บทที่ 371
เฉินวั่งซูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยนิด
คำพูดของเถียนกุ้ยเหรินไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของนางกับเหยียนเจวี๋ยแม้แต่คำเดียว
ใต้ฟ้านี้มีความประจวบเหมาะมากปานนั้นเสียที่ใดกัน หมอหญิงแห่งเผ่าฉีผู้นั้นก่อนจะมาหลินอันล้วนไม่เคยพบองค์ชายใหญ่โดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเคยจับชีพจรให้เขาแล้ว
แต่อีกฝ่ายถึงกับรู้ว่าเขาถูกพิษชนิดใดเข้า ซ้ำยังเอาคนทั้งเมืองลี่โจวมาทดลองยา หมอต้องสังเกตอาการโรคจากตัวผู้ป่วย อีกทั้งหมอหญิงแห่งเผ่าฉีผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นเจ้าหนูน้ำเต้าที่มีสายตามองได้ไกลพันหลี่ ยังจะสามารถรักษาโรคทางไกลข้ามเขาสูงทะเลใหญ่ให้ผู้อื่นได้อีกหรือ
สาเหตุก็มิพ้นเป็นเพราะผู้แก้พิษก็คือผู้ที่วางยาพิษเท่านั้นเอง
เหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงขามีปัญหา ต่อให้สมองกลวงจริงๆ ก็ยังคิดได้ มีคนมาดหมายในตำแหน่งรัชทายาท มิอาจทนเห็นพระโอรสสายตรงในวังแข็งแรงขนาดกระโดดโลดเต้นได้
ผู้ที่บงการคนเผ่าฉีจะต้องเป็นขุมกำลังเบื้องหลังองค์ชายคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ทว่าเถียนกุ้ยเหรินเป็นเพียงหมอหลวงของอดีตฮ่องเต้ ต่อให้เขามีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่หมอหลวงมีจำนวนมากมาย หากเจียงเยี่ยเฉินจะมาทุ่มเทความคิดเอาใจเขา มิสู้ไปจับหมอหลวงที่ปณิธานอ่อนแอมาสักคนจากในวัง แล้วสาดลูกดอกเคลือบน้ำตาลใส่เขายังจะดีเสียกว่า
ประหนึ่งว่ามองออกถึงความข้องใจของเฉินวั่งซู เถียนกุ้ยเหรินจึงคลี่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ก่อนลดเสียงลงกล่าวว่า “ระหว่างหมอหลวงด้วยกันก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก หากกล่าวถึงวิชาแพทย์ที่รักษาก็รักษาไม่หาย แต่ตายก็ตายไม่ได้พรรค์นั้นข้าย่อมจะเทียบกับคนในสำนักหมอหลวงไม่ติด แต่ถ้าเป็นหายดีไปเลยหรือไม่ก็ตายไปเลยข้ากลับชำนาญเป็นที่สุด”
เฉินวั่งซูแค่นหัวเราะ มองออกแล้วว่าคนผู้นี้ชำนาญด้านการคุยโวที่สุด
“น้องชายแปดคนนั้นของข้าบัดนี้ตายไปเจ็ดคนแล้ว ยังเหลืออีกหนึ่งคนอยู่ที่ข้างพระวรกายฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงช่วยองค์ชายเจ็ดไว้ได้ระหว่างทาง”
เฉินวั่งซูมีแสงแห่งปัญญาวาบผ่าน คิดได้ในทันที “จะช่วยคนต้องผ่านไปเจอก่อน ท่านเองก็มาจากหลินอันเช่นกัน เถียน…เถียนอะไรข้างในวัง…”
เถียนกุ้ยเหรินช่วยเสริมให้อย่างใจดี “เถียนชี”
“เนื่องจากหมอเทวดาหญิงแห่งเผ่าฉีนั่นลงมือ ร่างกายฝ่าบาทจึงมีปัญหา หมอหลวงเถียนชีรักษาไม่ได้ จึงได้เชิญท่านไป…เจียงเยี่ยเฉินมาหาท่านด้วยต้องการสืบข่าวอาการของฝ่าบาท”
เถียนกุ้ยเหรินฟังที่เฉินวั่งซูพูดแล้วก็ยิ้มอย่างมีลับลมคมในอีกหน “ถูกและก็ไม่ถูก”
เขาว่าแล้วก็เบาเสียงลงยิ่งกว่าเดิม “ฮ่องเต้มักอยากมีอายุวัฒนะ หญิงเผ่าฉีนางนั้นเชี่ยวชาญการปรุงยา หลอกให้ฝ่าบาทเสวยยาในปริมาณมาก ผิวเผินฝ่าบาททรงดูหนุ่มแน่นขึ้นไม่น้อย เลือดลมสูบฉีดดี แต่อันที่จริงนั้นดูดีเพียงแค่ภายนอก ภายในกลับถูกคนควักจนกลวงหมดสิ้นแล้ว หมอหลวงในวังจนปัญญา ขณะอพยพลงใต้ในครั้งโน้นรีบร้อนเกินไป หมอหลวงของอดีตฮ่องเต้แทบจะเหลือข้าเพียงคนเดียวแล้ว เสี่ยวเถียนชีนั่นเมื่อก่อนเป็นคนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาน้องชายของข้า ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นคนโปรดของฝ่าบาทแล้ว…ใต้หล้าช่างเสื่อมถอยลงทุกวันจริงๆ สุนัขแมวตัวใดๆ ก็เหาะขึ้นสวรรค์กันได้หมดแล้ว! หลังข้าไปถึงหลินอัน พอตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทดู…ให้ตายสิ ต้องหนีมาทันที!”
เฉินวั่งซูยินดีในใจ “ฝ่าบาทหมดทางช่วยแล้ว?”
ขณะเดียวกันก็ด่าระบบไปเป็นหมื่นรอบ เหตุใดผู้อื่นทะลุเข้านิยายล้วนรู้เนื้อเรื่องกันหมด ข้ากลับมีเพียงระบบที่เชื่อถือไม่ได้ ซ้ำยังรู้เรื่องราวแค่เพียงคร่าวๆ!
เถียนกุ้ยเหรินพยักหน้ารัวๆ ราวกับตำกระเทียม วาดไม้วาดมือด้วยท่าทางเกินจริงสองสามที “เทพเซียนก็ยังช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว ก็เหมือนกับคนท้องร่วงนั่งปลดทุกข์ มีแต่ไหลกระฉูดออกมา ห้ามได้เสียที่ใด”
เขาพูดพลางงอนิ้วนับวัน “อาการป่วยของฝ่าบาทย่อมจะไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ตามอำเภอใจ นับประสาอะไรกับการเชิญหมอเร่ร่อนในยุทธภพอย่างข้ามาตรวจอาการ เถียนชีพาข้าเข้าไปกลางดึก องค์ชายเจ็ดไม่รู้เรื่อง คิดจะอาศัยเรื่องที่ริมทะเลสาบซีหูมาทำให้ข้าเข้าวังไปช่วยชีวิตฝ่าบาท หญิงเผ่าฉีช่วยรัชทายาทแล้วยังสามารถเป็นสนมคนโปรดได้ หากคนที่เขาหามาช่วยฝ่าบาทไว้ เช่นนั้น…จิ๊ๆ…เพียงแต่น่าเสียดาย ไม่แน่ว่าหากเขาอยู่ที่ชายแดนนานอีกสักเดือนก็ต้องกลับหลินอันไปร่วมพิธีศพแล้ว”
เถียนกุ้ยเหรินพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อกุ้งชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก
“มิใช่ข้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนเรานี้มักจะปลงไม่ตก ได้มาเกิดเป็นพระโอรสของฮ่องเต้นับว่าชีวิตไม่มีทุกข์ร้อนแล้ว ต่อให้ไม่ทำการทำงาน ไม่ศึกษาเล่าเรียนก็ยังจะได้เป็นอ๋องอย่างเป็นที่แน่นอน สามารถกินดื่มเล่นสนุกไปชั่วชีวิตไม่ดีหรือไร กลับจะต่อสู้กันเป็นไก่ชนให้จงได้ ข้าอุตส่าห์เลิกเป็นหมอหลวงแล้ว มีหนูที่ใดอยากวิ่งกลับไปตายในปากแมวบ้างเล่า”
ครั้นเห็นเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยไม่พูดอะไร สนใจแต่เรื่องกินอาหารเถียนกุ้ยเหรินก็รู้สึกขนลุกในใจ เขาเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง แต่หน่วยก้านอย่างจอมยุทธ์หญิงผู้นี้แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผู้ที่จะทำการใหญ่!
เขาพูดเยี่ยงนี้ หากจอมยุทธ์หญิงไม่ยินดีจะฟัง หยิบเอาหน้าไม้น้อยออกมายิงเขาล่ะ…
เถียนกุ้ยเหรินแววตาวูบไหว สอดมืดเข้าอกเสื้อ ก่อนออกแรงควานหาของอย่างรู้สึกเจ็บหน้าแข้งอยู่บ้าง
เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยวางตะเกียบในมือลงอย่างรู้ใจกัน ในขณะที่นางคิดว่าเถียนกุ้ยเหรินจะควักขี้ไคลในรักแร้ออกมาหลอกว่าเป็นโอสถวิเศษนี้เอง เขากลับล้วงยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดจิ๋วออกมาเม็ดหนึ่ง
ยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งนี้ดูมีสีสันสดใสแวววาว ตาเนื้อมองดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
“หากผู้มีพระคุณเองก็ปรารถนาให้ข้าไปช่วยฝ่าบาท เช่นนั้นก็นำสิ่งนี้ไปเถิด หากพญายมต้องการชีวิตฝ่าบาท เช่นนั้นก็ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว ทว่ากินยานี้ลงไปยังพอจะยืดเวลาได้หนึ่งปี ยานี้ข้าเองก็มีอยู่เพียงหนึ่งเม็ด หากพวกท่านรับมันไปแล้วบุญคุณระหว่างพวกเราก็นับว่าหายกัน”
เฉินวั่งซูดันยาลูกกลอนเม็ดนั้นกลับไปอย่างปราศจากความลังเล “ฝ่าบาทมิใช่บิดาข้าเสียหน่อย เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า” นางว่าแล้วก็เช็ดมือด้วยท่าทางเหยียดหยาม “คราวหน้าอย่าซ่อนยาไว้ในตัว ใครจะไปรู้ว่านานเท่าไรกว่าท่านจะอาบน้ำสักครั้ง ยานั่นยังกินได้อยู่หรือ”
เถียนกุ้ยเหรินนิ่งงันไป คนทั้งสามสบตากัน ก่อนจะหัวเราะร่วนด้วยความเข้าใจกัน
เฉินวั่งซูยกยิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็นึกอยากพบเฉินเป่ยสักครั้ง
ท่านปู่ของนางต้องเป็นคนที่พิเศษยิ่งยวดแน่นอน ‘บรรดาสหายเก่าแก่’ ที่เขารู้จักถึงล้วนแต่เป็นคนที่พิเศษเยี่ยงนี้เช่นกัน
อาหารมื้อนี้ใช้เวลากินเนิ่นนาน
เถียนกุ้ยเหรินกลับมิได้เล่าเรื่องใดๆ ที่เป็นความลับของราชสำนักอีก เพียงแต่เริ่มคะยั้นคะยอให้พวกนางดื่มสุราและกินเนื้อ
“ชิมขาแกะย่างนี่ดู ในสมัยโน้นปู่ท่านชอบเป็นพิเศษ อย่าเห็นว่าปกติเขาดูสูงศักดิ์ไปทั้งตัว แต่สิ่งที่ชอบที่สุดยังคงเป็นการตระเวนหาของอร่อยกิน ขาแกะย่างนี้…สมัยก่อนน่ะซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกเส้นหนึ่งในเมืองตงจิง ครั้งแรกที่ข้าไป…อา ข้านึกขึ้นได้แล้ว เวลานั้นท่านเพิ่งจะเกิดได้ไม่นานนัก แต่ไม่ยอมดื่มนม ปู่ท่านเปลี่ยนแม่นมให้ท่านไปแปดคน ท่านล้วนไม่ยอมอ้าปาก ครั้นเห็นว่าท่านใกล้จะหิวตายเต็มทีแล้วจึงได้เรียกข้าไปหา ข้าต้มน้ำแกงหวงเหลียนให้ท่าน ป้อนให้ท่านดื่ม! ให้ตายสิ…มิใช่ข้าคุยโวนะ หลังจากดื่มสิ่งนั้นเข้าไป อย่าว่าแต่ดื่มนมเลย แค่ให้ท่านดื่มน้ำท่านยังรู้สึกว่าหอมหวาน! ท่านเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ล้วนต้องขอบคุณข้า! ปู่ท่านได้เลี้ยงขาแกะย่างนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณข้า ต่อมาข้าก็ได้ซื้อตำรับการทำเอาไว้…”
เถียนกุ้ยเหรินมองเห็นสายตาปานกระบี่คมกริบของเฉินวั่งซูแล้วก็แทบอยากจะฟาดหน้าตนเองฉาดใหญ่ๆ เขาผู้นี้ชอบพลั้งเผลอพูดจาผิดหู มิเช่นนั้นตอนนั้นจะถูกฮ่องเต้ไล่ออกมาได้อย่างไรเล่า!
“เรื่องที่กล่าวมาเมื่อครู่ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด! เอาใหม่ๆ ข้าจะพูดใหม่ เวลานั้นข้าต้มน้ำใส่น้ำตาลทรายแดงแล้วผสมกับนมวัวให้ท่าน สั่งให้คนป้อนให้ท่านดื่ม เป็นเรื่องจริง! ที่ท่านมีรูปโฉมงดงามปานนี้ล้วนต้องขอบคุณวัว!”
บทที่ 372
ขณะเฉินวั่งซูออกมาจากหอวั่งเป่ยก็มีอาการมึนเมาเล็กน้อย
สุราจิ่วจงเซียนของเถียนกุ้ยเหรินแม้บอกว่าเป็นสุราสำหรับให้หญิงสาวดื่ม แต่ฤทธิ์กลับแรงพอดู
“ยามเข้าปากหวานนุ่มลิ้น ข้าดื่มต่างน้ำหวาน บัดนี้กลับมึนศีรษะอยู่บ้าง ขณะจากมาเขาให้อะไรท่านหรือ ข้าเห็นเขายิ้มเสียหน้าตาดูลามก คาดว่าต้องมิใช่ของดีอะไรเป็นแน่แท้”
เหยียนเจวี๋ยคิดถึงคำพูดของเถียนกุ้ยเหรินแล้วก็กกหูแดงน้อยๆ เขาจูงมือเฉินวั่งซูหลวมๆ “ไม่มีอะไร เป็นแค่ยาบำรุงร่างกายจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง พวกเรามาเมืองเซียงหยางนี้แล้วยังไม่เคยเดินเที่ยวเลย พวกเราเดินกลับจวนกันเถอะ เจ้าจะได้สร่างเมาด้วย”
เฉินวั่งซูสายตาพร่ามัวอยู่บ้างจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ใช่แค่ยังไม่เคยเดินเที่ยวดีๆ ในเมืองเซียงหยางเสียที่ใด ยามนางกับเหยียนเจวี๋ยเดินเที่ยวในเมืองหลินอันก็ไม่เคยได้เดินอย่างสงบเช่นกัน ทุกครั้งที่ออกจากจวนอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเป็นต้องจบลงด้วยเรื่องราวสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ร่ำไป
ในเมืองเซียงหยางครึกครื้นไม่ธรรมดา เหมือนกับช่วงเทศกาลปีใหม่ก็มิปาน
“แป้งปั้นนี่ไม่เลว!”
“ฮูหยินสายตาดียิ่ง แป้งปั้นนี้ของข้าขายมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษสิบแปดชั่วอายุคน…รับกี่ไม้ดีขอรับ”
เฉินวั่งซูหยิบไม้หนึ่งให้ตนเอง ก่อนยื่นให้เหยียนเจวี๋ยด้วยหนึ่งไม้
เหยียนเจวี๋ยควักเหรียญทองแดงจ่ายด้วยความขบขัน ก่อนจะตามติดนางออกเดินตระเวนไปทั่ว
“บางทีพอพวกเรากลับไปถึงหลินอันสถานการณ์อาจจะมีผลลัพธ์ออกมาแล้ว” เหยียนเจวี๋ยกัดแป้งปั้นไปคำหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างติดจะคลุมเครือ
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ยกมือชี้ท้องฟ้า ก่อนชี้ตนเอง “ข้ายังไม่ทันกลับไป ผลลัพธ์ที่ใดกล้าออกมา”
เหยียนเจวี๋ยได้ยินดังนี้ก็เปล่งเสียงหัวเราะ เขานับว่ามองออกแล้ว เฉินวั่งซูเมาจนสติเลอะเลือนอยู่บ้างจริงๆ “เหตุใดยอดดวงใจจึงแต่งงานกับข้า ขอเหตุผลนอกจากที่ข้าหน้าตาดี”
เฉินวั่งซูแก้มแดงก่ำ เอียงศีรษะมองเหยียนเจวี๋ย ก่อนยกมือขยี้ตา “แค่หน้าตาดียังไม่พออีกหรือ ใต้ฟ้านี้มีเรื่องใดสำคัญยิ่งกว่าหน้าตาดี ท่านไม่ได้ผ่าเอาหัวใจออกมา ข้าเองก็ไม่ได้มีสายตาที่มองทะลุผู้ใดได้ จะไปมองออกได้หรือว่าท่านมีจิตใจงดงามหรือไม่ อีกประการหนึ่ง…” เฉินวั่งซูพูดพลางเขย่งเท้า ตบแก้มนุ่มขาวของเหยียนเจวี๋ยเบาๆ “พูดเสียราวกับว่าคนอัปลักษณ์จะต้องมีจิตใจงดงาม คนงามจะต้องมีจิตใจดังอสรพิษอย่างนั้นล่ะ บุคคลที่มีอยู่เพียงบนฟ้าอย่างข้าย่อมจะต้องหาคนงามใจดำ…ถุยๆ หาคนงามใจงาม…คำนี้ถูกต้องแล้ว คนต้องงามก่อนข้าถึงจะมีความอดทนที่จะดูว่าท่านใจงามด้วยหรือไม่”
เฉินวั่งซูว่าแล้วก็ฉีกยิ้มให้เหยียนเจวี๋ย
“แอบบอกท่านแล้วกัน สามีของข้าเป็นคนงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า! ไม่เคยเห็นกระมัง!”
เหยียนเจวี๋ยเพิ่งเคยเห็นเฉินวั่งซูเป็นเช่นนี้ครั้งแรก นางยิ้มอย่างไม่สนใจสิ่งใด ผู้คนรายรอบล้วนมองมากันแล้ว
วั่งซูที่น่ารักไร้เดียงสาเช่นนี้จะปล่อยให้ผู้อื่นพบเห็นได้อย่างไรเล่า เหยียนเจวี๋ยคิดแล้วก็ช้อนตัวอุ้มเฉินวั่งซูขึ้นมา สะกิดเท้าเบาๆ สองสามที แล้วกระโดดข้ามกำแพงล้อมเข้าไปในจวนฮู่กั๋วกงที่อยู่กลางเมืองเซียงหยาง
ห้องที่พวกเขาอยู่นี้ตั้งอยู่ด้านเหนือ หันหน้าหาทิศใต้ ยามแสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาห้องก็สว่างไสวเป็นพิเศษ
เหยียนเจวี๋ยก้มหน้ามอง กลับพบว่าเฉินวั่งซูในอ้อมแขนผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
อีกทั้งสองสามวันมานี้พวกเขาก็วิ่งวุ่นกับการสร้างบารมีในกองทัพ ทั้งลงสุสานไปช่วยคน ซ้ำยังต้องตรงไปเมืองชายแดนเป่ยฉี สู้รบจนได้ชัยชนะ ตาแทบจะไม่ได้ปิด ยามนี้กินดื่มอิ่มหนำแล้วก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาจริงๆ
เหยียนเจวี๋ยหน้าแดง ถอดเสื้อให้เฉินวั่งซูก่อนห่มผ้าให้นาง
ครั้นนางอยู่ใต้ผ้าห่มก็ขดตัวเป็นก้อนเหมือนกุ้งต้มสุก
เหยียนเจวี๋ยรู้สึกขบขันอยู่บ้าง เขาถอดชุดตัวยาวตัวนอกออกแล้วเอนตัวนอนลงตาม แม้เขาจะนอนเตียงเดียวกับเฉินวั่งซูมานาน แต่ทั้งสองยังคงไม่ได้มีอะไรเกินเลย
ทุกครั้งเฉินวั่งซูล้วนฟ้าร้องดัง แต่ฝนตกปรอย ปากพูดเสียน่าเกรงขาม แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญเข้าจริงๆ กลับกลัวหงอ
ส่วนเขาก็ทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการฝืนใจเฉินวั่งซูไม่ลง
เหยียนเจวี๋ยคิดพลางมองดูยาเร่งบุตรเหล่านั้นที่เถียนกุ้ยเหรินให้เขามา ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปโอบเอวเฉินวั่งซูไว้
“จั๊กจี้!” เฉินวั่งซูหัวเราะคิกคักขึ้นมา นางพลันพลิกตัว ทำให้สบตากับเหยียนเจวี๋ยเข้าพอดี
พอมองดูดวงตาของเขาในแวบแรกออกจะใสสะอาดปานนั้น แต่เมื่อมองดูดีๆ กลับลึกล้ำจนเหมือนว่ามองไม่เห็นก้นบึ้งก็มิปาน
ในระหว่างที่เคลิบเคลิ้มเฉินวั่งซูถึงกับรู้สึกว่าฉินเจินเองก็มีดวงตาเช่นนี้
สายตาคนทั้งคู่ประสานกัน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใด
จู่ๆ เฉินวั่งซูก็หลับตาลง
เหยียนเจวี๋ยคำรามลั่นในใจ หากเวลานี้ยังถอยก็ไม่ใช่คนแล้ว!
เขาคิดแล้วก็โน้มตัวไปใกล้อย่างปราศจากความลังเล เกี่ยวกระหวัดรัดพันร่างอรชร
ผ่านไปครู่ใหญ่คนทั้งสองถึงได้นอนราบโดยที่หน้าแดงไปถึงหู
หัวใจเฉินวั่งซูเต้นตึกตัก สุรานี้แรงมากจริงๆ! เห็นชัดว่านางสติไม่แจ่มชัด มิเช่นนั้นในสายตานางไฉนถึงเห็นม่านเตียงสีขาวกลายเป็นสีชมพูไปได้ แล้วไหนจะเป็ดป่านั่นอีก มันกลายเป็นยวนยางในสายตานางไปแล้ว
“ฝุ่นเข้าตา ข้าถึงได้หลับตา”
เฉินวั่งซูให้เหตุผลอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เหยียนเจวี๋ยหัวเราะ “ข้าเองก็ยันตัวไม่อยู่เลยล้มลงไปหาเจ้า…”
เฉินวั่งซูโกรธในทันใด ยกเท้าจะถีบ กลับถูกเหยียนเจวี๋ยที่อยู่ในผ้าห่มใช้มือข้างหนึ่งจับเอาไว้
“แม้ว่าขาของภรรยาจะสวยยิ่ง แต่ข้าผู้เป็นสามีเพิ่งจะกินขาแกะย่างมา ทั้งหอมทั้งสวย เก็บขาของเจ้าไว้ย่างวันพรุ่งนี้จะดีกว่า”
เฉินวั่งซูกำลังจะบันดาลโทสะก็เห็นเหยียนเจวี๋ยกระแซะตัวเข้าหา “ฝุ่นเข้าตาภรรยาล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เห็นโฉมงามก็ห้ามใจไม่ไหว ภรรยาอย่าโมโหไปเลย”
เขาคิดแล้วก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้เฉินวั่งซู เนื่องจากไม่มีคันฉ่องเขาจึงไม่รู้ว่าสายตาของเขาที่ส่งไปเหมือนกับเหลือกตาใส่หรือไม่…
ทว่าเฉินวั่งซูเห็นแล้วกลับใจละลาย “ท่านลองส่งตาหวานมาอีกทีซิ ช่างน่ามองโดยแท้”
เหยียนเจวี๋ยส่งตาหวานให้อีกทีอย่างไม่รีรอ
เฉินวั่งซูตื่นเต้นแล้ว “เอาอีก!”
เหยียนเจวี๋ยส่งไปอีกที
“เอาอีก…”
เหยียนเจวี๋ยเปลือกตากระตุก “เอาอีกทีคงได้เป็นตะคริวแล้ว”
“เอาอีกทีน่า! น่ามองจริงๆ”
เหยียนเจวี๋ยสูดหายใจลึก ส่งสายตาให้อย่างสั่นๆ คราวนี้แม้ไม่มีคันฉ่องเขายังรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเหลือกตา
“ยังจะเอาอีกหรือไม่” เหยียนเจวี๋ยรออยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่ได้รับคำตอบก็ขยี้ตาก้มหน้ามอง ผู้ที่ก่อนหน้านี้ยังขอให้เขาส่งตาหวานได้หลับอุตุไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เขาโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ พลิกตัวนอนลง เอามือพาดเอวเฉินวั่งซูอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้นางมิได้บ่นจั๊กจี้แล้วตื่นขึ้นมา
เหยียนเจวี๋ยเบียดตัวไปใกล้ขึ้นอีก ก่อนเริ่มครวญเพลง
ตอนเขาเยาว์วัย ก่อนมารดาจะฆ่าตัวตายมีหนหนึ่งเขาล้มป่วย มารดาก็โอบเขาไว้พร้อมกับครวญเพลงบ้านเกิดนางให้เขาฟังเยี่ยงนี้
แม้ว่าในใจเขามารดาจะเป็นมุมอันเยียบเย็นที่ไม่อาจไปแตะต้องได้ แต่เพลงนี้กลับเป็นความทรงจำอันอบอุ่นอย่างหาได้ยากของเขา
เมื่อก่อนยามเขามองดูซ่งชิงเศร้าเสียใจจากที่ไกลๆ ก็เคยคิดเพ้อฝันทำนองนี้
เพ้อฝันว่ากอดนางไว้พร้อมกับครวญเพลงนี้ให้นางฟัง ทำให้นางเข้านอนอย่างอุ่นใจ
เหยียนเจวี๋ยไม่รู้ว่าครวญเพลงอยู่นานเท่าไร ตนเองถึงได้หลับสนิทไปเช่นกัน
ครั้นลมหายใจเขาสม่ำเสมอแล้ว เฉินวั่งซูที่ก่อนหน้านี้ยังหลับอุตุกลับพลันลืมตาโพลง
บทที่ 373
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน
เส้นผมของเขานุ่มลื่นเป็นพิเศษ ดูเงางามยิ่งยวดเหมือนเป็นผ้าต่วนก็มิปาน แม้พวกนางจะออกกำลังกันไปยกหนึ่ง แต่บนกายเหยียนเจวี๋ยยังคงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
เฉินวั่งซูเกี่ยวผมเขาขึ้นมาช่อหนึ่ง สูดดมเบาๆ ก่อนจะวางลงประหนึ่งว่าถูกมันลวกมือ
นางรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของตนเองเหมือนเป็นพวกโรคจิตเลยทีเดียว
นางคิดแล้วก็ยกมือไล้ไปตามเรียวคิ้วและดวงตาของเหยียนเจวี๋ย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ในทันที
ขณะเพิ่งทะลุเข้ามานางยังกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมอยู่แท้ๆ พูดปาวๆ ว่าจะเล่นงานองค์ชายเจ็ดให้หมอบ ทำให้เขาเรียกนางว่าบิดาให้ได้เร็วๆ จากนั้นนางจะได้กลับไปเป็นซ่งชิง สัมผัสกับความรู้สึกสะใจที่ถูกโคมไฟทำหัวแบะภายใต้สายตามหาชนได้ไวๆ
ถุยๆ สัมผัสกับความรู้สึกสะใจที่รอดพ้นจากการหัวแบะได้อย่างเฉียดฉิวต่างหาก
ทว่าแม้เรื่องราวที่นางกับเหยียนเจวี๋ยประสบด้วยกันจะมีมากขึ้น แม้ว่านับวันจะรู้เรื่องราวของคนในนิยายเรื่องนี้มากขึ้น แต่นางถึงกับไม่ได้นึกถึงเรื่องเหล่านี้มานานมากแล้ว
ถึงขนาดรู้สึกคล้ายว่าเดิมทีนางก็คือเฉินวั่งซูนั่นเอง
เฉินวั่งซูคิดแล้วใจก็หล่นวูบอยู่บ้าง
หมู่นี้มีหลายครั้งที่นางรู้สึกแปลกๆ ขณะเกิดเหตุปั่นป่วนที่ตงจิงเฉินวั่งซูเพิ่งจะอายุเพียงหกขวบเท่านั้น ตอนถูกเลี้ยงไว้ข้างกายเฉินเป่ยยิ่งเด็กกว่านั้นอีก ต่อให้นางฉลาดเกินวัย แต่ก็ไม่ถึงขั้นจำได้แจ่มชัดเพียงนั้น
เป็นต้นว่าวันนี้ได้พบเถียนกุ้ยเหริน นางถึงกับสามารถนึกขึ้นได้ว่าเขาคือหมอหลวงที่เคยตรวจรักษานางในเวลานั้น
ไม่เพียงเท่านี้ ขณะไปงานเลี้ยงอุทยานฉยงหลินก่อนหน้านี้นางถึงขั้นนับริ้วรอยบนใบหน้าเฉินเป่ยผู้เป็นปู่ได้เสียด้วยซ้ำไป ความรู้สึกพรรค์นี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากความรู้สึกขณะอ่านความทรงจำของเฉินวั่งซูในตอนที่เพิ่งทะลุเข้ามา
ยามนั้นนางไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวในวัยเด็กก็ได้ข้อสรุปออกมาเอง ไม่ต้องมัวค้นหาคำตอบเพิ่มเติมจากในคลังข้อมูล ต่างกับเวลานึกย้อนความทรงจำของเฉินวั่งซูที่ดูเหมือนภาพยนตร์แล้วมาคิดพิจารณาในสมองใหม่อีกรอบหนึ่ง คล้ายกับว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่นางเคยประสบมาตั้งแต่เล็กจริงๆ
กล่าวตามตรงนางหาได้รู้สึกไม่ว่าเฉินวั่งซูก่อนหน้านี้มีจุดใดโดดเด่น แม้จะเป็นหญิงสาวที่ชาญฉลาด แต่ไม่ถึงขั้นมีความจำระดับเห็นผ่านตาไม่ลืมเลือน
นางถึงขั้นมีการคาดเดาอย่างใจกล้าข้อหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฉินวั่งซูในวัยเยาว์ที่ติดตามอยู่ข้างกายเฉินเป่ยก็คือนาง เฉินเป่ยรู้ว่าวิญญาณของนางเป็นวิญญาณคนโตแล้ว ค่อนข้างจะพิลึกไม่น้อยจึงได้เลี้ยงนางไว้ข้างกาย เขาปฏิบัติต่อนางก็ไม่เหมือนปฏิบัติต่อเด็กปกติโดยสิ้นเชิง เขามักจะใช้น้ำเสียงที่เหมือนพูดกับคนโตแล้วกับนาง
แต่นางในฐานะซ่งชิงหาได้มีความทรงจำหรือช่วงเวลาขาดหายไปแต่อย่างใดไม่
ไม่เหมือนกับในนิยายบางเรื่องที่คนสลบไประยะเวลาหนึ่งแล้วทะลุมิติไปทะลุมิติมา นางไม่ใช่คนทั่วไป นางเป็นดาราสาวผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง หากมีความผิดปกติหรือหายไปจากสายตาสาธารณชนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวใดๆ
ไม่ต้องคิดนางก็ยังเดาได้ว่าปาปารัซซี่จะเขียนอะไร
‘ราชินีจอเงินเจ้าบทบาทหายหน้าไปหลายเดือน สงสัยแอบมีลูกก่อนแต่ง เสี่ยเลี้ยงเบอร์หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าดีใจหน้าบานแย่งกันเป็นพ่อ…’
‘ซ่งชิงเห็นคนหล่อก็ล้มป่วย ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อหมอรูปหล่อ…’
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ถอนหายใจ นางยังไม่เคยตกเป็นพาดหัวข่าวร้อนแรงถึงเพียงนี้
แล้วเช่นนั้นนี่เป็นเพราะอะไรกันเล่า เมื่อก่อนนางใช่เคยมาที่ต้าเฉินจริงหรือไม่
หากนางเคยมาการที่นางมาที่นี่อีกครั้งก็มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นอันขาด ในเรื่องนี้จะต้องมีอะไรที่นางไม่รู้อยู่เป็นแน่แท้
ข้อมูลสำคัญนี้ถูกระบบจอมอมพะนำนั่นปิดบังเสียแล้ว
‘ระบบ คุณดูซิว่าตอนนี้พวกฉันออกจากเมืองหลวงมาแล้ว อยู่ห่างไกลอำนาจฮ่องเต้ ฉันวางแผนจะก่อกบฏอยู่แล้ว องค์ชายยังนับเป็นตัวอะไรได้อีก ฉันบุกตรงไปใช้หน้าไม้จัดการล้มเจียงเยี่ยเฉินก่อน จากนั้นก็จัดหนักลงทัณฑ์ทรมานเขา เขาจะต้องร้องคร่ำครวญนึกเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นภารกิจของฉันก็จะนับว่าบรรลุผลสำเร็จแล้วใช่ไหม จากนั้นฉันจะขอสิ่งที่ต้องการ ให้เหยียนเจวี๋ยเขาทะลุกลับไปกับฉัน นิยายเรื่องนี้ก็สามารถจบบริบูรณ์ได้แล้วใช่ไหม’
ระบบมีอาการพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเห็นได้ยาก ‘ไม่ได้’
เฉินวั่งซูดวงตาวาววับ ‘ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้ตั้งกฎว่าห้ามฆ่าบุตรแห่งโชคชะตา แต่จะบอกว่ามีกฎห้ามไม่ให้ฉันพาเหยียนเจวี๋ยกลับไปด้วย?’
ระบบลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยว ‘ถูกต้อง’
เฉินวั่งซูส่ายหน้า ‘คุณทำอย่างนี้ไม่ถูก คุณบอกว่าขอแค่ไม่ฝืนต่อกฎสวรรค์ จะเป็นความปรารถนาอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วทำไมถึงขอเรื่องเหยียนเจวี๋ยไม่ได้ เขาไม่ใช่กฎสวรรค์สักหน่อย หรือว่าการที่เหยียนเจวี๋ยกับฉันทะลุเข้ามาด้วยกันก็เป็นบ่วงหนึ่งที่พวกคุณวางแผนไว้’
เฉินวั่งซูว่าแล้วก็เริ่มวางท่าทางบีบคั้นคน
ระบบไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน มันรู้สึกว่าถ้าตนเองตอบเร็วจะต้องถูกเฉินวั่งซูต้อนให้ตกหลุมพราง จากนั้นก็จะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาอย่างแน่นอน
จวบจนเฉินวั่งซูรอจนหมดความอดทนแล้วมันถึงได้พูดว่า ‘คุณก็รู้ ก่อนพวกคุณทะลุเข้ามาโคมไฟได้ตกลงมาใส่ เพื่อจะปกป้องคุณฉินเจินได้รับมันไว้แทนคุณ ถ้าคุณขอพาเขากลับไปด้วยกัน พวกคุณทั้งสองคนก็จะถูกโคมไฟทับตาย’
เฉินวั่งซูดวงตาสว่างวาบยิ่งกว่าเดิม รู้อยู่แล้วเชียวว่าระบบนี่โง่สุดๆ
นางถามว่าเหยียนเจวี๋ยใช่กฎสวรรค์หรือไม่ ระบบเลี่ยงไม่ตอบ คนคนหนึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นกฎสวรรค์ได้ ระบบควรจะตอบได้ง่ายๆ แต่มันกลับปิดปากเงียบ นี่จึงเป็นการบอกชัดว่านางกับเหยียนเจวี๋ยไม่ได้ทะลุเข้ามาอย่างส่งเดชจริงๆ
มีคนวางแผนไว้ นางพาเหยียนเจวี๋ยกลับไปจะเป็นการทำลายแผนการ
‘ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นห่วงเป็นใยเหยียนเจวี๋ยมาก คุณเป็นแค่ระบบระบบหนึ่งเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นระบบของฉัน เขาจะถูกทับตายหรือไม่ตายเกี่ยวอะไรกับคุณ’ เฉินวั่งซูถามอีก
คราวนี้ระบบตอบสนองเร็วยิ่ง ‘เราไม่ได้เป็นห่วงเขา เราเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณสู้อุตส่าห์ทำภารกิจสำเร็จแล้ว ถ้าเกิดถูกโคมไฟ…เรารู้สึกว่าคุณควรขอให้โคมไฟนั้นไม่ตกลงมา แบบนี้คุณก็ไม่ต้องตายแล้ว’
เฉินวั่งซูหัวเราะเบาๆ ‘คุณไม่ใช่บอกว่าฝืนกฎสวรรค์ไม่ได้หรอกเหรอ ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าต่อให้ฉันทำภารกิจสำเร็จก็จะกลับไปในชั่วพริบตาที่โคมไฟตกลงมา อย่างนั้นถ้าฉันขอให้โคมไฟไม่ตกลงมาจะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเหรอ ถ้าแม้แต่เปลี่ยนแปลงอดีตยังทำได้ โคมไฟนั้นไม่ตกลงมา ฉันก็จะไม่มีอันตราย ฉินเจินก็จะไม่ถูกโคมไฟทับตายเพื่อช่วยฉัน แบบนั้นก็มีปัญหาแล้ว วิญญาณของคนคนหนึ่งจะอยู่ทั้งที่ต้าเฉินและที่โลกปัจจุบันได้ยังไง นี่ยังไม่ฝืนต่อกฎธรรมชาติอีก? ถึงเวลานั้นสุดท้ายแล้วตกลงว่าฉินเจินคือฉินเจิน หรือว่าเหยียนเจวี๋ยคือฉินเจิน หรือจะเป็นฉินเจินกลายเป็นเหยียนเจวี๋ย เหยียนเจวี๋ยกลายเป็นฉินเจิน หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเหยียนเจวี๋ยกลับมาเป็นเหยียนเจวี๋ย ฉินเจินกลับไปเป็นฉินเจิน?’
ระบบชะงักค้าง มันรู้สึกว่าสมองตนเองชักจะมึนๆ งงๆ คลื่นการทำงานคล้ายว่าเริ่มจะสับสนขึ้นมาอีกครั้ง อะไรกันนี่! คุณกำลังพูดประโยคลิ้นพันอยู่เหรอ
คราวนี้เฉินวั่งซูรออยู่นานยิ่งระบบก็ยังไม่พูดอะไร นางจึงถามหยั่งเชิงอีกรอบ ‘เอาล่ะ ฉันไม่ถามเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไงคุณก็ควรต้องตอบคำถามนี้ของฉัน ฉันไม่ได้ทะลุมาที่ต้าเฉินเป็นครั้งแรกใช่ไหม’
ระบบยังคงเงียบกริบ
เฉินวั่งซูโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ
ทว่าในใจนางมั่นใจในคำตอบแล้ว
ระบบที่โง่เขลา หากไม่มีเรื่องเช่นนี้มันจะต้องออกปากปฏิเสธไปนานแล้ว ทว่ามันไม่ได้ทำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 66)
Comments
comments
No tags for this post.