X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 306-307

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 306

ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเฉินวั่งซูก็ยังรู้สึกว่าตนเองคล้ายข้ามผ่านกาลเวลา ได้กลิ่นคาวเลือดที่ลบไม่หายบนลานเสี่ยวเยวี่ยในวันที่สี่เดือนเก้าเมื่อปีกลาย

“กว่าละอองโลหิตจะสลายไป ร้อยคนนั้นก็ตายหมดแล้ว…ตายกันหมดแล้ว ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว พวกเขานอนอยู่บนพื้น บนร่างมีแต่เลือดท่วม คนรอบข้างได้สติก็ร้องคร่ำครวญ ด่าทอสาดเสียเทเสีย บอกว่ารนหาที่ตายและอื่นๆ อีกสารพัด ข้าคิดว่าหากคนตายไปแล้วตกนรกจริงๆ สิ่งที่เห็นก็คงจะเป็นภาพในคืนนั้นแล้ว”

เฉินวั่งซูเดินไปตบหลังจวีหย่าเบาๆ

จวีหย่าเล่าต่อว่า “เห็นได้ชัดว่าเจินจีเองก็คาดไม่ถึงในเรื่องนี้เช่นกัน ตอนแรกนางตะลึงลานไปแล้ว ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา…ผู้อื่นเห็นหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เวลานั้นข้ายืนอยู่ใกล้ลานเสี่ยวเยวี่ยเป็นพิเศษ ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่าด้านล่างศพเหล่านั้นมีแมลงคลานยั้วเยี้ย แต่เวลานั้นข้าตกใจจนเซ่อไปแล้วจึงมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

ผ่านไปเช่นนี้อีกสามวันในเมืองลี่โจวก็มีกลิ่นอายความตายคละคลุ้ง มีคนป่วยหนักไม่น้อยเลือกจะจบชีวิตตนเองเพื่อจะได้ไม่ทำให้คนในบ้านพลอยเดือดร้อน แม้จะเป็นเดือนเก้า แต่ในเมืองกลายเป็นสีขาวโพลนแล้ว…ทั่วทุกแห่งหนล้วนมีแต่ธงขาวผ้าขาว ลานเสี่ยวเยวี่ยกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่มีใครกล้าไปที่นั่น และไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงที่นั่นเช่นกัน เมื่อถึงวันที่เจ็ดเดือนเก้าเจินจีก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ครั้งนี้อยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมือง ผู้คนมามุงดูเยอะมากเช่นเคย แต่ผู้ที่ยินดีจะอาสาทดลองกลับไม่มีแล้ว ด้วยเหตุนี้เจินจีจึงให้ทหารสิบห้านายในกองทัพกินยาที่นางปรุงใหม่ลงไป ผลคือสิบห้าคนตายไปหนึ่งคน สิบสี่คนที่เหลือล้วนมีอาการดีขึ้น ขามีความรู้สึก ขยับเขยื้อนได้แล้ว…”

จวีหย่าพูดพลางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอกเสื้อ ซับเหงื่อบนหน้าผาก “เรื่องราวหลังจากนั้นระหว่างทางพวกท่านก็ได้ฟังแล้ว เจินจีกลายเป็นฮูหยินเจ้าเมืองที่เป็นที่เคารพรักอย่างสูงจากผู้คน เผ่าฉีเข้ามาแทนที่สกุลเซ่า กลายเป็นเจ้าของร้านยาทั้งหมดในเมืองลี่โจว”

เฉินวั่งซูตบสมุดที่จวีหย่าให้นางมาเบาๆ “สรุปคือเรื่องที่เถาปี้ค้นพบไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องทัพวิญญาณกินเบี้ยหวัด แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนวันที่สี่เดือนเก้า?”

จวีหย่าส่ายหน้า นางกัดริมฝีปาก “ข้าไม่ทราบหรอก ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่เคยเปิดดู เพราะฉะนั้นเถาปี้ชักนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตัวด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ พวกท่านดูเองก็จะทราบเอง ข้าเป็นเพียงอิสตรีอ่อนแอที่ตกยากนางหนึ่ง สามารถดิ้นรนมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ บนโลกนี้ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพิลึกอะไรอีกจนนำภัยถึงตายมาสู่ตัวจริงๆ เรื่องที่ควรบอก ด้วยเห็นแก่บุญคุณที่เถาปี้มีต่อข้าในอดีต ข้าได้บอกไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพวกท่านได้โปรดรีบไปเถิด หากให้ใครค้นพบเรื่องนี้เข้า คนถัดไปที่ต้องตายก็จะเป็นข้า”

เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย ก่อนพยักหน้าเบาๆ

เหยียนเจวี๋ยมิได้พูดสิ่งใดอีก เขายื่นมือมาโอบเฉินวั่งซูไว้ก่อนกระโดดเบาๆ จากนั้นคนทั้งสองก็ลงไปจากหน้าต่างในทันใด

ขณะที่เฉินวั่งซูคิดว่าตนเองจะศีรษะโหม่งพื้นจนแตกนี้เอง เหยียนเจวี๋ยก็เชิดร่างขึ้น พาเฉินวั่งซูหายลับไปท่ามกลางความมืดราวกับเป็นนกน้ำที่บินโฉบติดผิวทะเลสาบ

ในจวนเจ้าเมืองเหวยยังคงเงียบสงัด องครักษ์ลาดตระเวนหาวหวอดไม่หยุดประหนึ่งว่าง่วงเต็มที

ฝีเท้าเหยียนเจวี๋ยไม่หยุดชะงักแม้สักนิด เขาผลุบตัวเข้าห้องเสมือนเป็นเหยี่ยวที่บินร่อนในยามราตรี

มู่จิ่นที่นอนอยู่บนเตียงเห็นเฉินวั่งซูกลับมาแล้วก็พลิกตัวลุกขึ้นยืน ก่อนทำมือเป็นสัญญาณว่าปลอดภัยให้เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ย

เฉินวั่งซูโล่งใจ มู่จิ่นฉีกยิ้ม ฟันขาวเต็มปากเห็นชัดเป็นพิเศษท่ามกลางแสงจันทร์

มู่จิ่นแสร้งทำเป็นหาวก่อนเดินออกไป เฉิงอู่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเล็กได้ยินเสียงฝีเท้านางก็หันหน้ามาถามเสียงดัง “พี่สาวไยไม่เฝ้ายามอยู่ในห้อง ไฉนออกมาเสียแล้วเล่า”

มู่จิ่นเหลือกตา อ้าปากหาวอีกครั้ง ก่อนทำเสียงบอกให้เงียบ “อย่าเสียงดังจนคุณหนูตื่นเชียวล่ะ ครัวที่นี่ไม่รู้เตรียมอาหารเช้าเวลาใด ข้าคิดว่าคุณหนูมีของที่กินแล้วแสลงหลายอย่าง จะสะเพร่าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ข้าต้องไปกำชับในครัวสักหน่อย จะได้ไม่ทำให้คุณหนูไม่พอใจ”

เฉิงอู่แจ้งใจในฉับพลันจึงแนะนำว่า “พี่สาวเขียนใส่กระดาษมาก็ได้ ข้าจะนำไปส่งให้”

มู่จิ่นเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางเหยียดหยาม “เจ้านึกว่าบ่าวไพร่ไม่ว่าบ้านใดก็จะรู้หนังสือเหมือนกับบ่าวไพร่ของสกุลเฉินอย่างพวกข้ากันหมดหรือไร คนทำขนมรู้จักคำว่า ‘ความสุข’ ‘วาสนา’ และ ‘อายุยืน’ แค่สามตัวนี้ก็เป็นคนครัวได้แล้ว”

เฉินวั่งซูฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านนอกแล้วก็ยกมุมปาก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนเตียง

นางเปิดดูสมุดเล่มที่เถาปี้ทิ้งเอาไว้โดยอาศัยแสงจันทร์อ่าน

“ดูด้วยกันเถอะ แทบจะไม่ต่างจากที่ข้าคิดไว้เลย”

เรื่องที่เถาปี้ล่วงรู้เป็นคนละฉบับกับเรื่องเล่าของจวีหย่า

เผ่าฉีรักษาโรคด้วยวิธีสุ่มเสี่ยงมาแต่ไหนแต่ไร ชอบใช้ยาแรงเกินผู้ป่วยรับไหว อีกทั้งใช้คุณไสย

ก่อนหน้านี้เผ่าฉีมีทายาทได้ยาก แต่สองรุ่นมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เหมือนว่าศาลเจ้าแม่ประทานบุตรตั้งอยู่บนสุสานบรรพบุรุษก็มิปาน เอาแต่เจริญวันเจริญคืน หัวหน้าเผ่าฉีไม่พอใจกับซอกเขาเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลเพียงนั้นแล้ว

มิหนำซ้ำยังได้ข่าวว่าเผ่ามู่ซีถูกฆ่าล้างจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ ในที่สุดหัวหน้าเผ่าฉีก็ตัดสินใจว่าจะนำพาชาวเผ่าฉีเดินออกมาสร้างความยิ่งใหญ่

หัวหน้าเผ่าฉีผู้นี้…

เฉินวั่งซูอ่านมาถึงตรงนี้ก็อุทานออกมา “หัวหน้าเผ่าฉีนี่ถึงกับเป็นคนผู้นั้นที่พวกเราเคยได้ยินมา ท่านยังจำเรื่องเล่าที่ตอนนั้นพี่สะใภ้ห่าวอวี่เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่ เรื่องที่สตรีเผ่าฉีฆ่าล้างบางบ้านสามีแล้วพาบุตรสาวฝาแฝดหนีไปที่อื่น ที่แท้นางหาได้ไปจากลี่โจวไม่ แต่กลับไปที่เผ่า หลังนางตายได้ไม่นานบุตรสาวคนโตของนางก็แต่งงานกับหัวหน้าเผ่า คลอดบุตรสาวคนโตนามว่าเจินจี บุตรสาวคนรองนามว่าจินผิง…ให้ตายสิ นี่เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น!”

เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็เดาต่อว่า “ดังนั้นเจินจีกับสกุลเซ่าจึงหาได้มีความสัมพันธ์กันไม่ นางอยากได้ฐานะเป็นบุตรสาวสกุลเซ่า หมายมาดตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมืองมาตั้งแต่ต้น มีเพียงได้ตำแหน่งนี้มาเผ่าฉีถึงจะสามารถยืนหยัดมั่นคงอยู่ในเมืองลี่โจวได้อย่างแท้จริง ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ เผ่าฉีกลับปรารถนามากกว่านั้น”

เฉินวั่งซูพยักหน้า “ท่านพูดถูกทั้งหมด ในบุตรสาวสองคนนี้เจินจีมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญ นอกจากใบหน้า จุดอื่นๆ ล้วนไม่โดดเด่นเสียเท่าไร แต่หลี่จินผิงผู้เป็นน้องสาวกลับไม่เหมือนกัน นางไม่เพียงแตกฉานทั้งคัมภีร์โอสถและคัมภีร์พิษของเผ่าฉี อีกทั้งเป็นอัจฉริยะในหมู่หมอเท่านั้น ทว่าจินผิงกลับมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นางจึงมุ่งเป้าไปที่อาการป่วยของผิงอ๋องตั้งแต่ต้น ผิงอ๋องอาการดีขึ้นเร็วมาก ไม่ต้องฟื้นฟูสุขภาพก็เดินได้ราวกับเหาะแล้ว ประสิทธิผลนั้นเรียกว่าเป็นโอสถเซียนก็ยังไม่เกินไป แต่ผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจไหนเลยจะน่าตอแยปานนั้นเล่า ที่หลี่จินผิงกล้าแขวนประกาศรักษาคนก็แสดงให้เห็นว่านางเตรียมตัวมาเกินพร้อม มิเช่นนั้นนางก็คงหัวหลุดออกจากบ่าได้ในเสี้ยวเวลานั้นแล้ว” เฉินวั่งซูอ่านมาถึงตรงนี้ก็เหลืออดแล้วจริงๆ โพล่งออกมาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เดรัจฉานในคราบมนุษย์แท้ๆ! ใต้หล้าถึงกับมีคนใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้อยู่ด้วย?”

เจินจีโง่เขลา หาใช่คนที่จะคิดเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ออกมาได้

ผู้ที่ควบคุมทั้งเมืองลี่โจวในเวลานั้นน่าจะไม่ใช่นาง แต่เป็นหลี่จินผิง

บทที่ 307

“หลี่จินผิงผู้นี้เป็นคนบ้าบิ่นทีเดียว”

เฉินวั่งซูอ่านแต่ละเรื่องราวแล้วก็โมโหโกรธเคืองขึ้นมาอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง

พวกนางเดาได้มิผิด หลักฐานชิ้นนี้เป็นเหวยฮูหยินสามผู้ลอบบอกใบ้เรื่องวันที่สี่เดือนเก้าต่อพวกนางโดยมอบให้เถาปี้ไว้ เถาปี้เป็นคนซื่อตรง ขอเพียงเขากลับถึงหลินอันได้อย่างปลอดภัยแล้วนำหลักฐานเหล่านี้มอบให้ฮ่องเต้ก็จะเปิดโปงความชั่วร้ายทั้งหมดนี้ได้แล้ว

แผนการของเผ่าฉีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่เจินจีไปเคาะประตูบ้านสกุลเซ่าแล้ว

“หลังเซ่าเจินแต่งเข้าจวน ได้บอกเหวยเต๋อลี่ว่าสาเหตุที่องค์ชายใหญ่ขาพิการเป็นเพราะตอนนั้นถูกพิษประหลาดชนิดหนึ่ง และเผ่าฉีก็มีตำรับไม่สมบูรณ์ของยาแก้พิษชนิดนี้อยู่พอดี”

เหยียนเจวี๋ยฟังมาถึงตรงนี้ก็แทบจะเดาเรื่องจริงต่อจากนี้ได้แล้ว

องค์ชายใหญ่มีฐานะสูงศักดิ์ หากเหวยเต๋อลี่รักษาเขาให้หายได้ก็จะมีความดีความชอบสูงสุดในการติดตามฮ่องเต้ตั้งแต่ก่อนครองราชย์ ทว่าก็เพราะเขาฐานะสูงศักดิ์เช่นกันโอกาสพรรค์นี้จึงมีเพียงหนเดียว

ในเมื่อเป็นตำรับไม่สมบูรณ์…นั่นก็มีความไม่แน่นอน

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเริ่มทดลองยาครั้งแรกด้วยความคิดที่มีผลประโยชน์ครอบงำจิตใจ ตัวเลือกในเวลานั้นก็คือคนในทัพวิญญาณ กองทัพลี่โจว ซึ่งนอกจากส่วนหนึ่งที่เป็นบ่าวรับใช้ผู้จงรักภักดีของสกุลเหวยก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านสามัญชนที่ถูกเกณฑ์มารับใช้กองทัพ

ลี่โจวอยู่ห่างไกล ประชากรไม่นับว่ามาก เป็นเหตุให้ผู้ที่ถูกเกณฑ์มามีคนต่างถิ่นอยู่ไม่น้อย

เหวยเต๋อลี่เลือกคนออกมา ให้พวกเขากินพิษที่องค์ชายใหญ่ได้รับลงไปก่อนเพื่อทำให้พวกเขาขาพิการ จากนั้นค่อยนำตำรับไม่สมบูรณ์นั้นมาปรุงยาแล้วทดลองไปทีละคน แม้จะเป็นคนเหมือนกัน แต่คนเป็นๆ เหล่านั้นในสายตาพวกเขากลับสู้ไม่ได้แม้แต่หนู

“ขาขององค์ชายใหญ่เป็นโรครักษายาก มีหรือจะรักษาหายได้ง่ายๆ คนในกองทัพตายมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนแม้จะไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้หายดีโดยสมบูรณ์ ปรากฏอาการพิการอยู่เล็กน้อย เป็นต้นว่ายามเดินจะสั่นอยู่บ้าง คนเช่นนี้ก็ล้วนถูกพวกเขาฆ่าตายเป็นการลับไปหมดแล้ว แม้พวกเขาจะยกทัพวิญญาณมาอ้างว่าคนเหล่านี้ล้วนไปเป็นโจรภูเขาอยู่ข้างนอกแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนสงสัย กระทั่งพวกเขาเริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้ว”

เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า

มิน่าเวลานั้นเจินจีเพิ่งจะแต่งเข้ามาก็อยู่แต่ในจวน ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น เกรงว่าในสองปีแรกนางคงกำลังพยายามคว้าความไว้เนื้อเชื่อใจจากเจ้าเมืองเหวย ในปีต่อๆ มาก็ทดลองยาอยู่ในกองทัพโดยตลอด

แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า หนึ่งคือกระดาษห่อไฟไม่อยู่ สองคือหากยังไม่สำเร็จอีกองค์ชายสามที่ขณะนั้นรุ่งโรจน์อย่างที่สุดก็จะได้เป็นรัชทายาทแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้องค์ชายใหญ่หายดี แต่จะมีประโยชน์อันใด

ในเมื่อสถานการณ์เป็นที่แน่นอนแล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงร้อนใจ หันเหสายตามามองที่ชาวบ้านในเมืองลี่โจว

“เมื่อเดือนแปดปีกลายนี้เองได้มีคนหนึ่งในทัพวิญญาณที่ถูกใช้ทดลองยาแกล้งตายแล้วหนีออกไป นามของเขาคืออู๋เถียน อู๋เถียนไม่ใช่คนทั่วไป เขามิได้แค่หนีออกมาคนเดียว แต่ยังหยิบยาติดออกมาด้วยครึ่งเม็ด”

เฉินวั่งซูพูดแล้วก็หยิบขวดขาวใบน้อยข้างในห่อผ้าขึ้นมาดึงจุกออก ด้านในมียาลูกกลอนสีแดงแปร๊ดนอนอยู่ครึ่งเม็ดจริงๆ

“หลังเขามอบยาให้เหวยฮูหยินสามก็คิดจะหนีออกจากเมืองลี่โจวไปขอความช่วยเหลือที่หลินอัน แต่คาดไม่ถึงว่าไปได้ครึ่งทางแล้วจะถูกเจ้าเหวยเต๋อลี่นั่นจับตัวกลับไป เรื่องนี้ได้สร้างความคิดใหม่แก่พวกเขา ยาที่พวกเขาปรุงมักจะมีข้อบกพร่องเสมอ แม้จะไม่ทำให้คนตาย แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ ทว่าอู๋เถียนสามารถหนีได้ หมายความว่าเขาอาการดีขึ้นมากแล้ว และเขากินยาไปเพียงครึ่งเม็ดเท่านั้น เช่นนั้นถ้าให้ยาเป็นสองเท่าจะรักษาคนที่กินยาลงไปเต็มเม็ดให้หายได้หรือไม่หนอ พวกเขานำตัวอู๋เถียนมาทดลอง อู๋เถียนอาการดีขึ้นแล้วก็จริง แต่ดีอยู่ได้ไม่นาน ไม่ถึงสามวันก็เลือดออกทวารทั้งเจ็ดตาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเริ่มคิดอีกครั้ง องค์ชายใหญ่ป่วยมาหลายปีแล้ว ยาพิษนั้นซึมลึกเข้ากระดูก ใช่ยาเม็ดเดียวมารักษาได้เสียที่ใด ไม่อาจรู้ได้ว่าอัตราส่วนของยาพิษนี้กับยาแก้พิษควรเป็นเท่าไรกันแน่”

เฉินวั่งซูยัดจุกไม้กลับเข้าไป นี่เป็นหลักฐานที่อู๋เถียนแลกมาด้วยชีวิต

การจะรู้อัตราส่วนให้แน่ชัดนั้นมิใช่เรื่องที่ทดลองออกมาได้จากคนเพียงไม่กี่คน หากพวกเขาให้ยาแก้มากไป องค์ชายใหญ่ก็จะเลือดออกทวารทั้งเจ็ดจนตาย หากให้น้อยไปก็แทบไม่ช่วยอะไร ทำไปก็เสียแรงเปล่า

ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดเรื่องที่ชวนสะเทือนขวัญอย่างที่สุด

“เหวยเต๋อลี่กับเจินจี เจ้าคนสติฟั่นเฟือนทั้งสองนี้โปรยพิษไปทั่วเมืองลี่โจว จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างโรคระบาด ทำให้ชื่อเสียงของชาวเผ่าฉีเป็นที่เลื่องลือขึ้นมา ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ทดลองยา เพื่อให้เทียบเท่ากับที่องค์ชายใหญ่ได้รับพิษ พวกเขาถึงขนาดวางยาที่แรงยิ่งกว่าที่เคยใช้กับกองทัพหลายส่วน”

เหตุใดต้องหนึ่งร้อยคน…ย่อมจะมิได้เป็นไปตามข้ออ้างของเจินจี แต่เป็นเพราะปริมาณยาแก้พิษที่ให้หนึ่งร้อยคนนี้ล้วนแตกต่างกัน ชาวเผ่าฉีเป็นพวกถือดี ไม่ถูก ควรกล่าวว่าหลี่จินผิงถือดี นางคิดว่าคนทั้งหมดจะเป็นเหมือนอู๋เถียนที่อาการดีขึ้นก่อน จากนั้นค่อยมีปัญหา หรือไม่อย่างน้อยต้องผ่านไปสามวันถึงจะเห็นผลลัพธ์

การรักษาคนหนึ่งร้อยคนให้หายได้ภายใต้สายตาธารกำนัลนั้นถือเป็นปาฏิหาริย์เลยทีเดียว

ทว่านางลืมไปว่าอู๋เถียนหาใช่คนธรรมดาไม่

แม้เขาจะเป็นชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเช่นกัน แต่ร่างกายแข็งแรงบึกบึนไม่พอ ยังมีวรยุทธ์อีกด้วย มิเช่นนั้นคงจะไม่หนีไปได้ง่ายดายปานนั้นหรอก ต่อให้เขาสามารถทนได้สามวัน แต่คนในเมืองที่ป่วยปางตายแล้วเหล่านี้ทนไม่ได้

หลี่จินผิงคาดการณ์ผิดไปจึงกลายเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์วันที่สี่เดือนเก้าอันน่าสยดสยอง

ขอเพียงเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกแม้เพียงเศษเสี้ยวคงได้สติวิปลาสไปตั้งแต่วันที่สี่เดือนเก้าแล้ว แต่ทว่าหลี่จินผิงมิได้เป็นเช่นนั้น เวลานั้นในเมืองลี่โจววุ่นวายแล้ว นางจับคนไม่น้อยมาทดลองยาอย่างเงียบๆ และในสามวันให้หลังนางก็ทดลองยาที่เหมาะสมออกมาได้จริงๆ

ด้วยเหตุนี้เจินจีกับชาวเผ่าฉีจึงกลับมายืนได้ใหม่ และได้สำแดง ‘ปาฏิหาริย์’ ขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเก้าอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นคนที่มีชีวิตรอดก็ระลึกถึงบุญคุณช่วยชีวิตของเผ่าฉี ส่วนญาติๆ ของคนที่ตายไปเหล่านั้นมิได้ล่วงรู้ความจริง จึงเพียงแต่แค้นใจตนเองว่าเหตุใดต้องแย่งชิงกันเป็นหนึ่งร้อยคนที่ทดลองยาชุดแรกก่อนผู้อื่น…

วันที่สี่เดือนเก้าจึงกลายเป็นวันต้องห้ามของเมืองลี่โจวไป

เรื่องราวในกาลต่อมาล้วนตรงกับใจของชาวเผ่าฉี หลี่จินผิงไปเยือนหลินอัน รักษาองค์ชายใหญ่จนหายดี กลายเป็นพระสนมคนโปรดในวัง เจินจีกลายเป็นมีสถานะประดุจเทพธิดาในเมืองลี่โจว

เผ่าฉีที่เดิมทีอาศัยอยู่ในซอกหลืบประหนึ่งกลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีฐานะเท่าเทียมกับสกุลเหวยในเมืองลี่โจวไปแล้ว

แม้คนในใต้หล้าจะล้วนตาบอด แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนที่ดวงตาสุกใสประดุจดาวประกายพรึกกำลังสังเกตการณ์เรื่องทุกอย่างนี้อยู่

เฉินวั่งซูห่อหลักฐานเหล่านี้ไว้

“ตอนนี้เจ้ามีแผนเยี่ยงไร” เหยียนเจวี๋ยเอ่ยถาม

“พวกเรามีสองทางให้เดิน ทางแรกคือรั้งอยู่ที่นี่โดยแสร้งโง่ต่อไป ขณะพวกเราเดินทางมาที่นี่ได้เร่งเดินทางจนเกินขีดจำกัดไป คาดว่าผู้เดินสารจากจวนผิงอ๋องน่าจะมาถึงในสองวันนี้แล้ว บัดนี้ผิงอ๋องเห็นพวกเราเป็นหนามยอกอก จะต้องสั่งให้เหวยเต๋อลี่ใช้โอกาสนี้กำจัดพวกเราทิ้งโดยไม่เสียดายว่าต้องแลกมาด้วยอะไร ถึงเวลานั้นแสร้งโง่ต่อก็ไม่ได้แล้ว ทว่าความต่างของเวลานี้สามารถทำให้พวกเรารวบรวมหลักฐานที่แน่นหนาได้มากขึ้น ทำให้หาพยานบุคคลคนอื่นๆ นอกจากเหวยฮูหยินสามพบได้ ถึงในตัวข้านี้จะมีหลักฐาน แต่เรื่องชวนสะเทือนขวัญเกินไปกลับจะทำให้คนกลับคำให้การได้ง่าย มิหนำซ้ำพวกเรามาลี่โจวก็ไม่ใช่เพียงเพื่อเรื่องของเถาปี้ ยังมีเรื่องที่ว่าหมอเทวดาหญิงในวังกับอดีตฮู่กั๋วกงฮูหยินมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าฉีหรือไม่กันแน่อยู่อีก”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: