X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 310-311

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 310

เหวยเต๋อลี่เริ่มจากเสียแส้เก้าท่อนที่เป็นอาวุธถนัดมือไป จากนั้นก็ถูกลมแรงนี้พัดใส่หน้าจึงชักเท้าหันหลังวิ่งหนี วิ่งไปได้สองสามก้าวถึงค่อยนึกถึงเจินจีที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาได้ พอหันกลับไปมองก็เห็นยาพิษพวกนั้นลอยมาถึงตรงหน้าแล้ว เขาจึงกัดฟันแล้วเบี่ยงตัวกระโดดลงจากหอกำแพงเมือง

เจินจีเห็นเช่นนั้นก็เปล่งเสียงด่าทอ ก่อนกระชากตัวทหารนายหนึ่งมาบังไว้ด้านหน้าตนเอง

ครั้นเหวยเต๋อลี่ลงถึงพื้น ยังไม่ทันได้โล่งใจกลับค้นพบว่ากระบี่ยาวของเหยียนเจวี๋ยพาดอยู่บนคอของตนเองแล้ว

เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งก้านธูปสถานการณ์ระหว่างฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนเองได้เลวร้ายลงจนน่าตกใจ

เหยียนเจวี๋ยหิ้วตัวเหวยเต๋อลี่ที่ถูกเขามัดไว้อย่างแน่นหนากระโดดกลับขึ้นไปบนหอกำแพงเมืองอีกครั้ง

เฉินวั่งซูเตะเจินจีที่อยู่บนพื้น ก่อนตามมายืนอยู่ข้างกายเหยียนเจวี๋ย

ขณะนี้ดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนขึ้นฟ้าเต็มดวงแล้ว แสงอาทิตย์ส่องลงบนใบหน้าเหยียนเจวี๋ย คล้ายว่าฉาบรัศมีอันยิ่งใหญ่ซื่อตรงให้แก่เขา

“เรื่องมาถึงบัดนี้พวกเจ้ายังจะช่วยคนก่อกรรมทำชั่วอีกหรือ”

เสียงตะลุมบอนที่ปากประตูเมืองหยุดลงแล้ว มีชาวลี่โจวที่ใจกล้าจำนวนไม่น้อยตลอดจนเหล่าพ่อค้าเร่ที่หาบของจากนอกเมืองมาขายตอนเช้าต่างรุมล้อมเข้ามา

เสียงของเหยียนเจวี๋ยสุขุมหนักแน่นยิ่งยวด “คดีสังหารหมู่วันที่สี่เดือนเก้าหาใช่พระโพธิสัตว์เดินดินในใจพวกเจ้าช่วยพวกเจ้าไว้ไม่ ตรงกันข้าม เป็นเหวยเต๋อลี่ที่สมคบคิดกับเผ่าฉีวางยาพิษคนในเมือง ญาติพี่น้องของพวกเจ้า มิตรสหายของพวกเจ้าเดิมทีก็ไม่สมควรต้องตาย แต่เป็นเพราะคนบางคนถูกกิเลส ความอยากได้อยากมีในอำนาจครอบงำจิตใจ จึงได้ทำให้พวกเขาผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องสูญสิ้นชีวิตไปเปล่าๆ”

ผู้คนโดยรอบพลันแตกฮือแทบจะทันที

โศกนาฏกรรมเมื่อวันที่สี่เดือนเก้าปีกลายยังชัดเจนเหมือนเกิดอยู่ตรงหน้า แค่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียหน่อย

พวกเขานึกมาตลอดว่าเผ่าฉีช่วยพวกเขาไว้

แต่หากเรื่องที่ผู้สูงศักดิ์ซึ่งมาจากหลินอันตรงหน้านี้พูดมาเป็นความจริง เช่นนั้นพวกเขาไหนเลยจะมิใช่หลงผิดเห็นศัตรูเป็นผู้มีพระคุณ

เฉินวั่งซูอาศัยโอกาสนี้ก้าวไปข้างหน้า กล่าวกับทหารทัพลี่โจวที่ยังถืออาวุธแต่มีความลังเลอยู่เล็กน้อยเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าคงรู้สึกได้กระมังว่าพี่น้องทั้งหลายที่ข้างกายล้วนหายตัวกันไป พวกคนสนิทของสกุลเหวยที่อยู่มานานเหล่านั้นบอกกับพวกเจ้าว่าพวกเขาล้วนไปเป็นโจรแล้ว เบี้ยหวัดและเสบียงมีคนมาแบ่งน้อยลงมิดีหรือไร ทว่าโจรเป็นงานดีอะไรกัน เหตุใดจึงมีคนหนีไปเป็นโจรทุกสามวันห้าวัน…คนที่ไปเป็นโจรเคยมีใครกลับมาหรือไม่ พวกเจ้าไปปราบโจร เคยเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสักคนหรือไม่…ไม่เคยเลยกระมัง เป็นเพราะว่าพวกเขาล้วนตายไปหมดแล้ว สหายร่วมรบของพวกเจ้า บุรุษนักรบของต้าเฉินเรามิได้ตายอยู่ในสนามรบกับสุนัขเป่ยฉี แต่ตายอยู่ใต้คมมีดของคนกันเอง ไม่กี่เดือนก่อนพวกเจ้าเพิ่งจะต้อนรับเถาปี้ที่มาจากหลินอัน เหตุใดผ่านมาไม่กี่เดือนสามกองงานก็ส่งคนมาอีก เหตุใดทั้งๆ ที่เหวยเต๋อลี่รู้ว่าเหยียนเจวี๋ยเป็นบุตรชายของฮู่กั๋วกง เป็นขุนนางของราชสำนัก ส่วนข้าก็มีบรรดาศักดิ์เป็นเซี่ยนจู่ เขากลับยังจะเอาชีวิตพวกข้าให้จงได้ นั่นย่อมเป็นเพราะในเมืองลี่โจวนี้มีความลับที่เขาให้ใครรู้ไม่ได้อยู่ ขอเพียงพวกเจ้าเฉลียวใจสักนิดก็โปรดหันดาบในมือไปเล็งใส่ผู้ที่เจ้าพึงเล็งใส่เถิด”

เฉินวั่งซูพูดพลางมองดูรอบๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะมองบรรดาทหารอารักขาของสกุลเหวยเล็กน้อย

“ส่วนสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้า บัดนี้สกุลเหวยจบสิ้นแล้ว พวกเจ้ายังอยากจะเป็นศัตรูกับพวกข้าอยู่อีกหรือ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้างดังยิ่งกว่าเดิม

ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้นำในกองทัพ เหล่าทหารทัพลี่โจวจึงพากันเล็งอาวุธของมีคมในมือตนเองไปที่ทหารอารักขาของสกุลเหวย ทหารอารักขาสกุลเหวยเห็นแล้วก็รีบโยนอาวุธในมือทิ้งก่อนคุกเข่าลง

เหวยเต๋อลี่ถูกจับแล้ว ภาพเมื่อครู่นี้พวกเขาก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็น

คนชุดดำสามสิบกว่าคนนั้นออกมาเพื่อช่วยโบกธงโห่ร้องส่งเสริมเหยียนเจวี๋ย ทำให้เขายิ่งดูมีสง่าเปี่ยมด้วยบารมี

ต่อให้ไม่มีพวกเขา ลำพังเหยียนเจวี๋ยคนเดียวก็เทียบได้กับทหารนับพันม้าศึกนับหมื่น เพียงพอจะยึดทั้งเมืองลี่โจวได้แล้ว

บุคคลร้ายกาจเยี่ยงนี้กระทั่งเหวยเต๋อลี่ยังดิ้นรนอยู่ในกำมือเขาได้ไม่เกินสามกระบวนท่า หากพวกเขาบุกเข้าหาเหยียนเจวี๋ยไหนเลยจะมิใช่เอาตนเองไปให้อีกฝ่ายฟันทิ้งไม่ต่างจากผลแตง ขอเพียงสมองไม่มีปัญหา เวลานี้หากยังไม่คุกเข่าเรียก ‘บิดา’ แล้วจะมัวรออะไรอยู่อีก

เฉินวั่งซูมองดูคนมหาศาลที่คุกเข่า ก่อนมองไปยังเหยียนเจวี๋ยด้วยอารามสะทกสะท้อนใจ

คนที่มีรูปโฉมงดงาม อีกทั้งมีวรยุทธ์ล้ำเลิศตรงหน้าผู้นี้ถึงกับเป็นสามีของนาง จะรู้สึกยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!

ในเวลานี้เองฝูงชนได้แหวกออกเป็นทาง

เฉินวั่งซูมองไป เห็นเพียงสตรีในชุดไว้ทุกข์นางหนึ่งเดินช้าๆ ขึ้นมาบนหอกำแพงเมือง นางไม่ได้สวมเครื่องประดับมีค่า เพียงแซมบุปผาดอกน้อยสีขาวไว้ข้างจอนผมสองสามดอก

คนผู้นี้มิใช่เหวยฮูหยินสามแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

“ขอบคุณใต้เท้าเหยียนและเซี่ยนจู่เป็นอย่างมากที่ช่วยทวงความยุติธรรมคืนมาให้ชาวบ้านในลี่โจวเรา หลังทั้งสองท่านกลับไปหลินอันแล้ว ได้โปรดช่วยเปิดโปงพฤติกรรมเลวร้ายของเผ่าฉีรวมถึงสกุลเหวยแก่คนทั้งหลายแทนพวกข้าด้วยเถิด” เหวยฮูหยินสามพูดพลางยื่นหีบไม้ใบเล็กใบหนึ่งมาให้เฉินวั่งซูและเหยียนเจวี๋ย “ข้างในนี้เป็นหลักฐานชุดที่สองที่ข้าเตรียมไว้ ขอรบกวนทั้งสองท่านแล้ว”

เหวยฮูหยินกล่าวแล้วก็เดินตรงไปที่ริมหอกำแพงเมือง หยิบผ้าเช็ดหน้าซับดวงตาตนเอง

“ทุกท่านล้วนรู้จักข้ากระมัง ข้าคือภรรยาของสกุลเหวยบ้านสาม ข้าแซ่เฉา นามว่าเอ๋อ แต่งงานมาจากอี้โจว ก่อนออกเรือนเคยเป็นหลงจู๊ของหอจิ่นกวนที่เป็นกิจการหลวง ด้วยสาเหตุนี้ข้าที่เป็นเพียงแม่ค้าผู้หนึ่งถึงสามารถแต่งเข้าจวนสกุลเหวยได้…เฉาเอ๋ออกตัญญู นิสัยแข็งกร้าว ก่อนออกเรือนยังทะเลาะกับบิดา หลังแต่งเข้าสกุลเหวยยิ่งคร้านจะสนใจเรื่องทางบ้านเดิมอีก ทั้งใจยังมุ่งมั่นอยู่กับการดูแลกิจการให้สกุลเหวย ถึงขนาดว่านำวิธีการลับในการทอผ้าแพรของที่บ้านมาสอนให้หญิงปักผ้าของสกุลเหวยทั้งหมด เมื่อปีกลายเหวยเต๋อลี่รวมหัวกับเจินจีวางยาพิษไปทั่วเมืองลี่โจว ยาพิษเหล่านี้เกิดขึ้นเองไม่ได้ ข้าเป็นคนถือกระเป๋าเงินของสกุลเหวย ย่อมจะรู้ว่าพวกเขาเอาเงินเท่าไรไปซื้อสมุนไพรพิษ” เหวยฮูหยินสามพูดพลางน้ำตาไหลริน “นี่ก็คือกรรมตามสนอง ข้าคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าบิดาที่ผิดใจกันกับข้าก็มาที่เมืองลี่โจวในช่วงเวลานั้นด้วยต้องการมาดูข้าอย่างเงียบๆ เขาเองก็ถูกพิษเข้า มิหนำซ้ำยังกลายเป็นหนึ่งในร้อยคนที่ทดลองยานั้น…”

เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ให้ใจสั่น

มิน่าเล่า! นางรู้อยู่แล้วว่าการเก็บรวบรวมหลักฐานเหล่านี้มิใช่เรื่องที่ทำได้แค่ชั่วข้ามวันข้ามคืน มิหนำซ้ำยังมีเรื่องอีกมากมายยิ่งที่ถ้ามิได้เป็นคนในของสกุลเหวยก็ไม่มีทางล่วงรู้โดยสิ้นเชิง

ตามคำพูดของเหวยฮูหยินสาม สกุลเหวยนั่นใช้เงินที่อีกฝ่ายหามาไปซื้อยาพิษมาวางยาจนทำบิดาตนเองตาย เหวยฮูหยินสามรู้การกระทำแสนอำมหิตของเหวยเต๋อลี่กับเผ่าฉีอยู่แก่ใจ ทว่ามิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด กลับช่วยส่งเสริมคนชั่วเสียด้วยซ้ำไป…

“ข้าเฉาเอ๋อหนึ่งไม่สามารถสาปแช่งบิดาบังเกิดเกล้าให้ไปตายได้ สองไม่สามารถกล่าวหาตนเองพล่อยๆ ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้…ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ข้าพูดจึงเป็นความจริงทุกคำ หากโป้ปดแม้แต่คำเดียวขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”

เหวยฮูหยินสามว่าแล้วก็ล้วงขวดหยกขาวใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ทุกท่าน เชิญเปิดตามองให้ดี”

เฉินวั่งซูห้ามไม่ทัน เหวยฮูหยินสามดึงฝาขวดออก เอายาลูกกลอนเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไปแล้ว

มันออกฤทธิ์ทันตาเห็น

เหวยฮูหยินสามที่เมื่อครู่ยังยืนตัวตรงขาอ่อนยวบ ล้มเป็นอัมพาตในทันที

บ่าวหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่ข้างกายนางย่อตัวลงอุ้มนางขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ทุกท่านเห็นแล้วหรือไม่ ญาติพี่น้องของพวกท่านป่วยเช่นนี้ใช่หรือไม่”

บทที่ 311

ไม่ว่าจะพล่ามออกมามากเพียงไรก็สร้างความสั่นสะเทือนได้ไม่เท่าการได้เห็นเองกับตา

เมื่อปีกลายเมืองลี่โจวมีสภาพเป็นนรกเยี่ยงไร ขอเพียงเป็นคนที่เคยเห็นล้วนยากจะลืมลงไปตลอดทั้งชาติ

เสาหลักของครอบครัวจู่ๆ ก็แข้งขาปวกเปียก กลายเป็นคนพิการที่ยื้อชีวิตอยู่รอดไปวันๆ มารดาที่กำลังต้มน้ำแกงยังไม่ทันยกหม้อก็ล้มตึงอยู่ข้างเตา

โรคประหลาดที่เกิดอย่างปุบปับปานนี้ คนทั้งหมดล้วนนึกว่าเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์ พวกเขาอธิษฐานขอพรเทพเซียนพระพุทธองค์หมดทั้งสวรรค์แล้ว แต่ก็ได้มาเพียงความสิ้นหวัง นั่นเป็นความสิ้นหวังที่ไม่ปรารถนาจะหวนนึกถึงขึ้นมาอีกตลอดกาล

ทว่าวันนี้พวกเขาเห็นเองกับตาว่า ‘โทษทัณฑ์จากสวรรค์’ ที่ว่ากันนี้เป็นเรื่องโกหกโดยสิ้นเชิง

เหวยฮูหยินสามกินยาลูกกลอนลงไปเม็ดเดียวก็ได้รับ ‘โทษทัณฑ์จากสวรรค์’ แล้ว!

เพลิงโทสะจากการถูกหลอกปั่นหัวพรรค์นี้แทบจะเผาผลาญเมืองลี่โจวทั้งเมืองแล้ว…

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำในหมู่ฝูงชนปาโคลนก้อนเท่าไข่ห่านฟองหนึ่งมากระแทกหน้าเหวยฮูหยินสามอย่างจัง

ก่อนจะตามมาติดๆ ด้วยบรรดาก้อนโคลนที่ลอยมาทางหอกำแพงเมืองราวกับเม็ดฝน

เหยียนเจวี๋ยเห็นแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้า ‘พัดเหล็ก’ ของเฉิงอู่มาบังไว้ตรงหน้าเฉินวั่งซู ก้อนโคลนพวกนั้นกระแทกบนบานประตู ส่งเสียงดังปึงปัง

มามาที่อุ้มเหวยฮูหยินสามอยู่ล้วงขวดเขียวใบเล็กออกมาจากในอกเสื้ออีกใบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหยิบยาเม็ดหนึ่งป้อนใส่ปากเหวยฮูหยินสาม นางร้องด้วยความทุกข์ทรมานไม่กี่ทีก็สำรอกเลือดสดๆ ออกมา จากนั้นก็กระโดดลงจากตัวมามาด้วยความยากลำบาก

แม้จะดูยังติดขัดไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่านางอาการดีขึ้นแล้ว

“ผู้ใดก่อกรรมพึงให้ผู้นั้นชดใช้ ที่นี่เป็นแผ่นดินของแคว้นต้าเฉิน มิใช่คอกแกะของสกุลเหวย พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย บัดนี้ใต้เท้าเหยียนมาแล้ว วันอันมืดมนในลี่โจวเราได้ผ่านไปแล้ว เขาจะต้องทวงความเป็นธรรมให้พวกท่านได้อย่างแน่นอน ดวงวิญญาณของญาติพี่น้องเราจะต้องได้พักผ่อนอย่างสงบสุขแน่นอน”

เหวยฮูหยินสามพูดแล้วน้ำตาก็ร่วงเผาะๆ นางรับป้ายวิญญาณของบิดามาจากในมือสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วเริ่มโขกศีรษะโครมๆ คำนับป้ายนั้น

ชาวบ้านที่มารวมตัวกันด้านล่างหอกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเห็นภาพเช่นนี้แล้วก็ต่างทรุดตัวลงร่ำไห้ขึ้นมา

เฉินวั่งซูยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง เหยียนเจวี๋ยไม่รู้เอาบานประตูออกไปตั้งแต่เมื่อใด นางเคยแสดงละครมาหลายเรื่อง ฉากเหตุการณ์ใหญ่โตเยี่ยงนี้ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่การร้องไห้ของพวกนักแสดงในละครล้วนเป็นการร้องไห้ปลอมๆ ก้มหน้าส่งเสียงฮือๆ สองสามที เพียงแค่ให้ดูไกลๆ เหมือนร้องไห้เท่านั้น

แต่หากซูมเข้าไปที่หน้าพวกเขา แม้แต่น้ำตาก็ยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความทุกข์โศกแสนสาหัสใดๆ

ทว่าแต่ละคนในเมืองลี่โจวขณะนี้กลับล้วนร่ำไห้ใจแทบขาดรอนๆ

เฉินวั่งซูยิ่งมองในใจก็ยิ่งหนักอึ้ง นางรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดเหยียนเจวี๋ยจึงไม่พูดเรื่องทำนองว่าช่วงชิงแผ่นดินเป็นฮ่องเต้ออกมาง่ายๆ เหมือนอย่างนาง นั่นเป็นเพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีชีวิต

ชีวิตของพวกเขาก็คือชีวิตเช่นกัน สุข ทุกข์ เสียใจ ดีใจของพวกเขาก็ล้วนเป็นของจริง บัดนี้นางรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในนิยาย แต่ขณะที่นางเป็นซ่งชิงนั้นอยู่ในนิยายของผู้ใดกันเล่า

 

รอจนเรื่องราวสงบลง กลับถึงจวนสกุลเหวยแล้ว แต่หัวใจของเฉินวั่งซูก็ยังคงมิอาจสงบลงได้อยู่เนิ่นนาน

รอบข้างเงียบสงบ คนสกุลเหวย รวมถึงบรรดาคนสนิทของพวกเขา อีกทั้งชาวเผ่าฉีล้วนถูกจับตัวไว้ทั้งหมด ไม่รอดไปแม้แต่คนเดียว เมื่อเตรียมรถม้าพร้อมแล้วพวกเขาก็จะเดินทางไปเมืองหลวงทันที

“สรุปว่าเจ้ามีแผนจะเอาตัวรอดอย่างไร เข้าเมืองหลวงไปเป็นพยานต่อพระพักตร์เสร็จแล้ว จากนั้นค่อยให้เหวยฮูหยินสามตายอย่างนั้นหรือ”

เฉินวั่งซูได้ยินคำของเหยียนเจวี๋ยก็ได้สติกลับมาในทันใด นางมองไปที่เหวยฮูหยินสามเฉาเอ๋อซึ่งอยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

เฉาเอ๋อผู้นั้นฉีกยิ้ม กุมหมัดกล่าวกับเหยียนเจวี๋ย “นายท่านช่างปราดเปรื่อง”

ครั้นอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้เฉินวั่งซูก็ฟังเสียงของนางออกได้ในทันที นี่ไม่เหมือนกับเสียงของเหวยฮูหยินสามก่อนหน้านี้ที่ฟังดูโศกศัลย์เหลือแสน เสียงของนางเย็นชากว่ามาก

แม้คนทั้งสองจะคลุกคลีกันไม่มาก แต่เฉินวั่งซูยังคงนึกได้แทบจะทันทีว่าถ้าคนผู้นี้มิใช่ซูหวั่นอนุผู้นั้นที่เฉินชิงซินพากลับมาแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้

“เป็นพยานต่อพระพักตร์คงมิได้ ด้วยประเดี๋ยวเหวยฮูหยินสามก็จะแขวนคอตายแล้ว อันที่จริงตัวนางเองก็แขวนคอตายจริงๆ ทว่านายท่านค้นพบได้อย่างไรเจ้าคะว่าข้ามิใช่นาง ตามหลักแล้วนายท่านเพิ่งจะได้พบนางเป็นหนแรก หาได้คุ้นเคยกับอุปนิสัยและพฤติกรรมของคนผู้นี้ตัวจริงไม่ มิหนำซ้ำนายท่านก็อยู่กับข้าเพียงไม่นานเช่นกัน ไม่น่าจะจำแนกออกได้จึงจะถูก!” ไม่รู้ว่าซูหวั่นความคิดเตลิดไปถึงที่ใดจึงได้มองเหยียนเจวี๋ยด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา ก่อนกล่าวอีกรอบว่า “นายท่านช่างปราดเปรื่อง!”

เฉินวั่งซูมองไปยังเหยียนเจวี๋ย เหยียนเจวี๋ยก็ตบมือนางเบาๆ

“มีสองสามจุดที่น่าสงสัย เหวยฮูหยินสามเป็นบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้า ไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าปลอมตัวได้ดียิ่งโดยตลอด แต่หลังจากที่เจ้ากินยาพิษลงไป พิษซึมเข้าร่างกาย ผู้ที่มีกำลังภายในจะปรับลมหายใจตามจิตใต้สำนึก”

เหยียนเจวี๋ยมีวรยุทธ์สูงกว่าซูหวั่นไปไกลลิบ ถึงสามารถมองออกได้

“เนื่องจากเรื่องนี้ข้าถึงได้มั่นใจในการคาดเดาก่อนหน้านี้ ข้ากับวั่งซูมาจากหลินอัน เพื่อที่จะตบตาผู้อื่นได้ดูถูกเถาปี้ไปมากเพียงไร แสดงตัวไปทั่วว่าเพียงแต่มาเดินดูที่นี่พอเป็นพิธี หากเป็นเหวยฮูหยินสามตัวจริงย่อมไม่มีทางยัดกระดาษที่เขียนว่า ‘วันที่สี่เดือนเก้า’ นั้นให้วั่งซูตั้งแต่แรกพบหน้าอย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวพันกันใหญ่หลวง ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กระทำการอย่างรอบคอบระมัดระวัง เถาปี้มาลี่โจวก็เพิ่งจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเหวยฮูหยินสามจนได้หลักฐานมาในวันสุดท้าย จากนั้นก็รีบนำไปให้จวีหย่า แล้วออกจากลี่โจวกลับไปเมืองหลินอัน”

เฉินวั่งซูฟังแล้วก็อดจะพยักหน้าไม่ได้

มิผิด จุดนี้นางเองก็เคยสงสัย เหวยฮูหยินสามสามารถหาหลักฐานมาได้อย่างรัดกุมปานนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อใจพวกนางที่เพิ่งได้พบหน้าเป็นครั้งแรกในทันทีทันใด

“จุดที่สามนี้อยู่ที่ขณะเหวยฮูหยินสามอยู่บนหอกำแพงเมืองได้สวมชุดไว้ทุกข์ พูดถึงเรื่องเศร้าของบิดาตนเองด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเหลือแสน ย่อมจะไม่มีทางมีแก่จิตแก่ใจมาพูดว่า ‘บัดนี้ใต้เท้าเหยียนมาแล้ว วันอันมืดมนในลี่โจวเราได้ผ่านไปแล้ว’…ในสถานการณ์ทั่วไปถึงจะพูดก็ย่อมพูดว่าข้ากับวั่งซูจะนำเรื่องลี่โจวไปรายงานต่อราชสำนัก ฝ่าบาทจะคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านในลี่โจวเอง แต่เจ้ามิได้เอ่ยถึงฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งคำ กลับเอาแต่ยกข้ามาอ้าง เพราะฉะนั้นข้าจึงเดาว่าเจ้าคือซูหวั่น”

ซูหวั่นดวงตาสว่างวาบขึ้นมาก นางหน้าแดงน้อยๆ กล่าวอย่างเก้อเขินอยู่บ้าง “เมื่อก่อนเรื่องพรรค์นี้ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาเฉินพูด ข้าพูดไม่เก่ง ไม่ทราบว่าควรทำให้คนบนโลกล่วงรู้ถึงความปราดเปรื่องปรีชาสามารถและคุณงามความดีของนายท่านของพวกเราได้อย่างไร”

เฉินวั่งซูฟังแล้วมุมปากกระตุก หากนางเป็นนักเยินยอความงามอันดับหนึ่งของเหยียนเจวี๋ย

เช่นนั้นซูหวั่นรวมถึงหน่วยราชองครักษ์ปีกดำก็เป็นนักเยินยอไร้สมองของเหยียนเจวี๋ย หากเจ้ามีความคิดเลิศเลออีกสักหน่อย ป่านนี้นายท่านของเจ้าก็บรรลุมรรคผลขึ้นสวรรค์ได้แล้ว และหากเพิ่มการเยินยอไปอีกนิดฟ้าดินก็จะเปลี่ยนมาแซ่เหยียนแล้ว

“พวกข้าได้รับข่าวบอกว่าลี่โจวเคยเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่เมื่อปีกลาย เหวยเต๋อลี่เจ้าเมืองของลี่โจวปิดบังไม่รายงาน ราชสำนักไม่รู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ผู้บังคับบัญชาเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงตั้งใจจะสืบสวน ข้าสืบข่าวได้ว่าเถาปี้แห่งสามกองงานเพิ่งจะกลับจากลี่โจว เดิมตั้งใจจะไปสืบข่าวคราว แต่ครั้นไปถึงตรอกเล็กกลับพบว่าเถาปี้ตายแล้ว นี่เป็นการบอกว่าลี่โจวต้องมีความลับที่บอกให้ใครรู้ไม่ได้อยู่แน่นอน ทว่าผู้บังคับบัญชาเฉินเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่อาจเดินทางไปตามใจชอบได้ ข้าเป็นสตรีในบ้าน อ้างว่าเป็นไข้หวัด ไม่ออกไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครนึกสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงออกเดินทางมาลี่โจวทันที”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: