X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 198-200

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 198

เฉินวั่งซูหัวเราะฮ่าๆ “ได้เลย! พวกเราไปขี่ม้าล่าสัตว์กันบนทุ่งหญ้า แล้วก็ออกทะเลไปทำให้พวกคนเถื่อนต้องตัวสั่น ดีไม่ดีข้าอาจจะยังได้เป็นฮ่องเต้หญิงด้วย”

นางกับเหยียนเจวี๋ยไม่ได้เพิ่งเคยถกเรื่องนี้กันเป็นครั้งแรก

เพียงแต่สภาพจิตใจคราวนี้แตกต่างจากคราวก่อนมาก

ยามนั้นนางคิดว่าหลอกเหยียนเจวี๋ยไปก่อน วันหน้าค่อยสังหารเจียงเยี่ยเฉินแล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงเอง

แต่บัดนี้ความรู้สึกที่นางมีต่อเหยียนเจวี๋ยมิใช่ง่ายๆ เพียงแค่ถูกใจในความงามแล้ว

สำหรับนางแคว้นต้าเฉินเป็นแค่นิยายเล่มหนึ่ง แต่สำหรับเหยียนเจวี๋ยมันเป็นโลกของเขาไปแล้ว

นางยังคิดไม่ตกว่าควรเอ่ยปากบอกเรื่องระบบและเรื่องภารกิจให้เขารู้ดีหรือไม่

คราวก่อนองค์ชายสามก่อกบฏ เข่นฆ่ากันในสนามรบ นางก็ไม่ได้เป็นเหมือนในอดีตที่ปลีกตัวไปอยู่ห่างๆ คิดเพียงว่าเชิญเคี่ยวกรำตามสบาย จะอย่างไรพอถึงเวลานางก็สะบัดก้นจากไปแล้ว

ลูกปัดระเบิดของนางก็ระเบิดคนเป็นให้ตายได้ ปีกผีเสื้อที่นางขยับสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของผู้คนตั้งมากมาย ถึงแม้คนเหล่านี้จะอยู่ในนิยาย แต่ก็ไม่สมควรที่จะตายไปง่ายๆ เช่นนี้

เหยียนเจวี๋ยมีใจเกรงกลัวเร็วกว่านาง

นางค้นพบนานแล้วว่าคนผู้นี้ใจเย็นและมีเหตุผลกว่าที่นางคิดไว้มาก

เมื่อคิดว่าในอดีตเหยียนเจวี๋ยคือรัชทายาทฉินเจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้นั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว

เขาเติบโตอยู่ต่างประเทศ ไม่แตกฉานในภาษาโบราณก็เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนโง่เสียหน่อย

“ดีมาก มีเจ่าเอ๋อร์คอยเตือนอยู่ข้างๆ ข้าว่าเจ้าสี่คงจะไม่ออกนอกลู่นอกทางไปที่ใด หากเขาออกนอกลู่นอกทางจริง พวกเราค่อยวางแผนกันก็ยังไม่สาย”

เหยียนเจวี๋ยจริงใจตรงไปตรงมา นางเองก็ไม่อยากพูดจาปิดบังซ่อนเร้น

“ดี” เหยียนเจวี๋ยกล่าวด้วยท่าทางจริงจังระมัดระวัง

 

รถม้าแล่นมาถึงจวนฮู่กั๋วกงในที่สุด

เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่ได้คุยกันอีก ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ล้มตัวนอนหลับไป

ตื่นเช้ามาวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งแล้ว

“คุณหนูๆ อย่านอนอีกเลยเจ้าค่ะ มู่จิ่นมาอวยพรปีใหม่ท่านแล้ว บนถนนมีคนจำนวนมากจุดประทัดกันอยู่ พวกเราออกไปเดินถนนหาซานจากินกันเถิด ท่านยายผู้นั้นจะออกมาขายซานจาเฉพาะวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งเท่านั้น สมัยก่อนพวกเราล้วนไปกันทุกปี”

เฉินวั่งซูขยี้ตาพลางปิดหูตนเอง

มู่จิ่นผู้นี้เวลาพูดจาเสียงดังราวเครื่องเสียงของคุณป้านักเต้นตามลานจัตุรัส หลังคายังแทบจะถูกนางทำให้เผยอเปิดขึ้นแล้ว

“เจ้าไปซื้อกลับมาก็หมดเรื่องแล้ว เมื่อวานข้าไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ง่วงยิ่งนัก”

มู่จิ่นส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ ซานจานั่นกินได้แค่คนละลูก ข้างในใส่ใบเสี่ยงทายปีใหม่เอาไว้ด้วย คุณหนูนอนติดเตียงทุกปี ทุกครั้งล้วนพูดว่าปีหน้าต้องมาเรียกข้าเร็วๆ ผลคือพอถึงปีหน้าก็ยังนอนติดเตียงอยู่ดี”

ไป๋ฉือที่ยกอ่างทองแดงเข้ามาทำเสียงถุยๆ ใส่มู่จิ่น “นี่เป็นวันแรกของปี เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร วันปีใหม่นอนติดเตียง เช่นนั้นตลอดทั้งปีก็จะต้องนอนติดเตียง…”

มู่จิ่นกระโดดผลุงขึ้นมาประหนึ่งว่าจับจุดอ่อนของนางได้ “เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าอีก? ข้าเพิ่งจะพูดไปสองคำ รวมกับที่เจ้าพูดก็เป็นสี่คำแล้ว!”

ไป๋ฉือยกมือปิดปากตนเองไว้ทันที ก่อนจะแย้มยิ้มเก้อเขิน

เฉินวั่งซูกลิ้งไปมาบนเตียงสองที ข้างเตียงเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่าเหยียนเจวี๋ยลุกออกไปนานแล้ว นางกอดผ้าห่มและห่อตนเองไว้มิดชิด ขณะที่เสียงประทัดดังขึ้นเปรี้ยงปร้างทั้งใกล้และไกล

“พวกเจ้าไม่รู้หรอก วันนี้ผ้าห่มแพรผืนนี้ของข้ามีระดู มันหนาวง่ายยิ่ง อยากให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่มัน”

มู่จิ่นถลึงตาโต “คุณหนูท่านมาลูกไม้นี้อีกแล้ว ปีที่แล้วท่านยังบอกว่าต่อให้เป็นขุนนาง ตลอดทั้งปีก็ยังมีวันหยุด ทว่ารองเท้าเล่า รองเท้าน่าสงสารมากเพียงไร ต้องถูกเหยียบย่ำทุกวัน ท่านเห็นว่าวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็คือวันดีที่จะปล่อยให้รองเท้าได้พักบ้าง ฉะนั้นวันนี้ท่านจะไม่สวมรองเท้า ย่อมลงจากเตียงไม่ได้แล้ว”

เฉินวั่งซูได้ยินก็หัวเราะร่วน ถ้าเป็นตามที่ว่ามาเฉินวั่งซูในอดีตก็น่าสนใจแบบแปลกๆ เช่นกัน

“ลุกแล้วๆ กั๋วกงน้อยไปที่ใดแล้ว ไยจึงตื่นเร็วปานนี้”

ไป๋ฉือนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำร้อนมาให้ “กั๋วกงน้อยกำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานเรือนเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เขาอ่านหนังสือเสร็จ บ่าวแจ้งว่าจะเตรียมอาหารเช้าให้เขา เขาก็บอกจะรอกินพร้อมคุณหนู ซ้ำยังสั่งให้เฉิงอู่เตรียมรถม้า บอกว่าจะไปปีนเขาวันนี้อีกด้วย คุณหนูจะไปจุดธูปที่วัดใดหรือเจ้าคะ ทว่าเวลาป่านนี้แล้วเกรงว่าคงแย่งปักธูปเป็นคนแรกไม่ทัน”

เฉินวั่งซูบิดขี้เกียจก่อนลุกขึ้นนั่ง นางมองออกไปนอกหน้าต่าง เหยียนเจวี๋ยกำลังรำกระบี่ หิมะบนต้นเหมยถูกปราณกระบี่ชักนำให้หล่นลงมา

“ไม่ไปจุดธูปแล้ว ถ้าจะไหว้พระสู้ไหว้ตนเองจะดีกว่า วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง กั๋วกงน้อยไม่ต้องไปศาลบรรพชนหรือ”

ไป๋ฉือยิ้ม “คุณหนูคงจะหลับจนหลงๆ ลืมๆ ไป นี่มันเวลาใดแล้วเจ้าคะ กั๋วกงน้อยจัดการเรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีบ่าวจะปลุกคุณหนู กั๋วกงน้อยกลับไม่ยอม บอกว่าท่านจะได้ไม่ต้องไปเห็นผู้เฒ่าผู้อาวุโสในตระกูลเหล่านั้นให้โมโหอีก”

เฉินวั่งซูกลับไม่ใส่ใจ เกิดเป็นสตรีเช่นนี้ ต่อให้นางไปก็ต้องรออยู่ด้านนอก สู้ไม่ไปยังสบายเสียกว่า ถึงอย่างไรปีที่แล้วๆ มาฮู่กั๋วกงฮูหยินก็เพียงตระเตรียมการให้เหยียนเจวี๋ยสามพี่น้องไปกันเอง

ระหว่างที่พูดคุยนางก็ล้างหน้าหวีผมเสร็จแล้ว จึงเดินออกมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ แม้แต่เครื่องประดับศีรษะและการแต่งกายก็เป็นการบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ให้ความรู้สึกน่าเฉลิมฉลองอย่างยิ่ง

“บนเขาหนาวมาก ประเดี๋ยวภรรยาสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกตัวนี้ด้วย นี่เป็นของที่พวกเรานำกลับมาจากเผ่ามู่ซี เจ้ายังจำได้หรือไม่” ระหว่างที่พูดเหยียนเจวี๋ยก็เก็บกระบี่แล้วหิ้วเสื้อคลุมมีหมวกตัวหนึ่งเดินเข้ามา

เฉินวั่งซูพยักหน้า “มาได้เวลาพอดีเชียว อาหารเช้าขึ้นโต๊ะแล้ว จะไปปีนเขาจริงหรือ เจ่าเอ๋อร์ช่างออกความคิดไม่เข้าท่าเสียจริง เช่นนั้นพวกเราไปกินซานจากันก่อนแล้วค่อยไปปีนเขาเถอะ”

“ภรรยาเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะพาภรรยาไปปีนเขา ข้าจะพาภรรยาไปเล่นไถลหิมะต่างหาก หาได้ยากที่เมืองหลินอันจะมีหิมะตกหนักปานนี้ ตอนเจ้ายังเล็กเคยเล่นหรือไม่ นั่งแผ่นกระดานไถลลงมาจากบนเนินเขา ข้าหาช่างมาทำแผ่นกระดานแล้ว วันนี้จะพาเจ้าไปเล่น” เหยียนเจวี๋ยพูดพลางนำแผ่นไม้ลักษณะเหมือนเรือพายขนาดเล็กสองชิ้นมาวางพิงผนัง

เฉินวั่งซูกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว ความเร็วในการดื่มโจ๊กจึงเพิ่มขึ้นหลายส่วน นี่เยี่ยมไปเลย! วันนี้ไปเล่นไถลหิมะ วันพรุ่งนี้กลับไปเล่นไพ่นกกระจอกที่บ้านเดิม นี่เป็นชีวิตสุขสบายที่ผู้มีอันจะกินถึงจะมีได้ อะไรกันนี่!

 

ท่านยายที่ขายซานจาผู้นั้นอยู่ในตรอกเล็กเส้นหนึ่งด้านทางตะวันออกของเมือง ผู้ที่มาที่นี่มีไม่มาก กล่าวว่าเป็น ‘ซานจา’ อันที่จริงเป็นเพียงหมั่นโถวสีแดงที่ทำเป็นรูปโคมไฟแล้วใช้ตะเกียบข้างหนึ่งเสียบไว้

หมั่นโถวนี้กลวงตรงกลาง ข้างในสอดกระดาษไว้แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนคำทำนายปีใหม่ไว้ ซึ่งท่านยายไม่ได้เป็นนักพรตหญิงที่ทำนายชะตาชีวิตเป็นสักนิด ทั้งบรรพบุรุษก็ไม่เคยเป็นหมอดูหมอเดาอะไร ท่านยายเพียงแต่ทำไปเพื่อความรื่นเริงใจเท่านั้น

ผู้ที่มาทุกปีก็ล้วนเป็นลูกค้าประจำ

“วันนี้คุณหนูรองเฉินไม่ได้มาคนเดียวแล้ว ข้ายังจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองตงจิงล้วนเป็นปู่ของท่านแบกท่านขึ้นหลังมา!”

เฉินวั่งซูหัวเราะคิกๆ “ท่านยาย นี่คือเหยียนเจวี๋ย ต่อจากนี้เขาจะมาขอซานจาเป็นเพื่อนข้า”

ท่านยายเปิดฝาลังถึงอย่างรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง “ท่านเลือกเอาเอง จะว่าไปแล้วสมัยก่อนปู่ของท่านเคยทิ้งของบางอย่างไว้ที่ข้า บอกว่ารอเมื่อใดท่านพาคนข้างกายมาซื้อซานจาก็ให้ข้ามอบมันให้ท่าน เวลานั้นข้าอายุหกสิบแล้ว ยังพูดกับปู่ของท่านอยู่เลยว่าไยเขาไม่มอบของให้ท่านเอง…ข้าอายุมากแล้ว วันใดเลินเล่อหน่อยก็คงได้กลับบ้านเก่า ถึงเวลานั้นของมิใช่ต้องหายไปหรือไร แต่ปู่ของท่านพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง ดึงดันจะทิ้งมันไว้ให้ได้ ตอนที่หนีลงใต้ข้าก็เก็บสัมภาระเพียงลวกๆ กลับคิดไม่ถึงว่าจะเอามันใส่มาด้วย นับว่าไม่ได้ผิดต่อคำไหว้วานของปู่ท่านแล้ว”

บทที่ 199

เฉินวั่งซูได้ยินแล้วอารมณ์ก็ซับซ้อนอยู่บ้าง

เฉินเป่ยผู้เป็นปู่ของนางไม่ได้สละชีพด้วยความห้าวหาญเสียทีเดียว แต่เขาบรรลุเต๋ากลายเป็นเซียน ไปใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้วกระมัง! การกระทำครานี้ยิ่งใหญ่เทียบได้กับเทพเซียนจุติลงมาบนโลกมนุษย์เลยทีเดียว!

ข้อแรกคือเขาสามารถทำนายได้ว่าท่านยายที่มีอายุหกสิบปีผู้นี้สามารถถือไม้เท้าหนีจากเมืองตงจิงตามกองทัพใหญ่มาถึงเมืองหลินอันได้ หนทางไกลโพ้นนับพันหลี่นี้แม้แต่เจ้าเมืองหลินอันยังหวิดจะแข็งตายไปในแม่น้ำอันหนาวเหน็บ

ท่านยายกลับดีนัก มาถึงได้โดยปลอดภัยไม่พอ ยังสามารถทำอาชีพเก่า ขายซานจามาได้จนอายุเจ็ดสิบ

ส่วนข้อสอง เขาสามารถทำนายได้ว่าแม้จะอยู่ในเมืองหลินอันแสนใหญ่โต เฉินวั่งซูก็ยังสามารถหาหญิงชราขายซานจาพบได้ ซ้ำสามีที่น่ากลุ้มใจผู้นั้นของนางก็ยินดีจะมุดเข้ามาในตรอกมืดๆ เล็กๆ เป็นเพื่อนนางในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งด้วย

วิชาทำนายนี้ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้

วันหน้าหากผู้อื่นไม่เรียกนางเฉินวั่งซูว่า ‘หลานสาวของเซียนผู้เฒ่า’ นางไม่ยอมแน่!

ท่านยายทำซานจานี้มาหลายปีแล้ว เมื่อมองไปหมั่นโถวแดงในลังถึงมีขนาดและรูปร่างเหมือนกันทุกประการ เฉินวั่งซูหยิบลูกหนึ่งมาแล้วส่งเข้าปาก ก่อนหันหน้าไปมองเหยียนเจวี๋ย “ท่านเองก็หยิบมาลูกหนึ่งสิ ต้องกินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย อย่าได้คิดจะฉีกดูใบเสี่ยงทายข้างในเป็นอันขาด กัดคำเดียวก็ล้วงออกมาได้แล้ว”

เฉินวั่งซูพูดพลางล้วงซองแดงสองซองออกมาวางบนโต๊ะ

แม้ท่านยายจะอายุมาก แต่ร่างกายยังแข็งแรงยิ่งยวด เพียงครู่เดียวก็เดินออกมาจากในห้อง ในมือถือกล่องไม้สีดำมาด้วยใบหนึ่ง

กล่องไม้ใบนี้ลงรักสีดำ ด้านบนวาดลวดลายไม่รู้ชื่อสีทองไว้จำนวนมาก

“เดิมทีด้านนอกนี้มีผ้าห่อไว้ด้วย ตอนเพิ่งมาถึงดินแดนทางใต้ข้าไม่รู้ว่าที่นี่อากาศชื้นมาก พอถึงช่วงฤดูฝนจึงมีราขึ้น ข้าคิดจะเอาออกมาตากแดด แต่พอดึงผ้ากลับขาด เคราะห์ดีที่กล่องยังดีอยู่”

นางพูดพลางยื่นกล่องให้เฉินวั่งซู มองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มยินดี “ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของแม่ทัพน้อยเหยียนมา แต่ตามความเห็นข้า การมีรูปโฉมที่ดีและรู้จักทะนุถนอมผู้อื่นจึงจะเป็นสิ่งสำคัญ วั่งซูแต่งงานได้ดี หากปู่ของท่านที่อยู่ในปรโลกได้ทราบก็คงจะวางใจได้แล้ว ห่อผ้านั้นดูไม่มีสิ่งใดพิเศษ เป็นเพียงผ้าต่วนพื้นขาวลายคลื่นสีน้ำเงินที่นิยมในเมืองหลวงเมื่อตอนนั้น”

เฉินวั่งซูพยักหน้า เซียนผู้เฒ่าสามารถทำนายอนาคตได้ ไม่น่าจะนำความลับอะไรมาไว้บนห่อผ้าที่เปื่อยยุ่ยได้หรอก

“ท่านยาย สามีข้ารูปงามใช่หรือไม่” เฉินวั่งซูหัวเราะคิกคัก มองไม่ออกเลยว่าตอนท่านยายยังสาวก็มีความคิดแบบเดียวกับนาง

ท่านยายพยักหน้า “รูปงามเหลือเกิน งามกว่าเทพธิดาบนภาพวาดนั้นเสียอีก”

เฉินวั่งซูขยิบตาให้เหยียนเจวี๋ยพลางล้วงกระดาษในซานจาออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะแสดงท่าทีอ่อนอกอ่อนใจออกมา พอนางอ่านดูแล้วก็อดจะดีใจไม่ได้ ชูแผ่นกระดาษในมือแล้วโบกไปมา “ท่านยาย ข้าจับได้โชคดีที่สุด!”

ท่านยายรับใบเสี่ยงทายไปดู “เป็นโชคดีที่สุดจริงๆ จะได้เป็นพ่อคนแม่คน! เห็นทีวั่งซูตัวน้อยของเราใกล้จะได้เป็นแม่คนแล้ว!”

เฉินวั่งซูพยักหน้าลวกๆ คนทั่วไปไม่ล่วงรู้ถึงความสุขใจของนาง

นี่ข้าไม่ได้จะเป็นมารดาใคร แต่จะได้เป็นบิดาต่างหาก! เห็นทีองค์ชายเจ็ดเจียงเยี่ยเฉินคงได้คุกเข่าเรียกข้าว่าบิดาเป็นที่แน่นอนแล้ว!

ท่านยายว่าแล้วก็เปิดกระปุกดินเผาบนเตาด้านข้าง ตักเนื้อสับปรุงรสที่อยู่ข้างในออกมาช้อนหนึ่งแล้วเทลงในซานจาของเฉินวั่งซู ซานจานี้กลวงตรงกลาง หยิบกระดาษออกไปแล้วก็เหมือนเป็นชามใบน้อยใบหนึ่ง

ท่านยายมือนิ่งมาก ไม่มีหกออกมาแม้แต่นิดเดียว

“หอมจริง! เหยียนเจวี๋ยรีบดูของท่านเร็วเข้าว่าได้อะไร ใบเสี่ยงทายต่างกันจะได้ไส้ต่างกัน!”

มือของเหยียนเจวี๋ยที่ถือแผ่นกระดาษเกิดอาการชะงักเล็กน้อย เขาจับมันยัดเข้าแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน ก่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง “ไม่บอกเจ้าหรอก ข้ากินอาหารเช้ามาเยอะแล้ว ไม่จำเป็นต้องเติมไส้ ประเดี๋ยวกินไม่หมดจะเสียน้ำใจของท่านยายเปล่าๆ”

ท่านยายเห็นว่ามีคนมาที่ร้านมากแล้วก็มิได้ฝืนใจ ปิดฝากระปุกเนื้อสับปรุงรสนั้นแล้วเปิดกระปุกดินเผาสีขาวอีกใบ ล้วงเอาผลไม้เคลือบน้ำตาลลูกหนึ่งออกมาแทน

“ข้าเห็นว่าวั่งซูโตแล้ว แต่ท่านเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นวันปีใหม่ จึงจะให้ของหวานท่านกิน แม้ไม่ดีเท่ากับของในจวนพวกท่าน แต่ก็เป็นของที่ข้าทำเอง ท่านลองชิมดูสิ”

เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า รับผลไม้เคลือบน้ำตาลมา ก่อนส่งเข้าปาก

ซานจาก็กินแล้ว กล่องก็รับมาแล้ว อีกทั้งด้านหลังก็มีลูกค้ามาแล้ว เฉินวั่งซูเห็นท่านยายเริ่มยุ่งก็ไม่รั้งอยู่นาน บอกลาแล้วขึ้นรถม้าพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย

คนทั้งสองกินซานจาไปคนละลูก ดูท่าทางรื่นเริงยินดีพอสมควร

“ท่านจับได้อะไรหรือ เอาออกมาดูหน่อย หากไม่ดีก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ท่านยายไม่ใช่แม่มดหมอผีอะไร ก็แค่ใบเสี่ยงทายต่างกันจะได้ไส้ต่างกันเท่านั้นเอง ชีวิตนี้ข้ากินมาสิบกว่าลูกแล้วยังไม่เคยเห็นคนจับได้เลวร้ายที่สุดเลย หากท่านจับได้ก็ขาดทุนหนักแล้ว ท่านยายมีกระปุกใบน้อยที่พิเศษอยู่ใบหนึ่ง ไม่เคยเปิดมาก่อน ข้ารู้สึกว่ามันเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับใบเสี่ยงทายเลวร้ายที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นรสชาติอะไร”

เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้า “มิใช่ เป็นแค่โชคดีเล็กน้อย ข้าเห็นมู่จิ่นจับได้โชคดีเล็กน้อยแล้วได้ไส้ผักดอง ข้าไม่ชอบกินจึงไม่ได้เอาให้ดู”

เฉินวั่งซูขานรับคำหนึ่งโดยหาได้ใส่ใจไม่ คนเปิดร้านทำการค้า ไม่แน่ว่าคนเขาอาจจะไม่เคยใส่ใบเสี่ยงทายที่มีผลเลวร้ายที่สุดลงไปเลยก็เป็นได้

“ท่านปู่ข้าทำตัวลึกลับ ในกล่องนี้ก็ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้” เฉินวั่งซูพูดพลางเขย่ากล่อง ด้านในไม่มีเสียงกุกกักใดๆ

กล่องติดบานพับกลอนไว้ ตรงกลางบานพับมีห่วงทองเล็กๆ คล้องอยู่ห่วงหนึ่ง ออกแรงเพียงนิดก็หักมันได้แล้ว ของสิ่งนี้มีไว้ป้องกันสุภาพชน มิได้มีไว้ป้องกันคนถ่อย

เฉินวั่งซูยื่นกล่องให้เหยียนเจวี๋ย เหยียนเจวี๋ยแค่ใช้สองนิ้วคีบห่วงทองนั้นก็หักแล้ว

เขายื่นกล่องคืนให้เฉินวั่งซู “เปิดดูเถอะ”

เฉินวั่งซูพยักหน้า กล่องพลันเปิดออกเสียงดังกึก เห็นเพียงข้างในมีหนังสือเล่มหนานอนอยู่หนึ่งเล่ม รวมถึงมีกุญแจทองเหลืองอีกหนึ่งดอก บนปกหนังสือไม่มีอักษรใดๆ เขียนไว้แม้แต่ตัวเดียว ดูลึกลับยิ่งนัก

เฉินวั่งซูเปิดหนังสือนั้นดู ด้านในขาวยิ่งกว่ากำแพง ไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว

นางสะบัดมันอย่างหมดคำจะกล่าว “ท่านปู่ข้าทิ้งแบบฝึกหัดไว้ให้ข้า! ไม่รู้ว่าเป็นบันทึกการตายหรือว่าเป็นตำราสวรรค์ไร้อักษร!…อ๊ะ มีจดหมายอีกฉบับ”

เฉินวั่งซูออกแรงสะบัดหนังสือ ซองจดหมายสีเหลืองก็หล่นออกมาจากในหนังสือนั้น บนซองเขียนไว้ว่า

 

ให้เฉินวั่งซูและเหยียนเจวี๋ยเปิดอ่านด้วยตนเอง

 

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

หากเป็นเมื่อก่อนนางคงเพียงทอดถอนใจว่าปู่ของเฉินวั่งซูเป็นเจ้าสำนักเต๋า สามารถจับยามทำนายทายทักได้ แต่บัดนี้นางกลับขนหัวลุกบ้างแล้ว

เหตุเพราะข้อนี้เขาสามารถทำนายออกมาได้ว่าในภายภาคหน้าเฉินวั่งซูผู้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของตนเองจะได้แต่งงานกับเหยียนเจวี๋ยบุตรชายของฮู่กั๋วกง

นี่ไม่ใช่เซียนเฒ่าแล้ว แม้แต่ผู้แต่งนิยายก็ยังคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย

หากมิใช่นางทะลุเข้ามา เฉินวั่งซูจากตระกูลบัณฑิตกับเหยียนเจวี๋ยผู้เป็นลูกไม้ไกลต้นจากตระกูลแม่ทัพก็มิใช่คนบนเส้นทางเดียวกันโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงไม่มีทางกลายเป็นสามีภรรยา ยังอาจจะเป็นศัตรูคู่แค้นกันเสียด้วยซ้ำไป

นางเก็บจดหมายขึ้นมา ตั้งสติเล็กน้อยก่อนฉีกออกอ่าน

บทที่ 200

กระดาษจดหมายบางๆ หน้าเดียว เขียนตัวหนังสือสีอ่อนๆ ไว้ไม่กี่บรรทัด

“ข้าจำตัวอักษรนี้ได้ เป็นลายมือของท่านปู่ข้ามิผิดแน่ กระดาษเป็นสีเหลืองแล้ว เห็นได้ชัดว่าวางทิ้งไว้มานาน ในหมึกมีกลิ่นหอมเจืออยู่ นี่เป็นกลิ่นที่ท่านปู่ข้าผสมขึ้นเองในสมัยนั้น”

เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว จดหมายไม่ซับซ้อน แทบจะกวาดตาทีเดียวก็อ่านจบแล้ว

“ลูกสามยังอยู่ เหนือใต้มองไกล ฝาแฝดจิ้งเหยียน จริงปลอมอยู่ตรงหน้า ไร้อักษรต้องแสวงหา คนในสำนักเต๋า” เฉินวั่งซูอ่านออกเสียงเบาๆ “ดูเหมือนจะเป็นคำพยากรณ์ที่ท่านปู่ข้าเขียนเอาไว้หลังจากทำการทำนาย”

“ประโยคแรกเข้าใจง่ายยิ่ง น่าจะบอกว่าท่านอาสามของเจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลก เหนือใต้มองไกล…พวกเราอยู่ใต้ เขาอยู่เหนือ…หากอยากตามหาตัวเขาควรต้องมุ่งไปทางเหนือ”

เหยียนเจวี๋ยรับจดหมายไปเริ่มลองวิเคราะห์ดู

“คำว่า ‘เหยียน’ นี้ข้ารู้ น่าจะหมายถึงข้า มิเช่นนั้นท่านปู่เจ้าก็คงไม่เขียนชื่อของข้าลงบนซองจดหมาย แต่ว่า ‘จิ้ง’ คือผู้ใด ฝาแฝด? ตามที่ข้ารู้มา ตอนโน้นหมอหญิงให้กำเนิดลูกเพียงคนเดียว เหยียนเจวี๋ยไม่มีพี่น้องฝาแฝดแน่นอน”

เฉินวั่งซูเองก็งงงวยยิ่งยวด แย่งจดหมายกลับมายัดเข้าซองอย่างหมดคำจะกล่าว “คนของสำนักเต๋าพวกนี้ชอบพูดจาเป็นปริศนา มีเรื่องอะไรพูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือไร ปริศนาข้อแรกยังไม่ทันไขได้ก็มีมาอีกข้อแล้ว ท่านเคยได้ยินเรื่องราวของวานรหกหู* กับซุนอู้คงหรือไม่ คำว่า ‘ฝาแฝด’ นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงพี่น้องฝาแฝดจากมารดาคนเดียวกัน มิเช่นนั้นไยข้างหลังจึงพูดถึงเรื่องจริงปลอม!”

บ้าจริง! คงมิใช่ว่าโลกนี้ยังมีคนงามที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเหยียนเจวี๋ยทุกกระเบียดนิ้วอยู่อีกคนหรอกนะ หากได้มาโอบกอดทั้งซ้ายและขวา ภาพนั้น…เฉินวั่งซูคิดพลางยกมือปิดจมูก บาปกรรมๆ…

เหยียนเจวี๋ยมองความคิดในใจนางออกได้ในแวบเดียวจึงตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้าคิดเสียสวยหรูเชียวนะ ไยพอมาถึงยอดดวงใจข้า ภาพที่ได้กลับแตกต่างจากหญิงสาวนางอื่นคนละเรื่อง หญิงสาวนางอื่นล้วนกังวลว่าสามีจะมีหญิงอื่น ตัวข้าเหยียนเจวี๋ยกลับประเสริฐนัก วันๆ ต้องคอยวิตกว่ายอดดวงใจจะอ้าแขนกว้างรับคนงามเพิ่ม…”

เฉินวั่งซูสำลักพรวดออกมาก่อนยิ้มเจื่อน

นางเป็นคนปากกล้าขาสั่น แค่คิดภาพสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ

เหยียนเจวี๋ยกลับมิได้บีบให้นางจนมุม พูดเรื่องเป็นงานเป็นการต่ออีกว่า “เรื่องที่เจ้าพูดมีความเป็นไปได้มาก ดูจากคำว่า ‘อยู่ตรงหน้า’…ผู้ที่แยกแยะจริงปลอมได้น่าจะอยู่ไม่ไกลตัวข้าแล้ว นี่น่าจะเป็นวิธีไขความจริงที่ท่านปู่ของเจ้าบอกพวกเรา”

เฉินวั่งซูพยักหน้า “ประโยคที่สามนี้ไร้ที่มาที่ไปที่สุด เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวข้าเองก็คิดต้นสายปลายเหตุไม่ออก รอกลับมาในวันพรุ่งนี้ค่อยนำไปให้ท่านย่าข้าดู เรื่องท่านอาสามยังมีชีวิตอยู่ต้องบอกให้นางรู้จึงจะถูก”

เฉินวั่งซูพูดจบก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เรื่องอาคมคุณไสยพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดี นางหลงงมงายไปแล้ว

“ต่อให้เป็นการทำนาย แต่เรื่องที่ควรบอกก็ยังต้องบอก”

ส่วนกุญแจทองเหลืองที่ดูธรรมดาดอกนั้นเฉินวั่งซูยิ่งไม่แม้แต่จะมอง เก็บมันไปพร้อมตำราสวรรค์ไร้อักษรและจดหมาย รวมไว้ด้วยกันทั้งหมด พวกนางยังไขความกระจ่างเรื่องกุญแจหยกแคล้วคลาดอันนั้นของเหยียนเจวี๋ยไม่ได้เลย ตรงนี้กลับมีลูกกุญแจมาอีกดอกแล้ว

วุ่นวายใจไปก็ไม่มีประโยชน์ รอได้เห็นแม่กุญแจนั้นแล้วลูกกุญแจย่อมจะได้ใช้เอง

กว่านางจะเก็บข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยรถม้าก็แล่นมาถึงตีนเขาแล้ว

เพิ่งจะลงจากรถม้าเฉินวั่งซูก็หนาวจนตัวสั่น เหยียนเจวี๋ยกระโดดตามมา ก่อนยกมือจับหมวกเสื้อคลุมมาสวมให้เฉินวั่งซู

เขายื่นมือมาจับจูงมือเฉินวั่งซูไว้หลวมๆ มืออีกข้างแบกแผ่นกระดานที่ใหญ่เหมือนเรือพายนั้นไว้ “ยอดดวงใจ ไปกันเถิด”

เฉินวั่งซูสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง แม้แต่อากาศก็ยังหนาวเย็น สูดเข้าไปแล้วรู้สึกปลอดโปร่งเป็นพิเศษประหนึ่งว่าใช้น้ำมันสมุนไพรละเลงศีรษะก็มิปาน

“มู่จิ่น เจ้าไม่ไปด้วยกันหรือ”

มู่จิ่นมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง นางอยากไปด้วย แต่ไม่เห็นหรือว่าในรอยยิ้มของกั๋วกงน้อยมีแววข่มขู่แฝงอยู่

“คุณหนู บ่าวไม่ไปเจ้าค่ะ ท่านจะพกผืนหนังไปด้วยสักผืนหรือไม่ ไป๋ฉือบอกแล้วว่าถ้าไม่รองด้วยผืนหนัง นอนบนพื้นหิมะโดยตรงจะถูกความเย็นเข้าได้”

เฉินวั่งซูหน้าแดง ดึงมือเหยียนเจวี๋ยเดินหนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน

นี่มันฤดูหนาว ในหัวนางไม่ได้มีสีเหลือง* ซึมเข้ามาสักหน่อย จะไปนอนบนพื้นหิมะทำอะไร

เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็หัวเราะเบาๆ

เฉินวั่งซูได้ยินก็โกรธ กำหิมะที่สะสมอยู่บนพุ่มไม้ด้านข้างมาแล้วหันไปปาใส่เขา

เหยียนเจวี๋ยเอียงศีรษะหลบ หิมะกำนั้นก็ตกกระจายลงด้านข้างเขา

“แค่กๆ สถานที่ที่ใช้เล่นไถลหิมะตามที่ข้าบอกอยู่บนยอดเขา หากเจ้ากลัวก็นั่งบนกระดาน ข้าจะคอยป้องกันอยู่ข้างหลังเจ้า พอเล่นจนคล่องแล้วเจ้าจะยืนเล่นก็ได้ แม้ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะเคยหัดเล่นสโนว์บอร์ด แต่จะอย่างไรก็ผ่านมานานมากแล้ว ระวังไว้บ้างดีกว่า”

“ขี้บ่น! ข้ารู้แล้วน่า!” เฉินวั่งซูแค่นเสียงก่อนเดินขึ้นเขาไป

 

“นี่! มิใช่บอกว่าวันนี้อากาศดีหรือไร นี่เรียกว่าดีแล้ว?”

เฉินวั่งซูหรี่ตา คายเกล็ดหิมะออกมา แทบอยากจะเอาเข็มเงินมาเย็บปิดหมวกเสื้อคลุม แล้วเว้นช่องเล็กๆ ให้เหลือแค่ตาไว้มองทางก็พอ

ขณะพวกนางเพิ่งจะขึ้นเขาอากาศยังดีอยู่ มองเห็นดวงอาทิตย์ที่เริ่มจะโผล่มารำไรแล้ว เหยียนเจวี๋ยยังเป็นห่วงว่าหิมะจะละลายแล้วเล่นไม่ได้อยู่เลย กลับคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าพวกนางเพิ่งจะปีนถึงยอดเขา ยังไม่ทันวางกระดานลงก็มีทั้งลมทั้งหิมะพัดมาแล้ว ทำเอาคนลืมตาไม่ขึ้น

เฉินวั่งซูหมดคำจะเอ่ยอยู่บ้าง หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ สู้หมกตัวผิงไฟแทะเมล็ดแตงเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ในห้องยังดีเสียกว่า

เหยียนเจวี๋ยเช็ดหน้าของเฉินวั่งซูอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะวางกระดานลงบนพื้น “ข้านั่งข้างหน้า บังลมบังหิมะให้ ส่วนเจ้านั่งข้างหลัง เอาหน้าซุกกับหลังข้า ข้ากล้ารับรองว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกสนุกแล้ว”

เฉินวั่งซูพยักหน้าส่งๆ นี่เป็นกระบวนการนัดเดตของหนุ่มน้อย ม.สอง อะไรกัน ดาราสาวห่วงว่าผมตนเองจะยุ่งต่างหาก ไม่เข้าใจหรือ!

นางเพิ่งจะนั่งลงก็รู้สึกว่าร่างกายสูญเสียน้ำหนักในฉับพลัน กระดานแผ่นนั้นลอยฟิ้วออกไปประหนึ่งรถไฟเหาะ

สายลมพัดอู้ๆ จนหมวกเสื้อคลุมนางเปิดขึ้น นางอยากจะเอื้อมมือคว้าหมวกไว้ กลับไม่กล้าปล่อยมือ ทำได้เพียงกอดเอวเหยียนเจวี๋ยเอาไว้แน่นๆ

“เฉินวั่งซู!” เหยียนเจวี๋ยพลันตะโกนออกมา “ลืมตาสิ ไม่ต้องกลัว หากพลิกคว่ำขึ้นมา ข้ามีวรยุทธ์ ไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่นอน” เขาพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “วั่งซู เจ้าดูสิ มีไก่ฟ้าถูกทำให้ตกใจจนบินขึ้นมาแล้ว”

เฉินวั่งซูถูกเขาโน้มน้าวสำเร็จจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ สายลมพัดปะทะใบหน้า ไหนเลยจะเย็นแค่ระดับใช้น้ำมันสมุนไพรละเลงศีรษะ นี่เป็นระดับจับนางใส่กระปุกสะระแหน่แล้วแช่ไว้หนึ่งพันปีชัดๆ!

นางค่อยๆ ลืมตามอง เขาลูกนี้มีต้นไม้น้อยยิ่ง รอบข้างกว้างใหญ่ไพศาลเป็นพิเศษ มองเห็นที่นาในหมู่บ้านและแม่น้ำสายเล็กที่ตีนเขาได้ลิบๆ ทำให้คนรู้สึกจิตใจเบิกบานเปิดกว้างขึ้นมาด้วย

“คุกเข่าเรียกบิดา!” เฉินวั่งซูตะโกนความปรารถนาชั่วชีวิตของตนเองออกมา

มือของเหยียนเจวี๋ยที่กุมเชือกอยู่เกิดลื่นกะทันหัน กระดานเอียงพุ่งลอยไปข้างๆ หลุดออกจากเส้นทางที่กำหนดไว้…

บ้าจริงเชียว! เฉินวั่งซูตะโกนลั่นในใจ “กระโดดออกกันได้แล้วเหยียนเจวี๋ย!”

เหยียนเจวี๋ยมิได้ลนลาน ครั้นเห็นว่ากระดานควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ เขาจึงปล่อยมือ ช้อนตัวเฉินวั่งซู แล้วก็ใช้เท้าสะกิดพื้นลอยตัวขึ้น

“ประเดี๋ยวก่อน ท่านไม่เห็นหรือว่าทางนี้เป็นหน้าผาชัน”

หากเจ้าคนผู้นี้ยังทำเป็นเท่ไม่รีบไม่ร้อนเยี่ยงนี้ พวกเราสองคนก็ต้องร่วงไปล่างเขาแล้ว ไม่เห็นหรือว่ากำลังตกลงไปแล้ว!

เหยียนเจวี๋ยก้มหน้ามอง คำว่า ‘แย่แล้ว’ ติดอยู่ในลำคอ

เขาโอบเฉินวั่งซูไว้แน่น เท้าสะกิดผนังผาเบาๆ กระโดดไปยังพื้นที่ราบบนเขา

“วั่งซู ไม่เป็นไรกระมัง”

เฉินวั่งซูตบหน้าอกอย่างเสียวสันหลังวาบ ก่อนกระโดดออกจากอ้อมแขนเหยียนเจวี๋ย “ฮ่าๆ ไม่เป็นไร รู้สึกว่าสบายตัวสบายใจแล้ว”

เสียงนางจะเพิ่งจะเงียบลงก็ได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังมาจากข้างใต้เท้า “ท่านอาหญิง ท่านสบายหรือไม่สบายข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้ากินหิมะเต็มปาก หายใจไม่สบายอย่างยิ่ง!”

 

* วานรหกหู เป็นลิงอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะทางกาย อิทธิฤทธิ์ รวมถึงจิตวิญญาณเหมือนซุนอู้คงแทบทุกอย่าง มีหูที่ฟังเสียงได้ถึงพันหลี่ ชำนาญการฟัง รู้เรื่องสารพัดชัดแจ้ง ใครพูดอะไรสามารถรับรู้ได้ กระจ่างในสรรพสิ่ง

* คนจีนใช้คำว่าสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของสื่อลามกหรือสิ่งกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: