บทที่ 7
เป็นความจริงที่เหยียนเจวี๋ยมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทว่าแม้แต่นางที่ออกมาเที่ยวข้างนอกบ่อยครั้งยังเพิ่งจะเคยพบเขาหนแรกเมื่อวานนี้ แล้วเฉินเถียนที่ถูกกักตัวไว้ในจวนเนื่องจากร่างกายอ่อนแอไปรู้จักหน้าค่าตาของเขาได้อย่างไรกัน
เฉินวั่งซูเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว
“เหตุใดน้องหญิงสามจึงพูดเช่นนี้ แม้ผู้คนมักจะกล่าวว่าคุณชายเหยียนรังแกบุรุษข่มเหงสตรี แต่รังแกบุรุษคนใด ข่มเหงสตรีนางใด เมื่อคิดดูดีๆ กลับบอกออกมาไม่ได้”
เฉินเถียนคล้ายว่าจะนึกถึงเรื่องน่ากลัวในอดีตอะไรได้จึงมีอาการสั่นสะท้านอีกครั้ง นางลดเสียงลงพูดว่า “ข้า…ข้า…ข้าเห็นเองกับตา วันตงจื้อ เมื่อปีกลาย ยาอุ่นใจของข้าหมด ท่านย่าจึงพาข้าไปหาแม่นางฉี ให้นางจัดมาให้ใหม่ ขณะออกจากโรงหมอข้าเห็นเองกับตาว่า…คุณชายเหยียนผู้นั้นเกี้ยวพานหญิงสาวกลางถนน ชิงเอาขนเตียว ที่พันอยู่บนคอนางได้แล้วก็ขี่ม้าลอยนวลจากไป วันนั้นฝนตก กีบเท้าม้าย่ำน้ำกระเซ็นใส่หมวกม่านแพรของข้า…”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากน้อยๆ พยายามค้นหาเรื่องในอดีตจากในสมอง
จริงสิ วันตงจื้อเมื่อปีกลายหลังเฉินเถียนกลับมาจากข้างนอกก็มีท่าทางเหมือนได้รับความตระหนกตกใจ หลังจากนั้นก็ล้มป่วยหนัก แล้วก็มิได้ออกจากจวนอีกนานสองสามเดือน
ทว่า…น้องสาวเอ๋ย เรื่องชิงขนเตียวนั่นต่างกับเรื่องฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านเป็นหมื่นแปดพันโยชน์!
เฉินวั่งซูมองดูสภาพดุจกระต่ายน้อยได้รับความตกใจของเฉินเถียนแล้วก็ฝืนกลืนคำพูดนี้ลงไปก่อนลูบศีรษะนาง “น้องหญิงสามไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ มีแต่ข้าจะเป็นฝ่ายฉุดผู้อื่น มิใช่ผู้อื่นเป็นฝ่ายฉุดข้า ถึงจะมาฉุดก็ต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน”
เฉินเถียนรู้สึกว่าหูของตนถูกน้ำเข้าแล้ว นางส่งเสียง “อา” ออกมาเสียงหนึ่งด้วยความงุนงง
เฉินวั่งซูกระแอมกระไอให้คอโล่ง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
นางพูดพลางเดินไปหน้าประตู แง้มมันออกเบาๆ ทว่าเหยียนเจวี๋ยที่อยู่อีกฟากประตูไม่อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ในเสื้อตัวสั้นผู้หนึ่งกำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่
ร้านน้ำชามีแขกมาจำนวนมาก พริบตาเดียวก็ครึกครื้นประหนึ่งตลาด
บริเวณใกล้กับร้านน้ำชารุ่ยฉีแห่งนี้มีสำนักศึกษาหลายแห่ง ทุกวันที่ลงท้ายด้วยห้าในแต่ละเดือนจะมีงานกวี บรรดากวีและบัณฑิตจะมาประชันกลอนและถกปรัชญาคัมภีร์กันที่ร้านชั้นล่าง ส่วนในห้องส่วนตัวชั้นบนโดยมากจะถูกครองโดยหญิงสาวที่มาชมความครึกครื้น รวมถึงเหล่าพหูสูตจำนวนหนึ่งที่มาทดสอบความรู้
หากผู้ใดไปเข้าตาผู้สูงศักดิ์เข้าจนถูกรับตัวเป็นศิษย์ นั่นก็เป็นเรื่องดีเรื่องใหญ่ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว
ร้านน้ำชาทั้งร้านเป็นแบบล้อมลานเรือนสี่ด้านขนาดมโหฬาร
ห้องส่วนตัวบนชั้นสองฝั่งที่พวกนางนั่งนี้อยู่ติดกับถนน มีไว้สำหรับชมทิวทัศน์ ส่วนฝั่งตรงข้ามหรือก็คือฝั่งที่เหยียนเจวี๋ยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้มีไว้สำหรับชมงานกวี
เรื่องการหมั้นหมายกับสกุลโต้วยังไม่ถูกกำหนด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถึงได้นัดไว้ที่นี่ เพื่อที่หากบังเอิญถูกคนรู้จักมาพบเข้าจะได้มีข้อแก้ตัว
งานกวีเริ่มแล้ว เฉินวั่งซูจึงแง้มประตูบานที่เหลือออกเหมือนบานก่อนหน้า ครั้นหันหน้าไปเตรียมจะเรียกเฉินเถียนกลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตนเองตาใส ซ้ำในดวงตายังมีประกายน้ำวิบวับ
ประกายน้ำตาทำนองนี้เฉินวั่งซูคุ้นเคยยิ่งกว่าอะไร
นางแหงนหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินไปหยุดเบื้องหน้าเฉินเถียนด้วยท่าทางสง่างาม จับมือเล็กๆ ของฝ่ายหลังไว้ “ไม่ต้องกลัว นับดูเวลาคนแซ่โต้วผู้นั้นก็ใกล้จะมาแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เหยียนเจวี๋ยไปนั่งอยู่ในห้องนั้นได้อย่างไร แต่บัดนี้เขาจากไปแล้ว”
มิใช่นางโอ้อวด แต่เรื่องเกี้ยวพาราสีสตรีพวกซื่อบื้อพวกนั้นก็ยังต้องหลบให้นาง
เฉินเถียนหน้าแดง พยักหน้าอย่างน่ารักว่าง่าย
ไม่ถึงครู่เดียวเสียงตะโกนของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดังมาจากหน้าประตูนั้น “คุณชายโต้ว วันนี้ท่านมาฟังกลอนด้วยหรือขอรับ! องค์ชายสามกับองค์ชายเจ็ดก็เสด็จมาเช่นกัน”
เฉินเถียนได้ยินก็หน้าแดงเถือก ใช้หางตาชำเลืองมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ทว่าเฉินวั่งซูกลับไม่มีท่าทีประหลาดใจสักกระผีก ยิ้มให้นางพลางชี้นิ้วไปที่ประตู
“อืม” ระหว่างนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
โต้วอี้อวิ๋นผู้นั้นมองเข้ามาในประตูแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าห้องตรงข้ามไปด้วยอาการหูแดง
เฉินวั่งซูมองดูพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะงามเทียบเหยียนเจวี๋ยไม่ได้ แต่ก็มีคิ้วพาดเฉียง ตาเป็นประกาย หน้าตาดูเข้าทียิ่งยวด นับว่าเป็นคนงามผู้หนึ่งแล้ว
เฉินเถียนก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยขึ้นมาเป็นครึ่งค่อนวัน แม้แต่ลำคอก็แดงเถือกไปหมดไม่ต่างจากกุ้งต้ม
เฉินวั่งซูรินชาให้นาง แล้วก็ยื่นขนมชิ้นหนึ่งให้อีก “รอเจ้าหายหน้าแดงแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่กัน”
นางพูดพลางนับเวลาในใจ สาม สอง หนึ่ง…
มิผิดจากที่คาด ประตูส่งเสียงดังปังพร้อมกับถูกคนผลักเปิด คนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา
“หากรู้ก่อนว่าวันนี้น้องหญิงทั้งสองจะออกมาดื่มชาด้วย ก็คงจะบอกให้สี่ผิงออกมาด้วยกันกับพวกเจ้าแล้ว พี่เขยเจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมทางตั้งไกลเป็นเพื่อนข้าเพื่อไปรับนางออกมา”
ผู้พูดสวมชุดสีแดงลายทองทั้งตัว ดูหรูหราล้ำค่ายิ่งยวด ปิ่นระย้าทองบนศีรษะแทบจะสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ต้องขอบคุณที่นางมีใบหน้าดูดีมีสง่าราศี เมื่อครู่ถึงมิได้ดูกะเร่อกะร่า
นางก็คือเฉินสี่หลิงบุตรสาวคนโตของบ้านรองสกุลเฉินที่อยู่ในตรอกเดียวกัน สามปีก่อนนางเข้าพิธีแต่งงานกลายเป็นพระชายาขององค์ชายสาม เมื่อปีกลายเพิ่งให้กำเนิดบุตรชาย มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง เฉินสี่ผิงที่นางพูดถึงคือน้องสาวร่วมอุทรของนาง อายุมากกว่าเฉินวั่งซูห้าวัน
เนื่องจากถึงวัยหาคู่ครองแล้ว ระยะนี้เฉินสี่หลิงจึงมักพาเฉินสี่ผิงไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาและงานเลี้ยงน้ำชาต่างๆ
เฉินสี่ผิงมีใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม ดูงามดาษดื่นกว่าเฉินสี่หลิงสามส่วน และดูใจจืดใจดำอยู่บ้าง
เฉินวั่งซูเชื่อมโยงความทรงจำ ในขณะที่คาดการณ์อย่างรวดเร็วอีกทางก็คารวะคนทั้งหลาย
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างเฉินสี่หลิงซึ่งไว้หนวดเคราทรงแพะภูเขา ดูค่อนข้างคงแก่เรียนก็คือองค์ชายสามผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างสูงในปัจจุบัน เทียบกับองค์ชายเจ็ดที่มารดาล่วงลับไปนานแล้ว ตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายสามนับว่าทรงอำนาจ เป็นอุปสรรคชิ้นเป้งชิ้นหนึ่งบนเส้นทางก่อกบฏของนาง
นางร้ายเฉินวั่งซูจดบันทึกลงสมุดเล่มน้อยในใจว่าต้องกำจัดเขาโดยด่วนที่สุด
องค์ชายสามแย้มยิ้ม ก่อนจะผลักองค์ชายเจ็ดที่มีสีหน้าไม่พอใจเบาๆ “เจ้าได้พบคนแล้ว ไฉนจึงไม่ทักทาย มีอย่างนี้เสียที่ใดกัน”
ไม่รอให้องค์ชายเจ็ดได้พูดสิ่งใดเฉินวั่งซูก็ชิงออกปากก่อนอย่างเอาใจใส่ เสียงนั้นทำเอาเฉินเถียนที่อยู่ด้านหลังได้ยินแล้วตัวสั่นสะท้าน
อ่อนโยนเกินไปแล้ว…เป็นน้องสาวของพี่หญิงรองมาสิบกว่าปีก็ยังไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดจามีจริตจะก้านถึงเพียงนี้…
“มิทราบว่าองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย เดิมทีควรเป็นหม่อมฉันไปถวายบังคมก่อน ได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายเจ็ดทรงรักษาจารีตที่สุด เดิมทีก็มีการหมั้นหมายกันอยู่ ควรต้องหลบเลี่ยงกัน แต่วั่งซูกลับเสียมารยาทแล้วเพคะ”
เฉินวั่งซูพูดพลางหยิบหมวกม่านแพรที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสวมบนศีรษะตนเองด้วยท่าทางเรียบร้อยเป็นงานเป็นการ
องค์ชายเจ็ดมุ่นหัวคิ้ว ว่าแล้วว่าบุตรสาวของเฉินชิงเจี้ยนตาเฒ่าคร่ำครึแห่งกรมพิธีการย่อมมิพ้นเป็นโบราณวัตถุที่ถูกขุดออกมาจากในสุสานเนินดินที่ใดสักแห่ง!
เฉินวั่งซูพินิจมององค์ชายเจ็ดผ่านหมวกม่านแพรอย่างตั้งใจชั่วครู่หนึ่ง
วันนั้นที่ป่าท้อมองเห็นไม่ชัดนัก องค์ชายเจ็ดผู้นี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายสามอยู่หกเจ็ดส่วน ดวงตาทั้งโตทั้งกลม จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณขาวผ่อง งามกว่าโต้วอี้อวิ๋นที่เป็นจิ้นซื่อสามส่วน แต่ยังด้อยกว่าเหยียนเจวี๋ยสามร้อยส่วน!
หากเหยียนเจวี๋ยเป็นใบหน้าเทพประทานระดับยอดพีระมิดในวงการบันเทิง องค์ชายเจ็ดก็คงจัดอยู่ในพวกดาราเกรดซีเท่านั้น
เฉินวั่งซูกลอกตามองไปทางแม่นางผู้หนึ่งที่ไม่เคยพบหน้าซึ่งยืนอยู่ข้างเฉินสี่หลิง ก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “องค์ชายเจ็ดทรงวาดดอกเหมยได้งามยิ่งยวด ขณะหิมะตกในปีนี้หม่อมฉันเกิดเป็นไข้โดยมิทันระวังตัวจึงพลาดมิได้เห็น ทว่าด้วยพระเมตตาขององค์ชายเจ็ดจึงได้ยลอย่างชัดแจ้ง
เมื่อวานไปชมดอกท้อที่นอกเมืองกับมารดา เกิดความสะเทือนใจขึ้นมาจึงได้จับพู่กันวาดออกมาภาพหนึ่งเพื่อเป็นของตอบแทน วั่งซูฝีมือธรรมดาสามัญ หวังว่าองค์ชายเจ็ดจะทรงอภัยด้วยเพคะ”
บทที่ 8
ถ่อมตัวเกินไปก็คือการโอ้อวด คนในที่นี้พากันมีสีหน้าพิกลขึ้นมาทันที
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าในบรรดาทักษะพิณ หมาก อักษร ภาพวาด* นอกจากการดีดพิณที่อยู่ในขั้นธรรมดาสามัญแล้ว อักษรและภาพวาดนั้นเฉินวั่งซูล้วนมีอาจารย์ชื่อดังถ่ายทอดความรู้ให้ แม้มิอาจอวดว่าเป็นที่หนึ่ง แต่อย่างน้อยในห้องนี้ก็นับว่าเป็นหงส์ในฝูงกา
คราแรกองค์ชายเจ็ดส่งภาพวาดไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง หลังเดินทางกลับก็นึกเสียใจอยู่สามวันสามคืน นี่เขามิใช่รำขวานหน้าบ้านหลู่ปัน หรือ นี่คือเรียนอักษรได้แค่พันตัวกลับริอ่านไปแข่งบทความกับจ้วงหยวนชัดๆ
นี่มิใช่…กำลังเหน็บแนมองค์ชายเจ็ดอยู่หรอกหรือ
คนทั้งหลายคิดพลางมองไปยังเฉินวั่งซู ดวงตาโตของนางใสแจ๋วจนเหมือนน้ำตื้นๆ จริงใจเสียประหนึ่งจะควักเอาของกินชิ้นสุดท้ายในจวนมามอบให้ญาติมิตรแล้ว ช่างชวนให้คนรู้สึกละอายใจนัก
แต่หากมิใช่เหน็บแนม แล้วไยใบหน้าขององค์ชายเจ็ดถึงเป็นสีเขียวเล่า…
องค์ชายสามรู้สึกว่าอากาศที่เย็นจัดจนจะแข็งตัวภายในห้องเหมือนจะกระแทกใบหน้าเขาแล้วจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พูดถึงป่าท้อ ข้ามีเรื่องสนุกจะเล่า เมื่อวานน้องเจ็ดเรียกหมอหลวงไปหาด้วยอาการร้อนใจดั่งไฟสุม ข้านึกว่าเกิดเรื่องอันใดเข้าจึงรีบร้อนแล่นไปดู แต่พอไปถึงเขากลับไม่รู้ไปมุดป่าดงพงไพรที่ใดมา ถูกแมลงกัดจนบวมไปทั้งหน้า ข้าแทบจะจำไม่ได้ ยังดีที่หมอหลวงเก่งกาจ มิเช่นนั้นงานกวีในวันนี้คงมาไม่ได้แล้ว”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หวิดจะกลั้นขำไม่อยู่ องค์ชายสามพูดจาน่าฟัง อนุญาตให้เขาตายช้าหน่อยได้!
คนในห้องได้ยินแล้วก็ล้วนหัวเราะครืนขึ้นมาทันที
ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดเปลี่ยนจากเขียวเป็นแดง จ้องเฉินวั่งซูไม่วางตา ทว่านางอยู่ในห้องก็ยังสวมหมวกม่านแพร จึงมองไม่เห็นสีหน้าใดๆ โดยสิ้นเชิง ยิ่งเห็นไม่ชัดองค์ชายเจ็ดก็ยิ่งลังเลไม่แน่ใจ
“งานกวีเริ่มแล้ว คนเหล่านั้นล้วนกำลังรอเสด็จพี่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามพยักหน้า เดิมทีเขาก็แค่มาทักทายเป็นมารยาท บัดนี้ทักทายเสร็จย่อมจะต้องไป องค์ชายเจ็ดติดตามอยู่ด้านหลัง จ้องมองเฉินวั่งซูอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งแล้วถึงเดินจากไป
“คุณหนูเกาไม่ไปชมงานกวีหรือ” เฉินวั่งซูถอดหมวกม่านแพรลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบโดยมิได้มองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
ก่อนหน้านี้เสแสร้งเป็นนานสองนาน ทำเอานางรู้สึกคลื่นไส้อยู่บ้าง
“ท่านคิดว่าแค่องค์ชายเจ็ดประทานภาพวาดให้ท่านก็หมายความว่าเห็นท่านสำคัญ? เฉินวั่งซู ข้าว่าท่านเหมือนเป็นคนโง่งม”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หันไปด้วยสีหน้าคับข้องใจ มองเกามู่เฉิงด้วยความประหลาดใจ “ข้ากับท่านไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ไยต้องเอ่ยวาจาเหน็บแนมกันด้วย เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานย่อมมีญาติผู้ใหญ่จัดการ ท่านกับข้าล้วนมิมีทางเลือก เรื่องความรู้สึกของท่านข้าเองก็เคยได้ยินมา หากผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานเป็นคุณหนูเกา ข้าจะต้องแสดงความยินดีและช่วยเติมสินเดิมให้ท่านด้วยอย่างแน่นอน โทสะทำร้ายร่างกายและทำให้เสียภาพพจน์ ท่านมีเรื่องใดก็นั่งลงคุยกันดีๆ จะดีกว่า”
เฉินวั่งซูพูดพลางกะพริบตาเบาๆ ขนตาสั่นไหวน้อยๆ
เจียงไท่กงตกปลา ปลาตัวแรกมาติดเบ็ดแล้ว
ปัจจุบันฮ่องเต้มีพระโอรสทั้งหมดแปดพระองค์ ในจำนวนนั้นมารดาขององค์ชายสามและองค์ชายแปดล้วนมาจากจวนอัครมหาเสนาบดีเกา
ต้าเกาซื่อ ผู้เป็นมารดาขององค์ชายสามบัดนี้ได้รับการสถาปนาเป็นกุ้ยเฟย เป็นผู้นำของพระสนมชั้นเฟยทั้งสี่ ฮองเฮามิได้มีพระโอรส องค์ชายสามจึงถือเป็นตัวเลือกรัชทายาทที่ได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดในยามนี้
ต้าเกาซื่อได้เป็นสนมของฮ่องเต้ตั้งแต่ยังมิได้ขึ้นครองราชย์ บัดนี้อายุไม่น้อยแล้วย่อมจะมิได้รับความโปรดปรานเท่าขณะยังสาว
ด้วยเหตุนี้สกุลเกาจึงส่งเสี่ยวเกาซื่อเข้าวังอีกคน ซึ่งเสี่ยวเกาซื่อก็ได้ให้กำเนิดองค์ชายแปด
เกามู่เฉิงผู้นี้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อองค์ชายเจ็ด อยากได้ตำแหน่งพระชายามานานแล้ว ทว่าสกุลเกาให้กำเนิดพระชายาองค์ชายสามไม่ได้ก็ย่อมต้องเล็งตำแหน่งพระชายาองค์ชายแปด มีหรือจะยอมปล่อยให้นางแต่งงานกับองค์ชายที่มิได้เป็นที่โปรดปรานเช่นองค์ชายเจ็ด
แต่เดิมเฉินวั่งซูมิได้รู้เรื่องเหล่านี้ ทว่าสุดท้ายก็รู้เนื่องจากหลังจากนางได้รับสมรสพระราชทาน เกามู่เฉิงเที่ยวอาละวาดไปทั่ว สร้างอุปสรรคขัดขวางบ้านใหญ่สกุลเฉินจนหวิดจะทำให้การแต่งงานของพี่ชายนางล่ม ในงานเลี้ยงน้ำชางานหนึ่งเฉินวั่งซูก็หวิดจะถูกสหายของอีกฝ่ายผลักตกลงแม่น้ำ ทำให้ขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล
แม้จะไม่เคยพบหน้า แต่ชื่อเสียงอันเลื่องลือของเกามู่เฉิงนั้นดังก้องหูนางเลยทีเดียว
“ยามนี้พี่เยี่ยเฉินของข้าก็มิอยู่แล้ว ท่านแสร้งทำตัวเป็นกุลสตรีให้ใครดู” อีกฝ่ายพูดพลางเบ้าตาแดง ยิ้มเยาะตนเองก่อนกล่าวอีกว่า “พี่เยี่ยเฉินต้องการแต่งนางจิ้งจอกผู้หนึ่งเข้าประตูจวนสุดหัวจิตหัวใจ ถึงเวลานั้นท่านก็รอน้ำตาตกได้เลย ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานเขาไปที่ป่าท้อกับใคร เขาเป็นบุรุษอกสามศอก จะต้องการยาทาหน้าไปทำกระไร ก็แค่ขอไปประเคนให้นางจิ้งจอกนั่นก็เท่านั้นเอง”
องค์ชายเจ็ดทรงมีแซ่ว่าเจียง พระนามว่าเจียงเยี่ยเฉิน
เฉินวั่งซูสีหน้าสงบราบเรียบ ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมารินให้เกามู่เฉิงถ้วยหนึ่ง “พูดมาถึงเพียงนี้คงกระหายน้ำแล้วกระมัง ชาจวินซานอิ๋นเจินของร้านนี้ไม่เลวเลย ท่านลองชิมดู”
เกามู่เฉิงเดือดดาลขึ้นมาในทันใด เฉินวั่งซูผู้นี้ช่างมิต่างจากหนังวัวบนโต๊ะทำครัวที่น้ำมันสาดไม่เข้า
ชกนางก็เหมือนชกปุยฝ้าย ไม่มีความโศกเศร้าแค้นเคืองใดๆ ที่ตนอยากเห็น สตรีนางนี้ยังคงวิจิตรงดงามปานรูปปั้นพระโพธิสัตว์ในวัดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ท่านรู้อยู่แล้ว? ท่านรู้ว่าเมื่อวานพี่เยี่ยเฉินกับหลิ่วอิงผู้นั้น…เมื่อวาน…ดอกท้อ…เมื่อวานท่านบังเอิญไปเห็นแล้ว?”
เฉินวั่งซูเลิกคิ้ว คล้ายว่าคราวนี้ถึงรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย นางหยิบขนมแกล้มน้ำชาชิ้นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาอย่างแช่มช้าและส่งเข้าปากคำเล็กๆ กินเสร็จแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก
จากนั้นถึงกล่าวขึ้นในชั่วพริบตาก่อนเกามู่เฉิงจะบันดาลโทสะ “ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงหมาแมวตัวหนึ่ง หากองค์ชายโปรด รับเข้าจวนจะเป็นไรไป ภรรยาพึงมีคุณธรรม ยึดถือสามีเป็นดั่งฟ้า”
นางพูดพลางกวาดตามองเกามู่เฉิงด้วยอาการติดจะคร้ามเกรง ก่อนจะดึงสายตากลับมาประหนึ่งว่า ‘ร้อนตัว’ “แน่นอนว่าถ้าไม่มีย่อมจะดีกว่า จะอย่างไรเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องมีเกียรติ แต่หากเอะอะจนกลายเป็นเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จำต้อง…ถึงอย่างไรหลิ่วอิงผู้นั้นก็เป็นแค่บุตรสาวของขุนนางเล็กๆ ไม่ใช่นางก็ยังมีผู้อื่นอยู่ดี”
เฉินวั่งซูพูดพลางถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างนึกยินดีอยู่บ้าง “ข้ากลับดีใจที่ผู้ที่ยืนอยู่ในป่านั้นมิใช่คุณหนูเกา มิเช่นนั้น…แน่นอนว่ามีก็เพียงคนไร้เกียรติเช่นนั้นถึงจะใช้วิธีการไร้เกียรติพรรค์นั้นเพื่อเข้าจวน ที่น่าขันคือแม้ลูกไม้จะเก่า แต่ล้วนสำเร็จตามแผนพวกนางทุกครั้งไป
เฮ้อ…ผู้ใดใช้ให้พวกเราต้องรักษาศักดิ์ศรีกันเล่า รังแต่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยที่น้ำท่วมปาก…คุณหนูเกามีเมตตา อุตส่าห์ช่วยมาเตือนข้า วั่งซูซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้โดยแท้”
เกามู่เฉิงได้สติกลับมาก็กระทืบเท้าแล้วพูดอึกๆ อักๆ ว่า “ใครมาเตือนท่านกัน อย่ายกยอตนเองไปหน่อยเลย ไม่หัดดูเสียบ้างว่าตนเองน่าขันเพียงไร ข้าจะบอกท่านให้ ถึงท่านจะได้ตัวพี่เยี่ยเฉินไปก็ไม่มีทางได้ใจของเขาหรอก”
นางพูดพลางหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง
เฉินวั่งซูเหลือบมองประตูปราดหนึ่ง หยิบหมวกม่านแพรที่ด้านข้างขึ้นมาสวมบนศีรษะเฉินเถียน ก่อนปรายหางตามองประตูอีกรอบ เห็นเงาคนที่อยู่ตรงนั้นก่อนหน้านี้หายไปแล้วถึงได้ยกมุมปากขึ้นช้าๆ
ทางด้านเฉินเถียนในเวลานี้แววตาสั่นระริกและตัวแข็งทื่อเหมือนรูปสลักหินไปนานแล้ว
“ไปกันเถอะน้องหญิงสาม วันนี้มีผ้าดีๆ ออกใหม่ ท่านแม่กำลังเตรียมสินเดิมให้ข้าอยู่ บอกให้ข้าไปเลือกผืนที่ชอบมา ในจวนหากกล่าวถึงเรื่องเย็บปักตัดเสื้อมิมีใครเทียบเจ้าได้ เจ้าไปช่วยดูให้ข้าได้หรือไม่”
เฉินเถียนได้สติกลับมาก็เบ้าตาแดง “ไฉนพี่หญิงรองยังมีแก่ใจไปดูสินเดิมอยู่อีก…องค์ชายเจ็ดเขา…เขา…รังแกคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เฉินวั่งซูตบหลังมือนางเบาๆ โดยมิเอ่ยคำใด แต่ในใจกลับยินดีปรีดา ในสมองร้องโหวกเหวกไม่หยุด ‘ระบบๆ เห็นความร้ายกาจของพี่สาวคนนี้หรือยัง ตกปลาทีเดียวได้มาตั้งสองตัว ตอนนี้แค่รอให้ถึงงานเลี้ยงวสันต์อะไรนั่นแล้ว คุณบอกว่าอะไรนะ หลิ่วอิงใช้แผนการพิสูจน์ตัวตนในป่าท้อ องค์ชายเจ็ดผลาญเงินต้อนรับพระสหายวัยเยาว์ในงานเลี้ยงวสันต์? จิ๊ๆ…เนื้อเรื่องไม่เปลี่ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว แต่ตอนจบจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม คุณเชื่อไหม’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.