองหลินอันก็ล้วนอยู่ดีกินดี ดูอุดมสมบูรณ์พอสมควร หนึ่งเป็นเพราะหลังจากเฉินวั่งซูมาที่นี่ก็อาศัยอยู่ในจวนเป็นส่วนใหญ่ สองเป็นเพราะนางคิดอยู่ตลอดว่านี่เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น
หลังเล่นงานองค์ชายเจ็ดจนต้องคุกเข่าเรียกนางว่าบิดาแล้วนางก็จะกลับไป ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นมิใช่เรื่องที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือไร นางไม่ใช่แม่พระเสียหน่อย บรรดาชาวบ้านมีข้าวกินหรือไม่ มีชีวิตสุขสบายหรือไม่ นั่นล้วนเป็นหน้าที่ของฮ่องเต้ เกี่ยวอะไรกับนาง
เรื่องบางเรื่องไม่ไปเห็นด้วยตนเองก็ยากยิ่งที่จะเกิดความรู้สึกร่วม
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง “หลังจากนั้นเล่า คนครอบครัวนี้เป็นอย่างไรแล้ว”
เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจ “แม้องค์ชายสี่จะมุทะลุวู่วามอยู่บ้าง แต่ยังนับว่ามีจิตใจดี เขาหาร้านค้าของตนเองมาร้านหนึ่ง แล้วบอกให้น้องสาวผู้นั้นไปทำงานเป็นช่างปักผ้า ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในโรงปักผ้า มารดาชราทำงานเย็บปะซักล้าง พอจะหาเงินมาใช้จ่ายได้บ้างและยังสามารถดูแลทารกน้อยผู้นั้นได้ เงินทองที่ทางร้านให้ก็มิได้มากเท่าไร อีกทั้งทางเหล่าเด็กกำพร้าและแม่ม่ายเองก็รับไว้มากไม่ไหว นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายครอบครัวที่ถูกพวกข้าบังเอิญไปพบเห็นเข้า แล้วที่เหลือเล่า องค์ชายสี่รู้สึกสะเทือนใจจึงสาบานในตอนนั้นว่าภายภาคหน้าหากไม่เป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาสามารถก็จะเป็นอ๋องผู้มีคุณธรรม ราษฎรในแคว้นต้าเฉินคนแก่มีที่พึ่งพิง เด็กกำพร้ามีคนเลี้ยงดู ชาวบ้านมีที่นาเพาะปลูก เหล่าทหารก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทางบ้าน”
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว มิได้พูดอันใด
เหยียนเจวี๋ยมองความคิดของนางออกในแวบเดียว “ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดได้ไม่ผิด องค์ชายสี่เองก็ดูเป็นโรคเด็ก ม.สอง อยู่หน่อยๆ คิดว่าตนเองเป็นพระเอกเลือดร้อนที่สามารถช่วยกอบกู้โลกได้…ถูกหรือไม่ ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น กลับคิดจะสงเคราะห์ผู้คนในใต้หล้า ทว่าแคว้นต้าเฉินเน่าเฟะไปแล้ว ข้าคิดว่าในเวลานี้สมควรมีคนที่ไม่ชนกำแพงไม่ยอมหันหลังกลับ* ยังคงเชื่อว่าตนเองจะต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้แน่นอนอยู่สักหนึ่งคน ความกระตือรือร้นเช่นนี้น่าชื่นชมยิ่งยวด”
เหยียนเจวี๋ยพูดพลางจับมือเฉินวั่งซูขึ้นมา เป่าลมอุ่นใส่ฝ่ามือนาง ก่อนจะถูไปมาเล็กน้อย “พวกเรายังอายุน้อย หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันคงจะต้องอยู่ที่แคว้นต้าเฉินนี้ไปชั่วชีวิตแล้ว ลูกๆ หลานๆ ของพวกเราก็ล้วนต้องอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน หากปล่อยไปไม่สนใจแล้วอนาคตจะเป็นเยี่ยงไร พอท่านพ่อข้าตายไป ชายแดนไม่มีเสาหลักต้นใหม่ แคว้นต้าเฉินก็ต้องล่มสลายแล้ว ฝ่าบาททรงจ้องสมบัติในมือข้าตาเป็นมัน แทบอยากจะฆ่าข้าให้ตาย พวกเราไม่อาจนั่งรอความตายได้ นกที่ดีรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ** ในบรรดาผลแตงบิดเบี้ยวเหล่านั้นมีเพียงองค์ชายสี่ที่พอจะมีน้ำใสใจจริง พึ่งพาได้ แม้ในเวลานี้เขาจะยังมีปัญหาอยู่มากมาย แต่ถ้ามีคนช่วยแก้ไขประคับประคอง ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะกลายเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาสามารถและทรงคุณธรรมก็เป็นได้”
เฉินวั่งซูพยักหน้าลวกๆ
นางไม่กล้าพูดว่าในใจนางมีสมุดเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่ง เขียนเรื่องเจ้าหนูหมายเลขหนึ่งถึงแปดไว้ครบถ้วนหมดแล้ว
เหยียนเจวี๋ยยกมือลูบศีรษะเฉินวั่งซูก่อนกล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้ว่าภรรยาแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ใส่ใจเรื่องหลักจรรยาเหล่านั้น มิเช่นนั้นเมื่อก่อนก็คงไม่ตัดสินใจแปลกๆ ออกมามากมายปานนั้น ข้าเหยียนเจวี๋ยเองก็มิได้เป็นคนไม่มีความมุ่งมาด เพียงแต่การเป็นฮ่องเต้ไม่สามารถเทียบกับเรื่องอื่นๆ ได้ คราวก่อนที่ภรรยาถามข้า ข้าตอบว่าอย่างไร คราวนี้ก็ยังเหมือนเดิม…การโค่นล้มแคว้นต้าเฉินแล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้เองใช่จะไม่สามารถ ใช่จะทำไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าตนเองยังอ่อนด้อยอยู่มากนัก เพราะว่ารู้…ข้าจึงได้มีใจเกรงกลัวต่อโลกใบนี้”
เหยียนเจวี๋ยพูดพลางกะพริบตา “อีกประการหนึ่งหากข้าเป็นฮ่องเต้ มีภรรยาอยู่เช่นนี้เกรงว่าผู้เป็นโอรสสวรรค์คงไม่ได้ออกว่าราชการกระมัง…มิหนำซ้ำฮ่องเต้ล้วนต้องมีสนมชายามากมาย แม้ตัวข้าเหยียนเจวี๋ยสามารถครองคู่กันสองคนได้ชั่วชีวิต แต่ก็ไม่อยากให้ภรรยาต้องลำบากและยุ่งยากใจกับเรื่องพรรค์นี้ เวลายอดดวงใจแย้มยิ้มน่ามองเป็นพิเศษ ข้าหวังว่าเจ้าจะยิ้มได้ตลอดไป”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ลูบตุ่มหนังไก่บนแขนของตนเอง “พอได้แล้ว ท่านไม่ขนลุกบ้างหรือไร!”
เหยียนเจวี๋ยหัวเราะ “รอใต้หล้ามีสันติและไม่มีใครคิดลอบสังหารข้าในทุกวันแล้ว ข้าจะพาภรรยาท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ จะได้ไม่มาที่นี่อย่างเสียเที่ยว”
* สายลมบุปผาหิมะจันทรา หมายถึงความรัก ความสัมพันธ์ แรงปรารถนาที่มีของหนุ่มสาว
* ไม่ชนกำแพงไม่ยอมหันหลังกลับ หมายถึงดื้อรั้นมาก หากไม่ถึงที่สุดหรือไม่เจอความพ่ายแพ้ก็จะไม่ยอมถอยหรือเปลี่ยนวิธีการ
** นกที่ดีรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีความสามารถต้องรู้จักเลือกเจ้านาย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.