บทที่ 369
ในดวงตาผู้สูงศักดิ์ปรากฏประกายน้ำ มือสั่นน้อยๆ สองสามที เขาเอ่ยคำว่า “ผู้มีพระคุณ” ออกจากปากอีกครั้งภายใต้พลังกดดันจากแม่เสือ มีน้ำใสใจจริงเพิ่มมาอย่างเต็มเปี่ยม
ในขณะที่เขาโผร่างล้มลงตรงหน้าเฉินวั่งซู มือใหญ่ข้างหนึ่งของเหยียนเจวี๋ยก็ยื่นมาขวางเขาไว้แล้ว
เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ อธิบายด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านโดยไม่สนใจเจียงเยี่ยเฉินที่ตระหนกตกใจอยู่ด้านข้าง “พอได้พบผู้มีพระคุณในวันนี้ข้าก็จำได้ทันที ล้วนต้องตำหนิข้าที่ก่อนหน้านี้หูตาฝ้าฟาง ถูกคนถ่อยหลอกเอาถึงได้หลงจำผิดคน พอแยกจากกันที่ทะเลสาบซีหูในวันนั้นข้านอนอยู่สามเดือนเต็มๆ กว่าจะหายดี คืนนั้นมืดมิดข้าจึงจำได้ไม่ชัด เพียงจำได้ว่าบุรุษหล่อเหลา สตรีงดงาม เป็นชนชั้นสูงขุนนางใหญ่ในเมืองหลินอัน”
เขาพูดพลางชี้เจียงเยี่ยเฉินที่กลายเป็นหินไปแล้ว “คนผู้นี้แต่งตัวหรูหราโอ่อ่า เจอโจรปล้นกลางทาง ถูกลอกคราบจนเกลี้ยงแล้วจับห้อยไว้บนต้นไม้ เป็นข้าผ่านทางไปถึงได้ช่วยเขาลงมา”
ลอกคราบจนเกลี้ยง?!
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายในทันที สวรรค์! ยามที่เจียงเยี่ยเฉินประสบกับความอัปยศอดสูเยี่ยงนี้ข้ากลับไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าผู้ที่มาดักปล้นนั้นเป็นพี่น้องคนใด ท้องฟ้าเป็นพยานอยู่เบื้องบน ผืนดินเป็นพยานอยู่เบื้องล่าง จะสาบานเป็นพี่น้องกับข้าหรือไม่
เจียงเยี่ยเฉินในเวลานี้ได้ยินก็อับอายจนแดงเถือกไปทั้งหน้าแล้ว เขาแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าไม่ได้หลอกลวงเจ้าเสียหน่อย เป็นเจ้าเรียกข้าว่าผู้มีพระคุณเอง ข้า…ข้า…”
เจียงเยี่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อ เดินกะโผลกกะเผลกเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนแล้วหายลับไปทันใด
ผู้สูงศักดิ์มองแผ่นหลังของเจียงเยี่ยเฉินด้วยความเจ็บใจทีหนึ่ง “ยาขี้ผึ้งนั้นของข้าหายากอย่างยิ่ง กลับยกให้เจ้าคนเนรคุณไปเสียแล้ว สาเหตุที่ข้าเข้าใจผิดล้วนเป็นเพราะเจ้านั่นพูดเองว่าเขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาข้ายิ่งยวด คล้ายว่าเคยได้เห็นจากที่ใด สองปีมานี้ข้าไปหลินอันเพียงครั้งเดียว เมื่อซักถามดูเขาก็บอกว่าวันนั้นเขาไปริมทะเลสาบซีหู ทั้งยังเล่าเรื่องที่ได้ช่วยข้าให้ฟัง…โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กนั่นจำข้าได้จึงได้จงใจหลอกข้านี่เอง!”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
ฟังจากความหมายในคำบอกเล่านี้ของผู้สูงศักดิ์ เขานับว่ามีชื่อเสียงพอตัว แม้แต่เจียงเยี่ยเฉินก็ยังอยากจะดึงเขาเป็นพวก
ก็จริง หากไม่มีฝีมือเลยสักนิดจะคู่ควรให้ระบบระบุฐานะ ‘ผู้สูงศักดิ์’ ของเขาออกมาถึงสองครั้งสองคราได้อย่างไร
“ท่านคือ…” เฉินวั่งซูถาม
ผู้สูงศักดิ์นิ่งงันไป “ท่านไม่รู้จักข้า? ท่านไม่รู้จักข้า แต่วันนั้นยังจะช่วยข้าไว้?”
เฉินวั่งซูยกมือปิดปาก “เฮ้อ ช่วยไม่ได้นี่นา สามีข้าชมข้าเป็นประจำว่าจิตใจดีเกินไป แม้แต่มดที่อยู่ข้างทางตัวเดียวก็ยังบี้ให้ตายไม่ลง”
ประเดี๋ยวก่อน…ท่านเอาชนะแปดคนด้วยตัวคนเดียว ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะลวงสังหารชาวเป่ยฉีไปไม่รู้ตั้งเท่าไร หน้าทำด้วยอะไรถึงยังกล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ออกมาได้อีก!
“ผู้น้อยมีนามว่าเถียนกุ้ยเหริน บัดนี้ท่านรู้จักข้าแล้วกระมัง” เถียนกุ้ยเหรินพูดพลางลูบเคราตนเองด้วยท่าทางกระหยิ่มใจ
ในสมองเฉินวั่งซูมีเสียงดังวิ้งๆ ราวกับถูกสายฟ้าฟาดทั้งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
อะไรเรียกว่า ‘เรือล่มในท่อระบายน้ำ’ นี่อย่างไรเล่า! นางยังคิดอยู่เลยว่าคนผู้นี้ร้ายกาจมากเพียงไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นลูกพี่ใหญ่ที่ปกปิดตัวตน ภายภาคหน้าจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เจียงเยี่ยเฉินได้เป็นฮ่องเต้
วุ่นวายอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ที่แท้คนเขาก็มีนามว่ากุ้ยเหริน! ระบบเองก็มิได้พูดผิด นี่มิใช่ว่าได้พบ ‘ผู้สูงศักดิ์’ หรือไร*!
เถียนกุ้ยเหรินอวดตัวว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ แต่เวลานี้กลับมองไม่ออกเลยว่าเฉินวั่งซูหมายความเช่นไรกันแน่ ไยจึงรู้สึกราวกับถูกคนหลอกเอาเงินไปห้าพันพวงในพริบตาเดียว
แต่มีจุดหนึ่งที่เขาแน่ใจได้เกินร้อย นั่นก็คือเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่รู้จักเขาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นวันนั้นที่ริมทะเลสาบซีหูที่เฉินวั่งซูบอกให้เหยียนเจวี๋ยช่วยเขาก็ทำด้วยความจริงใจอันแท้จริงโดยมิหวังสิ่งตอบแทน
เขาคิดได้เช่นนี้ก็ให้อบอุ่นในใจ ยิ่งจริงใจขึ้นกว่าเดิม
“ที่นี่คนมาก เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ คุยกันลำบาก มิสู้ผู้มีพระคุณทั้งสองท่านตามข้ามาจะดีกว่า ในเมืองเซียงหยางนี้มีหอวั่งเป่ยอยู่แห่งหนึ่ง เป็นกิจการของข้าเอง ขาแกะย่างที่นั่นหนังกรอบแต่ไม่มันเลี่ยน กัดแล้วน้ำจากเนื้อแกะจะออกมาเต็มปาก เลิศรสยิ่งยวด เครื่องเทศที่ปรุงรสแกะย่างนั้นเป็นตำรับลับที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ พิเศษไม่เหมือนใคร ผู้มีพระคุณจะต้องลองชิมดูให้ได้เชียว และไหนจะสุราจิ่วจงเซียนนั่นอีก ดื่มแล้วไม่ทำให้เมาง่าย เหมาะจะให้สตรีดื่ม”
วิ่งวุ่นมานานปานนี้เฉินวั่งซูกำลังหิวมากพอดี จึงตามไปหอวั่งเป่ยแห่งนั้นกับเถียนกุ้ยเหรินอย่างไม่เกรงใจ
หอวั่งเป่ยนี้เป็นหอที่สูงที่สุดในเมืองเซียงหยางแล้ว เฉินวั่งซูยืนอยู่บนชั้นที่สูงที่สุด พิงราวระเบียงพลางทอดสายตามองออกไปไกลๆ ซึ่งสามารถเห็นไปถึงหอสูงสำหรับสักการะภาพวาดแม่ทัพที่เมื่อคืนถูกนางกับเหยียนเจวี๋ยเผาทำลายไปในเมืองชายแดนเป่ยฉีได้
“ชั้นนี้ไม่ได้มีไว้รับลูกค้า ยามข้ามาเซียงหยางจะมาพักอยู่ที่นี่”
เฉินวั่งซูฟังคำบอกของเถียนกุ้ยเหรินแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง นี่เป็นห้องส่วนตัวสำหรับรับรองแขก บนผนังแขวนภาพลายมือจริงของเซียนกวี ที่มุมผนังมีขวดกระเบื้องเคลือบขนาดยักษ์วางอยู่ใบหนึ่ง
ขวดกระเบื้องเคลือบใบนั้นดูราวกับเป็นน้ำเต้าวิเศษ แค่เห็นก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดาสามัญ
เถียนกุ้ยเหรินตบมือ เพียงไม่นานก็มีสาวใช้เข้ามาจัดอาหารขึ้นโต๊ะในรูปแบบงานเลี้ยงสายน้ำไหล
“นายท่าน จัดอาหารครบตามที่ท่านสั่งแล้ว สุราจิ่วจงเซียนใช้เตาเล็กอุ่นอยู่ ประเดี๋ยวก็ได้ที่แล้วเจ้าค่ะ”
เถียนกุ้ยเหรินพยักหน้า กล่าวกับผู้ที่เป็นหัวหน้าว่า “องค์ชายเจ็ดมิใช่แขกของข้า ช่วงที่ผ่านมานี้เขาจะมาอาศัยกินดื่มที่ร้านข้าโดยไม่จ่ายเงินไม่ได้ เจ้านำข้าวของของเขาไปส่ง แล้วบอกเขาด้วยว่าร้านเราไม่อนุญาตให้ค้างจ่าย”
สาวใช้ไม่รู้สึกแปลกใจ ตอบรับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะหมุนตัวปิดประตูห้องแล้วลงจากหอไปทวงหนี้
เถียนกุ้ยเหรินรินสุราให้เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยอย่างไม่รีบร้อนเสร็จก็จัดการแบ่งอาหาร จากนั้นถึงวางตะเกียบลง
“สำหรับองค์ชายเจ็ดผู้แซ่เถียนเป็นผู้ที่มีประโยชน์ใหญ่หลวง แต่แม่ทัพน้อยเป็นบุตรชายของหมอหญิง ทั้งยังเพิ่งริบตำราแพทย์เผ่าฉีมาได้ สำหรับผู้มีพระคุณทั้งสองผู้แซ่เถียนไม่มีค่าให้กล่าวถึงแม้แต่น้อย ทว่าบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตพึงต้องตอบแทน วันหน้าหากทั้งสองท่านต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด ขอแค่บอกผู้แซ่เถียนมาคำเดียว ผู้แซ่เถียนจะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
เถียนกุ้ยเหรินว่าแล้วก็พินิจมองเฉินวั่งซูขึ้นลงเล็กน้อย ก่อนพินิจมองเหยียนเจวี๋ยอย่างละเอียด สีหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปมายากจะคาดเดา
ขณะที่เฉินวั่งซูถูกมองจนนึกว่าตนเองเป็นโรคที่รักษาไม่หายแล้ว เถียนกุ้ยเหรินก็พลันส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูสัปดนออกมา
เขาล้วงขวดกระเบื้องเคลือบขาวใบน้อยออกมาจากในแขนเสื้อตนเอง ก่อนเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าเหยียนเจวี๋ย
“ฮะๆๆ เอาใหม่ๆ เรื่องที่พูดเมื่อครู่นี้ถือเสียว่าข้าผายลม ฟังแล้วก็ลืมไปเสีย ข้าจะพูดใหม่ สำหรับทั้งสองท่าน ข้ามีความสำคัญขนาดขาดไปไม่ได้เชียวล่ะ พวกท่านช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่งก็เท่ากับสวรรค์ได้ลิขิตไว้แล้วว่าต้องการให้ข้าคืนชีวิตให้พวกท่าน ผู้มีพระคุณไม่ต้องกังวล เหตุใดข้าเถียนกุ้ยเหรินถึงปกครองเรือนหลังได้และได้รับการเรียกขานด้วยความยกย่องว่าเป็น ‘ผู้สูงศักดิ์’ นั่นล้วนเป็นเพราะว่าสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการช่วยให้คนมีบุตร คนทั่วไปไม่รู้ว่าแม้ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นจะร่างกายแข็งแรง แต่เนื่องจากขณะอายุน้อยฝึกร่างกายหนักเกินไปส่วนใหญ่จึงล้วนแต่ใช้การไม่ค่อยได้ ทว่าอย่างผู้มีพระคุณนี้…เป็นคนส่วนน้อย ผู้มีพระคุณไม่ต้องกังวล ท่านกินยานี้ของข้าแค่วันละครั้งติดกันสามวัน รับรองว่าท่านจะคึกคักกระปรี้กระเปร่า เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้าผู้แซ่เถียนจะไปเมืองหลินอันเพื่อร่วมดื่มในงานฉลองอายุครบเดือนของทารกอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าค่อยมอบน้ำแกงบำรุงกระดูกให้เขาชุดหนึ่ง รับรองว่าเขาจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไปจนโต ใช้หน้าอกทุบก้อนหิน หักง้าวมือเปล่าได้เลยทีเดียว”
บทที่ 370
สรุปคือชาติก่อนเจียงเยี่ยเฉินสมองมีปัญหาถึงได้ต้องการหมอในยุทธภพมาช่วยเหลือ!
“ดูสิ บนฟ้ามีวัวด้วย!”
เถียนกุ้ยเหรินได้ยินก็รีบมองไปนอกหน้าต่าง “ตรงที่ใดๆ”
เฉินวั่งซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่มิใช่ท่านพ่นลมหายใจออกมาทีเดียววัวก็ลอยขึ้นฟ้าไปแล้วหรือไร*!”
เถียนกุ้ยเหรินยกมือปิดหน้า ในดวงตามีหยาดน้ำแวววาวปรากฏอยู่ “เห็นทีข้าคงจะชราแล้วจริงๆ โลกนี้ถึงกับไม่มีใครรู้จักข้าเถียนกุ้ยเหรินแล้ว”
เขายังไม่ทันได้รำพึงรำพันจนจบเหยียนเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นมือตนเองออกมาแล้ว
“จับชีพจร!”
เถียนกุ้ยเหรินอึ้งงันไป เอื้อมมือไปแตะชีพจรตามจิตใต้สำนึก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เก็บขวดกระเบื้องเคลือบใบน้อยที่เลื่อนไปให้เหยียนเจวี๋ยกลับมาในทันทีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“เอาใหม่ๆ ถือเสียว่าบรรดาเรื่องที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเสียงผายลม ได้ยินแล้วก็แล้วไป ผู้มีพระคุณร่างกายแข็งแรงอย่างยิ่ง แม้ข้าจะไม่กระจ่างว่าเหตุใดถึง…แต่ร่างกายของทั้งสองท่านล้วนไม่มีข้อบกพร่องใดๆ”
เรื่องที่เกินจำเป็นเถียนกุ้ยเหรินมิได้พูด เขาเป็นหมอ มีความลับอะไรไม่เคยเห็นบ้าง
สามีหนุ่มภรรยาสาวทั้งสองแต่งงานแล้วไม่เข้าหอกัน แม้จะประหลาดหายาก แต่ใช่ว่าจะไม่มี
ครานี้เหยียนเจวี๋ยถึงได้เก็บมือกลับไปด้วยสีหน้าเยียบเย็น
ล้อเล่นกันหรือไร คนแซ่เถียนผู้นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกปากสว่าง หากวันนี้ข้ายอมแบกรับบาปนี้ ดีไม่ดีรอเขากลับถึงหลินอัน คนทั่วทั้งเมืองคงจะได้หัวเราะเยาะว่าข้าใช้การไม่ได้แล้ว
เถียนกุ้ยเหรินรู้ว่าตนเองพลั้งปากก็หัวเราะอย่างเก้อกระดาก เปลี่ยนไปหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลออกมาในทันใด “ข้างในนี้มียาสองเม็ด สามารถบรรเทาสารพัดพิษได้ หากวันข้างหน้าทั้งสองท่านโชคร้ายถูกพิษเข้า แล้วยังหายาแก้พิษไม่ได้ในเวลาอันสั้นก็รีบกินสิ่งนี้ลงไป แม้จะแก้พิษไม่ได้ แต่สามารถประวิงเวลาที่พิษจะออกฤทธิ์ พวกท่านก็จะมีเวลาให้แก้พิษเพิ่มขึ้น”
เฉินวั่งซูฟังมาถึงตรงนี้ในหัวกลับปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมา
นั่นเป็นเรื่องในอดีตตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองตงจิงเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ในเรือนด้านหลังที่ว่าการเมืองไคเฟิงจะจุดกำยานกลิ่นต้นสนไว้ตลอดทั้งปี เฉินเป่ยผู้เป็นปู่มีฐานะเป็นเจ้าเมืองไคเฟิง พิพากษาคดีนับไม่ถ้วนย่อมจะล่วงเกินคนไม่น้อยเช่นกัน นางนั่งอยู่บนตักท่านปู่ กำลังกินขนมน้ำตาลขาวชิ้นหนึ่ง
กัดทีก็มีเศษน้ำตาลร่วงลงบนชุดตัวยาวสีนิลของผู้เป็นปู่จำนวนมาก
ท่านปู่เอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้โยก มือถือม้วนหนังสืออ่านออกเสียงเบาๆ ประหนึ่งว่าไม่เห็นเศษขนมก็มิปาน
นางกินไปสามคำจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเริ่มหายใจลำบาก โลกตรงหน้าหมุนคว้าง ครั้นยกมือแตะดูก็มีเลือดทะลักออกมาจากในจมูกแล้ว แม้ยามนี้นางจะอายุเพียงราวห้าขวบ แต่ที่น่าประหลาดคือในความทรงจำของนาง นางหาได้ร้องไห้ไม่
ท่านปู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง แต่ก็มิได้ปลอบขวัญนาง เพียงล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ยัดเข้าปากเฉินวั่งซูอย่างรวดเร็ว
ท่านปู่ปฏิบัติต่อนางต่างจากการปฏิบัติต่อเด็กไม่รู้ความคนหนึ่งเสมอมา ส่วนนางที่อยู่ในวัยไม่รู้ความกลับดูคล้ายจะเข้าใจไปเสียทุกอย่าง
ท่านปู่ป้อนยาให้นางเสร็จก็กล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน ‘เมื่อวานข้าเสี่ยงทาย ทำนายได้ว่าเจ้าจะมีเคราะห์เลือดตกยางออก จะถูกคนถ่อยลอบทำร้าย ข้าจึงไปขอยาจากเถียนกุ้ยเหรินมาเม็ดหนึ่ง เผื่อไว้ใช้ในยามจำเป็น คิดไม่ถึงว่าผลการเสี่ยงทายจะเป็นจริง ฉงหลี เจ้าไปเชิญหมอหลวงเถียนที่ตรอกหลีซินมาที’
ครู่เดียวบุรุษอายุราวสามสิบกว่าในชุดสีเขียวหมวกสีเขียวผู้หนึ่งก็มาถึง เขาสะพายล่วมยา พุ่งตัวเข้ามาด้วยความรีบร้อน ‘ปลาของข้าเพิ่งจะติดเบ็ดก็ถูกฉงหลีเรียกมาแล้ว! ข้ามิใช่เคยให้ยาแก่ท่านไว้แล้วหรือไร กินยาเม็ดนั้นลงไปแล้ว เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันก็ยังไม่ตาย ไหนเลยจะต้องให้ข้ารีบมาอย่างเร่งด่วนปานนี้ อีกประการหนึ่งหลานสาวผู้นี้ของท่านน่ะแข็งแรงเสียจนข้าจับชีพจรให้ยังถูกแรงจากเส้นเลือดนางดีดนิ้วออกได้ เข้าไปใกล้ขึ้นแค่ก้าวเดียวพลังชีวิตนั้นยังพุ่งส่งมาให้ข้าเลย!’
นอกจากสวมชุดสีเขียวทั้งตัวแล้วคนผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนผ่านทางหมายเลขหนึ่งที่ปราศจากศักดิ์ศรี ขี้บ่นซ้ำซาก และปกติธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น
“หมอหลวงเถียน ตอนยังเล็กข้าก็เคยกินยาลูกกลอนนี้ สามารถอยู่รอดได้เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันโดยไม่ตาย”
เฉินวั่งซูเก็บความคิดกลับมา ก่อนเอ่ยอย่างคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง
แม้นางจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ความทรงจำนี้ก็ออกจะชัดเจนเกินไปหน่อยแล้ว แม้แต่สีหน้าท่าทางของแต่ละคน เรื่องที่พูด ตลอดจนสายลมเย็นสดชื่นที่ผ่านระใบหน้าในวันนั้นนางก็คล้ายว่าจะจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
เถียนกุ้ยเหรินกระโดดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ไม่เสียแรงที่เป็นหลานสาวของโจรเฒ่าเฉินจริงๆ ยามนั้นเจ้าเพิ่งจะตัวเล็กๆ ทว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังอุตส่าห์จำได้ ฉลาดเฉลียว ฉลาดเป็น…”
เฉินวั่งซูตบหน้าไม้น้อยเบาๆ
เถียนกุ้ยเหรินพลันเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างปราศจากศักดิ์ศรี “มีเพียงกุมารผู้รับใช้พระโพธิสัตว์กวนอินที่ฉลาดหลักแหลมได้ปานนี้!”
เห็นเฉินวั่งซูไม่มีท่าทีจะล้วงหน้าไม้ออกมาแล้วเถียนกุ้ยเหรินก็โล่งใจ
“ฐานะของข้าก็ไม่มีอะไรน่าปิดบัง เมื่อก่อนข้าเป็นหมอหลวงอยู่ในวังจริงๆ ข้าเป็นเด็กกำพร้า เนื่องจากมีโรคติดตัวมาแต่กำเนิด ถูกคนนำไปโยนทิ้งไว้ในศาลเจ้า เถียนฮูหยินไปจุดธูปที่นั่นพอดีจึงเก็บข้ากลับไป บิดาข้ามีนามว่าเถียนเจิน เป็นหมอหลวงอยู่ในวัง เขากับฮูหยินรักกันมาก แต่กลับมีบุตรสาวเพียงคนเดียว เก็บเด็กชายได้ย่อมจะดีใจเหลือประมาณ จึงรับข้าเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งชื่อให้ว่า ‘เถียนจิ่ว’ ทว่าใครจะไปรู้ว่านับตั้งแต่เถียนฮูหยินรับเลี้ยงข้าก็ให้กำเนิดบุตรชายถึงแปดคนติดกัน เถียนฮูหยินชมว่าข้าเป็นผู้มีบุญบารมีมาโปรด ต่อมาในจวนก็ไม่มีใครเรียกข้าว่าเถียนจิ่วแล้ว ล้วนแต่เรียกข้าว่าเถียนกุ้ยเหรินหรือผู้สูงศักดิ์เถียนทั้งสิ้น”
เถียนกุ้ยเหรินพูดแล้วก็สะท้อนใจอยู่บ้าง
“ต่อมาข้าก็ได้เป็นหมอหลวง ทว่า…หึๆ มีหนหนึ่งไปล่วงเกินฝ่าบาทจนถูกไล่ออกมา พอดีเลย ไม่เป็นหมอหลวงก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าจึงสะพายล่วมยาเริ่มออกเดินทางเป็นหมอพเนจร ตกปลาไปตลอดทางจนมาถึงเจียงหนาน”
เหตุปั่นป่วนที่ตงจิงผู้อื่นตายกันจนไม่รู้จะตายอีกอย่างไรแล้ว เขากลับดีนัก หลบพ้นได้พอดิบพอดี
“เฮ้อ นี่เป็นบุญ มิใช่เคราะห์กรรม ถึงเป็นเคราะห์กรรมผู้สูงศักดิ์ก็ยังหลบพ้นได้ เรื่องมันช่วยไม่ได้จริงๆ!”
เถียนกุ้ยเหรินพูดพลางมีท่าทางได้ใจ แต่ครั้นมองเห็นเฉินวั่งซูก็นึกถึงปู่ของนางขึ้นมา ท่านอาสละชีพเพื่อแผ่นดินไปแล้ว เขาจึงเริ่มลำบากใจขึ้นมาอีก
เฉินวั่งซูหาได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ไม่ นางนับว่ามองออกแล้ว
วิชาแพทย์ของเถียนกุ้ยเหรินผู้นี้นั้นเยี่ยมยอดก็เยี่ยมยอดอยู่ แต่เป็นคนที่อธิบายได้ยากอยู่บ้างจริงๆ
“ท่านว่าเจียงเยี่ยเฉินต้องรู้ฐานะของท่านแน่นอนจึงได้สวมรอยเป็นคนที่ช่วยท่านไว้ในวันนั้น ถ้าเช่นนั้นเขาจะต้องมีแผนการอย่างแน่นอน เขาอยากให้ท่านช่วยทำอะไรให้เขา”
เหยียนเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ แทบจะมิได้พูดอะไรก่อนหน้านี้ จู่ๆ กลับเอ่ยถามขึ้นขัดจังหวะการหวนนึกถึงความหลังของเถียนกุ้ยเหริน
เถียนกุ้ยเหรินส่งสายตาชื่นชมให้เหยียนเจวี๋ย
“รัชทายาททรงวางแผนก่อกบฏ ส่งตัวหมอหญิงเผ่าฉีไปให้ฝ่าบาท หมอหญิงนางนั้นข้าเคยพบขณะอยู่ที่ลี่โจว พอจะมีฝีมืออยู่จริงๆ แต่ยังห่างชั้นจากหมอเทวดาอีกไกลโข ข้าเถียนกุ้ยเหรินรักษาคนมานับไม่ถ้วน ยังไม่กล้ายกยอตนเองเป็นหมอเทวดา แต่นางเด็กเมื่อวานซืนถึงกับกล้า นางรักษาขารัชทายาทให้หายดีได้หาได้เป็นเพราะนางมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมไม่ แต่เป็นเพราะรัชทายาทถูกพิษของเผ่าฉีมาตั้งแต่แรก ดังนั้นนางรักษาตามตำราถึงได้แก้พิษได้ นับไม่ได้ว่ามีฝีมือ น่าสงสารฮองเฮากับรัชทายาท โง่เขลามาทั้งชีวิตจนตัวตายแล้วยังไม่รู้เลยว่าอันที่จริงเผ่าฉีไม่ได้รับใช้พวกเขาโดยสิ้นเชิง แต่มีเจ้านายอีกคนอยู่ก่อนแล้ว ที่แก้พิษให้เขาก็เพียงเพราะมีจุดประสงค์อื่นเท่านั้นเอง”
* กุ้ยเหริน แปลว่าผู้สูงศักดิ์
* คำว่า ‘คุยโว’ ในภาษาจีนเมื่อแปลตรงตัวจะได้ความหมายว่า ‘เป่าวัว’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 พ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.