บทที่ 363
สิ้นวาจาของเจวี๋ยขุยทหารเป่ยฉีที่ขึ้นม้าเตรียมจะไล่ตามไปนั้นต่างก็รั้งสายบังเหียน หันหน้ามามองเขา ก่อนมองเจาซวี่
แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองชายแดนนี้แต่ไรมาก็เปลี่ยนคนแล้วเปลี่ยนคนอีก ก่อนหน้ามีองค์ชายมาแล้วถึงสี่พระองค์ ซึ่งล้วนแต่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจวี๋ยขุย เนื่องจากพวกเขาแต่ละคนเพียงมานั่งรอความดีความชอบเท่านั้น
เจวี๋ยขุยผู้นี้ไม่โลภในความดีความชอบ ชนะศึกแล้วความดีความชอบก็ตกเป็นของพวกองค์ชายทั้งหมด ยามแพ้ศึกผลักความรับผิดชอบไปให้เขา เขาก็ไม่คัดค้านสักคำ เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเคยก้าวออกจากบ้านมาเข้าสนามรบครั้งแรก ถึงเวลาต้องเข่นฆ่าคนขึ้นมาก็อ้าปากร้องหามารดาแล้ว ไหนเลยจะชี้นิ้วสั่งการได้ตามอำเภอใจ
ทว่าเจาซวี่นั้นต่างออกไป แม้ท้องฟ้าเมืองชายแดนจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผู้ที่ความรู้สึกไวล้วนรู้สึกได้แล้วว่าองค์ชายพระองค์นี้มีแผนการใหญ่
เจวี๋ยขุยเม้มปาก หาได้มองเจาซวี่ไม่
เจาซวี่เก็บสายตาของตนเองกลับไปก่อนกล่าวว่า “ฮูหยินเจ้าเมืองถูกคนลักพาตัวไปแล้ว ข้าคิดว่าควรต้องตามไป อีกอย่างพวกชาวต้าเฉินก็นั่งรถม้าของฮูหยินไปด้วย”
เจวี๋ยขุยอึ้งงันไป ก่อนชูดาบใหญ่ในมือขึ้นพลางตะโกนลั่นว่า “ตาม!”
เขาพูดพลางกระโดดลงจากหอกำแพงเมืองเหมือนกับที่เหยียนเจวี๋ยทำก่อนหน้านี้
ท่ามกลางฝูงชนม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งห้อตะบึงออกมารับเจวี๋ยขุยไว้อย่างพอดิบพอดีประหนึ่งว่ามันได้ยินคำสั่ง
ทหารทั้งหลายได้สติกลับมาก็พากันเงื้อแส้ม้าไล่ตามออกไป
“ประเดี๋ยวเจวี๋ยขุยก็ตามมาถึง ชาวเป่ยฉีมิใช่ชอบหุบเขาไป๋สือหรือไร เช่นนั้นก็ดีมาก ข้าผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เคารพความชอบของผู้อื่น ใจดีอย่างยิ่ง แม้ว่าหุบเขาไป๋สือนั้นจะเป็นอาณาเขตของต้าเฉินเรา…แต่ในเมื่อพวกเขาชอบ ข้าก็จะฝืนใจถือเสียว่าที่นั่นเป็นสถานที่ฝังร่างของพวกเขาแล้วกัน”
องค์ชายสี่ที่เพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาจากในหีบขยับแขนขาของตนเองเป็นการยืดเส้นยืดสาย เขามองเฉินวั่งซูปราดหนึ่งด้วยอาการตัวสั่นงันงก ตกใจจนแทบอยากจะมุดกลับเข้าหีบไปเบียดกับฮูหยินเจ้าเมืองที่ยังไม่ฟื้นคืนสติผู้นั้นใหม่อีกครั้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ต่อให้เขาหายใจไม่ออกอย่างไรก็ดีกว่ามานั่งมอง ‘ผีสาว’ ตรงหน้านี้เล่าเรื่องขนหัวลุกชวนสยองขวัญอย่างหน้าชื่นตาบาน
เขารู้สึกว่าตนเองเพิ่งจะได้รู้จักเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยตัวจริงเป็นครั้งแรกในวันนี้
“เหตุใดท่านวางอุบายแล้วต้องให้เหยียนเจวี๋ยเข้าไปตบคนด้วยเล่า ถึงขนาดว่าขณะให้ท่านยายอีกาแปลงโฉมยังให้นางทำรอยนิ้วมือจากการถูกตบไว้บนหน้าล่วงหน้าด้วย”
องค์ชายสี่ถามขึ้นเสียงเบาโดยที่เบือนหน้าหนี พยายามไม่มองเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูหัวเราะหึๆ “คนเราจะสูญเสียความสามารถในการแยกแยะเวลาใดกัน แน่นอนว่าต้องเป็นในเวลาที่ตระหนกตกใจและโมโหโกรธเกรี้ยว เจวี๋ยขุยดีต่อจวีเอ๋อมาโดยตลอด จู่ๆ นางถูกตบ สำหรับบุรุษไม่มีเหตุผลใดให้จับผิดได้ แต่สำหรับนางถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
นางโมโหจนเลือดขึ้นหน้า มีหรือจะแยกออกได้ว่าเหยียนเจวี๋ยมิใช่เจวี๋ยขุยตัวจริง หน้าตาเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่รูปร่างก็มีวิธีปรับเปลี่ยน มีเพียงแววตาที่ยากจะเปลี่ยนได้…”
เฉินวั่งซูกล้ารับรองเลยว่าใต้ผืนฟ้านี้ไม่มีใครสามารถแปลงโฉมเป็นคนข้างกายนางมาตบตานางได้
เนื่องจากนางสามารถมองเห็นชีวิตของคนผู้หนึ่งผ่านทางดวงตาได้
แต่ละคนล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว เนื่องจากชีวิตที่พวกเขาเผชิญมาล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“นี่คือจุดประสงค์แรก จุดประสงค์ที่สองคือถ้าบนหน้าหม่อมฉันมีรอยแผลอยู่จะทำให้เหตุผลที่หม่อมฉันจำเป็นต้องออกจากเมืองยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น ต่อมาเหยียนเจวี๋ยกระโดดลงมาไล่ตามหม่อมฉันก็จะยิ่งชวนให้คนคิดภาพเติมเสริมแต่ง…ทำให้คำพูดดูน่าเชื่อถือ”
เฉินวั่งซูพูดพลางหัวเราะหึๆ
“แน่นอนว่ายังมีจุดประสงค์ที่สาม ท่านไม่รู้หรอกว่าข่าวลือฆ่าคนได้ดีที่สุด หม่อมฉันให้เหยียนเจวี๋ยพูดอะไรไป…พูดว่าจวีเอ๋อกับเจาซวี่เป็นชู้กัน เรื่องนี้ผ่านวันนี้ไปก็จะกลายเป็นตำนานเล่าลือชั่วลูกชั่วหลานในเมืองชายแดน ไม่ใช่สิ ทั่วทั้งแคว้นเป่ยฉีเลยต่างหาก เสือสองตัวมิอาจอยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน ท่านอยู่ในคุกใต้ดินเป่ยฉีนานถึงเพียงนั้นยังไม่ค้นพบอีกหรือ…ระหว่างเจาซวี่กับเจวี๋ยขุยปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากเป็นผู้ที่ยื่นคำขาดได้ทั้งนั้น”
เฉินวั่งซูหลุบตาลง ทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่นางคิดออกมาส่งเดช แต่มันมีเงื่อนงำอยู่ก่อนแล้ว
เป็นต้นว่าเจาซวี่จับตัวเจียงเหล่าซื่อไว้แล้วเหตุใดถึงไม่ขังไว้ในคุกใหญ่ของเมืองชายแดน กลับไปขังไว้ในจวนของตนเอง
ผีหลิ่งบอกว่าหลังจากฮู่กั๋วกงหายตัวไปขณะไปทำข้อตกลงที่หุบเขาไป๋สือ เจาซวี่ได้พาคนไปปรากฏตัวที่นั่น เจวี๋ยขุยเป็นบุคคลสำคัญ หากเขาไปด้วยผีหลิ่งก็ไม่น่าจะไม่เอ่ยถึง
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าเจาซวี่คิดเรื่องจับตัวเจียงเหล่าซื่อออกมาเองเพื่อจะสร้างบารมีในกองทัพ แรกสุดเจวี๋ยขุยอาจจะไม่รู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และต่อมาเจาซวี่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
นี่ก็น่าสนใจแล้ว
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ขณะที่นางกับเหยียนเจวี๋ยรวมถึงฟางเอ้าเทียนแบกฮู่กั๋วกงหนีออกมาจากในสุสานหุบเขาไป๋สือได้บังเอิญเจอกับทัพเป่ยฉีที่เคลื่อนทัพใหญ่มาโจมตีในยามวิกาลเข้าพอดี
แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพคือใคร…ก็คือเจาซวี่
เจวี๋ยขุยได้มาหรือไม่ สรุปคือไม่ได้มา
เมื่อก่อนยามองค์ชายแห่งเป่ยฉีออกรบจะล้วนนั่งรอความดีความชอบอยู่ด้านหลัง แต่ชัดเจนว่าเจาซวี่มิได้เป็นเช่นนั้น
“เจาซวี่กับจวีเอ๋อเป็นสหายในวัยเด็ก ทั่วทั้งเป่ยฉีไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่เห็น จวีเอ๋อเองก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจาซวี่ ในขณะที่เจวี๋ยขุยแก่กว่านางมากเหลือเกินราวกับเป็นบิดานางก็มิปาน สตรีผู้นี้อาศัยว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง นิสัยหยิ่งยโสยิ่งยวด หม่อมฉันกล้าตบอกพูดได้เลยว่านางไม่พอใจต่อการแต่งงานมาเป็นภรรยาคนใหม่ให้ตาแก่พ่อม่ายภรรยาตายที่เป็นกระสอบทรายอยู่ที่ด่านชายแดน จึงมักจะดูแคลนเจวี๋ยขุยแล้วชื่นชมเจาซวี่อยู่เป็นนิจ…”
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็พยักหน้า ชมเปาะว่า “ฮูหยินฉลาดล้ำปานเทพเซียน หลังข้าตบจวีเอ๋อ นางได้พูดเรื่องทำนองนี้จริงๆ”
เฉินวั่งซูเชิดหน้าขึ้น…นางเชิดหน้าแรงปานนี้ของชิ้นหนึ่งจึงพลันร่วงลงมาบนกระโปรงนาง
นางหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องส่งเสียงอุทาน “ตายแล้ว! หน้าข้าแตกแล้ว! ท่านยายบอกว่าหลายปีมานี้เจวี๋ยขุยไม่ได้โยกย้ายไปที่ใด ใบหน้านั้นของท่านนางบรรจงทำอยู่หลายปี แต่จวีเอ๋อเพิ่งจะแต่งมาได้ไม่นานจึงทำขึ้นมาแค่พอถูไถในเวลาจวนตัว…ตายแล้ว ร่วงอีกชิ้นแล้ว”
องค์ชายสี่ที่ด้านข้างเห็นแล้วก็หลับตาลง กระเถิบไปด้านข้าง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ สบตากับเหยียนเจวี๋ย ก่อนโคลงศีรษะด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
นางยังจำครั้งแรกที่ได้พบองค์ชายสี่ในวังได้อยู่เลย
เขาในยามนั้นเพิ่งจะชนะศึกที่ชายแดน ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังเป็นการด่วน คนทั้งหมดล้วนพูดกันว่าเขาเป็นคนแปลกแยกของราชวงศ์ต้าเฉิน เป็นเชื้อพระวงศ์ที่สามารถนำทัพได้ซึ่งพบเห็นได้น้อย ถือเป็นความหวังของแคว้นต้าเฉิน
ยามนั้นเขาจิตใจฮึกเหิม หยิ่งทะนงเหมือนอินทรีเดียวดายบนท้องนภา เจอคนอ้าปากค่อนแคะคน เห็นภูเขาค่อนแคะภูเขา พบสายน้ำค่อนแคะสายน้ำ เห็นฉินเจ่าเอ๋อร์สองคนนั้นก็ค่อนแคะฟ้าค่อนแคะดิน…
แม้องค์ชายสี่จะถูกพวกนางช่วยกลับมาได้ แต่คนผู้นั้นในตอนแรกเกรงว่าคงจะกลับมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะแดกดันว่าข้าเหมือนผีไปนานแล้วกระมัง
“พวกเราหนีออกมาไกลเพียงนี้แล้ว ทางด้านหลังก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เมืองเซียงหยางอยู่ตรงหน้านี้เอง เหตุใดท่านถึงบอกว่าชาวเป่ยฉียังจะไล่ตามมาอีกเล่า” องค์ชายสี่สูดหายใจลึก ลืมตาขึ้น แล้วมองไปยังเฉินวั่งซูอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม
เฉินวั่งซูยื่นมือไปตบผนังรถม้าเบาๆ
“ท่านเป็นองค์ชาย ยามอยู่ที่เมืองหลินอัน ออกจากจวนไปร่วมงานเลี้ยงก็นั่งรถม้า ท่านควรจะรู้ว่าระหว่างรถม้าด้วยกันนั้นมีความแตกต่างกัน”
บทที่ 364
ระหว่างรถม้าด้วยกันมีความแตกต่างกันจริงๆ
เป็นต้นว่ารถม้าของขบวนพ่อค้าใช้เพื่อขนส่งสินค้า หากหนักเกินไปม้าย่อมจะลากไม่ไหว ยามเจอฝนตกก็จะติดหล่มได้ง่าย เจอเรื่องด่วนหน่อยก็จะวิ่งได้ไม่เร็ว มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาด
ทว่ารถม้าของชนชั้นสูงขุนนางใหญ่นั้นต่างออกไป โดยเฉพาะรถม้าของสตรีชั้นสูงนั้นข้อแรกคือต้องมั่นคง
ไม่เห็นยามฮ่องเต้เดินทางหรือไร ราชรถนั้นดูราวกับเป็นศาลาหลบร้อนเคลื่อนที่เลยทีเดียว
รถม้าของชนชั้นสูงสามารถวิ่งช้าๆ ได้ ถึงอย่างไรวันๆ หนึ่งพวกเขากินอิ่มแล้วก็ไม่มีการมีงานทำต่อ เคลื่อนตัวไปช้าๆ ยังได้อวดรวยนานขึ้น ทั้งสามารถแบกของหนักได้ ถึงอย่างไรก็ซื้อม้าไหว หากหนึ่งตัวลากไม่ไหว แปดตัวเรียงกันมิใช่ดูน่าเกรงขามหรือไร
อีกทั้งไม่อาจไม่มั่นคง…
มิเช่นนั้นเกิดรถม้าสั่นสะเทือนขึ้นมาแป้งน้ำบนหน้าสตรีชั้นสูงก็คงร่วงกราวลงมาเหมือนกับฝัดข้าวแล้ว เครื่องประดับอัญมณีที่ปักอยู่บนศีรษะก็จะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง กว่าจะถึงที่หมาย…ให้ตายสิ พอลงมาก็คงเหมือนถูกคนปล้นมาอย่างไรอย่างนั้น จะให้เป็นเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด
“รถม้านี้ของจวีเอ๋อทั้งใหญ่ทั้งมั่นคง แต่กลับวิ่งได้ไม่เร็ว เจวี๋ยขุยเป็นแม่ทัพมากฝีมือ เขาตั้งมั่นรักษาชายแดนมาตลอดหลายปี ทำศึกน้อยใหญ่มาไม่รู้ตั้งเท่าไร มีหรือจะไม่กระจ่างในหลักการที่ว่าอย่าไล่ตามข้าศึกที่หมดทางสู้ พวกเขาหน้าเนื้อใจเสือ คดในข้องอในกระดูก ทว่าจากการแสดงออกของพวกเราในคืนนี้ เจวี๋ยขุยจะต้องรู้แน่นอนว่าพวกเรามิใช่พวกไม่มีสมอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้มากว่าได้วางกับดักไว้ระหว่างทางแล้ว มิหนำซ้ำพวกเราจับตัวจวีเอ๋อมาก็ไม่ต่างจากที่พวกเขาจับตัวท่านไป การฆ่าคนหนึ่งคนง่ายดายเหลือเกิน ทว่าเป่ยฉีฆ่าท่านกับพวกเราฆ่าจวีเอ๋อนั้นล้วนมีผลเสียมากกว่าผลดี”
นี่ก็คือสาเหตุที่ไม่ว่าฉินเจ่าเอ๋อร์หรือเฉินวั่งซูจะสะท้อนใจต่อเรื่องที่องค์ชายสี่ถูกจับตัวไปว่าภายหน้าเขาคงแทบจะไร้วาสนากับตำแหน่งใหญ่ เกรงว่าคงต้องลำบากอย่างมากเพียงใด แต่ในใจกลับมั่นคงหนักแน่น ไม่หวั่นกลัว เรื่องนี้เว้นแต่องค์ชายสี่จะรนหาที่ตายเอง มิเช่นนั้นเขาย่อมไม่มีทางตายแน่นอน
“เนื้อราคาแพงปานนี้ คนเลี้ยงหมูที่ใดจะตัดใจฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ เล่า แน่นอนว่าต้องขายให้ได้ราคาดีกว่านี้ เพื่อนำเงินมาซื้อเสบียงอาหารกินกันทั้งบ้านตลอดฤดูหนาว แม้คำพูดนี้ของหม่อมฉันออกจะหยาบคายไปเสียหน่อย แต่ผู้ที่ดูแลบ้านเป็นล้วนใช้ชีวิตกันเยี่ยงนี้ เจวี๋ยขุยอาจลังเล แต่เจาซวี่นั้นไม่ลังเลแน่ เจาซวี่จะต้องไล่ตามมาแน่นอน จะอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็จับตัวท่านสร้างความดีความชอบได้แล้ว บัดนี้ท่านหนีมาไม่พอ ยังลักพาตัวประกันมาด้วย ทางพวกเราเองยังป่วนจนชายแดนเป่ยฉีโกลาหลอลหม่าน ยามนี้ความดีความชอบกลายเป็นความผิด เจาซวี่จะต้องบุกมาด้วยตนเองแน่นอน”
องค์ชายสี่ฟังแล้วก็กุมศีรษะตนเองไว้ ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงได้กล่าวว่า “เทียบกับท่านแล้วหัวสมองนี้ของข้าเหมือนทำมาจากก้อนหินก็มิปาน”
เฉินวั่งซูหัวเราะ “ท่านไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจไป เนื่องจากหม่อมฉันทอดสายตามองดูแล้ว ทั่วทั้งโลกล้วนมีแต่มนุษย์หิน เฮ้อ คนฉลาดล้วนเงียบเหงาวังเวงแล้ว”
“ยอดดวงใจ เช่นนั้นข้าก็เป็นมนุษย์หินเช่นกันหรือ”
เฉินวั่งซูตบบ่าเหยียนเจวี๋ย กะพริบตาใส่เขา “ท่านย่อมจะเป็นมนุษย์หินที่งดงามที่สุด”
องค์ชายสี่ได้ยินกลับร้องไห้ขึ้นมา เริ่มจากสะอื้นเบาๆ ต่อมาก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ
เขาร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ น้ำมูกน้ำตาไหล อีกทั้งยังเริ่มสะอึกขึ้นมาด้วย “ข้าจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า เสด็จแม่ทรงฝากความหวังไว้ที่ข้า ตั้งแต่เล็กก็เจ้ากี้เจ้าการกับข้าเสียทุกอย่าง คอยจ้องคอยดู อยากจะหาข้อดีจากตัวข้าให้ได้ แต่ข้าไม่ฉลาด เรียนหนังสือก็ไม่โดดเด่นอะไร มีเพียงร่างกายที่แข็งแรง เรียนขี่ม้ายิงธนูได้ดีกว่าพี่น้องคนอื่นมาก เสด็จแม่ทรงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อจะส่งข้ามาชายแดน พอข้ามาก็โชคเข้าข้าง ได้เจอกับชัยชนะครั้งใหญ่เข้าจริงๆ ข้าเองก็นึกว่าข้ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ กลับถึงเมืองหลินอันทุกผู้ทุกคนต่างชมเชยข้า บอกว่าข้าเป็นว่าที่เทพสงคราม ข้าเองก็หลงเชื่อตามนั้น หลงเชื่อไปจริงๆ
เสด็จแม่ทรงอยู่ในวัง ไร้ที่พึ่งพิง ต้องล่วงเกินคนไปไม่น้อยเพื่อให้ข้าได้แต่งงานกับเจ่าเอ๋อร์ มีชีวิตยากลำบากยิ่งยวด ข้าอยากจะทำการใหญ่สักครั้งหนึ่ง ไม่พูดถึงเป็นฮ่องเต้หรอก เป็นแค่อ๋องที่กุมอำนาจจริงได้ข้าก็พอใจแล้ว ข้าคิดแค่ว่าจะต้องทำให้คนทั้งหมดมาข่มเหงเสด็จแม่ข้าไม่ได้ ข้าคิดแค่ว่าจะทำให้เจ่าเอ๋อร์ไม่ดูถูกข้า ข้าอยากสร้างความดีความชอบเหลือเกิน พวกเขาบอกกับข้าว่าข้ารั้งอยู่ที่หลินอัน ดูแลงานขนส่งทางน้ำกับท่านพ่อตาเป็นการสิ้นเปลืองความสามารถเกินไปจริงๆ ข้าควรเข้าสนามรบ ขอเพียงมีความดีความชอบในการศึกก็จะมีทุกสิ่งอย่าง ข้าเองก็หลงเชื่อตาม เค้นสมองหาช่องทางจนได้มาชายแดนในที่สุด ข้านึกว่าความดีความชอบจ่ออยู่ที่ปากข้าแล้ว แต่ทว่า…” องค์ชายสี่พูดพลางเริ่มร้องไห้โฮ “แต่ทว่า…ใต้หล้านี้มีเรื่องดีไม่คาดฝันอย่างขนมเปี๊ยะตกลงมาจากฟ้าเสียที่ใดกัน ข้าไม่ใช่เทพสงคราม ข้าเป็นเพียงคนโง่เขลา…คนโง่เขลาที่ทำให้คนสองแคว้นเห็นเป็นตัวตลก
อย่างเรื่องที่ท่านคิด ข้ายังคิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงแม้แต่นิดเดียว ข้าถึงขั้นหลงนึกว่าข้าติดโรคระบาด…ข้า…สรุปคือรถม้านี้วิ่งได้ช้า พวกเรามิใช่จะถูกทัพใหญ่ของชาวเป่ยฉีไล่ตามมาทันในอีกไม่นานแล้วหรือไร หุบเขาไป๋สือ…ข้าเคยไปหุบเขาไป๋สือ แม้สภาพพื้นที่จะสลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต แต่ถ้าทัพใหญ่มาถึงแล้วบุกย่ำทั้งหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลองก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว พวกเรามีกันแค่ไม่กี่คน ต่อให้นับองครักษ์ของเหยียนเจวี๋ยด้วยก็ยังมีไม่ถึงยี่สิบคน ร่างกายคนเราทำจากเลือดเนื้อจะตอบโต้การบดขยี้จากทัพใหญ่ได้อย่างไร พวกท่านเสี่ยงมาช่วยข้า…ข้า…ฮึก…ฮึก…”
“เช็ดน้ำตาเสียเถอะ ในเมื่อยังมีแรงร้องไห้อยู่ ประเดี๋ยวก็ใช้แรงสังหารชาวเป่ยฉีให้มากหน่อยแล้วกัน ข้าฟังจากเสียงความเคลื่อนไหว พวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากพวกเราแล้ว ทว่าพวกเราก็มาถึงหุบเขาไป๋สือแล้วเช่นกัน” เหยียนเจวี๋ยพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้องค์ชายสี่ “ท่านคงไม่ได้คิดกระมังว่าวั่งซูเปลืองแรงไปมากปานนี้เพียงเพื่อช่วยท่านอย่างเดียว เช่นนั้นท่านก็ดูถูกนางเกินไปแล้ว ก่อนพวกข้าออกมานางกับผีหลิ่งได้หารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะวางกำลังดักซุ่มอยู่ในหุบเขานี้ พวกข้าจะล่อทัพเป่ยฉีเข้าหุบเขาไป จากนั้นก็จัดการเด็ดหัวพวกนั้นเสีย ทัพเป่ยฉีเร่งร้อนตามมา กระบวนทัพไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่ทัพฝ่ายเราเตรียมพร้อม ออมกำลังไว้รับมือข้าศึกอยู่นานแล้ว จะต้องคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จแน่นอน”
องค์ชายสี่ฟังแล้วก็พลันเงยหน้า ดวงตาเขาสว่างวาบขึ้นก่อนจะหม่นแสงลงอีกในทันที
ก็จริง คนที่ถูกจับเป็นเชลยอย่างข้ามีค่าอะไรให้เหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซูเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมาช่วยกันเล่า
องค์ชายสี่กำลังคิดน้อยเนื้อต่ำใจ กลับพบว่าบนบ่าตนเองมีมือข้างหนึ่งเพิ่มมา “ท่านไม่ได้สำคัญปานนั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเป็นชาวเป่ยฉีก็ดี หรือจะชาวต้าเฉินก็ช่าง ล้วนไม่มีทางจับจ้องท่านพร้อมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอด ทว่าท่านก็สำคัญยิ่งยวดเช่นกัน เนื่องจากท่านเป็นสามีของผู้อื่น เป็นบุตรชายของผู้อื่น เป็นบิดาของผู้อื่น ท่านเป็นเสาหลักในครอบครัว แม้แต่ฮู่กั๋วกงก็ใช่จะไม่เคยแพ้ศึก หากทุกคนที่พ่ายแพ้ล้วนท้อแท้จนไปกระโดดแม่น้ำตายกันหมด เช่นนั้นข้าคิดว่าต้าเฉินของพวกเราคงจะสูญสิ้นไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว ใครไม่เคยพ่ายแพ้ศึกตงจิงเมื่อสิบปีก่อนบ้างเล่า ชาวต้าเฉินพ่ายแพ้ยับเยิน บ้านเมืองล่มสลาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีส่วนหนึ่งที่เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าพวกเรายังสามารถกลับมาเอาชนะได้” เหยียนเจวี๋ยพูดพลางตบบ่าองค์ชายสี่เบาๆ สองสามที “พี่สี่ ท่านแพ้แล้วหรือ แต่ข้ากับวั่งซูไม่ยอมแพ้หรอก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.