X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3 เชื้อพระวงศ์

ผู้มาเยือนไม่ได้สวมชุดหรูฉวิน แต่สวมชุดชาวหู ที่มักถูกมองว่าป่าเถื่อนและหยาบคาย ชุดชาวหูของอีกฝ่ายเป็นสีขาวสะอาดหมดจด แขนแคบสาบเสื้อทับกัน สวมแถบรัดเอวหนังสีแดงรอบเอว บนแถบรัดเอวประดับด้วยจี้โลหะห้อยยาวลงมาเหนือเข่า ที่จริงแล้วไหล่ของคนผู้นี้กว้างเกินไปหน่อยสำหรับสตรี แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเอวเพรียวบาง ท่อนขาดูเรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้กางเกงขายาวของชาวหู โดยรวมแล้วเป็นความงดงามที่เหมาะสมแล้ว คล้ายว่าทุกอย่างควรจะเป็นเช่นนี้

ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือใบหน้าของคนผู้นี้ เรียกได้ว่าธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความรัก เป็นผลงานชิ้นเอกของสวรรค์ ในฐานะที่เป็นสตรีกลับมีจมูกที่ทั้งสูงและโด่ง เป็นสันตรงงามประณีต ดวงตางดงามเฉิดฉาย กรอบหน้าคมชัดทุกมุม ริมฝีปากบางและเนียน แผ่ความเย้ายวนออกมารุนแรง ผู้ที่สบตาเป็นต้องใจเต้นเร็วอย่างไร้สาเหตุ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่มีสีสันสดใสในธรรมชาติ งดงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตราย

อวี๋ชิงจยาจ้องมองอีกฝ่ายจนลืมไปชั่วขณะว่าควรตอบรับอย่างไร อีกฝ่ายก็จ้องนางกลับมาเช่นกัน ริมฝีปากบางเปิดออกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูอวี๋มีคำสั่ง มิกล้าฝ่าฝืน”

อวี๋ชิงจยาดึงสติของตนเองกลับมาอย่างยากลำบาก นางหันกลับไปมองอวี๋เหวินจวิ้นแล้วกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ “นาง…นางก็คือคนที่ท่านพ่อพากลับมาหรือ”

ชั่วขณะนี้อวี๋ชิงจยาไม่รู้ว่าควรเรียกคนผู้นี้อย่างไรดี พอเห็นตัวจริงแล้วจะเรียกเป็น ‘อนุภรรยา’ ก็ไม่กล้า แต่จะให้เรียกว่า ‘แม่เล็ก’ นางก็เรียกไม่ลง

ในขณะที่อวี๋ชิงจยาสับสน อวี๋เหวินจวิ้นก็ประสบปัญหาเช่นกัน

เขาไม่ได้คิดจริงๆ ว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเอ่ยถึงบรรดาศักดิ์อ๋อง นามแฝง หรือชื่อเล่นของมู่หรงเหยียน ควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร ปกติพวกเขาเรียกมู่หรงเหยียนอย่างเคารพว่า ‘คุณชาย’ ขุนนางที่ใกล้ชิดสนิทสนมไม่กี่คนถึงจะสามารถเรียกว่า ‘หลางจวิน’ ได้โดยไม่ต้องคิดที่จะเรียกชื่อจริง มู่หรงเหยียนไม่จำเป็นต้องมีคำเรียกอื่น เพราะไม่มีทางได้ใช้

บรรยากาศกระอักกระอ่วนครู่หนึ่ง มู่หรงเหยียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เรียกข้าว่า ‘จิ่งหวน’ ก็แล้วกัน”

“หืม” อวี๋ชิงจยารู้สึกว่าชื่อนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก “เจ้าแซ่จิ่งหรือ”

“อืม”

แซ่นี้ไม่นับว่าพบเห็นบ่อยในราชวงศ์เหนือ อวี๋ชิงจยาท่องในใจเงียบๆ สองรอบ มักรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ อยู่เสมอ นางพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยค “ฟังดูคล้ายบุรุษไปสักหน่อย”

อวี๋เหวินจวิ้นเหลือบตามองมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว ตอนเกิดเหตุการณ์ตำหนักบูรพามู่หรงเหยียนเพิ่งจะอายุสิบสามปี แม้จะได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องมานานแล้ว แต่ยังไม่มีนามรอง ‘จิ่งหวน’ เป็นชื่อที่ประกอบด้วยธาตุไม้ ซึ่งสอดคล้องกับเชื้อพระวงศ์รุ่นเดียวกันกับพวกเขา เป็นไปได้มากว่านี่คือนามรองที่มู่หรงเหยียนตั้งให้ตนเอง ตอนนี้ถูกอีกฝ่ายนำมาใช้เป็นชื่อเพื่อหลอกบุตรสาวเขาก็นับว่าพอถูไถไปได้

อวี๋เหวินจวิ้นพาอนุภรรยากลับมาแต่กลับไม่รู้ชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างเห็นได้ชัด การที่อวี๋ชิงจยาไม่สงสัยนั้นดียิ่งนัก แต่เมื่อเห็นบุตรสาวถูกหลอกอย่างง่ายดาย ทำให้อวี๋เหวินจวิ้นเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา

อวี๋เหวินจวิ้นไม่อยากติดอยู่กับเรื่องชื่อนี้นานนัก จึงรีบเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ในเมื่อคนก็มากันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นก็สั่งให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารดีกว่า จิ่งหวนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หลังกินข้าวเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง”

อวี๋ชิงจยาเรียกเบาๆ “ท่านพ่อ”

“มีอะไรหรือ”

ทันใดนั้นภายในหัวของอวี๋ชิงจยาก็เต็มไปด้วยคำพูดจำพวก ‘ตัณหาทำให้คนเบาปัญญา มีมารดาใหม่ก็เหมือนมีบิดาใหม่’ และอื่นๆ ลอยเข้ามา นางส่ายหน้าให้อวี๋เหวินจวิ้น ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่บิดากำชับบ่าวรับใช้ หันกลับไปถลึงตาใส่มู่หรงเหยียนด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง

นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่มาจะเป็นปีศาจจิ้งจอกที่งดงามเกินมนุษย์มนาทั่วไป

มู่หรงเหยียนมองเห็นการกระทำของอวี๋ชิงจยาแล้วเช่นกัน ทว่าเขาไม่กลอกตาใส่นางกลับแม้แต่น้อย ทั้งคร้านจะชายตามองนางสักครั้ง

อวี๋ชิงจยาเห็นกิริยาเช่นนี้ของเขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ช่างโอหังนัก อวี๋ชิงจยาเคยเห็นอนุภรรยาของท่านลุง ท่านอา และพี่น้องที่จวนสกุลอวี๋มาก่อน อนุภรรยาบางคนที่ได้รับความโปรดปรานมักจะมีนิสัยหยิ่งผยองและเชิดหน้าดูถูกผู้อื่น แต่คนที่วางท่าโอหังเช่นจิ่งหวนนั้นหาได้ยาก อวี๋ชิงจยาคิดในใจ ท่านพ่อประพฤติตนอย่างบริสุทธิ์มาหลายปี เรือนหลังเงียบสงบมาโดยตลอด หรือเพราะเก็บกดมานานก็เลยปะทุได้ง่าย พอท่านพ่อพาคนกลับมาครั้งแรกก็เลือกพาคนที่รับมือยากเช่นนี้มาเลยหรือ

บ่าวรับใช้ยกโต๊ะอาหารเข้ามาอย่างรวดเร็ว มารยาทและพิธีการของคนในแคว้นยามนี้ยึดตามแบบราชวงศ์โจวและราชวงศ์ฮั่น โดยยังคงนั่งกับพื้นและแยกโต๊ะอาหาร อาหารในถาดจะถูกจัดวางตามโต๊ะอาหารของแต่ละคน เมื่ออวี๋ชิงจยาเดินมาถึงห้องโถงเพื่อกินอาหาร ทันใดนั้นก็พบว่าโต๊ะอาหารของตนถูกย้ายไปแล้ว สาวใช้สองคนกำลังยกโต๊ะอาหารตัวใหม่มาวางตรงที่นั่งเดิมของนาง

อวี๋ชิงจยาไม่อยากเชื่อสายตา “ท่านพ่อ?”

“จิ่งหวนเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ย่อมต้องเคารพเขา” อวี๋เหวินจวิ้นโบกมือให้อวี๋ชิงจยาเป็นเชิงให้นางนั่งอีกฝั่งหนึ่ง “เจ้าไปนั่งข้างล่าง”

ในยุคนี้ฐานะของอนุภรรยานั้นต่ำต้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขายต่อหรือมอบให้ผู้อื่นเลย แม้แต่บุตรชายบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาก็ไม่มีตำแหน่งฐานะใดๆ ภรรยาเอกเรียกอนุภรรยามิต่างจากเรียกบ่าวคนหนึ่ง บุตรที่เกิดจากภรรยาเอกปฏิบัติต่อบุตรของอนุภรรยามิต่างจากกระทำกับทาส สถานการณ์เช่นนี้ราชวงศ์เหนือมีให้เห็นจนชินตา ทว่ายามนี้อนุภรรยาคนหนึ่งไม่เพียงได้กินอาหารร่วมห้องกับเจ้าบ้าน ตำแหน่งโต๊ะอาหารยังสูงกว่าอวี๋ชิงจยาซึ่งเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก นี่นับเป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก

อวี๋ชิงจยาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่บิดาของนางทำเรื่องทำนองโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก หลงตัณหาจนขาดสติเยี่ยงนี้ นี่ขนาดคนเพิ่งจะเข้าจวนมาเท่านั้น ไม่อยากนึกเลยว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

อวี๋ชิงจยาแต่ไรมาก็ได้รับความรักและการดูแลอย่างทะนุถนอมจากบิดา แต่ตอนนี้จู่ๆ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม นางทั้งโกรธการกระทำของบิดา ทั้งรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับมารดาสักนิด ขณะเดียวกันความเป็นอริที่มีต่อปีศาจจิ้งจอกผู้เข้ามาแทรกกลางครอบครัวของนางก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด

อวี๋ชิงจยามองจิ่งหวนที่ยืนอยู่ตรงข้ามนาง เดิมนางคิดว่าจิ่งหวนจะปฏิเสธด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะคนเราจะคบหาก็ต้องมอบน้ำใจซึ่งกันและกัน ในเมื่อเจ้านายให้เกียรติแล้ว เขาก็อย่าได้เหยียบจมูกขึ้นหน้าแต่ไม่เลย สตรีงดงามที่มีนามว่าจิ่งหวนผู้นี้ไม่พูดอะไรสักคำ ยังคงนั่งลงหลังโต๊ะอย่างไม่สะทกสะท้าน

ดีมาก อวี๋ชิงจยาโกรธถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ค่อยๆ สงบใจอดทนอดกลั้นไว้ นอกเรือนมีอวี๋ชิงหย่าและระบบ ในเรือนก็มีปีศาจจิ้งจอกที่ได้รับความโปรดปรานวางท่าหยิ่งผยอง ดูท่าชีวิตต่อจากนี้ของนางคงครึกครื้นน่าดู

อาหารมื้อนี้อวี๋ชิงจยากินอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พอนึกถึงมารดาที่เพิ่งจากไปได้สี่ปีก็พลันรู้สึกเศร้าใจ

ในยุคนี้นิยมเลี้ยงนางโลมในบ้าน ขุนนางมองว่าการอวดนางโลมแข่งความมั่งคั่งถือเป็นความภาคภูมิใจ เดิมทีนางคิดว่าบิดาไม่เหมือนบุรุษอื่น เขาไม่คิดจะทำเช่นนั้นแน่ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ที่แท้บุรุษในใต้หล้าก็ล้วนเหลวแหลกเหมือนกันหมด

อันที่จริงมารดานางจากโลกไปได้สี่ปีแล้ว บิดาที่ยังอายุไม่มาก พอพิจารณาถึงวันข้างหน้าแล้ว ข้างกายเขาก็ไม่อาจไร้คนดูแลได้ อวี๋ชิงจยารู้ว่าตนควรดีใจแทนบิดาที่ได้พบคนดูแลเสียที แต่ตอนนี้ไม่ว่านางทำอย่างไรก็รู้สึกยินดีไม่ลงจริงๆ ซึ่งอวี๋ชิงจยาก็แอบเกลียดตนเองที่เห็นแก่ตัวเกินไปเช่นกัน

ปีนี้อวี๋ชิงจยาเพิ่งอายุสิบสี่ นางเสียมารดาไปตั้งแต่สิบขวบ ที่ผ่านมานางเคารพนับถือบิดามาโดยตลอด ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนที่อายุไล่เลี่ยกับนางมาแย่งบิดาไป อวี๋ชิงจยาย่อมเกิดเสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นทันที ต้องการแย่งชิงความสนใจของบิดากลับมา

สุดท้ายแล้วนางก็เป็นแค่แม่นางน้อยอายุสิบสี่ปีผู้หนึ่ง ไม่ได้มีระบบ ไม่ได้ทะลุมิติ ชีวิตของนางกำลังเบ่งบานอยู่ในวัยแรกรุ่นที่ไร้เดียงสาที่สุด

เนื่องจากครอบครัวนางไม่ได้เข้มงวดเรื่องการห้ามพูดคุยขณะกินหรือนอน พออวี๋ชิงจยากินอิ่มแล้ว เห็นบิดายังไม่วางตะเกียบ นางก็ไม่อาจออกไปจากโต๊ะ จึงชวนบิดาคุย “ท่านพ่อ เหตุใดครั้งนี้ท่านไปเยี่ยมสหายนานเพียงนี้”

อวี๋เหวินจวิ้นกล่าวอย่างคลุมเครือ “ได้พบสหายเก่าอีกครั้งแล้วรู้สึกตื้นตันใจยิ่ง จึงอยู่ต่ออีกหลายวัน”

อวี๋ชิงจยาเผยสีหน้าครุ่นคิด นางเหลือบมองมู่หรงเหยียนเล็กน้อย เช่นนี้ก็แสดงว่าหญิงงามผู้นี้ถูกผู้อื่นมอบให้ตอนพบปะสังสรรค์ การมอบอนุภรรยาให้กันเช่นนี้พบได้บ่อยมากในราชวงศ์เหนือ พวกขุนนางไม่คิดว่าการมอบสตรีของตนให้ผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม กลับยังถูกมองเป็นเรื่องดีงาม จากสิ่งนี้จึงเห็นได้ว่าฐานะของอนุภรรยานั้นต่ำต้อยเพียงใด เมื่อก่อนตอนอยู่จวนสกุลอวี๋ คนของบ้านใหญ่และอวี๋ชิงหย่ามักจะใช้คำว่า ‘อนุภรรยา’ และ ‘ลูกอนุภรรยา’ มาดูหมิ่นอวี๋ชิงจยาแม่ลูกเสมอ

ทว่าหากเปลี่ยนเป็นอนุภรรยาหรือสาวใช้จริงๆ พฤติกรรมเช่นนั้นช่างดูโอหังยิ่ง อารมณ์ของอวี๋ชิงจยาในตอนนี้ทั้งระมัดระวังและสงสัย ราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่ถูกบุกรุกอาณาเขตกำลังพยายามแยกเขี้ยวยิงฟันน้ำนมของมันเพื่อขู่ผู้บุกรุก

อวี๋ชิงจยาถามต่อ “ท่านพ่อเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยดีหรือไม่ ได้ยินบ่าวรับใช้ที่ออกจากจวนไปซื้อของบอกว่าหลายวันมานี้บนถนนมีการตรวจตราเข้มงวด ทางเข้าออกของเมืองมีการตั้งด่านแน่นหนา และเพราะเหตุนี้จึงทำให้หลายวันนี้ผักทางตะวันออกของเมืองไม่สดใหม่”

จู่ๆ ราชสำนักก็ปรับเปลี่ยนกฎให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ใคร โชคยังดีที่ก่วงหลิงเป็นพื้นที่ห่างไกล อวี๋เหวินจวิ้นผู้เป็นเจ้าเมืองและมู่หรงเหยียนปลอมตัวเป็นหญิงจึงตบตาผ่านการตรวจตรามาได้อย่างราบรื่น อวี๋เหวินจวิ้นกล่าวกับอวี๋ชิงจยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จยาจยา หลายวันมานี้ข้างนอกไม่ค่อยสงบนัก ช่วงนี้เจ้าอย่าได้ออกนอกจวนเลย”

อวี๋ชิงจยาตอบรับอย่างเชื่อฟัง แม้ว่านางจะอยู่ในเมืองเล็กที่ห่างจากจุดรวมอำนาจของบ้านเมือง แต่ก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาบ้าง ได้ยินว่าเขาอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า ชาวเยี่ยเฉิงต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง ปิดประตูบ้านตอนกลางวัน

หลังจากช่วงปีใหม่ เมืองอื่นๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์หลางหยาอ๋องไปด้วย ในโลกอันแสนวุ่นวายที่ชีวิตคนนั้นไร้ค่าเป็นที่สุด อวี๋ชิงจยาจะออกไปข้างนอกในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร

ทว่าอวี๋เหวินจวิ้นราวกับถูกกระตุ้นให้โกรธเคือง เขาวางตะเกียบอย่างทนไม่ไหว ทอดถอนใจแล้วกล่าว “บ้านเมืองเสื่อมถอยลงทุกวัน การปกครองโดยธรรมอยู่ที่ใด สมัยฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงหูเบาเชื่อคำว่าร้าย ฆ่าขุนนางและราษฎรอย่างง่ายดาย ส่วนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า ได้ยินว่าตอนอยู่ตำหนักอุดรมักไปเที่ยวชมความรื่นเริงของชาวบ้าน แต่หากขัดตาแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าเจอใครก็ฆ่าทันที เห็นสตรีหน้าตางดงามก็เป็นต้องฉุดกลับวัง ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือกระทั่งภรรยาหรือบุตรสาวของขุนนางคนสำคัญในราชสำนักก็ไม่เว้น จื่อเฉินมืดมน ปล้นบัลลังก์อย่างโจ่งแจ้ง บ้านเมืองมิอาจคงอยู่”

ภายในห้องโถงไม่มีคนนอกอยู่ มีเพียงบ่าวรับใช้ไม่กี่คนซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ไว้ใจได้ อวี๋เหวินจวิ้นจึงกล้าระบายอารมณ์ออกมา

อวี๋ชิงจยารู้ว่าเชื้อพระวงศ์เหลวไหล แต่ไม่คิดว่าจะเหลวไหลถึงเพียงนี้ ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หรือก็อดีตฉางซานอ๋อง ถึงขั้นชอบหนีออกไปหาราษฎรเป็นประจำ ทั้งเล่นสนุกและปล้นชิง เห็นราษฎรคนใดขัดตาแม้เพียงเล็กน้อยก็ฆ่ากลางถนนเชียวหรือ

อวี๋ชิงจยาอดถามไม่ได้ “เขาลงมือเองหรือเจ้าคะ”

อวี๋เหวินจวิ้นพยักหน้าอย่างหนักแน่น ฮ่องเต้แต่ละองค์ในยามนี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ชอบเห็นเลือดกันนัก สมัยฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่ดีๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา เดิมก็สนทนางานบ้านเมืองกันดีๆ ทว่าครู่ต่อมาอาจชักกระบี่ไล่ฟันขุนนางใหญ่ก็เป็นได้ อัครมหาเสนาบดีจนปัญญา ได้แต่สับเปลี่ยนองครักษ์ในวังเป็นนักโทษประหาร เผื่อในยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเกิดนึกครึ้มอยากฆ่าคนขึ้นมาจะได้เล่นสนุกเป็นเพื่อนพระองค์ได้ โดยให้สัญญาว่าขอแค่พวกเขามีชีวิตรอดถึงสามเดือนก็จะได้รับการอภัยโทษ ต้องขอบคุณวิธีการของอัครมหาเสนาบดี ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักรอดชีวิตมาได้

อดีตรัชทายาทแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างชัดเจน ทว่าจุดจบของรัชทายาทในภายหลังเป็นเช่นไรทุกคนล้วนเห็นกันหมด ใครจะรู้ว่าพอเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วสถานการณ์กลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันถึงขั้นไม่ชอบเล่นสนุกในวัง แต่กลับชอบหาความสำราญจากชาวบ้าน

ไม่แปลกที่อวี๋เหวินจวิ้นจะกังวลใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปบ้านเมืองจะทนอยู่ได้อย่างไร ต่อให้เป็นรากฐานที่เทพเซียนสร้างขึ้นก็ไม่อาจต้านทานการสูญเสียเช่นนี้ได้

ขณะที่อวี๋เหวินจวิ้นกระซิบอธิบายกับอวี๋ชิงจยา มู่หรงเหยียนก็กินข้าวอย่างช้าๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง กิริยางดงาม ท่วงท่าสูงส่ง ไม่ว่าอวี๋เหวินจวิ้นจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาด้วยจุดประสงค์ใด แต่มู่หรงเหยียนก็นิ่งสงบไม่ไหวติง ราวกับฟังเรื่องราวของคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไร

อวี๋ชิงจยาฟังจบก็ขนลุกชัน นางอดกอดแขนที่สั่นเทาไม่ได้ ก่อนจะพึมพำโดยไม่ได้ตั้งใจ “กี่คนๆ ก็นิสัยเช่นนี้กันหมด สายเลือดของพวกเขามีปัญหาใช่หรือไม่”

แน่นอนว่าอวี๋เหวินจวิ้นพูดเรื่องนี้เพราะอยากบอกเป็นนัยถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและเตือนมู่หรงเหยียน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวตนเองแล้ว แม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูวสันต์ อวี๋เหวินจวิ้นก็ยังตกใจจนเหงื่อเย็นไหลชุ่ม เขาเหลือบมองมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองอวี๋ชิงจยาด้วยสีหน้าเข้มงวด “จยาจยา ห้ามพูดจาส่งเดช!”

อวี๋ชิงจยาสะดุ้งตกใจ นางคิดจริงๆ ว่าสายเลือดที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษของเชื้อพระวงศ์ต้องมีปัญหาแน่ คนธรรมดาที่ใดมีงานยามว่างเป็นการฆ่าฟันคน เห็นเลือดแล้วตื่นเต้นบ้าง แต่นางคาดไม่ถึงว่าบิดาจะแสดงท่าทีรุนแรงเช่นนี้ นางมองบิดาอย่างตะลึงงัน นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

อวี๋เหวินจวิ้นกลับดูกระสับกระส่าย สายตามองไปมาซ้ายขวาระหว่างโต๊ะอาหารสองโต๊ะไม่หยุด

อวี๋เหวินจวิ้นเป็นทั้งเจ้าบ้านและผู้อาวุโส เขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางของห้อง โดยมีโต๊ะสองตัวตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวา ฝั่งขวาถือเป็นเกียรติ โดยปกติแล้วอวี๋ชิงจยาจะนั่งทางขวามือของบิดาโดยตรง แต่ตอนนี้มีเพิ่มมาอีกคน นางจึงถูกย้ายไปอยู่ทางซ้าย ทำให้อวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนนั่งหันหน้าเข้าหากัน เมื่อเงยหน้าก็จะมองเห็นอีกฝ่าย สายตาของอวี๋เหวินจวิ้นในยามนี้มองไปมาระหว่างสองโต๊ะ สีหน้าแข็งทื่อราวกับคิดจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด

ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็วางตะเกียบลง เงยหน้าขึ้นและกวาดตาไปทางอวี๋ชิงจยาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาหันหน้าไปสบตากับอวี๋เหวินจวิ้นพอดี มู่หรงเหยียนยิ้มเป็นเชิงเข้าใจให้กับสายตาตื่นตระหนก กังวล และหวาดผวาของอวี๋เหวินจวิ้นที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

รอยยิ้มนี้ราวกับแฝงไว้ซึ่งน้ำแข็งอันแหลมคม อวี๋เหวินจวิ้นเห็นแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกในทรวง ดูจากท่าทางของมู่หรงเหยียนแล้ว แสดงว่าเขาเข้าใจว่าอวี๋เหวินจวิ้นกำลังกังวลสิ่งใดอยู่ และเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของอวี๋ชิงจยาเป็นการไม่เคารพต่อราชวงศ์ทั้งหมดรวมถึงบรรพบุรุษของเขาอย่างยิ่ง

มู่หรงเหยียนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด อวี๋เหวินจวิ้นกังวลใจจนยากจะสงบได้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ยิ่งกว่านั้นจยาจยายังเป็นแค่เด็กหญิงที่อายุไม่ถึงสิบห้า หลางหยาอ๋องผู้สูงส่งคงไม่ถึงกับคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กหญิงคนหนึ่งกระมัง

น่าจะไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง…อวี๋เหวินจวิ้นนึกถึง ‘ผลการรบ’ อันรุ่งโรจน์ของมู่หรงเหยียนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว

อวี๋ชิงจยาพบว่าในห้องโถงไม่มีใครพูดคุยอะไรอีก นางจึงมองซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ”

อวี๋เหวินจวิ้นเก็บสายตากลับมา จิตใจมีอารมณ์หลากหลายปะปนกัน กลับเป็นมู่หรงเหยียนที่ทำความสะอาดมือในอ่างทองแดงข้างๆ แล้วเช็ดคราบน้ำที่นิ้วอย่างไม่รีบร้อนเอ่ยขึ้น “กำแพงมีหู คำพูดเช่นนี้วันหลังอย่าได้พูดอีก”

อวี๋ชิงจยาได้ยินบิดาถอนหายใจยาวอยู่ไกลๆ นางไม่เข้าใจว่าบิดาตื่นตระหนกอะไรอยู่ จึงถามด้วยความประหลาดใจ “ในนี้ก็ไม่มีคนนอกเสียหน่อย บ่าวรับใช้ก็เป็นบ่าวเก่าแก่ในตระกูลทั้งนั้น รู้ตื้นลึกหนาบางกันหมด เหตุใดจะพูดไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”

“อดีตรัชทายาทก่อนถูกคนฟ้องร้องก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” มู่หรงเหยียนชิงลุกขึ้นก่อน ผงกศีรษะให้พวกเขาสองคนแล้วเดินไปข้างนอก “ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน เชิญพวกเจ้าตามสบาย”

อวี๋ชิงจยาพยักหน้าตอบรับไปโดยไม่ทันตั้งตัว จนกระทั่งคนเดินไปไกลแล้วนางถึงเพิ่งได้สติ ไม่ใช่สิ นางเป็นคุณหนู ส่วนจิ่งหวนเป็นแค่อนุภรรยา ถือสิทธิ์อะไรให้อีกฝ่ายมาสั่งสอน

อวี๋ชิงจยาจ้องมองแผ่นหลังของมู่หรงเหยียนด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย

อวี๋เหวินจวิ้นลูบเคราพลางมองอวี๋ชิงจยาด้วยแววตาล้ำลึก “บุตรสาวโง่ของข้า”

อวี๋ชิงจยาหันมาเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ท่านพ่อ วันนี้ท่านเป็นอะไรไป เอาแต่เข้าข้างจิ่งหวนไปเสียทุกเรื่อง ตอนนี้ยังบอกว่าข้าโง่อีก”

“ช่างเถอะ” อวี๋เหวินจวิ้นถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วลุกขึ้นลูบผมนุ่มของบุตรสาว “คนโง่มีวาสนาของคนโง่ กลับไปพักผ่อนเถอะลูก”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 67

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: