บทที่ 365
“ไม่ พวกเราไม่มีวันแพ้”
เฉินวั่งซูกล่าวด้วยความจริงใจน่าเชื่อถือ
ไม่น่าแสร้งทำอวดเก่งเลย แต่ในเมื่อเริ่มแล้วก็ต้องเชื่อมั่นว่าทั่วทั้งใต้หล้าสยบอยู่ใต้เท้าข้าผู้เดียว ประจิมไม่พ่าย บูรพาไม่แพ้!
องค์ชายสี่ท่าทางดูงุนงงอยู่บ้าง
ทว่าเฉินวั่งซูหาได้มีทีท่าจะเกลี้ยกล่อมเขาต่อไม่ หากมิใช่เพราะเห็นแก่ฉินเจ่าเอ๋อร์ อาศัยแค่ว่าเขาเป็นเจ้าหนูน้ำเต้าก็ไม่ควรค่าให้นางกับเหยียนเจวี๋ยต้องมาเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตที่นี่หรอก ช่างมีเกียรติเสียนี่กระไร!
นางไม่เคยหวังอะไรแค่ทีละอย่าง อย่างละเล็กละน้อยอยู่แล้ว
“ฮูหยิน จะถึงหุบเขาไป๋สือแล้วขอรับ” เสียงราชองครักษ์ปีกดำดังมาจากนอกรถม้า
เฉินวั่งซูพยักหน้า “อย่าลืมลอกหนังหน้าออก พวกเราเกิดความคิดขึ้นกะทันหันถึงได้แปลงโฉมเป็นเจวี๋ยขุยกับจวีเอ๋อ อย่าให้ออกไปแล้วถูกผีหลิ่งยิงธนูฆ่าตายเสียเล่า!”
นางว่าแล้วก็ยกมือลอกหนังหน้าออกอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน หนังหน้าที่ชำรุดผุพังแตกระแหงจนไม่เหลือสภาพแล้วนั้นร่วงกราวลงมา องค์ชายสี่ที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทางเหมือนลูกแกะหลงทางมองนางปราดหนึ่งด้วยความหวาดผวา ก่อนจะทนไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นศีรษะออกนอกหน้าต่างรถม้า แล้วเริ่มอาเจียนโอ้กอ้าก
เฉินวั่งซูถลึงตาใส่เขาด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ เสียแรงที่เจ้าคนผู้นี้เป็นถึงแม่ทัพผู้นำทัพออกรบ นี่นับเป็นอะไร ถึงกับตกอกตกใจเสียได้!
เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้างอดมุมปากกระตุกไม่ได้ จากนั้นก็มองดูมู่จิ่นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปสักกระผีกราวกับเป็นพระพุทธรูปทีหนึ่ง สตรีช่างน่ากลัวโดยแท้ เขากับองค์ชายสี่นับว่าจิตใจแข็งแกร่งแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปมาเห็นหน้าของสาวงามหลุดร่วงเป็นชิ้นๆ คงได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบเลือนได้ไว้ในใจ ตกใจจนเกิดเป็นอาการเจ็บป่วยอย่างแน่นอน เช่นนั้นคงต้องกลายเป็นนับแต่นี้สตรีเป็นเพียงคนเดินถนน หันมาสนบุรุษสิยั่งยืน!
เหยียนเจวี๋ยยกมือแกะหนังหน้าที่บางราวกับปีกจักจั่นถูกลอกออก ก่อนจะเผยใบหน้าที่ชวนตะลึงนึกว่าเป็นชาวสวรรค์ออกมาในชั่วพริบตา
เฉินวั่งซูมองดูแล้วก็ต้องอุทานอีกครั้ง วิชาแปลงโฉมนี้น่าอัศจรรย์นัก
เพียงติดแผ่นหนังหน้าออกก็เปลี่ยนเป็นคนละคน น่าอัศจรรย์ใจแท้ๆ เชียว!
นางคิดพลางล้วงกล่องหยกสีเขียวใบเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาที่เปิดฝาออกเหยียนเจวี๋ยก็ใส่หนังหน้านั้นลงไปแช่ในน้ำสีเขียวพิลึกพิลั่นข้างในกล่อง จากนั้นก็ปิดฝาทันที
รถม้าจอดสนิทแล้ว เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยลงจากรถแล้วหาที่ซ่อนตัวอย่างฉับไว
ราชองครักษ์ปีกดำอย่างพวกชางเอ่อร์ปรากฏกายในทันใด แบกหีบใหญ่ที่บรรจุจวีเอ๋อรวมถึงองค์ชายสี่ที่อาเจียนจนวิงเวียนตาลายขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วหายลับไปท่ามกลางกองหินสีขาวในพริบตาเดียว…
ครั้นชาวเป่ยฉีมายืนอยู่ตรงปากหุบเขาแล้ว สิ่งที่มองเห็นก็คือมีรถม้าหรูหรางดงามจอดอยู่ตรงนั้น ล้อรถล้อหนึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ตัวรถม้าเอียงกระเท่เร่ เงินทองที่อยู่ด้านในตกกระจายเต็มพื้น
พอม้าที่ลากรถม้ามองเห็นคนคุ้นเคยก็กระทุ้งกีบเท้า ร้องขึ้นด้วยความเบิกบานใจ
เจวี๋ยขุยโบกมือให้ทัพใหญ่หยุดอยู่ที่ปากหุบเขา
เขาตั้งมั่นรักษาชายแดนมาตลอดหลายปี ย่อมจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับความอาถรรพ์ของสถานที่แห่งนี้
เขามองดูรอบๆ หุบเขา ที่นี่เงียบสงบอย่างยิ่ง ถึงขั้นไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงแมลง
เจวี๋ยขุยขมวดคิ้ว ไม่เดินเข้าไปในหุบเขาเสียที เขามองเฉาเถียนที่อยู่ข้างกาย
เฉาเถียนหลับตาลงแล้วเงี่ยหูฟังทันที “ท่านแม่ทัพ มีเสียงหายใจคนทั้งหมดห้าคน…ยังมีอีกสองสามคนที่เสียงหายใจแผ่วยิ่ง ผู้น้อยไม่แน่ใจนัก น่าจะเป็นองครักษ์ลับที่ชำนาญการพรางตัวข้างกายเหยียนเจวี๋ย มีเพียงผู้ที่เคยเล่าเรียนวิชากลั้นหายใจมาโดยเฉพาะเสียงหายใจถึงจะเป็นเยี่ยงนี้”
เฉินวั่งซูที่ซ่อนตัวอยู่ฟังแล้วก็หรี่ตา
นางว่าแล้วเชียว เฉาเถียนเป็นชาวต้าเฉิน สามารถดำรงตำแหน่งผู้ช่วยแม่ทัพอยู่ในเป่ยฉีได้จะต้องมีจุดที่เหนือกว่าผู้อื่นเป็นแน่แท้ และเขาก็มีหูที่ต่างจากคนปกติมาแต่กำเนิด สามารถได้ยินเสียงที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน
เฉาเถียนว่าแล้วก็กระโดดลงจากหลังม้า หมอบลงกับพื้น หลับตา แล้วเริ่มกระดิกหู
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้ลุกขึ้นยืนพลางส่ายศีรษะ “ไม่ได้ยินเสียงกองทัพม้าวิ่ง”
เขาพูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ที่น่าแปลกคือเขาหมอบกับพื้นแล้วกลับได้ยินเสียงลมที่ฟังคล้ายเสียงภูตผีโหยหวนหมาป่าเห่าหอน และยังมีเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งอีกด้วย
แต่ครั้นนึกถึงคำเล่าลือแสนแปลกประหลาดของหุบเขาไป๋สือเฉาเถียนก็ยั้งคำพูดที่มาจ่อถึงริมฝีปากนี้ไว้
เจวี๋ยขุยสั่งให้เขาฟังแค่เพียงมีชาวต้าเฉินดักซุ่มอยู่หรือไม่เท่านั้น คนอาจจะกลั้นหายใจได้ แต่ม้าทำไม่ได้ ในเมื่อไม่มีเสียงกองทัพม้าวิ่งก็หมายความว่าชาวต้าเฉินหาได้รับข่าวแล้วมุ่งออกจากเมืองมาช่วยคนไม่
หากบอกว่าขี่ม้ามาซุ่มรออยู่ที่นี่ล่วงหน้านั่นก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนอย่างที่เขาบอกก่อนหน้านี้ ปกติม้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้เหมือนคน มันยืนอยู่ตรงนั้น พอหมดความอดทนก็จะกระทืบเท้า ส่งเสียงออกจมูก เผยอปากยิงฟันเป็นระยะ
ถ้ามีม้าสักตัวอยู่ไกลออกไปเขาย่อมได้ยินไม่ชัด แต่หากม้ามีจำนวนมากเสียงเคลื่อนไหวก็จะดัง เป็นไปไม่ได้ที่จะรอดพ้นหูของเขา
เฉินวั่งซูที่หลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วก็เหยียดยิ้มมุมปาก
พอข้าเฉินวั่งซูลงมือก็จะได้รู้เองว่า ‘มี’ หรือ ‘ไม่มี’
นางคิดพลางดึงสายเชือกในมือ อีกด้านหนึ่งของเชือกมีเส้นผมสีดำผูกอยู่ช่อหนึ่ง ครั้นนางดึงเส้นผมช่อนั้นก็ลอยออกไปประหนึ่งถูกลมพัดก็มิปาน
แม้จะแค่ชั่วพริบตาเดียว แต่ก็เพียงพอที่เจวี๋ยขุยซึ่งมีวรยุทธ์ติดตัวจะมองเห็นได้ชัดเจน
เขาดีใจเป็นล้นพ้นตามคาด ร้องโหวกเหวกขึ้นว่า “ผิวทางเดินในหุบเขาไป๋สือนี้ขรุขระ เจ้าเด็กสกุลเหยียนเพิ่งเคยมาเยือน พอรถม้าพังแล้วพวกเขาก็หนีไปได้ไม่ไกล เด็กเมื่อวานซืนวางแผนรบบนกระดาษ กระทำการวู่วามด้วยตนเองเพียงคนเดียว ไม่มีบิดามารดาสั่งสอน วันนี้ก็ให้บิดาชาวเป่ยฉีอย่างพวกข้าสั่งสอนเจ้าแทนแล้วกัน!”
เขาพูดจบก็โบกมือ ควบม้าพุ่งตัวนำหน้าเข้าไปในหุบเขา!
กำลังพลที่ด้านหลังเขาเห็นดังนี้ก็กรูกันเข้าหุบเขาแทบจะทันทีประหนึ่งเปิดประตูระบายน้ำ
เฉินวั่งซูหรี่ตา ให้สัญญาณมือแก่คนทางด้านบนหุบเขา
ได้เวลาแล้ว! พอคนเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ คนก็เบียดเสียดกันในหุบเขา ต่อให้เจ้าหลบหลีกเก่งเพียงไรก็มีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น ผู้อื่นเพียงใช้กำลังเกลี่ยดินก็สามารถบดให้เจ้ากลายเป็นเนื้อเละๆ ได้!
เฉินวั่งซูยื่นมือออกไป รู้สึกได้ถึงริ้วหมอก ส่วนพลทหารชาวเป่ยฉีก็แทบจะมาถึงตรงหน้านางแล้ว
ในตอนนี้เองเฉินวั่งซูก็กดเบาๆ แทบจะในชั่วพริบตานั้นเหยียนเจวี๋ยได้โอบเอวนางไว้พลางผลุบตัวไปอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็วปานเหาะ
หมอกขาวในหุบเขาแทบจะบดบังสายตาคนไว้ ได้ยินเพียงเสียงดังแกร๊ก
ผิวดินบริเวณนั้นพลันแยกออกเป็นช่องขนาดใหญ่ ทหารเป่ยฉีทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบช่องนั้นตกพรวดลงไปประหนึ่งเป็นเกี๊ยวที่จมลงก้นหม้อ ขณะคนยังตอบสนองไม่ทันช่องใหญ่นั้นก็ปิดเข้าหากันอีกครั้งในชั่วพริบตาประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ถึงไม่ได้มองเฉินวั่งซูก็นึกภาพออกว่าบ่อน้ำใต้หุบเขาไป๋สือนั้นกำลังเดือดพล่านอยู่ พวกเขาลงไปแล้วก็จะกลายเป็นน้ำแกงเนื้อสดใหม่หนึ่งชาม
นางจุปากสองสามที เสียงนั้นฟังดูเสนาะหูอย่างยิ่ง ดังไปถึงในโสตของเฉาเถียนอย่างแม่นยำราวกับเป็นเสียงมารร้าย
ทัพเป่ยฉีในขณะนี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เริ่มหวาดหวั่นลนลาน วิ่งไปยังทางออกหุบเขาแล้ว
ทว่ามีคนมากเกินไป คนที่นอกหุบเขายังคงเบียดเข้ามาด้านใน ส่วนคนด้านในหุบเขาก็อยากจะหนีออกไป ในชั่วขณะนั้นเสียงร้องโหยหวนพลันดังมาเข้าโสตอย่างต่อเนื่อง
เฉินวั่งซูหัวเราะอีกสองสามครา เสียงหัวเราะของนางเหมือนว่าดังออกมาจากใต้พื้นดิน เหมือนเป็นเสียงอันเยียบเย็นของผีสาวซึ่งแฝงด้วยแววเยาะหยันและคับแค้นใจ
บทที่ 366
องค์ชายสี่ที่ยืนอยู่หลังเฉินวั่งซูมองดูจนปากอ้าตาค้างไปแล้ว
เขานึกขึ้นได้ว่าขณะตนเองถูกจับตัวไปก็อยู่ในหุบเขาไป๋สือนี้ เขาพาคนเข้าหุบเขา เจอเจาซวี่มาดักซุ่ม ทหารกองเล็กๆ กองหนึ่งที่พามาด้วยสู้จนตัวตายกันหมด เขาเองก็ถูกจับไปเป็นเชลย
ทว่าที่โชคดีคือพวกเขาในเวลานั้นล้วนมิได้ประสบกับฉากเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่ออีกทั้งน่ากลัวปานนี้
คำเล่าลือในเมืองเซียงหยางนั้นถูกต้อง หุบเขาไป๋สือนี้เป็นหุบเขาที่ ‘กินคน’ ได้จริงๆ
ทว่าหุบเขาไป๋สือน่าสยดสยองก็จริง แต่หญิงสาวตรงหน้านี้นางควบคุมหุบเขาไป๋สือได้
องค์ชายสี่เงยหน้ามองคนตรงหน้า
แม้จะอยู่ใกล้มาก แต่เขารู้สึกว่าตนเองคล้ายมองเห็นคนตรงหน้าได้ไม่ชัด เขาคิดว่าจะต้องเป็นเพราะหมอกในหุบเขาหนาเกินไปเป็นแน่ มิเช่นนั้นเขาจะรู้สึกได้อย่างไรว่าคำคุยโวก่อนหน้านี้ของเฉินวั่งซูเป็นความจริง
นางไม่มีวันแพ้…
เฉินวั่งซูในยามนี้ไหนเลยจะยังมีเวลาให้ความสนใจองค์ชายสี่ที่คิดฟุ้งซ่าน นางนับถอยหลังในใจ สาม สอง หนึ่ง…
ฟิ้ว เสียงลูกธนูนับไม่ถ้วนตกลงมาจากเหนือหุบเขาไป๋สือ
บรรดาคนที่ยังไม่ตกลงไปในหุบเขาเหล่านั้นล้มลงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าประหนึ่งเป็นแปลงข้าวหลังถูกเกี่ยว
“เฉาเถียน! นี่มันเรื่องอะไรกัน! เหยียนเจวี๋ยอยู่ที่ใด!”
เสียงกราดเกรี้ยวของเจวี๋ยขุยดังขึ้นกลางหุบเขา แต่ยามนี้กลางหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน ต่อให้หูของเฉาเถียนดีเพียงไรก็ยังหมดหนทางจะแยกแยะเสียงหายใจของเหยียนเจวี๋ยออกจากสถานที่ที่เสียงดังเซ็งแซ่ปานนี้ได้
“เหยียนเจวี๋ย เจวี๋ยขุยอยู่นั่น!”
เฉินวั่งซูหวิดจะส่งเสียงดีใจออกมา หากตาแก่นั่นไม่ปริปากออกมาเอง หมอกหนาเพียงนี้นางเองก็หาคนไม่เจอเช่นกัน
ทว่าบัดนี้ต่างออกไปแล้ว เขาแผดเสียงดังปานฟ้าผ่า มีเพียงคนหูหนวกเท่านั้นที่จะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
ในเวลาเดียวกับที่เฉินวั่งซูเปล่งเสียง ธนูยาวของเหยียนเจวี๋ยก็ลอยออกไปหาเจวี๋ยขุยแล้ว
ธนูนี้ไม่เหมือนกับที่ยิงลงมาจากเหนือหุบเขา มันถูกยิงในระยะใกล้ เร็วแรงแม่นยำ แทบจะแค่ชั่วพริบตาเดียวเฉินวั่งซูก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเจวี๋ยขุยแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้เองเหยียนเจวี๋ยก็ยื่นมือมารวบตัวเฉินวั่งซู โอบร่างนางไว้ แล้วเคลื่อนตัวเปลี่ยนสถานที่
“หมอกใกล้จะสลายตัวแล้ว ไม่อาจเป็นคนอ้วนได้จากการกินเพียงคำเดียว*”
เฉินวั่งซูตอบรับในลำคอเบาๆ ริมฝีปากของเหยียนเจวี๋ยแทบจะแนบติดกับหูนาง ไอร้อนที่พ่นออกมานั้นทำให้ขนทั่วตัวนางลุกชัน
นางแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักฉาด
นี่เป็นเวลาอะไร ข้าทางหนึ่งทำศึก อีกทางยังจะคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกหรือ น่าอายเกินไปแล้ว!
ขณะเหยียนเจวี๋ยพาเฉินวั่งซูถอยมาอยู่ที่ทางออกจากหุบเขาไป๋สือฝั่งแคว้นต้าเฉิน ธนูระลอกที่สองจากเหนือหุบเขาก็ลอยลงมาอีกครั้ง หมอกนั้นเป็นไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้หุบเขา มาเร็ว ไปก็เร็ว ยามนี้ไม่ส่งผลต่อการมองเห็นแล้ว
เฉินวั่งซูเพ่งสายตามองแล้วก็ต้องทอดถอนใจ
ธนูดอกนั้นของเหยียนเจวี๋ยยิงได้แม่นยำเป็นที่สุด ยิงถูกเจวี๋ยขุยเข้าพอดิบพอดี เพียงแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายก็เป็นถึงแม่ทัพมากฝีมือผู้มีประสบการณ์อันโชกโชน ธนูดอกนั้นจึงเพียงยิงตาเขาบอดไปข้างเดียวเท่านั้น
พลทหารเป่ยฉีเห็นแม่ทัพได้รับบาดเจ็บไหนเลยจะยังมีทีท่าต้องการต่อสู้อีกแม้เพียงกระผีก ต่างสลัดเกราะทิ้ง หนีหัวซุกหัวซุน คนในหุบเขาเวลานี้ตายไปเกือบหมดแล้ว ส่วนทหารที่อยู่นอกหุบเขาพอได้รับข่าวก็หนีเตลิดเปิดเปิงกันไปแล้ว
เหยียนเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ดันตัวเฉินวั่งซูเข้าไปในอ้อมแขนมู่จิ่น “ปกป้องนางให้ดี”
จากนั้นก็กระทืบเท้า ทะยานร่างตรงไปหาเจวี๋ยขุย
เจวี๋ยขุยผู้นั้นใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธ ดาบเล่มนั้นหนักยิ่งยวด ยามนี้เห็นว่าแม้เหยียนเจวี๋ยจะเปลี่ยนกลับมาอยู่ในสภาพรูปร่างหน้าตาของตัวเองแล้ว แต่ทรงผมและเสื้อผ้าแทบจะเหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้วก็นึกถึงเรื่องที่เหยียนเจวี๋ยปลอมตัวเป็นเขาขณะอยู่ในเมืองขึ้นมาได้อีก
เรื่องนี้เป็นความแค้นใหม่รวมกับความแค้นเก่า เขาอาละวาดด้วยดาบใหญ่ ไม่หลบเลี่ยงและก็ไม่ป้องกัน ฟันเข้าหาเหยียนเจวี๋ยอย่างรุนแรง
ในชั่วพริบตาที่ดาบและกระบี่กำลังจะปะทะกันนั้นเองเหยียนเจวี๋ยก็ขยับข้อมือ ตวัดกระบี่ยาวเล่มนั้นแทงเข้าหาเจวี๋ยขุยจากมุมเฉียง
เจวี๋ยขุยเห็นว่าหลบไม่ทันแน่แล้ว ในชั่วพริบตานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งแทรกตัวเข้ามาสกัดกระบี่นี้แทนเขา “ท่านแม่ทัพรีบไปเถิด”
เหยียนเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขารู้จักผู้ที่มาขวาง เป็นเฉาเถียนชาวต้าเฉินที่ก่อนหน้านี้เคยคุยกับพวกเขาที่หน้าประตูเมืองจริงๆ
เจวี๋ยขุยอาศัยจังหวะที่เหยียนเจวี๋ยชักกระบี่กัดฟันผลุบตัวขึ้นหลังม้า ฟันพลทหารเป่ยฉีที่กำลังวิ่งหนีขวางทางอยู่ข้างหน้าตนเองทิ้งไปตลอดทาง ก่อนจะควบม้าห้อตะบึงออกจากหุบเขา
เหยียนเจวี๋ยยิงธนูออกไปอย่างดุดัน ธนูยาวดอกนั้นแทงเข้าที่หลังของเจวี๋ยขุย เจวี๋ยขุยล้มลงบนพื้นตามหลังเสียงฟุ่บของลูกธนูทันที เวลานี้มีม้าเร็วตัวหนึ่งผ่านมา แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งดึงตัวเขาขึ้นม้าแล้วพุ่งออกไปจากหุบเขา
เหยียนเจวี๋ยโคลงศีรษะ หันหลังกลับไปอยู่ข้างกายเฉินวั่งซู
รอบข้างมีแต่เสียงโห่ร้องเสียงประจัญบาน
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยที่เดินมาหาตนเองพลางส่งเสียงหัวเราะ “ไยท่านไม่ไปฟันคนแล้วเล่า ข้าก็อยากจะให้ตนเองมีวรยุทธ์แล้วออกไปกระหน่ำตีสุนัขตกน้ำเหล่านั้นให้น่วมบ้าง!”
เหยียนเจวี๋ยยิ้ม “ท่านพ่อพาคนไปรออยู่ที่ปากทางแล้ว หากข้าฆ่าทิ้งหมดแล้วพวกเขาจะฆ่าอะไรอีก อีกอย่างหนึ่งพวกเราเห็นเพียงเจวี๋ยขุย ไม่เห็นเจาซวี่ ซุ่มโจมตีอยู่ตรงนี้ไปก็เท่านั้น ที่สุดแล้วต้าเฉินอ่อนแอเป่ยฉีแข็งแกร่ง พวกเราไม่สามารถไล่ตามไปโดยปราศจากการไตร่ตรองได้ หากเจาซวี่พาทัพใหญ่มาตั้งรออยู่นอกเมืองชายแดน ทัพเรารุดไปอย่างผลีผลามก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ศึกนี้ได้ชัยชนะครั้งใหญ่แล้ว อีกทั้งพวกเราก็มีตัวประกันอยู่ในมือ รอจัดทัพสักหน่อยค่อยไปปราบเป่ยฉีก็ยังไม่สาย”
เฉินวั่งซูพยักหน้า
การยกทัพออกรบมิใช่แค่แสดงความกล้าหาญอันบุ่มบ่ามชั่วครู่ชั่วยามก็จะสามารถคว้าชัยชนะได้เบ็ดเสร็จ พวกนางเพิ่งจะมาถึง ยังไม่รู้ความสามารถของเฉาเถียน แต่ฮู่กั๋วกงรู้ดี เพื่อจะดักซุ่มท่ามกลางศัตรูพวกนางจึงไม่ได้นำข้าวของและม้าศึกมาด้วย ตั้งใจว่าจัดการเรื่องตรงนี้เสร็จสิ้น ช่วยองค์ชายสี่มาได้แล้วก็จะตรงกลับเมือง
เมืองชายแดนแห่งนั้นเป็นเมืองแบบที่รักษาเมืองได้ง่าย บุกเมืองได้ยาก เมื่อก่อนใช่ว่าฮู่กั๋วกงจะไม่เคยยึดที่นั่นมาได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า ชาวต้าเฉินสะสมความอ่อนแอเอาไว้ ต่อให้ตีมาได้ แต่หากรักษาเมืองเอาไว้ไม่ได้ก็เสียแรงเปล่า
ระหว่างที่เหยียนเจวี๋ยพูดเสียงเข่นฆ่าที่ด้านนอกก็ค่อยๆ เริ่มเบาลง
เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ยก่อนเดินออกจากหุบเขา เพิ่งจะโผล่หน้าออกไปก็เห็นผีหลิ่งปราดมาหาด้วยท่าทางปีติยินดี เฉินวั่งซูรู้สึกว่าแม้แต่รอยแผลเป็นบนหน้าเขาก็ดูคล้ายกำลังยิ้มเช่นกัน
“แม่ทัพน้อย เซี่ยนจู่! พวกท่านช่วยองค์ชายออกมาแล้ว ดีเหลือเกิน พวกเราไม่ได้ต่อสู้อย่างสาแก่ใจเท่าวันนี้มานานมากแล้ว แม้จะปล่อยให้เจวี๋ยขุยหนีไปได้ แต่จากที่ข้าเห็น เขาได้รับบาดเจ็บหนักจนหมดสติไปแล้ว ต่อให้รอดชีวิต แม่ทัพที่ตาบอดไปข้างหนึ่งก็มีความสามารถไม่เท่าแต่ก่อนแล้ว! วันนี้มีความสุขเหลือเกิน ไปๆๆ พวกเรารีบกลับเมืองกันเถิด”
เขาพูดพลางก้าวมาข้างหน้า มองดูรอบๆ เล็กน้อย ก่อนลดเสียงลง
“เซี่ยนจู่คาดการณ์ได้ไม่ผิดสักนิด พวกท่านเพิ่งจะจากไปองค์ชายเจ็ดก็มาถึงแล้ว อัญเชิญพระราชโองการจากฝ่าบาทมาเรียกตัวแม่ทัพน้อยกลับไปเป็นการด่วน นี่แสดงชัดว่าผู้ที่อัญเชิญพระราชโองการมานั้นรอการกลับมาของฮู่กั๋วกงอยู่ เซียงหยางมีเสาค้ำแล้วก็…”
ผีหลิ่งพูดพลางกำหมัดแน่น
เหตุใดต้าเฉินถึงปราศจากท่าทีว่าจะดีขึ้น นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้ที่เหลวไหลเลื่อนเปื้อนผู้นี้ปราศจากความใจกว้างต่อผู้อื่น เหยียนเจวี๋ยมีกำลังรบชวนตื่นตะลึง ส่วนมันสมองของเฉินวั่งซู…มิใช่เขาคุยโวโอ้อวด แต่คำว่า ‘วางแผนได้ไม่ผิดพลาด’ นั้นก็หมายถึงนางจริงๆ
หากพวกเขาทั้งครอบครัวตั้งมั่นรักษาชายแดนไว้ได้ การจะบุกยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมาไยต้องกังวลว่าจะใช้เวลาชั่วกัลปาวสาน
เพียงแต่น่าเสียดายที่ข่าวชัยชนะยังไม่ทันแพร่ออกไปแม่ทัพน้อยก็ต้องเดินทางกลับแล้ว
* ไม่อาจเป็นคนอ้วนได้จากการกินเพียงคำเดียว เป็นสำนวน หมายถึงทำสิ่งใดต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ห้ามใจเร็วด่วนได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.