บทที่ 367
เฉินวั่งซูไม่แปลกใจกับเรื่องนี้แม้เพียงแต่น้อย
ฮ่องเต้ไม่มีทางทนให้สกุลเหยียนปรากฏเทพสงครามขึ้นสององค์ได้อย่างแน่นอน
ฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องทรงคุณธรรมเป็นต้นว่านาง หากประสบกับเรื่องนี้ก็ต้องเปิดแท่นบูชาทำพิธีขอบคุณบรรพบุรุษที่ประทานโชคมาให้นางได้นอนกินดื่มเล่นสนุกอยู่ในวังโดยที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถออกไปขยายดินแดนได้
แม่ทัพน้อยต้องการดาวข้าก็จะให้ดาว ต้องการฟักทองข้าก็จะให้ฟักทอง หากแม่ทัพน้อยผู้นั้นเป็นคนงามชั้นเลิศเหมือนกับเหยียนเจวี๋ย อืม…ต้องการข้าก็ใช่จะไม่ได้!
ทั้งที่อยากให้ม้าวิ่ง แต่ก็กลัวม้าจะกินหญ้า รังเกียจว่าแม่ทัพสู้รบเป็น นั่นมิใช่เหมือนกับรังเกียจว่าม้าวิ่งเร็วหรือไร ไยเจ้าไม่ขี่เต่าไปเสียเลยเล่า
ด้วยเหตุนี้นางกับเหยียนเจวี๋ยจึงเลือกจะช่วยองค์ชายสี่กลับมาให้ได้ไวที่สุด พร้อมกันนั้นก็ไม่เสียเวลารบที่หุบเขาไป๋สือ คว้าชัยชนะให้ได้โดยเร็ว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นไปเพื่อทำให้เหยียนเจวี๋ยกอบโกยความดีความชอบในการศึกมาให้ได้ก่อนที่พระราชโองการด่วนจากเมืองหลวงจะมาถึง พวกนางถึงจะไม่เดินทางมาเสียเที่ยว!
นางไม่เห็นรางวัลจากฮ่องเต้อยู่ในสายตาหรอก จะอย่างไรนางก็เป็นถึงสตรีผู้มีท้องพระคลังสมบัติน้อยทั้งหุบเขาไป๋สืออยู่ในครอบครองแล้ว
แต่เหยียนเจวี๋ยจำเป็นต้องมีชื่อเสียงบารมีในหมู่ทหาร
ยึดครองใต้หล้า ยึดครองใต้หล้า ต้องสู้ก่อนถึงจะได้ครอบครอง!
ผีหลิ่งเห็นเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้สักนิดในดวงตาก็มีความลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังคงกวักมือเรียกทหารอารักขาที่อยู่ด้านข้าง “องค์ชายสี่เสด็จกลับมาแล้ว ทรงได้รับบาดเจ็บ สั่งให้คนยกเกี้ยวมาพาองค์ชายกลับเมือง”
เขาพูดพลางประสานมือคารวะองค์ชายสี่
องค์ชายสี่มองเหยียนเจวี๋ยทีหนึ่งก่อนพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาอาเจียนหนัก แผลจากแส้บนตัวยังไม่หายดี อีกทั้งนั่งรถม้าโคลงเคลงมาทั้งคืน จวบจนตอนนี้ถึงได้ปลอดภัยเป็นที่แน่นอน ครั้นผ่อนคลายลงทั้งตัวคนก็รู้สึกอ่อนแรงอย่างมาก เกินจะทนไหวแล้วจริงๆ
เมื่อคนหามองค์ชายสี่ไปแล้วผีหลิ่งถึงได้ส่งสายตาให้เฉินวั่งซู ก่อนพานางกับเหยียนเจวี๋ยเดินไปยังทางเดินเส้นเล็ก
ทางเส้นเล็กนี้ขรุขระ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาค้นพบได้อย่างไร เดินได้ไม่นานก็มาถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง
ผีหลิ่งมองดูรอบๆ เล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีใครแล้วถึงได้ออกปากค่อนขอด “องค์ชายเจ็ดช่างมาได้ถูกเวลาเสียเหลือเกิน ทันได้เกาะหางศึกหุบเขาไป๋สือ ความดีความชอบครานี้จะต้องถูกเขาแบ่งไปส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน”
เขาว่าแล้วก็ลดเสียงลง ล้วงหวีไม้จันทน์เล่มหนึ่งกับหยกโบราณอีกชิ้นออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนยื่นให้เหยียนเจวี๋ย
“แม่ทัพน้อยเก็บของสองสิ่งนี้ไว้ก่อน แล้วพวกเราค่อยมาคุยกัน ในเมืองยามนี้มีหูมีตาหลายคู่ ท่านแม่ทัพและข้าต่างก็ห่วงว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก มีบางเรื่องพวกเรามาคุยรวมกันตรงนี้เลยแล้วกัน”
ผีหลิ่งพูดพลางกำมือน้อยๆ “ข้าจะพูดให้สั้นๆ ท่านแม่ทัพเดิมทีไม่ได้แซ่เหยียน ควรเป็นแซ่ฉินจึงจะถูก”
เฉินวั่งซูอึ้งงันไป พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนแรกนางกับเหยียนเจวี๋ยวางหลุมพรางในคืนหิมะตกเพื่อจับตัวสี่มามาที่บ้านเดิมของฮู่กั๋วกงฮูหยินส่งมา ซึ่งสี่มามาผู้นั้นเป็นคนของฮองเฮา
เวลานั้นสี่มามาก็บอกว่าตอนโน้นจวนผิงอ๋องสงสัยว่าโจรภูเขาเหยียนหลินจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่แห่งหน่วยราชองครักษ์ปีกดำ จุดที่สำคัญมากในเรื่องนี้ก็คือพวกเขาสงสัยว่าเหยียนหลินจะมาจากสกุลฉินแห่งเว่ยหนาน
นางคิดแล้วก็ขมวดคิ้ว นี่ช่างบังเอิญโดยแท้
เหยียนเจวี๋ยเองก็ไม่ได้แซ่เหยียน ในโลกปัจจุบันก็แซ่ฉิน ชื่อว่าฉินเจิน
“สกุลฉินเป็นตระกูลใหญ่ในเว่ยหนาน บรรพบุรุษมีแม่ทัพผู้โด่งดังถือกำเนิดขึ้นหลายคน ต่อมาได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น สกุลฉินจึงปลีกตัวไปอยู่ชนบท แม้ว่าบุตรหลานชนรุ่นหลังจะล้วนฝึกยุทธ์ศึกษาพิชัยสงคราม แต่ก็มีคนเป็นขุนนางน้อยมาก ท่านแม่ทัพมีนามว่าฉินมู่หนาน เป็นคุณชายจากตระกูลสายตรง ทัพเซียงหยางก็คือสัตว์ร้ายพิทักษ์ชายแดน ข้ากับท่านแม่ทัพเป็นคนมีความผิด เคยตั้งสัตย์สาบานแล้วว่าจะอุทิศชีวิตในชาตินี้แก่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ทัพเซียงหยางจึงไม่อาจแบ่งทหารไปช่วยแม่ทัพน้อยสำแดงปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว ทว่าถึงแม่ทัพเหยียนไม่สามารถ แต่แม่ทัพฉินที่มีอยู่มากมายกลับทำได้ ท่านแม่ทัพจากวงศ์ตระกูลมาหลายปีจึงไม่รู้สภาพการณ์ในตระกูลโดยละเอียด แม่ทัพน้อยสามารถนำเครื่องยืนยันชิ้นนี้ไปทำความรู้จักญาติพี่น้องที่เว่ยหนานได้”
ก่อนหน้านี้ผีหลิ่งยังเป็นกังวลว่าคนสกุลฉินไม่แน่ว่าจะยินดียื่นมือช่วยเหลือ แต่บัดนี้ได้เห็นความสามารถของเฉินวั่งซูแล้ว ไหนเลยจะยังต้องกังวลอีกแม้เพียงน้อยนิด
มีหญิงสาวนางนี้อยู่ อย่าว่าแต่คนสกุลฉินที่เดิมทีก็ชอบสงครามเลย ต่อให้เป็นลูกแกะนางก็ยังหลอกให้คิดว่าเป็นหมาป่าได้
เฉินวั่งซูเห็นสายตาที่เปล่งประกายของผีหลิ่งแล้วก็อดจะกระเถิบตัวไปอยู่ด้านหลังเหยียนเจวี๋ยไม่ได้ ในสายตาข้ามีเพียงคนรูปงาม แม่ทัพผีฉลาดก็จริง แต่พวกเราไม่เหมาะสมกันจริงๆ!
ยังดีที่เวลากระชั้นชิดผีหลิ่งจึงไม่มีเวลาให้มัว ‘ชื่นชม’ เฉินวั่งซูต่อ
เขามองหวีไม้จันทน์เล่มนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ก่อนกล่าวว่า “หวีเล่มนี้…ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ส่งข้าเข้าคุกเพื่อให้ข้าไปเป็นมือซ้ายมือขวาของฮู่กั๋วกงที่ค่ายชิงซาน ก่อนจะถูกเนรเทศมารดาได้นำหวีเล่มนี้มาหวีผมให้ข้า หลายปีมานี้แม้ข้าจะมีตำแหน่งในกองทัพและนับว่าเป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่งแล้ว แต่มารดายังคงไม่แยแสข้าอยู่ดี ที่ให้หวีเล่มนี้แก่พวกท่านเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าเอง คนเป็นทหารชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง มารดาข้าเองก็อายุมากแล้ว มีบางเรื่องที่ข้าไม่อาจพูดและก็พูดไม่ออก…แต่ที่สุดแล้วยังคงหวังว่า…” เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “แม้บ้านข้าจะไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นสกุลฉินแห่งเว่ยหนาน แต่ก็เป็นตระกูลบัณฑิตเช่นเดียวกัน บิดาสอนหนังสือให้ความรู้คน หูตาเฉียบแหลม มารดาข้ามีพี่ชายบุญธรรมอยู่คนหนึ่ง ปัจจุบันอยู่ในกองทัพ สามารถไปถึงหลินอันได้ในวันเดียว หากได้เป็นกำลังช่วยเหลือ…”
ผีหลิ่งพูดพลางมีท่าทางกระดากอายขึ้นมา
สองกำลังช่วยเหลือที่เขากับฮู่กั๋วกงมอบให้นี้ล้วนฟังดูร้ายกาจ แต่ผู้อื่นร้ายกาจก็ส่วนร้ายกาจ ไม่แน่ว่าจะยอมให้เด็กเมื่อวานซืนใช้ประโยชน์ ผ่านมาหลายปีดีดัก ดีไม่ดีพอไปหาผู้อื่นอาจจะหอบสาแหรกตระกูลมาฟาดหน้าพวกเขา แล้วบอกว่า ‘ลูกไม่รักดีสองคนนี้ถูกพวกข้าขับออกจากตระกูลไปนานแล้ว…ส่วนพวกเจ้า? ขออภัยด้วย เป็นผู้ใดกัน แค่มาประจบประแจงหน่อยเดียวก็จะให้ผู้อื่นก่อกบฏตามแล้วหรือ’
เหยียนเจวี๋ยยิ้ม สอดของยืนยันทั้งสองชิ้นนั้นเข้าในอกเสื้อ ก่อนจะคารวะผีหลิ่ง “ขอบคุณท่านมาก มีประโยชน์มากทีเดียว ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
ผีหลิ่งแสยะปากยิ้ม ดูดีใจจนเหมือนเด็ก เขามองดินแดนทางเหนือเล็กน้อยก่อนถามว่า “แม่ทัพน้อย ก่อนข้าตายยังจะได้เห็นเมืองตงจิงอีกครั้งหรือไม่”
“ได้เห็นแน่”
ผีหลิ่งหลับตาลง คล้ายว่ากำลังนึกฝันถึงฉากเหตุการณ์อันแสนวิเศษที่ได้ยึดดินแดนทางเหนือกลับคืนมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่ทัพน้อย พวกเราไปกันเถิด หากมีใครถามก็บอกว่าท่านพาข้าไปตรวจดูหุบเขาไป๋สือแล้วกัน”
ในเมืองเซียงหยางเต็มไปด้วยความครื้นเครงเปรมปรีดิ์
แตกต่างยิ่งยวดกับเมื่อแรกที่พวกเขามาถึง เวลานี้ฮู่กั๋วกงยืนอยู่บนแท่นสูง เปลือยอกยกจอกสุรา และหัวเราะฮ่าๆ
ครั้นเขาหัวเราะชาวบ้านที่ด้านล่างก็หัวเราะตามไม่หยุด
เฉินวั่งซูถามขึ้นอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “เหยียนกงมิได้พูดเรื่องตลกเสียหน่อย เหตุใดพวกเจ้าจึงหัวเราะเล่า”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งหันหน้ามาตอบทันควัน “เหยียนกงหัวเราะแล้วก็แสดงว่าชาวบ้านเมืองเซียงหยางอย่างพวกข้าสามารถหัวเราะได้อย่างสบายใจอย่างไรเล่า! ช่วงที่ผ่านมานี้ในเมืองลือกันไปทั่วว่าเหยียนกงถูกหุบเขาไป๋สือนั่นกินไปแล้ว ข้าเองก็ยังแขวนผ้าขาวไว้บนคานพร้อมกับคนในครอบครัวแล้วเลย ถึงจะต้องลงไปยมโลกทั้งครอบครัวข้าก็ยังจะขอติดตามเหยียนกง”
เขาพูดจบก็เริ่มหัวเราะร่าตามฮู่กั๋วกงอีกครั้ง
บทที่ 368
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็ให้สะท้อนใจ แม้ฮู่กั๋วกงจะไม่ได้เป็นบิดาที่ดี แต่เขาเป็นแม่ทัพที่ดีมากจริงๆ
“วั่งซู!”
เฉินวั่งซูเปลือกตาขวากระตุก
นางไม่เข้าใจเจ้าของเสียงตื่นเต้นที่คุ้นเคยนี้แม้แต่น้อย สมองขององค์ชายเจ็ดเจียงเยี่ยเฉินถูกล้างไปตามกำหนดเวลาแล้วหรือไร หากนางจำได้มิผิด นางมีคนงามอยู่ในอ้อมอกแล้ว ส่วนเจียงเยี่ยเฉินก็มีลูกน้อยหนึ่งคนแล้วเช่นกัน
ไม่ใช่สิ ตามคำแนะแนวจากระบบหลิ่วอิงที่อยู่ไกลถึงหลินอันมีข่าวดีอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกนางปะทะกันหลายหน ตามหลักควรจะผิดใจกันจนกลายเป็นความแค้นนานแล้ว แต่ไฉนเจ้าคนผู้นี้กลับยังสามารถใช้เสียงตื่นเต้นประหลาดใจเหมือนได้พบสหายเก่าที่ต่างบ้านต่างเมือง คล้ายว่าได้พบรักแรกในงานเลี้ยงพรรค์นี้มาเรียกนาง…
เฉินวั่งซูยังไม่ทันได้หันหน้ากลับไปเหยียนเจวี๋ยก็เบี่ยงตัวมาบังอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
“องค์ชายเจ็ดเสด็จมาได้ประจวบเหมาะโดยแท้ หากรู้ก่อนว่าเสบียงจะมาช้ากว่าพวกข้าเพียงสองวัน พวกข้าก็คงไม่ต้องเร่งรุดมาเซียงหยางโดยมิหยุดพักแล้ว ควรจะนั่งรถม้ามากับองค์ชายมากกว่า”
เฉินวั่งซูเห็นเหยียนเจวี๋ยมีท่าทางหึงหวงก็ขยิบตาให้เขา “บางทีองค์ชายเจ็ดอาจจะติดวงล้อไฟให้รถม้า มาด้วยความเร็วเช่นนี้วันหน้าเหล่าทหารยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ชายแดนยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเสบียงอาหารอีกหรือ ช่างเป็นบุญของต้าเฉินเราโดยแท้!”
ประกายในดวงตาเจียงเยี่ยเฉินหม่นแสงลงแทบจะทันที เขาพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งจะมองเห็นเหยียนเจวี๋ย “พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ไม่ต้องเรียกองค์ชายๆ แล้ว พวกเราเรียกกันเหมือนเมื่อก่อนเถอะ เจ้าเรียกข้าว่า ‘เจียงเยี่ยเฉิน’ ข้าเรียกเจ้าว่า ‘เหยียนเจวี๋ย’ แล้วกัน ก่อนหน้านี้พวกเรามีความเข้าใจผิดกันไม่น้อย แต่เหยียนเจวี๋ย พวกเราหาได้มีความแค้นใดๆ ต่อกันไม่ ข้ายิ่งไม่มีความคิดจะทำร้ายเจ้ากับวั่งซู มู่เฉิงกับหลิ่วอิงเองก็เป็นเพราะริษยาที่ข้าเคยหมั้นหมายกับวั่งซูถึงได้กลั่นแกล้งนางสารพัด สิ่งที่พวกนางทำผิดไป ข้าขออภัยต่อพวกเจ้าแทนพวกนางด้วย หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ถือสาหาความ”
เขาพูดพลางชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวอีกว่า “แม่ทัพฉินคุ้มกันเสบียงมาส่ง ยามนี้ยังมาไม่ถึง หลังพวกเจ้าจากไปเสด็จพ่อก็ได้ออกพระราชโองการฉบับใหม่ จึงทรงส่งข้าให้นำพระราชโองการล่วงหน้ามาก่อน พวกเจ้าเพิ่งจะออกไป ข้าก็ตามหลังมาทันที หากมิใช่เพราะประสบอันตรายระหว่างทาง หวิดจะสิ้นชีวิตคงจะมาถึงเร็วกว่านี้หนึ่งวัน”
เขาพูดพลางมองเฉินวั่งซูอีกปราดหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างติดจะเยาะหยันตนเอง “เป็นเพราะประสบผ่านความเป็นความตายมานี่ล่ะที่ทำให้ข้าคิดตกได้หลายเรื่อง ไมตรีในวัยเยาว์ล้ำค่าที่สุดแล้ว เหยียนเจวี๋ย พวกเรายังสามารถเป็นพี่น้องกันได้อยู่หรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยมุ่นหัวคิ้ว ยื่นนิ้วแทงเข้าไปในพื้น แล้วดึงอิฐก้อนหนึ่งออกมายื่นให้เฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูรับมาอย่างปราศจากความลังเล ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น
นางชูมือขึ้นพร้อมกับยิ้มตาหยี ชูอิฐก้อนนั้นขึ้นสูง ทันใดนั้นก็พลันเปลี่ยนสีหน้า ทุ่มมันใส่หลังเท้าเจียงเยี่ยเฉิน บุรุษต่ำช้าหลายใจยังคิดจะเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับคนงามเหยียนของข้า?!
มือนางรวดเร็วอีกทั้งแม่นยำ ทุ่มใส่หลังเท้าเขาดังตุ้บในขณะที่เจียงเยี่ยเฉินยังไม่ทันมีอาการตอบสนอง
เจียงเยี่ยเฉินหน้าเขียวคล้ำ เจ็บจนน้ำตาไหลพราก เขากุมเท้าตนเองไว้พลางกระโดดเหยงๆ กับที่
ชายชราหนวดขาวที่ยืนหัวเราะร่าอยู่ข้างเฉินวั่งซูผู้นั้นได้ยินเสียงครวญครางของเจียงเยี่ยเฉินก็พลันหันหน้ากลับมา เงื้อไม้เท้าเขกเข้าที่หน้าผากเขา
“เจ้าเด็กเวรนี่ พวกข้ากำลังมีความสุข เจ้ามาร้องไห้หน้าศพอะไรกัน!”
เจียงเยี่ยเฉินมือหนึ่งกุมเท้า อีกมือกุมศีรษะ ประกายไฟในดวงตาแทบจะปะทุออกมา
เฉินวั่งซูพยักหน้าพลางปัดฝุ่นบนมือ
นี่สิถึงจะถูกต้อง พวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันนานแล้ว หมาป่าตัวเขื่องอย่างเจ้ายังจะแสร้งทำตัวเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยอะไรอีก รังแต่จะทำให้คนสะอิดสะเอียนเสียเปล่าๆ
“ระหว่างพวกเรามีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยจริงๆ ทว่าเจียงเยี่ยเฉิน ระหว่างพวกเราไม่มีความแค้นฝังลึกใดๆ วั่งซูเองก็แค่มักจะสะอิดสะเอียนจนนอนไม่หลับเนื่องจากการหมั้นหมายในสมัยก่อนเป็นเหตุ นี่ถึงได้ใจลอยพลั้งมือไปชั่วขณะ ทำเรื่องที่อยากทำแม้แต่ในฝันออกมาเท่านั้นเอง นางทำไม่ถูกต้อง ข้าขออภัยแทนนางด้วย ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
มือที่กุมหัวอยู่ของเจียงเยี่ยเฉินแข็งค้างไปแล้ว เขาลดมือลงอย่างเชื่องช้า ยืดตัวยืนตรง แต่ยังคงเจ็บอยู่มาก
เฉินวั่งซูเค้นพลังสุดแรงเกิดเลยทีเดียว หากมิได้อยู่ท่ามกลางธารกำนัลอิฐก้อนนี้คงทำให้ข้าหัวแบะได้เลยกระมัง!
เจียงเยี่ยเฉินเจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาคิดแล้วก็ยกมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือกุมเท้าไว้อีกครั้ง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็พลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“สามี ไฉนจึงมีคนใช้มือที่จับเท้าแล้วไปจับศีรษะอีกเล่า” เสียงของนางแฝงจริตจะก้านเต็มที่
เหยียนเจวี๋ยตัวสั่นสะท้าน ภรรยา พวกเรายืดลิ้นให้ตรงแล้วค่อยคุยกันได้หรือไม่
“ภรรยา เจ้าลองคิดดูสิ หมูคลอดลูกเก้าตัว แต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน จะมีตัวที่ชอบเกลือกกลิ้งในโคลนอยู่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติ”
“ฮ่าๆๆๆๆ!” คนผู้หนึ่งที่ยืนชมความครึกครื้นอยู่ด้านข้างพลันเปล่งเสียงหัวเราะ
เฉินวั่งซูหันหน้าไปมอง เจ้าคนผู้นี้ถึงกับดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก
ทว่าคนผู้นั้นกลับยกมือปิดปากไว้ วิ่งปุเลงๆ มาหา ก่อนยัดยาขี้ผึ้งให้เจียงเยี่ยเฉิน “ของสิ่งนี้ระงับความเจ็บปวดได้ ท่านทานิดเดียวก็ไม่เจ็บแล้ว ข้าบอกท่านนานแล้วว่าการเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น* เป็นการหาความอัปยศใส่ตัว…”
ครั้นเห็นเจียงเยี่ยเฉินมีสีหน้าไม่สู้ดีคนผู้นั้นก็รีบปิดปากไว้ ก่อนจะเปิดกระปุกยา แตะออกมาเล็กน้อยแล้วทาลงบนหน้าผากของเจียงเยี่ยเฉิน “ผู้มีพระคุณอย่าได้โมโห ข้าเห็นว่าฮูหยินท่านนี้เพียงแค่ล้อเล่น จะอย่างไรตอนแรกที่ท่านถอนหมั้นผู้อื่นก็ได้ทำให้ชื่อเสียงของหญิงสาวเขาเสียหาย อย่าว่าแต่ผู้อื่นเพียงแค่หยิบหินมาทุบท่านเลย ต่อให้หยิบดาบใหญ่มาฟันท่านก็ยังเป็นการสมควร ฮูหยินทุ่มหินแล้ว ได้คลายโมโหแล้ว หลังจากนี้ทุกคนพบหน้ากันก็ยังปรองดองกันได้มิใช่หรือ”
เฉินวั่งซูได้ยินเสียงของเขาแสงสว่างก็พลันวาบผ่านในสมอง ผู้สูงศักดิ์?
นางก็ว่าอยู่ว่าไฉนคนผู้นี้ถึงได้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาปานนั้น ผู้สูงศักดิ์ ผู้สูงศักดิ์…
คืนก่อนวันแต่งงานของนางกับเหยียนเจวี๋ยระบบบอกว่าเจียงเยี่ยเฉินจะได้พบผู้สูงศักดิ์ที่ริมทะเลสาบซีหู นางจึงมุ่งหน้าไปแล้วพบเหยียนเจวี๋ยถูกลอบสังหารเข้าพอดี ด้วยเหตุนี้นางจึงได้ใช้งานหน้าไม้น้อยเป็นครั้งแรก ยิงเข้าที่บั้นท้ายเหยียนเจวี๋ย!
ผู้สูงศักดิ์ที่ถูกลูกหลงอยู่ในพงหญ้าเมื่อวันนั้นมิใช่คนตรงหน้านี้หรือไร
สรุปว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ สูงศักดิ์เพียงไรกันแน่ถึงได้ทำให้ผู้สูงศักดิ์ที่ระบบเอ่ยถึงสองครั้งล้วนแต่เป็นเขา
สตรีที่ทำการใหญ่สำเร็จมักเป็นคนไม่พูดจาพร่ำเพรื่อ
เวลานี้ผู้สูงศักดิ์ก็เห็นสตรีผู้นั้นยกหน้าไม้น้อยขึ้นมา เขาตัวสั่นสะท้าน ยกมือปิดปากตนเองไว้ จากนั้นก็ชี้เฉินวั่งซูด้วยอาการสั่นเทา “ท่านๆๆ…”
เฉินวั่งซูพยักหน้า
ผู้มีพระคุณอะไรกัน ผู้สูงศักดิ์ผู้นี้คงมิได้ตาบอดกระมัง
คืนวันนั้นเป็นนางรุดไปถึงก่อนเจียงเยี่ยเฉินแล้วให้คนของเหยียนเจวี๋ยพาเจ้าคนผู้นี้ไปรักษาแท้ๆ
แต่เขาตาฝ้าฟางมากเพียงไรกันแน่ถึงได้จำคนผิด เรียกเจียงเยี่ยเฉินเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ เสียได้
มิผิดจากที่คาด ผู้สูงศักดิ์ที่สวมหมวกเขียวผู้นั้นจัดชุดให้เป็นระเบียบ ทำตาขวางใส่เจียงเยี่ยเฉิน ไม่ลืมที่จะกระโดดเช็ดยาบนหน้าผากอีกฝ่ายออก แล้วพุ่งปราดมาหาเฉินวั่งซูและเหยียนเจวี๋ย
“ผู้มีพระคุณ!”
ในชั่วพริบตาที่หน้าไม้น้อยนั้นปรากฏโฉม เขาก็นึกถึงฉากเหตุการณ์อันยากจะลืมเลือนได้ชั่วชีวิตซึ่งได้เห็นที่ริมทะเลสาบซีหูขึ้นมาทันที จอมยุทธ์หญิงสังหารคนแปดคนได้ในชั่วพริบตาด้วยกระบวนท่าเดียว!
* ‘เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น’ มาจากสำนวน ‘หน้าร้อนแนบก้นเย็น’ หมายถึงแสดงความกระตือรือร้นต่อผู้อื่น แต่ได้รับความเย็นชาตอบกลับมา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.