บทที่ 2 หญิงงาม
ล้อรถค่อยๆ หยุดลงบนถนนหินสีนิล เมื่อคืนนี้เพิ่งมีฝนตกลงมาทำให้ถนนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่ ตอนที่รถม้าจอดจึงมีเสียงเอี๊ยดดังลั่น
ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว บนถนนมีผู้คนสัญจรไม่มาก แต่พอพวกเขาเห็นขบวนรถของเจ้าเมืองมาแต่ไกลก็พากันหลีกทางให้แต่เนิ่นๆ อวี๋เหวินจวิ้นจึงเดินทางมาถึงจวนได้อย่างราบรื่น
เนื่องจากมีคนน้อย จึงไม่มีใครนึกสงสัยว่าไฉนท่านเจ้าเมืองอวี๋เหวินจวิ้นผู้องอาจกลับจวนตนเองแท้ๆ ไยจึงต้องเข้าทางประตูข้างด้วย
เมื่ออวี๋เหวินจวิ้นเห็นกำแพงลานเรือน สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นทันที เขารั้งม้าที่เบื้องหน้าประตูข้างและชำเลืองมองเส้นทางที่มา จนกระทั่งรถม้าตรงกลางขบวนผ่านเข้าไปข้างใน เขาถึงค่อยลงจากม้าแล้วเดินเข้าจวนอย่างช้าๆ
ในที่สุดก็กลับถึงจวนเสียที หลายคนแสดงสีหน้าโล่งใจ อวี๋เหวินจวิ้นสวมชุดแขนกว้าง สองมือไพล่หลัง ยามย่างเท้าชุดพลิ้วไหวไปกับสายลม อากัปกิริยามีลักษณะของผู้เลื่องชื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินมาถึงข้างรถม้า ฝีเท้าก็เชื่องช้าลง เขากล่าวกับคนข้างในเสียงเบา “ในที่สุดก็มาถึง ทำคุณชายลำบากแล้ว”
ม่านรถยังคงนิ่ง แทบทำให้คนนึกสงสัยว่าหลังม่านนั้นอาจไม่มีใครอยู่ ผ่านไปไม่นานเสียงอันเย็นชาก็ดังมาจากข้างใน “เจ้าเมืองอวี๋มากพิธีแล้ว จากนี้ต้องรบกวนท่านอีกมาก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”
เสียงนี้ทั้งเย็นชาและดูเย้ายวนอย่างประหลาด แยกแยะไม่ออกไปชั่วขณะว่าเป็นหญิงหรือชาย อวี๋เหวินจวิ้นเข้าใจแล้ว คำว่า ‘เกรงใจ’ ที่คนผู้นี้พูดถึง ความจริงแล้วคือกำลังเตือนเขาว่าต่อไปห้ามเรียกว่า ‘คุณชาย’ อีก
เมื่อนึกถึงตรงนี้อวี๋เหวินจวิ้นก็ถอนหายใจเบาๆ
ปีนี้เปลี่ยนรัชศกถึงสองครั้ง ต้นปีหมิงอู่ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตด้วยอาการประชวร ฉางซานอ๋องเข้าควบคุมราชสำนัก ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ภายใต้การสนับสนุนของพวกพ้อง เปลี่ยนรัชศกจางอู่เป็นรัชศกกวงซี
หมิงอู่ฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าคือฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้น ในช่วงแรกพระองค์ทั้งปรีชาและสูงส่งสง่างาม ทำศึกทุกสารทิศ แต่หลังจากครองราชย์ได้สามปีก็ป่วยเป็นโรคที่มักเกิดกับฮ่องเต้อย่างไม่อาจเลี่ยง เปลี่ยนเป็นคนชอบความสำราญ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อไม่มีที่สิ้นสุด และระแวงรอบด้าน
อดีตรัชทายาทวิจารณ์เป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับพฤติกรรมฆ่าคนตามอำเภอใจของหมิงอู่ฮ่องเต้เพียงไม่กี่คำ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนนำไปกราบทูลถึงเบื้องพระพักตร์ ฉางซานอ๋องเป็นน้องชายร่วมมารดาของรัชทายาท เขาฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับขุนนางคนสนิท กล่าวหาว่ารัชทายาทวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้มานานแล้ว มีใจคิดก่อกบฏมาตั้งแต่แรก เดิมหมิงอู่ฮ่องเต้นั้นเป็นคนโหดเหี้ยมและกระหายเลือด เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวก็โมโหและสั่งให้ตรวจค้นตำหนักบูรพา ก่อนจะพบคำว่า ‘พระบัญชาของฮ่องเต้’ ซึ่งเป็นลายมือของรัชทายาทตามที่คาดคิด
มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่เขียนคำว่า ‘พระบัญชา’ ได้ หมิงอู่ฮ่องเต้จึงปลดตำแหน่งรัชทายาทตำหนักบูรพาและสั่งคนไปสังหารบุตรธิดาของรัชทายาทจนสิ้น ตำหนักบูรพาอันเป็นตัวแทนของรัชทายาทพลันมีโลหิตไหลนองเป็นธาราภายในวันเดียว มีเพียงบุตรชายคนเล็กของรัชทายาท หลางหยาอ๋องมู่หรงเหยียนซึ่งอายุเพียงสิบสามปีที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการฆ่าล้างนี้ เนื่องจากในวันนั้นเขาออกไปล่าสัตว์ที่นอกเขตพระราชวัง เมื่อขุนนางบริวารของรัชทายาทได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็ส่งจดหมายถึงหลางหยาอ๋องอย่างไม่สนความเป็นความตาย และเสี่ยงชีวิตเพื่อส่งตัวมู่หรงเหยียนออกจากเมืองหลวงไปซ่อนตัวในหมู่ราษฎร
หลางหยาอ๋องรูปโฉมงดงาม ฝีมือยิงธนูก็เป็นเลิศ เขาฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบ เป็นหลานชายที่หมิงอู่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด เมื่อมู่หรงเหยียนอายุได้สิบปี หมิงอู่ฮ่องเต้ชี้มาที่เขาและกล่าวต่อหน้าเหล่าขุนนางว่า ‘เด็กคนนี้คล้ายเราที่สุด’
หากเป็นคนธรรมดา ประโยคนี้เพียงแสดงให้เห็นถึงความรักใคร่เอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีต่อหลานชายเท่านั้น แต่เมื่อเป็นเชื้อพระวงศ์ ประโยคนี้กลับมีความนัยอย่างมาก
หลังจากที่หลางหยาอ๋องหายตัวไป ฉางซานอ๋องเคยเสนอให้จับกุมเขา แต่หมิงอู่ฮ่องเต้กลับปล่อยผ่านอย่างขอไปที เรื่องการหายตัวไปของมู่หรงเหยียนจึงถูกระงับไว้ด้วยเหตุนี้ ชาวเมืองเยี่ยเฉิงทุกคนต่างรู้ว่าบุตรชายคนเล็กของอดีตรัชทายาทยังมีชีวิตอยู่ มีบางคนต้องการค้นหาตัวเขา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาอย่างเปิดเผย
ตั้งแต่ฤดูคิมหันต์เมื่อปีก่อน ร่างกายของหมิงอู่ฮ่องเต้ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว หลายปีมานี้หมิงอู่ฮ่องเต้หมกมุ่นในตัณหา สังสรรค์รื่นเริงจนถึงเช้า จึงไม่น่าแปลกที่ร่างกายจะทนไม่ไหว ฉางซานอ๋องถึงได้ฉวยโอกาสนี้ควบคุมราชสำนัก จัดตั้งพรรคพวกอย่างเหิมเกริม แม้หมิงอู่ฮ่องเต้ผู้รักอำนาจดั่งชีวิตจะรู้เรื่องนี้ ก็ไม่อาจทำอะไรได้
ไม่รู้เป็นเพราะคนเราเมื่อใกล้ตายมักนึกถึงเรื่องในอดีตและโหยหาความรักจากคนในครอบครัวหรือไม่ ยามป่วยหนักหมิงอู่ฮ่องเต้ถึงได้คิดถึงรัชทายาทที่เคารพนับถือและกตัญญูต่อเขายิ่งยวด รวมถึงหลานชายคนเล็กผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งผู้นั้น
ฤดูเหมันต์ รัชศกจางอู่ปีที่แปด หมิงอู่ฮ่องเต้ล้มป่วยหนัก จึงออกพระราชโองการหนึ่งฉบับบนเตียง ให้คืนบรรดาศักดิ์หลางหยาอ๋องแก่มู่หรงเหยียน แม้บิดาของหลานชายจะยังคงมีฐานะเป็นสามัญชน แต่บรรดาศักดิ์อ๋องและศักดินาของมู่หรงเหยียนล้วนได้รับคืนดังเดิมแล้ว
เมื่อฉางซานอ๋องเห็นพระราชโองการฉบับนี้ก็ไม่พอใจอย่างมาก ความริษยาของฉางซานอ๋องรุนแรงยิ่งขึ้น เขาสั่งปิดล้อมเมืองเยี่ยเฉิงอย่างแน่นหนาเพื่อรอการกลับมาของมู่หรงเหยียน หมิงอู่ฮ่องเต้รู้ตัวว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว เหตุใดตนต้องสิ้นเปลืองเวลามากมายเพื่อประกาศต่อใต้หล้าถึงการคืนบรรดาศักดิ์หลางหยาอ๋องด้วย ก็เพื่อจะใช้สิ่งนี้ถ่ายทอดข่าวว่าตนต้องการพบหน้ามู่หรงเหยียนอีกครั้งก่อนตายไม่ใช่หรือ
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเหยียนยังคงสมกับเป็นลูกหลานสกุลมู่หรง เรื่องที่ทั่วหล้าล้วนมองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง มู่หรงเหยียนกลับใจแข็งและเย็นชา เขาไม่กลับมาและไม่มีข่าวคราวใดเล็ดลอดแม้แต่น้อย
หมิงอู่ฮ่องเต้จากโลกไปด้วยความเสียใจ ฉางซานอ๋องก็เข้าควบคุมพระราชวังและราชสำนัก ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ทันที หลังจากที่เขาขึ้นครองราชย์ สิ่งแรกที่ทำคือแก้ไขรัชศกของพระบิดา จากนั้นออกคำสั่งค้นหาจับกุมตัวมู่หรงเหยียนทั่วแคว้น โดยผู้ที่รายงานเบาะแสจะได้รับรางวัลหนึ่งร้อยทองคำ ส่วนผู้ที่จับกุมได้จะได้รับศักดินาหนึ่งพันครัวเรือน
ทั่วทั้งราชวงศ์ฉีเดือดพล่านด้วยเหตุนี้
อวี๋เหวินจวิ้นทอดถอนใจอย่างหวาดหวั่นราวกับรู้สึกกลัวไม่หาย เมื่อสิ้นปีก่อน ตอนที่ได้ยินพระราชโองการในวัง พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยโต้เถียงกันมาก่อน บางคนมีความเห็นว่าหลางหยาอ๋องเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาท ไม่ควรเสี่ยงอันตราย ทว่าส่วนใหญ่รู้สึกสงสารใจบิดามารดาในใต้หล้า* หมิงอู่ฮ่องเต้คิดถึงบุตรชายจนจิตใจหวั่นไหว บางทีมู่หรงเหยียนควรจะปรากฏตัว ฉวยโอกาสที่หมิงอู่ฮ่องเต้กำลังรู้สึกผิดโค่นล้มฉางซานอ๋องและโต้แย้งให้รัชทายาท คนสองกลุ่มถกเถียงกันไม่หยุด ทว่ามู่หรงเหยียนซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องกลับสงบเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่กลับ ไม่ยุ่ง ไม่สนใจ…
อวี๋เหวินจวิ้นยิ้มขื่น ตอนนี้ดูเหมือนมู่หรงเหยียนจะทำถูก วางตัวสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ เลือดเย็นโดยกำเนิด ฤดูสารทปีนี้เขาจะอายุครบสิบห้าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีเหตุมีผลและสงบเยือกเย็นมากกว่าขุนนางอย่างพวกเขาเสียอีก
ด้วยอำนาจเสด็จอาของมู่หรงเหยียน โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันผู้นั้นทำให้ทั่วหล้าในยามนี้เต็มไปด้วยคำสั่งจับกุมหลางหยาอ๋อง ฮ่องเต้องค์ก่อนถ่ายทอดคำสั่งคืนชื่อเสียงของมู่หรงเหยียน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่อาจล้มล้างอย่างเปิดเผย จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีบีบบังคับให้มู่หรงเหยียนเผยตัวออกมา เพื่อไม่ให้เป็นภัยในภายหลัง
เมื่อเป็นเช่นนี้ความปลอดภัยของสถานที่ซ่อนเดิมจึงลดลงอย่างมาก หากจะหลบซ่อนย่อมทำได้อยู่ เพียงแค่ปิดประตูไม่ออกไปที่ใดก็ได้แล้ว แต่มู่หรงเหยียนมีฐานะพิเศษ ทั้งวิชาประวัติศาสตร์ วรรณกรรม พิชัยสงคราม ยุทธศาสตร์ฮ่องเต้ และอื่นๆ จะหยุดพักไม่ได้ หากมีคนเข้าออกทุกวันเกรงว่าช้าเร็วจะต้องถูกคนสงสัย
ขุนนางบริวารของรัชทายาทที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับอย่างพวกเขาหารือกันลับๆ มานานแล้ว ตัดสินใจว่าจะเสี่ยงให้มู่หรงเหยียนปลอมตัวเป็นหญิง ส่งไปที่เมืองก่วงหลิงในนามอนุภรรยา อวี๋เหวินจวิ้นคบหาคนหลากหลายและกว้างขวาง อีกทั้งที่จวนของเขามักมีคนที่ไม่ใช่คนของทางการเข้าๆ ออกๆ เป็นประจำ จึงไม่ทำให้เกิดความสงสัยใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตั้งของเมืองก่วงหลิงนั้นเหมาะสม แม้จะทุรกันดารและไม่มีใครเห็นในสายตา แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองสำคัญอย่างเยี่ยเฉิง
ส่วนที่ไม่สมบูรณ์เพียงอย่างเดียวของแผนการนี้น่าจะอยู่ที่มู่หรงเหยียนจำเป็นต้องแต่งกายเป็นหญิง และอวี๋เหวินจวิ้นต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างมาก ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าแผนการนี้เปรียบเสมือนร่ายรำบนปลายดาบ หากผิดพลาดขึ้นมาอวี๋เหวินจวิ้นต้องตายทั้งตระกูล เกรงว่าจะมีผู้ที่ติดร่างแหไปด้วยไม่น้อย
ทว่าอวี๋เหวินจวิ้นเป็นคนมีอุดมการณ์สูงส่งยิ่ง ฉางซานอ๋องโหดร้ายทารุณ อุปถัมภ์คนโฉด ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ฉีของพวกเขาอยู่ที่บุตรชายของอดีตรัชทายาทผู้นี้ อริยปราชญ์กล่าวว่าเช้ารู้แจ้งสัจธรรม คืนนี้แม้ตายก็ยินดีอวี๋เหวินจวิ้นอาจไม่ถึงขั้นมีคุณธรรมสูงส่ง แต่เขาสละชีพเพื่อใต้หล้าได้ ซึ่งอวี๋เหวินจวิ้นเต็มใจที่จะลองเสี่ยงดูสักครั้ง
อวี๋เหวินจวิ้นออกจากจวนครั้งนี้เพื่อเบี่ยงความสนใจออกจากเรื่องของมู่หรงเหยียน เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เขาจำต้องใจแข็งทิ้งบุตรสาวไว้ในจวน ตอนที่แยกทางกับคนอื่นๆ พวกเขาได้ตกลงเรื่องสัญญาณลับกันไว้แล้ว รออีกสองสามวันให้คลื่นลมสงบ อวี๋เหวินจวิ้นก็จะรับเหล่าอาจารย์บุ๋นบู๊ของมู่หรงเหยียนทยอยเข้าจวนเจ้าเมืองอย่างต่อเนื่องโดยอ้างว่า ‘หาสามีให้บุตรสาว’
อวี๋เหวินจวิ้นคิดทบทวนถึงสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้วกไปวนมาอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเขาตัดสินใจได้แล้วก็เห็นบุตรสาวสุดที่รักของตนเดินออกมาจากเรือนหลังด้วยท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ริมฝีปากของอวี๋ชิงจยาขบเม้มเล็กน้อย ดวงตาราวกับมีแสงเจิดจ้า ทั้งร่างดูโดดเด่นและเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยโทสะ
บุรุษมักจะไม่ทันความคิดสตรีเสมอ อวี๋เหวินจวิ้นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ ยังคงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง “จยาจยา เจ้าออกมาได้อย่างไร วันนี้อาหารกลางวันกินอะไร กินอาหารเย็นแล้วหรือยัง”
อวี๋ชิงจยาทำความเคารพอวี๋เหวินจวิ้น ก่อนจะกลอกดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลอ แล้วเดินไปข้างหลังอวี๋เหวินจวิ้นด้วยท่าทางคล้ายหลบเลี่ยงบางอย่าง “ท่านพ่อ ได้ยินว่าท่านพาหญิงงามนางหนึ่งกลับมาด้วยหรือเจ้าคะ”
ขณะที่ได้ยินคำเรียกนี้อวี๋เหวินจวิ้นก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง คนผู้นั้นไม่ชอบให้ใครพูดถึงหน้าตาของเขาเป็นที่สุด ตอนที่อยู่เยี่ยเฉิง ทายาทขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งพูดเชิงหยอกล้อว่า ‘หลางหยาอ๋องมู่หรงเหยียน หรงเหยียน…หรงเหยียนรูปโฉมงดงามจนสตรียังละอายจริงๆ’
มู่หรงเหยียนได้ยินจากด้านข้างก็หยิบลูกศรพร้อมน้าวสายธนูเล็งไปยังคนผู้นั้นโดยไม่พูดจา ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังหัวเราะลั่น ทันใดนั้นก็เห็นมู่หรงเหยียนน้าวสายธนู เดิมพวกเขาคิดว่าแค่ล้อเล่น ใครจะรู้ว่ามู่หรงเหยียนเอาจริง หมายจะยิงพวกเขาให้ตายจริงๆ พวกเขาหนีกันอุตลุด ทว่าหลังหลบได้หนึ่งดอก มู่หรงเหยียนก็ยิงเพิ่มอีกหนึ่งดอก การเคลื่อนไหวไม่เร็วไม่ช้า เรียกได้ว่าสง่างามยิ่งนัก สุดท้ายหากไม่ใช่เพราะขันทีข้างกายหมิงอู่ฮ่องเต้ขอร้องไว้ เกรงว่าวันนั้นคงมีบางคนจบชีวิตแล้ว
อวี๋เหวินจวิ้นเจตนาจะเตือนบุตรสาว แต่คิดทบทวนอีกครั้งก็รู้สึกว่าไม่ผิด ตอนนี้มู่หรงเหยียนต้องสวมบทบาทเป็นสตรีจริงๆ อวี๋ชิงจยาจะเรียกเขาว่า ‘หญิงงาม’ ก็ไม่อาจตำหนิได้ อวี๋เหวินจวิ้นจึงได้แต่เตือนอย่างคลุมเครือ “จยาจยา นี่คือผู้อาวุโสของเจ้า เจ้าต้องให้ความเคารพ อย่าได้เรียกด้วยคำดูถูกเช่นนี้”
อวี๋ชิงจยาหางคิ้วกระตุกด้วยความคาดไม่ถึง
นางเชื่อมั่นในความรักระหว่างบิดามารดามาโดยตลอด แม้ว่าสุดท้ายความรักนี้จะไม่อาจต้านทานการกดดันของตระกูลได้ แต่ก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อความงดงามดั้งเดิมของมัน ความรักระหว่างบิดามารดาได้โอบอุ้มภาพฝันเกี่ยวกับสามีในอนาคตของอวี๋ชิงจยาในตอนที่ยังเป็นเด็ก สามีในความนึกคิดของนางก็คือบุรุษที่ซื่อตรง ใจกว้าง และประพฤติตนบริสุทธิ์เหมือนกับบิดา
ทว่าในเวลานี้บิดาที่นางมองเป็นแบบอย่าง นอกจากจะพาอนุภรรยากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ยังแสดงสีหน้าไม่พอใจ เตือนนางว่าอย่าดูหมิ่นอีกฝ่ายด้วยคำดูถูกเช่น ‘หญิงงาม’ ต้องปฏิบัติด้วยความเคารพนอบน้อมประหนึ่งผู้อาวุโส อวี๋ชิงจยาเม้มปาก พยายามควบคุมตนเอง แต่สุดท้ายก็ข่มเพลิงโทสะในก้นบึ้งหัวใจไว้ไม่อยู่
อวี๋ชิงจยากล่าว “ท่านพ่อ นาย…นายหญิงท่านนั้นอยู่ที่ใดเจ้าคะ พบหน้าครั้งแรกนางจะไม่ออกมาทักทายบ้างหรือ”
ทันทีที่ได้ยินหลางหยาอ๋องถูกเรียกว่า ‘นายหญิง’ เช่นนี้ อวี๋เหวินจวิ้นก็สะดุ้งโหยงตกใจ ด้านหนึ่งเขาบอกตนเองให้พยายามคุ้นเคยเข้าไว้ แต่อีกด้านหนึ่งยังคงกระวนกระวายใจ หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน ผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้กับหลางหยาอ๋องล่ะก็ เกรงว่าคงได้ถูกตีตายแน่
อวี๋เหวินจวิ้นพยายามคิดคำพูด “จยาจยา เดินทางด้วยรถม้าเหน็ดเหนื่อย ควรจัดแจงให้แขกผู้มีเกียรติท่านนี้ไปพักผ่อนก่อน สำหรับการพบปะทักทายค่อยว่ากันวันหลัง”
นี่จะโอหังเกินไปแล้วกระมัง นางมีฐานะเป็นบุตรสาวภรรยาเอก อุตส่าห์มายืนต้อนรับที่ห้องโถงด้วยตนเอง อนุภรรยาที่ใดเพิ่งเข้าเรือนแล้วกล้าไม่มาเยี่ยมพบคนในเรือนทันทีบ้าง ยังจะวางท่าหยิ่งยโสว่าวันนี้เหนื่อยแล้ว การพบปะทักทายค่อยว่ากันวันหลัง แม้อวี๋ชิงจยาจะสูญเสียมารดาไปแล้ว แต่ก็ไม่ยอมถูกคนรังแกเหยียดหยามเช่นนี้
“ท่านพ่อ!” อวี๋ชิงจยาตะโกนลั่น “ถึงแม้นายหญิงที่เข้าจวนมาใหม่จะอาวุโสกว่าข้าครึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายภรรยาเอกกับอนุภรรยาก็มีความแตกต่างกัน ข้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว นางกลับหลบหน้าไม่ยอมพบข้าอย่างนั้นหรือ”
“จยาจยา!” อวี๋เหวินจวิ้นพลันตวาดเสียงต่ำ ขณะคิดจะดึงบุตรสาวผู้โง่เขลาของเขากลับไป ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นดังมาจากนอกหน้าต่างประตู
“ไม่ต้องแล้ว”
สายตาของคนในห้องค่อยๆ มองไปยังต้นเสียง ผ่านฉากบังลมที่วาดเป็นรูปกล้วยไม้และไม้ไผ่ทั้งห้าภาพ ที่ด้านหลังเตากำยานกระเรียนคอเรียวยาว ม่านสีครามพลิ้วไหวเบาๆ ท่ามกลางลมราตรี เงาร่างเพรียวบางร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
อวี๋ชิงจยาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายพอดี แม้อวี๋ชิงจยาจะไม่ถึงขั้นไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่นางก็รู้ว่าใบหน้าของตนงดงามมาก แทบจะไร้ที่ติ แต่ยามนี้อวี๋ชิงจยาไม่กล้าแน่ใจเช่นนั้นแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.