บทที่ 308
เหยียนเจวี๋ยส่ายศีรษะ “เลือกทางที่สอง พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
ความจริงที่เถาปี้แลกมาด้วยชีวิตเป็นไปได้ยิ่งยวดว่าจะเป็นความจริง หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างลี่โจวกับจวนผิงอ๋องก็แน่นแฟ้นกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
“อย่าลืมว่าเรื่องที่หลี่จินผิงเข้าวังไปเป็นพระสนมแล้วพวกเราเองก็เพิ่งจะได้รู้ไม่นาน ทว่าทางเจินจีกลับรู้อยู่ก่อนแล้ว ไม่แน่ว่ารุ่งสางเหวยเต๋อลี่อาจจะได้รับจดหมายจากผิงอ๋องแล้ว เหวยเต๋อลี่ลงมือโหดเหี้ยม ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน”
เฉินวั่งซูพยักหน้า ปรับตำแหน่งหน้าไม้น้อย ก่อนดึงมีดสั้นที่สอดอยู่ในรองเท้าหุ้มแข้งออกมา นางเปลี่ยนมาสวมชุดท่องราตรีอีกครั้ง เสร็จแล้วก็นำหลักฐานที่ได้มาสอดเข้าไปในอกเสื้อด้วยความระมัดระวังยิ่ง
นางคิดเล็กน้อยก่อนเดินไปหน้าโต๊ะ ฉวยกล่องเครื่องประดับที่เจินจีเตรียมไว้ให้นางขึ้นมา
เหยียนเจวี๋ยโอบเอวนางไว้ พอเปิดประตูออกไปมู่จิ่นกับเฉิงอู่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ก้าวมาประกบทันที
“ไป!”
เหยียนเจวี๋ยออกคำสั่ง โอบเอวเฉินวั่งซูไว้ แล้วก็อุ้มนางขึ้นหลังคา
แสงจันทร์นวลอ่อนส่องลงบนหลังคาจนดูคล้ายกับว่าปูหลังคาด้วยแสงจันทร์สีเงินยวงก็มิปาน
เท้าเหยียนเจวี๋ยสะกิดพื้นเบาๆ พาเฉินวั่งซูออกจากจวนโดยไม่เหลียวหลัง
เฉินวั่งซูใช้หางตามองดู นางได้รู้ถึงวิชาตัวเบาของมู่จิ่นอยู่เป็นประจำ มู่จิ่นย่อมตามมาได้สบาย ส่วนเฉิงอู่ที่ขับรถม้ามาตลอดไม่เคยเผยฝีมือให้นางเห็น ยามนี้อีกฝ่ายประหนึ่งเป็นวิญญาณ ไม่ถูกทิ้งห่างแม้เพียงครึ่งก้าว กระทั่งหายใจก็ยังไม่หอบ
แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ…ยกเว้นนาง
เฉินวั่งซูหรี่ตาลง สายลมพัดเรือนผมนางปลิวขึ้น
“ข้าเตรียมม้าไว้นอกเมือง หลังพวกเราออกไปแล้วก็ขี่ม้ากลับหลินอันได้ทันที ระหว่างทางเกรงว่าต้องลำบากภรรยาแล้ว”
เฉินวั่งซูได้ยินคำพูดของเหยียนเจวี๋ย นางเพิ่งคิดจะตอบ กลับเห็นเขาหยุดฝีเท้าลง
บนหอกำแพงเมืองมีไฟสว่างพึ่บ
เฉินวั่งซูเพ่งสายตามองไป เหวยเต๋อลี่สวมชุดเกราะเต็มยศยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง ในมือถือคบเพลิงไว้อันหนึ่ง ผู้ที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ข้างกายเขาก็คือคนสกุลเหวยที่โขกออกมาจากแม่แบบเดียวกันกับเขา
เจินจียืนเฉิดฉายอยู่ตรงนั้น สวมกระโปรงพิลึกที่แตกต่างจากเมื่อกลางวันโดยสิ้นเชิง น่าจะเป็นชุดของเผ่าฉี
“ล้วนกล่าวขวัญกันว่าคุณหนูรองเฉินรู้หนังสือรู้มารยาท เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ข้าก็ว่าอยู่ว่าจะหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใครปานนั้นได้อย่างไร เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ บัดนี้พวกข้าได้รับข่าวจากเมืองหลินอันแล้ว สองคนตรงหน้านี้เป็นตัวปลอม โจรกระจอกจากที่ใดถึงกับกล้าแอบอ้างเป็นคุณชายแห่งจวนฮู่กั๋วกง แอบอ้างเป็นเซี่ยนจู่มาหลอกลวงต้มตุ๋นหาประโยชน์จากลี่โจวเรา! บังอาจยิ่งนัก! พวกข้ารออยู่ที่นี่มานานแล้ว เจ้าโจรกระจอก จงยอมให้จับเสียดีๆ!”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ให้ขบขัน เห็นได้ชัดว่าตอนกลางวันเจินจีถูกนางรังแกจนเหลืออดแล้วจริงๆ บัดนี้อุตส่าห์มีโอกาสทั้งทีก็ต้องการกู้หน้าคืนบ้าง จึงร้องป่าวประกาศจนคอแทบแตกแล้ว
แม้พวกนางจะถูกทัพใหญ่ล้อมไว้ แต่เฉินวั่งซูถึงกับไม่รู้สึกหวาดหวั่นลนลานเลยสักกระผีก
นี่นับเป็นอะไรกัน…
นี่นับว่าเฉินวั่งซูตายจนชินชาจนไม่กลัวอะไรแล้วใช่หรือไม่ หรือว่านางบรรลุขั้นหลุดพ้นวิสัยมนุษย์ปุถุชนแล้ว จึงเห็นความเป็นความตายเป็นสิ่งว่างเปล่า
“คุ้มครองคุณหนูเจ้าให้ดี”
เหยียนเจวี๋ยพูดจบก็ชักกระบี่ยาวออกมาจากตรงบั้นเอว ลมพัดเรือนผมยาวของเขาปลิวขึ้น แสงจันทร์ส่องกระทบบนใบหน้าเขา รูปโฉมอันน่าตื่นตะลึงนั้นคล้ายฉาบไว้ด้วยรัศมีเรืองรอง งดงามจนชวนให้คนใจหายใจคว่ำอยู่บ้าง
ธนูในมือของทหารในกองทัพประจำเมืองที่ยืนอยู่บนหอกำแพงเมืองเกิดสั่นหวิดจะร่วงตก
แม้จะเป็นบุรุษด้วยกัน แต่พลังโจมตีของเหยียนเจวี๋ยในครานี้ก็ไม่ด้อยกว่ายามบัณฑิตยากจนบังเอิญพบปีศาจจิ้งจอกในภูเขาเลย
ทว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้เป็นปีศาจจิ้งจอกที่จะเอาชีวิตคน!
เฉินวั่งซูกล่าวในใจอย่างปลงๆ
“ใช้เจ้านี่” เฉินวั่งซูยื่นกล่องเครื่องประดับที่เจินจีให้นางมาออกไป
เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็เอื้อมมือมาคว้าไปโดยไม่ลังเล ก่อนจะโยนไปทางหอกำแพงเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วปานฟ้าผ่าไม่ทันปิดหู
อะไรเรียกว่า ‘พอคุยไม่ถูกคอก็ลงไม้ลงมือ’ นี่อย่างไรเล่า!
เจินจีอ้าปากพูดไม่ทันจบที่ข้างกายก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาเป็นระลอกแล้ว
นางหันหน้าไปมอง ได้ยินเพียงเสียงดังตูม ทหารนายหนึ่งที่ด้านหลังร้องครวญครางได้เพียงเสียงเดียวก็ล้มลงพื้น ตายไม่ฟื้นไปแล้วโดยยังมีไข่มุกเม็ดหนึ่งฝังอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา
ไข่มุกเม็ดนี้นางจำได้ เป็นของที่นางวางไว้ในห้องเฉินวั่งซูเพื่อความมีหน้ามีตา สีขาวนวลผ่อง มันเป็นหนึ่งในของขวัญที่เหวยเต๋อลี่มอบให้นางในวันเกิดปีนี้
เหวยเต๋อลี่เผยสีหน้าที่ดูคาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งงันไปชั่วครู่ถึงค่อยได้สติ แล้วแผดเสียงคำรามลั่น “ยิงธนู!”
เหยียนเจวี๋ยไม่หวั่นแม้แต่น้อย ชูกระบี่ยาวในมือขึ้น “เจ้าเมืองเหวยใช้ชาวบ้านลี่โจวทดสอบพิษ ใช้ทหารในกองทัพทดสอบพิษ ถูกพวกข้าล่วงรู้จึงต้องการฆ่าคนปิดปาก หากข้ามิใช่เหยียนเจวี๋ย ใต้ผืนฟ้านี้ก็ไม่มีใครอื่นที่ทำได้อย่างเหยียนเจวี๋ยแล้ว!”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ห่าธนูก็พุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว
เฉินวั่งซูสบถในใจ
มองเห็นเหยียนเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างหน้านางกวัดแกว่งกระบี่ยาวในมืออย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตา ครั้นเขาลดแขนลงลูกธนูทั้งหมดล้วนตกลงพื้นจนหมดสิ้น คนทั้งสี่ไร้รอยขีดข่วน
รอบข้างเงียบฉี่
เหยียนเจวี๋ยพูดได้มิผิด ใต้ผืนฟ้านี้ไม่มีใครอื่นที่มีฝีมือเท่าเขาจริงๆ
ต่อให้มีคนที่มีฝีมือเช่นนี้ก็ไม่ได้หน้าตาดีเท่าเขา
คนทั้งหมดล้วนอึ้งตะลึง รวมไปถึงเฉินวั่งซูด้วย
นางยังจำได้ว่าตอนเพิ่งมาถึงแคว้นต้าเฉินเหยียนเจวี๋ยยังเป็นลิงที่อยู่ผิดดินฟ้าอากาศ ทุกวันเอาแต่กระโดดโลดเต้นอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ ซ้ำวรยุทธ์ก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทว่านี่เพิ่งจะผ่านมานานเท่าไรเชียว เขากลับเข้าใจความสามารถของเจ้าของร่างเดิมได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ต่อให้เหยียนเจวี๋ยคนเดิมยังอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ชนะเหยียนเจวี๋ยคนนี้ได้
“ไม่ต้องกลัว ต่อให้เขาจะร้ายกาจสักเพียงใดก็มีเพียงคนเดียว พวกเรามีคนมากเพียงนี้ยังจะฆ่าเขาไม่ตายอีกหรือ จงฟังข้า ยิงธนูต่อไป” ที่สุดแล้วเหวยเต๋อลี่ก็เป็นยอดฝีมือในสนามรบ เพียงไม่นานก็ได้สติกลับมาจากความตระหนกตกใจ ทว่าเขาเพิ่งจะพูดจบที่ข้างกายเหยียนเจวี๋ยก็พลันมีคนชุดดำโผล่ออกมาอีกแปดคนราวกับผีหลอก
เหวยเต๋อลี่ขยี้ตา ระหว่างที่ใจลอยแปดคนนั้นก็กลายเป็นสิบหกคนประหนึ่งว่าแต่งงานหมู่ในวันเดียวกันก็มิปาน
ครั้นเขากะพริบตาอีกทีสิบหกคนนี้ก็ให้กำเนิดบุตร บนหลังคากลายเป็นคนอีกสิบหกคน
“ไป”
เหยียนเจวี๋ยใช้เท้าสะกิดพื้น อุ้มเฉินวั่งซูเหาะไปทางหอกำแพงเมือง สามสิบสองคนนั้นหายวับไปประหนึ่งเป็นเงา…กว่ากองทัพสกุลเหวยที่รออยู่บนหอกำแพงเมืองจะได้สติกลับมา พวกเหยียนเจวี๋ยสี่คนรวมถึงคนชุดดำสามสิบสองคนนั้นก็ขึ้นมาบนหอแล้ว
รอบข้างมีเสียงร้องโหยหวนดังระงมขึ้นอีกครั้ง
เหวยเต๋อลี่ข่มอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป เงื้อแส้เก้าท่อนขึ้นหวดใส่เฉินวั่งซูที่อยู่ในอ้อมแขนเหยียนเจวี๋ย
เฉินวั่งซูด่าเป็นการใหญ่ “เวรเอ๊ย! กินมะพลับต้องเลือกลูกที่นิ่ม ยังเป็นคนอยู่หรือไม่” กล่าวจบแล้วนางก็ล้วงหน้าไม้อันเป็นอาวุธสังหารเพียงหนึ่งเดียวบนตัวนางออกมาสับไกด้วยความเฉียบขาด
เฉินวั่งซูมองคนที่ถูกยิงแล้วก็ตะลึงลานไป
“เดี๋ยวก่อนนะ ข้าไม่นึกเลยว่าพายุเข็มดอกสาลี่นี้จะแม่นยำคล้ายมีดวงตาอย่างไรอย่างนั้น มันเลือกแทงเฉพาะคนแซ่เหวย! เหยียนเจวี๋ย ท่านดูสิ ท่านดู น้องชายชุดดำผู้นั้นที่เป็นพวกเดียวกับพวกเราไม่ได้ถูกแทงนี่นา ท่านว่าหน้าไม้นี้ของข้าน่าอัศจรรย์ใจหรือไม่”
เฉินวั่งซูเพิ่งจะพูดจบองครักษ์ลับชุดดำที่หันหลังให้พวกนางอยู่ผู้นั้นก็ล้มตึงลงกับพื้นในสภาพตัวแข็งทื่อเหมือนรูปสลักหิน
เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็เย็นสันหลังวาบแทนองครักษ์ลับชุดดำผู้นั้น พึงต้องรู้ว่าคนผู้นี้หันหลังให้เฉินวั่งซู เข็มเล่มน้อยที่มีดวงตานั่นปักเข้าที่จุดใดไม่ต้องบอกก็รู้ เมื่อเคยลิ้มลองความทุกข์ทรมานนั้นแล้วก็ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต
บทที่ 309
เฉินวั่งซูกระแอมกระไอ ด่วนคุยโวเร็วเกินไปแล้ว!
นางนับว่าค้นพบแล้ว นับตั้งแต่มายังแคว้นต้าเฉินนี้หน้าของนางล้วนแต่ถูกตนเองตบดังเพียะๆ!
“น้องชายท่านนี้ ข้าต้องขออภัยด้วย เข็มเล่มหนึ่งดันมีความคิดเป็นของตนเอง มันขบถเข้าแล้ว หากเป็นคนที่มีความคิดหมายก่อการกบฏพวกเรายังพอห้ามไว้ได้ แต่หากเป็นเข็มหมายก่อการกบฏข้าก็ห้ามไม่ได้มิใช่หรือ…”
กระบี่ที่เหยียนเจวี๋ยถือไว้ในมือเกิดสั่นวูบหนึ่ง ก่อนสาดประกายกระบี่กรีดไปบนหน้าของเหวยเต๋อลี่ด้วยตนเอง
ในยามนี้เนื่องจากความห้าวหาญของเฉินวั่งซู คนแซ่เหวยที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ก็เหลือเพียงเหวยเต๋อลี่คนเดียวแล้ว อย่าเห็นว่าเขามีรูปร่างบึกบึน หนวดเฟิ้มเต็มหน้า เหมือนเป็นคนมุทะลุดุดันคนหนึ่ง แต่พอเขาใช้แส้เก้าท่อนเป็นอาวุธ เอวหนาเท่าถังน้ำนั่นก็บิดได้พลิ้วไหวอย่างยิ่ง เหมือนกับแส้ของเขามิมีผิด
เหวยเต๋อลี่ถึงกับหลบได้ฉิวเฉียด
ทว่าถึงเขาหลบพ้นเข็มของเฉินวั่งซูได้ แต่กลับหลบไม่พ้นกระบี่ในมือของเหยียนเจวี๋ย
ครั้นประกายกระบี่นั้นวาบผ่านเหวยเต๋อลี่ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กระโดดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขายกมือแตะดู บนหน้าเต็มไปด้วยเลือด
เจินจีที่ตามติดเขาโดยตลอดส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ “กรี๊ด! มีตัวอักษรด้วย! ใต้เท้า บนหน้าท่านมีตัวอักษร!”
เหวยเต๋อลี่ตกใจ ก่อนจะเช็ดเลือดออก “เขียนเป็นคำว่าอะไร”
เจินจีเสียงสั่น “อ่อนหัด!”
เหวยเต๋อลี่เบ้าตาแดง ลูกตาคล้ายว่าจะถลนออกมาก็มิปาน “บุรุษฆ่าได้หยามไม่ได้ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เหยียนเจวี๋ยอ้าปากค้าง มองไปยังเฉินวั่งซูด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิด “ภรรยา หากข้าบอกว่ากระบี่ข้ามีความคิดของตนเอง เจ้าเชื่อหรือไม่”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็พูดเสียงดัง “เข็มยังกบฏได้ เหตุใดกระบี่จะมีความคิดของตนเองบ้างไม่ได้ เพลงกระบี่ของสามีบรรลุมหาวิถีแล้ว นั่นหมายถึงมีเจตจำนงฟ้าดินแฝงอยู่ มหาวิถีแห่งกระบี่ยืมมือของสามีเพื่อบอกว่าเหวยเต๋อลี่อ่อนหัด นั่นก็หมายความว่าอ่อนหัดจริงๆ”
เสียงเฉินวั่งซูประดุจเป็นระฆังใบใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่มีกำลังภายใน แต่กลับแฝงด้วยความดังอันเป็นพรสวรรค์ของหญิงช่างนินทา คำว่า ‘อ่อนหัด’ นั้นถึงกับดังจนสะท้อนก้อง
ในชั่วพริบตานี้เองดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า ทั่วท้องนภาสว่างขึ้นพร้อมกัน ไก่ขันสุนัขเห่าเป็นครู่ใหญ่ คล้ายว่ากำลังโห่ร้องกระโดดโลดเต้นขานรับคำนาง มิผิด สวรรค์บอกว่าคนแซ่เหวยอ่อนหัด!
เหวยเต๋อลี่ไหนเลยจะทนรับความอัปยศอดสูใหญ่หลวงปานนี้ได้จึงกระทืบเท้า ไม่มัวสนใจศีลธรรมในยุทธภพอะไรแล้ว แส้เก้าท่อนราวกับเป็นงูที่มีชีวิต โจมตีเข้าหาบริเวณเอวของเฉินวั่งซูทันที
เฉินวั่งซูแผดเสียงลั่น “มู่จิ่น! จัดการมัน!”
ในเวลาเดียวกันนี้เหวยเต๋อลี่ผู้นั้นก็แผดเสียงลั่นเช่นกัน “เจินจี จัดการมัน!”
เฉินวั่งซูหัวใจหดเกร็ง นางแทบอยากจะถูมือไปมา นี่คือสองฝ่ายใช้ไม้แข็งเข้าปะทะกันแล้ว! นางพลันคิดได้ว่าวันหน้าตนเองจะต้องเลี้ยงสุนัขไว้สักตัว ยามเกิดการวิวาทต่อสู้เยี่ยงนี้นางจะได้ตะโกนคำที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กออกไป ‘ไปเลย พิคาชู!’*
มู่จิ่นส่งเสียงร้องตะโกน ก่อนปลดจานฝนหมึกแปดเหลี่ยมสีดำสนิทลงมาจากบั้นเอวแล้วยื่นไปหาแส้เก้าท่อนนั้น แส้เก้าท่อนพลันมีอาการเหมือนเป็นหญิงสาวบ้าบุรุษที่มองเห็นคนรักในฝัน คอบิดมือสั่น เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปหาจานฝนหมึกอันน้อยของมู่จิ่นเสียอย่างนั้น
เหวยเต๋อลี่ยังไม่ทันได้สติ แส้เก้าท่อนของเขาก็ดูดติดกับจานฝนหมึกใบน้อยของมู่จิ่นดังแป๊ะแล้ว
มู่จิ่นพลันเอื้อมมือไปกระชากปลายแส้ที่ติดกับจานฝนหมึก แส้ยาวในมือเหวยเต๋อลี่ก็หลุดออกจากมือเขา
ทว่าในเวลานี้เจินจีเองก็ล้วงลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งออกมาแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศเช่นกัน
พอเหวยเต๋อลี่เสียแส้เก้าท่อนไปก็ดึงเอาแส้อ่อนของคนข้างกายมาฟาดไปที่ลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้น มันแตกออก กลิ่นระคายจมูกโชยปะทะหน้า ตามติดมาด้วยผงที่มีลักษณะเหมือนแป้งสีขาว
เฉินวั่งซูหน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก เวรแล้ว! ตะลุมบอนกันอยู่ดีๆ เจ้าพวกไร้ยางอายถึงกับใช้อาวุธชีวเคมี
ผงนี้ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเดาได้ว่าข้างในนั้นจะต้องมีพิษร้ายแรงแฝงอยู่แน่นอน
เหยียนเจวี๋ยรวบตัวเฉินวั่งซู พานางกระโดดถอยหลังไปสามก้าว ไม่ว่าผงสีขาวพวกนั้นตกลงที่ใดก็ล้วนเกิดฟองอากาศที่ดูน่าขวัญผวา…แต่เจินจีกับเหวยเต๋อลี่ล้วนลืมไปว่าผู้ที่ยืนประจันหน้าสู้อยู่กับเฉินวั่งซูก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคนสกุลเหวย…
พวกเขาแต่ละคนถูกยาชาจากหน้าไม้น้อยทำให้กลายเป็นเหมือนคนตายที่มีลมหายใจ บ้างนอนคว่ำบ้างนอนหงายอยู่…
หากตายไปแล้วก็ช่างเถิด แต่พวกเขาล้วนยังมีชีวิตอยู่ดี หูฟังได้ยินและตามองเห็นอยู่ ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าผงสีขาวนั้นคือยาพิษ ทว่าพวกเขาอยู่กับเจินจีมานานปานนี้แล้วมีหรือจะไม่รู้
แต่ละคนล้วนเบิกตาโตด้วยความหวาดผวา ฉากเหตุการณ์นี้ได้ยินแล้วต้องสลด ได้ฟังแล้วต้องหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว…
เฉินวั่งซูเห็นแล้วยังต้องคำรามลั่นว่า “เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง*!”
เมื่อพวกเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยผลุบตัวหลบ ผงสีขาวเหล่านั้นย่อมจะตกใส่ร่างพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาจะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก จะร้องก็ร้องไม่ได้ แม้แต่สีหน้าดุร้ายก็ยังจนปัญญาจะทำออกมาได้
ดวงตาแต่ละคู่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้นเนื่องจากความเจ็บปวด
“ข้ารู้สึกว่าข้าค้นพบประโยชน์ที่แท้จริงของพายุเข็มดอกสาลี่นี้แล้ว!” เฉินวั่งซูโพล่งขึ้นมา ก่อนหันหน้ามองเหยียนเจวี๋ย กลับเห็นเขาฉีกแขนเสื้อของตนเองทิ้งอย่างไม่รีบร้อน
เฉินวั่งซูพลันหน้าเปลี่ยนสี “ท่านได้รับบาดเจ็บ?”
ต่อให้เหยียนเจวี๋ยตอบสนองรวดเร็วเพียงไร ลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้นก็ระเบิดมาใส่พวกเขาสองคน ย่อมจะมีส่วนหนึ่งที่ไม่ว่าเขาจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น นางรู้สึกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเหยียนเจวี๋ยยกมือบังนางไว้โดยตลอด
บัดนี้ดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ แขนเสื้อของเขาถูกเผาเป็นรูหลายรู
เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไร เพียงแต่เสียดายของกินเล่นที่เตรียมไว้ให้เจ้าเท่านั้น ข้าซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ ยามนี้ล้วนกินไม่ได้แล้ว”
เฉินวั่งซูเห็นเหยียนเจวี๋ยกระชากกระเป๋าที่ผูกอยู่บนแขนทิ้งไปอีกชิ้นก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
นางก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดแขนเสื้อเหยียนเจวี๋ยถึงใหญ่เพียงนั้น อย่างกับเป็นกระเป๋าที่มีมิติที่ว่างอย่างไรอย่างนั้น ที่แท้คนผู้นี้ก็ผูกห่อผ้าไว้ด้านใน ใส่ของกินไว้จนเต็ม ยังดีที่เขามีวรยุทธ์ มิเช่นนั้นหากเป็นคนทั่วไปก็คงรู้สึกเหมือนผูกถุงทราย แค่จับตะเกียบก็ยังมือสั่น
เหวยเต๋อลี่เองก็ถูกภาพนี้เขย่าขวัญเช่นกัน “น้องชาย เหวินเอ๋อร์ อู่เอ๋อร์!”
เขาพูดแล้วดวงตายิ่งแดงก่ำ จับแส้อ่อนที่เพิ่งหวดออกไปฟาดสองทีแล้วตวาดว่า “เจินจี!”
เจินจีรีบล้วงลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งออกมาอีกเม็ด เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้ลูกไม้เก่าอีกรอบ
“เฉิงอู่!” เหยียนเจวี๋ยเรียกเสียงเข้ม
เฉิงอู่พยักหน้า กระโดดมาอยู่เบื้องหน้าเหยียนเจวี๋ยและเฉินวั่งซูทันที
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ปากอ้าตาค้างไปเลยทีเดียว
เวลาเพียงชั่วครู่เดียวนี้เฉิงอู่ผู้นั้นไม่รู้ไปอุ้มบานประตูมาจากที่ใด
เขายกบานประตูบานนั้นไว้ เคลื่อนลมปราณไปที่จุดตันเถียน** กางขาย่อตัว ดูราวกับเป็นเทพทวารบาล
เดี๋ยวก่อนนะพี่ชาย พอยาพิษระเบิดมันจะโปรยปรายลงมาจากเหนือศีรษะ ท่านจะใช้บานประตูบังก็ต้องบังไว้เหนือหัวมิใช่หรือ อีกประการหนึ่งพวกเราจะชิงตีลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดนั้นให้เละก่อนที่เจินจีจะโยนออกมา ให้ตัวนางถูกพิษตายเองไม่ได้หรือไร
ครั้นเจินจีโยนออกมาเหวยเต๋อลี่ก็ใช้ลูกไม้เดิม ผงสีขาวกำลังจะร่วงลงมาอยู่รอมร่อแล้ว
ในเวลานี้เองเฉิงอู่ก็ขยับตัวเสียที
บานประตูหนาหนักบานนั้นอยู่ในมือเขาก็ราวกับเป็นพัดกกหน้าเตาไฟ ทุกครั้งที่พัดจะได้ลมแรงปานพายุ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองตัวชาไปแล้ว
ภาพที่ข้าเห็นในวันนี้มิใช่เหยียนเจวี๋ยทำศึกใหญ่กับเหวยเต๋อลี่ ณ ลี่โจว แต่เป็นองค์หญิงพัดเหล็กเฉิงอู่ดับไฟที่ภูเขาเปลวเพลิงกระมัง!
* ‘ไปเลย พิคาชู’ มีที่มาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง ‘โปเกมอน’ ที่สร้างขึ้นจากวิดีโอเกมโปเกมอน เป็นประโยคที่มาจากคำพูดของตัวเอกเวลาที่กำลังจะปล่อยพิคาชูออกมาต่อสู้
* ‘เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง’ มาจากวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก เป็นท่อนหนึ่งในบทกวีเจ็ดก้าวซึ่งเฉาจื๋อ (โจสิด) แต่งตัดพ้อเฉาพี (โจผี) ผู้เป็นพี่ชายที่ต้องการสังหารตนเองจนรอดตายได้ บทกลอนเต็มคือ ‘ต้มถั่วเผาเถาถั่ว ถั่วร่ำไห้อยู่ในหม้อ เดิมเกิดร่วมรากหนอ ไยใจคอด่วนฆ่าแกง’
** จุดตันเถียน เป็นชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้อง อยู่ใต้สะดือลงไปประมาณสามนิ้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.