บทที่ 5
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินหูแดงเล็กน้อย นางยกถ้วยชาของตนเองขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกโดยที่แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น แต่กลับมีเสียง ‘เอื๊อก’ ดังออกมา
เฉินวั่งซูเห็นดังนั้นก็รีบหยิบถ้วยเปล่าถ้วยหนึ่งบนโต๊ะมายื่นไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน “ขนมแป้งข้าวเหนียวนี้ย่อยยากซ้ำยังติดฟัน ท่านย่าบ้วนปากสักหน่อย หลานจะนำปลาบดก้อนจากหอกวนไห่มาให้ท่าน สิ่งนั้นแค่เข้าปากก็ละลายแล้ว ท่านลองชิมดูหน่อยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมองเฉินวั่งซูอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “มีใจกตัญญูยิ่งนักนะ”
จากที่ยืนยันด้วยสายตาดูเหมือนอีกฝ่ายจะติดพูดจากระทบกระเทียบจนเป็นนิสัยแล้ว
เฉินวั่งซูเบิกบานใจสุดๆ แต่กลับไม่แสดงออกมาภายนอก ฉีกหน้าใครก็ได้ แต่จะฉีกหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่ได้มิใช่หรือไร
ที่นางพูดเรื่องถอนหมั้นโต้งๆ มิได้มาจากอารมณ์ชั่ววูบ เรื่องการแต่งงานนี้ถูกกำหนดมาจากในวัง หากต้องการล้มเลิกก็ต้องมีผู้ที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งระดับที่ช่วยกราบทูลฮ่องเต้แทนนางได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกำเนิดจากตระกูลมีชื่อเสียง อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
ก่อนหน้านี้นางยังนึกว่าต้องลงทุนลงแรงขนานใหญ่ จะอย่างไรผู้สูงศักดิ์ที่บุตรหลานมีตำแหน่งในราชสำนักก็ให้ความสำคัญกับเรื่องฮ่องเต้และขุนนาง…ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกลับเปิดกว้างเกินคาด ทำให้นางโล่งอกอย่างแท้จริง
เฉินวั่งซูวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
“มิใช่บอกว่าห้ามเอะอะให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะได้ไม่ถูกคนหาว่าจิตใจคับแคบ จนกระทบถึงชื่อเสียงคนสกุลเฉินหรือไร”
เฉินวั่งซูหัวเราะหึๆ บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หากองค์ชายเจ็ดผู้นั้นหน้าตางดงามกว่าเหยียนเจวี๋ยนางคงยอมให้เล่นบทง้อภรรยาดูสักหน่อย
“หากหลานสามารถทำให้ฝ่าบาททรงยอมล้มเลิกการอภิเษกสมรส สกุลเฉินเราช่วยคลายเรื่องร้อนให้เขา ยื่นทางลงให้เขา แสดงท่วงทีความเป็นตระกูลใหญ่ของสกุลเฉินเราได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ท่านย่ายินดีจะช่วยไปยื่นบันไดลงทางนั้นแทนหลานหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจ้องมองเฉินวั่งซูอย่างค่อนข้างสนอกสนใจ “เจ้ามีปัญญาทำได้?”
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว เดินไปด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเฉินแล้วนวดบ่าให้อีกฝ่าย “หากหลานทำไม่ได้ก็จะยอมแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดโดยไม่ปริปากบ่น แต่หากทำได้เรื่องแต่งงานของหลานก็ช่วยฟังความเห็นของหลานด้วย…ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ลมปากเชื่อถือไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกล่าวเบาๆ ก่อนจับมือเฉินวั่งซูลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ได้เวลากินอาหารเย็นแล้ว พออายุมากแล้วอาหารเย็นต้องกินเร็วหน่อย มิเช่นนั้นจะไม่ย่อย พอดีเลย จะได้ลองกินปลาบดก้อนของเจ้าด้วย”
เฉินวั่งซูลอบบ่นนางจิ้งจอกเฒ่าในใจ นี่คือกำลังบอกว่าจะเป็นล่อหรือเป็นม้า ต้องจูงออกมาวิ่งดูก่อนสินะ!
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยเสียงที่ยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามขึ้น “ก็เหมือนกับประตูใหญ่สีแดงชาดของบรรดาจวนขุนนางชนชั้นสูง อายุมากแล้ว ทนต่อการถูกเตะถูกถีบหนักๆ ไม่ไหว ผิวหน้าก็เสียหาย เตะให้นุ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ เป็นหลักการเดียวกับปลาบดก้อนนั่นล่ะ”
หากนางทำเรื่องขายหน้าสกุลเฉิน เป็นไปได้สูงมากว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหยิบกรรไกรมาตัดหางนางทิ้งฉับๆ แน่นอนว่ามิใช่ส่งตัวไปเป็นขันทีในวัง แต่เกรงว่าจะส่งไปบวชอยู่ในสำนักชีมากกว่า
เฉินวั่งซูไม่กลัวโดยสิ้นเชิง “หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ต่อให้เป็นขันทีแล้วอย่างไร อยู่ท่ามกลางหมู่มวลคนงามทุกวัน สวรรค์บนดินชัดๆ!
เป็นแม่ชีแล้วอย่างไร นางเฉินวั่งซูก็ยังเป็นตัวร้ายอันดับสอง เกิดมาเพื่อรังแกคนงามสมองนิ่มอยู่แล้ว!
สองย่าหลานเดินมุ่งหน้าออกจากห้องด้วยท่าทางสนิทสนมอบอุ่น
ครั้นจะถึงหน้าประตูฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองเรียกตัวเฉินวั่งซูมาเพื่อไต่สวนเอาความ ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสั่งให้นางสงบใจทบทวนความผิด แต่กลับถูกความคิดอันน่าตกตะลึงนั้นของนางขัดจังหวะจนถึงกับลืมไป
เฉินวั่งซูพินิจมองนางแล้วก็ทักท้วงกลับไปทันควัน “ลงโทษไม่ได้นะเจ้าคะท่านย่า! หากลงโทษ มิใช่คนจะพลอยรู้กันทั่วหรือว่าข้าทำความผิด เรื่องที่ป่าท้อมิใช่จะปิดไม่มิดเอาหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินปรายตามองนางปราดหนึ่งอย่างหมดคำจะกล่าว ถือว่าพูดได้มีเหตุผล
เฉินวั่งซูประคองฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเดินเข้าโถงบุปผาเล็กที่ตั้งสำรับอาหารเย็น เพิ่งจะเข้าประตูสาวน้อยในกระโปรงยาวสีเขียวครามอ่อนนางหนึ่งก็ก้าวมาหา
เฉินวั่งซูมองนางแล้วอดจะก้มมองหน้าอกตนเองแวบหนึ่งไม่ได้
อื้อหือ โชคดีที่นางได้ความมีน้ำมีนวลมาจากหลี่ซื่อ สิ่งที่ควรมีล้วนมีทั้งสิ้น ส่วนคนตรงหน้านี้หมุนตัวทีก็แยกได้ไม่ชัดแล้วว่าหันหน้าหรือหันหลัง
ทั้งสารร่างผอมบางเสียจนเหมือนกับเครื่องเรือนทำจากไม้อัดที่ชาวบ้านร้านตลาดชอบใช้
แน่นอนว่าหากเปรียบเทียบกับคนองอาจห้าวหาญเช่นนาง เหล่าผู้สูงศักดิ์ก็เรียกได้ว่าดูน่าสงสารปานกิ่งหลิวลู่ลม
“พี่หญิงรองจ้องข้าด้วยเหตุใด มิได้เพิ่งเห็นข้าหนแรกเสียหน่อย หรือว่าจะแสร้งทำเป็นถูกผีสิงเลียนอย่างในบทละคร พูดบทว่าคลับคล้ายเคยเห็นน้องสาวอย่างข้าผู้นี้ที่ใดมาก่อน”
เฉินวั่งซูมุมปากกระตุกเล็กๆ นี่มันหลินไต้อวี้ชัดๆ
“ลายกล้วยไม้นี้ของน้องหญิงสามปักได้ดี ทำข้ามองเพลินไปชั่วขณะ นี่เป็นลายที่เพิ่งวาดใหม่ เช่นนั้นข้าก็ขอทำหน้าหนาขอมันจากเจ้าแล้ว”
สาวน้อยที่ดูคล้ายหลินไต้อวี้ผู้นี้มีนามว่า ‘เฉินเถียน’ เป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านอารองของเฉินวั่งซู
ศึกที่เมืองตงจิงในครั้งกระโน้นเฉินชิงเจวี๋ยผู้เป็นอารองของเฉินวั่งซูตายในสนามรบ จางซื่อผู้เป็นภรรยารักใคร่ผูกพันกับเขาอย่างล้ำลึกจึงตายตามเขาไป ทิ้งไว้เพียงบุตรสาวคนนี้ผู้เดียวซึ่งได้รับการเลี้ยงดูอยู่ภายในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน
เฉินเถียนอ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ต้องดื่มยารักษาอาการมาโดยตลอด สองปีมานี้ถึงได้ดีขึ้นบ้าง
พอได้ยินวาจาของเฉินวั่งซู เฉินเถียนก็หัวเราะเบาๆ “นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร อีกประเดี๋ยวจะไปนำมาให้ท่าน ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ข้าวาดเอง มิได้มีราคาค่างวดอะไร เพียงแต่ท่านมิใช่ชอบดอกซิ่งแดงมากกว่าหรอกหรือ ช่วงนี้ดอกกำลังบานดี ข้ากำลังเตรียมจะวาดให้ท่านอยู่เลย”
เฉินวั่งซูได้ยินก็ดีใจ นางชอบดอกซิ่งแดงนี่เอง ช่างเป็นชะตาฟ้าลิขิตโดยแท้! “เช่นนั้นข้าจะตั้งตารออยู่ในเรือนทุกวัน”
เฉินเถียนได้ยินแล้วดวงตาก็กลอกกลิ้ง ก่อนจะเหลือกตาใส่เฉินวั่งซู “จะปล่อยให้ท่านได้กำไรไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน ท่านย่าบอกว่าวันใดอากาศดีจะให้ข้าออกไปเดินเหินให้มาก ข้าไม่คุ้นเคยกับในเมือง ในเมื่อท่านได้ลายปักจากข้าไป ก็ไปเลี้ยงน้ำชาข้าที่ร้านน้ำชาแล้วกัน”
นางพูดจบก็ก้มหน้าลงด้วยอารามขวยเขิน หูแดงไปทั้งแถบ
เฉินวั่งซูไม่เข้าใจ เป็นสตรีเหมือนกัน เฉินเถียนมองนางแล้วหน้าแดงหมายความว่าอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเดินอยู่ข้างๆ หลังจากล้างมือแล้วก็มองเฉินเถียนด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ย่าเลือกคู่หมายไว้ให้เถียนเอ๋อร์อยู่สองสามคน อุปนิสัยชาติตระกูลล้วนไม่มีที่ติ”
เฉินเถียนยิ่งใบหน้าแดงเถือกแทบจะหยดออกมาเป็นเลือด พูดกระเง้ากระงอดว่า “ท่านย่า!”
เพราะเรื่องการดูตัวนี่เอง เฉินวั่งซูคุ้นเคยเรื่องเช่นนี้มาจากในละครดี นางหวิดจะหลุดหัวเราะชอบใจออกมา
ดูตัวนี่เอง! คิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ รับรองว่าจะไม่มีใครรู้ว่าพวกเราไปแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าพึงพอใจ คีบเกี๊ยวไข่ตัวหนึ่งใส่จานของเฉินวั่งซู “กินเกี๊ยวสิ”
ขณะกลับถึงหอเล็กฟ้าได้มืดสนิทแล้ว บนฟ้ามีดวงดาวเดียรดาษ แค่เห็นก็รู้ว่าวันพรุ่งจะต้องอากาศดี
เฉินวั่งซูเท้าแก้มพิงหน้าต่าง ฟังเสียงเพลงที่ดังแว่วมาจากริมทะเลสาบซีหู แม้พื้นที่ทางเหนือจะถูกศัตรูยึดไป แต่ทั้งแคว้นต้าเฉินยังคงมัวเมาอยู่กับความหรูหราฟุ่มเฟือย ร้องรำทำเพลงกันทุกค่ำคืน ใครไม่รู้ยังจะหลงนึกว่าบัดนี้เป็นยุครุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุข
“ฮ่าๆ”
อยู่ๆ ก็พลันมีเสียงหัวเราะพร้อมด้วยเงาร่างไหววูบเคลื่อนผ่าน จนเฉินวั่งซูต้องขยี้ตาดูให้ชัดพลางเอ่ยถามมู่จิ่น “มู่จิ่น เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นเงาใครแวบผ่านไปหรือ”
มู่จิ่นเป็นวรยุทธ์หมัดมวยอยู่บ้าง สายตาจึงดีกว่าเฉินวั่งซูมาก “นั่นสิเจ้าคะ คุณหนู ดูเหมือนมีใครกำลังฝึกวิชาตัวเบาอยู่ กระโดดไปมา ดูท่าจะกระหยิ่มได้ใจมากจนหวิดจะตกลงมาด้วย ตอนที่บ่าวเพิ่งสำเร็จวรยุทธ์แล้วขึ้นไปบนหลังคาก็เป็นเช่นนี้ ท่านยังล้อข้าด้วยว่าเหมือนลิงป่าบนภูเขา ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ”
บทที่ 6
เฉินวั่งซูเก็บความคิดอยากลองกลับมา ทั้งอิจฉาและหวั่นเกรงอยู่บ้าง
นางอายุสิบหกแล้ว เรียนวรยุทธ์เอาป่านนี้ก็ไม่ทันแล้ว นางเคยแสดงหนังกำลังภายในมาไม่น้อย เวลาฉายก็ดูสวยงามดีอยู่หรอก แต่ที่จริงแล้วเวลาถ่ายทำไม่ต่างจากเป็ดปักกิ่งที่ถูกแขวนย่างในเตา ทำเอาคนเจ็บไปทั้งตัว
หากนางเป็นวิชาตัวเบาก็อยากจะกระโดดขึ้นกระโดดลง ย่ำกระเบื้องให้ครบทุกแผ่นในเมืองหลินอันเหมือน ‘ลิงป่า’ ที่อยู่ไม่ไกลนั่นเช่นกัน
เฉินวั่งซูคิดพลางขมวดคิ้ว นางไม่เป็น แต่ผู้อื่นเป็น เห็นทีฮูหยินผู้เฒ่าเฉินจะพูดได้มิผิด นางจะอวดดีเกินไปไม่ได้ ยังคงทำตัวเป็นมือมืดหลังม่าน* อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะเหมาะสมกว่า
มิเช่นนั้นยังไม่ทันเล่นงานผู้อื่นก็มีหวังได้ถูกผู้อื่นบันดาลโทสะเอาดาบแทงเข้าก่อน เช่นนั้นละครเรื่องนี้จะมิใช่ล้มไม่เป็นท่าหรือไร
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาได้ความอย่างไรบ้าง”
มู่จิ่นมองดูรอบๆ ก่อนจะลดเสียงลง “สถานที่ตกปลาแห่งนั้นเป็นฮูหยินรองตุลาการถังแห่งศาลต้าหลี่ เอ่ยถึงในงานเลี้ยงน้ำชาเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูพยักหน้า “แล้วหลิ่วอิงผู้นั้นเล่า”
ระบบเป็นขยะที่ชอบแกล้งตาย มีเนื้อเรื่องคร่าวๆ มาให้แค่ร้อยตัวอักษร นางไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ศัตรู’ แม้แต่น้อย
มู่จิ่นมองเฉินวั่งซูอย่างระมัดระวังปราดหนึ่ง เห็นนางมิได้มีสีหน้าโศกาอาดูรถึงได้วางใจพูดอย่างใจกล้าว่า “หลิ่วอิงผู้นั้นเป็นบุตรสาวขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง เมื่อครั้งฝ่าบาทยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นผิงอ๋อง ยังประทับอยู่ที่จวนเดิมก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ สกุลหลิ่วอาศัยอยู่ในตรอกเดียวกัน มารดาของหลิ่วอิงมีฝีมือปักผ้าเป็นเลิศเหนือใคร จึงได้รับเชิญให้เข้าไปสอนเหล่าสตรีในจวน คิดว่าคงรู้จักกับองค์ชายเจ็ดตั้งแต่ยามนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
หากมิใช่เมืองตงจิงถูกตีแตก ฮ่องเต้องค์ก่อนไร้พระโอรสสืบบัลลังก์ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นเพียงผิงอ๋องที่มิได้โดดเด่น องค์ชายเจ็ดกับหลิ่วอิงในยามนั้นก็ยังเด็ก เล่นด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติ
ที่ระบบบอกว่าเป็นสหายวัยเยาว์นั้นมิได้เกินจริง เฉินวั่งซูกล่าวปลงๆ ในใจ
“ถังฮูหยินผู้นั้นกับกวนซื่อมารดาของหลิ่วอิงเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เรื่องราวลึกกว่านี้ เวลาสั้นเกินไปจึงไม่ทันได้หาใครมาสอบถามอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูส่งสายตาชื่นชมให้นาง “ไม่ต้องสืบต่อแล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
เรื่องที่วันนี้พวกนางเจอ ‘ผี’ ในป่าท้อมิใช่เรื่องบังเอิญ ถังฮูหยินผู้นี้จะต้องสนิทสนมกับหลิ่วอิงไม่น้อยแน่นอน หลิ่วอิงมีฐานะเป็นนางเอก ย่อมจะเป็นที่รักของทุกผู้คน ทว่านางรักตนเอง อย่าว่าแต่ฮูหยินรองตุลาการเลย ต่อให้เป็นองค์หญิงนางก็หลอกได้
‘ลิงป่า’ ที่กระโดดไปกระโดดมาก่อนหน้านี้ไม่รู้กระโดดไปที่ใดแล้ว เสียงเพลงริมทะเลสาบซีหูคล้ายว่าอยู่ใกล้ยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนสามารถสดับเสียงหัวเราะเสียงตะโกนโห่ร้องได้แว่วๆ
เฉินวั่งซูยกมือขึ้นมา หอเล็กแห่งนี้ของนางสูงไม่ถึงร้อยฉื่อ* เลยเอื้อมเก็บดาวไม่ถึง
นางวางมือลง หันหลังกลับเข้าห้อง
ภายในห้องมีกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ไป๋ฉือได้เปลี่ยนมาใช้กำยานที่ทำให้คนใจสงบขึ้น ครั้นเห็นเฉินวั่งซูก็ทำความเคารพอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ภาพวาดที่องค์ชายเจ็ดทรงส่งมาที่คุณหนูสั่งให้ข้าหา หาเจอแล้วเจ้าค่ะ”
นั่นเป็นภาพดอกเหมยแดง เป็นของที่ขันทีส่งมาให้ตอนที่ฮ่องเต้เพิ่งมอบสมรสพระราชทาน บอกว่าเป็นภาพวาดฝีมือขององค์ชายเจ็ด ด้านบนมีตราประจำตัวประทับอยู่
ซ่งชิงไม่มีความรู้เรื่องภาพวาด แต่เฉินวั่งซูมี ก่อนหน้านี้นางโมโหกับเรื่องแต่งงานจึงมิเคยเปิดดู บัดนี้มาดูกลับเห็นความน่าสนใจอยู่หลายส่วน
องค์ชายเจ็ดวาดดอกเหมยได้งดงามจริงๆ แต่เทียบกับดอกเหมยแล้วเฉินวั่งซูรู้สึกว่ากลองป๋องแป๋งที่วางอยู่บนพื้นหิมะใต้ต้นเหมยนั้นวาดได้น่าประทับใจยิ่งกว่า แม้แต่รอยยิ้มบนหน้าเด็กผมแกละที่อยู่บนหน้ากลองนั้นยังสามารถเห็นได้ชัดเจน
ลายมือสื่อถึงตัวตน ลายเส้นภาพวาดก็สื่อถึงตัวตนเช่นกัน คนโบราณชมชอบความสง่างาม ยามวาดภาพมักวาดดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ไผ่ และดอกเบญจมาศ
เทียบกับความงามที่อยู่ในกรอบแล้วองค์ชายเจ็ดคงชื่นชอบเสน่ห์อันไม่ปรุงแต่งของกลองป๋องแป๋งมากกว่า
เฉินวั่งซูมีแผนการในใจแล้วจึงยิ้มกริ่มพลางจับพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแตะน้ำหมึก วาดเต่า ตัวหนึ่งลงที่กลองป๋องแป๋งนั้น ชมดูด้วยความพอใจเสร็จก็วางพู่กันลงแล้วทำท่าตบมือ
“นับแต่วันนี้ไปข้าเฉินวั่งซูจะเป็นแบบอย่างของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลินอันนี้ เป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมที่สุด”
องค์ชายเจ็ดยิ่งไม่ชอบสตรีเช่นใด นางก็จะเป็นสตรีเช่นนั้น!
ไป๋ฉือที่อยู่ด้านข้างมองดูเต่าตัวนั้นพลางพูดตะกุกตะกักด้วยท่าทางปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง “เดิมทีคุณหนูก็มิเป็นสองรองผู้ใด เป็นที่เลื่องลือเรื่อง…ความเพียบพร้อมอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
มู่จิ่นรีบกล่าวเออออ “นั่นสิเจ้าคะ เต่าที่คุณหนูของพวกเราวาดก็เป็นเต่าที่เพียบพร้อมเช่นกัน”
เฉินวั่งซูเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ดูสิ! ขนาดทะลุเข้ามาในนิยายก็ยังมีแฟนพันธุ์แท้คอยเป็นลูกคู่ คอยชมจนตัวลอย ฮ่าๆ
ตลอดทั้งคืนนางนอนหลับสนิทยิ่ง ครั้นเช้ามาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเสร็จ เฉินวั่งซูก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปร้านน้ำชาพร้อมกับเฉินเถียน เพราะออกปากแล้วว่าวันนี้จะพาเฉินเถียนไปลอบดูว่าที่สามีของนางด้วยกัน
วันนี้เฉินเถียนสวมกระโปรงยาวสีชมพู แต่งตัวเป็นทางการกว่าปกติมาก เครื่องประทินโฉมช่วยเสริมให้นางมีใบหน้าเปล่งปลั่ง ขนตายาวสั่นกระพือประหนึ่งปีกผีเสื้อ
“ไฉนจึงไม่สวมเสื้อบุนวม เจ้าผูกเสื้อคลุมให้ดี อย่าให้ถูกความเย็นจนจับไข้ ผู้ที่ท่านย่าดูไว้ให้เจ้าคือโต้วอี้อวิ๋น? ท่านพี่เป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับเขาที่สำนักศึกษาหลวง ปีนี้ก็สอบได้จิ้นซื่อเช่นเดียวกัน เป็นผู้ที่ไม่เลวทั้งวิชาความรู้และอุปนิสัย สกุลโต้วก็เป็นตระกูลบัณฑิต เขาเป็นบุตรชายคนรอง พี่ชายแต่งงานแล้ว ฝ่ายหญิงเป็นสหายเก่าสหายแก่ของพี่สะใภ้ใหญ่ข้า วันนั้นข้าได้ยินนางพูดกับท่านแม่ว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยได้ง่าย”
เฉินเถียนพยักหน้า ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากพลางตอบรับในลำคอเบาๆ
เฉินวั่งซูเพียงคิดว่าอีกฝ่ายประหม่าจึงพูดเรื่องตลกขบขันอีกหลายเรื่อง กว่าจะถึงร้านน้ำชารุ่ยฉีลำคอจึงแห้งผากไปหมด
พวกนางเพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากห้องส่วนตัวฝั่งตรงข้าม
เฉินวั่งซูมองไปด้วยความสงสัย ประตูห้องนั้นแง้มอยู่ สามารถมองเห็นสภาพภายในผ่านช่องว่างประตูได้ ครั้นนางมองดูดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันควัน
เห็นเพียงเหยียนเจวี๋ยนั่งอยู่ในนั้นด้วยหน้าตาถมึงทึง น้ำชาบนหน้าหยดติ๋งๆ ลงมา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกคนสาดใส่หน้า
ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขามีสาวน้อยที่ปักปิ่นระย้าเต็มศีรษะนางหนึ่งนั่งอยู่ สาวน้อยนางนั้นโมโหจนหน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้า แม้ข้าจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่แค่เขียนกลอนสั้นไม่กี่บทก็ยังเขียนเป็น คุณชายศึกษาตำรับตำรา เปี่ยมด้วยความรู้ ขอให้ท่านท่องกลอนต้นหลิว ท่านกลับยกคำคมเหล่าปราชญ์มาดูถูกข้า นี่มิใช่เท่ากับชี้หน้าด่าข้าว่าไม่มีความรู้ แม้แต่คำสอนของปราชญ์เมธีผู้ล่วงลับก็ยังไม่รู้จักหรือไร!”
สาวน้อยนางนั้นพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน “ทำเกินไปแล้ว! ทำเกินไปแล้ว!” จากนั้นนางก็กระทืบเท้าแล้วปิดหน้าวิ่งหนีไป ทิ้งให้เหยียนเจวี๋ยนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพน้ำชาหยดติ๋ง ดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
เฉินวั่งซูเห็นแล้วในใจก็ให้สะทกสะท้อนเพียงว่า บัวผุดพ้นสายชล! งามเกินไปแล้ว! ปีศาจจิ้งจอกตัวผู้ตนนี้ถูกน้ำชาล้างเครื่องประทินโฉมแล้วก็ยังงามจนน่าตะลึงเช่นเดิม!
อาจเพราะสายตาของนางร้อนแรงเกินไป เหยียนเจวี๋ยจึงมองมาอย่างคล้ายว่าสัมผัสได้ เฉินวั่งซูยังไม่ทันให้ท่าก็มองเห็นตรงหน้าเป็นสีดำ เงาคนผู้หนึ่งวิ่งปานเหาะไปปิดประตูห้องส่วนตัวของนางดังปังจนไม่เหลือแม้แต่ช่องว่าง
เฉินเถียน! เจ้ามิใช่เป็นหลินไต้อวี้ที่เดินหนึ่งก้าวหอบสามครั้งหรือไร ไยข้าจึงเห็นเจ้าก้าวเท้ากระโดดข้ามรั้วได้ราวกับคนในคณะกายกรรมเล่า
“น้องหญิงสามปิดประตูเช่นนั้น แล้วอีกประเดี๋ยวพวกเราจะดูคุณชายโต้วผู้นั้นอย่างไร”
เฉินเถียนเกิดอาการตัวสั่น พูดจาไม่คล่องแล้ว “นั่นคือคุณ…คุณชายเหยียนเชียวนะ เขาทำเรื่อง…ฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านเป็นประจำ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.