X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5 ร่วมเรียน

ไป๋จื่อคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินอวี๋ชิงจยากล่าวคำพูดเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นางรู้สึกประหลาดใจ สีหน้าพลันตกตะลึงระคนดีใจ นางรีบกล่าว “คุณหนูคิดเช่นนี้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ท่านเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของบ้านรองโดยชอบธรรม คือทายาทของท่านปู่ท่านย่าโดยแท้จริง ท่านเจ้าเมืองเห็นท่านเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านไม่มีอะไรด้อยไปกว่าคนบ้านใหญ่ผู้นั้นเลย นางมักจะแอบใช้คำว่า ‘บุตรสาวอนุ’ มาเสียดสีท่าน แต่ความจริงก็แค่อิจฉาที่ท่านได้รับความรักจากท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ส่วนฮูหยินบ้านใหญ่ผู้นั้น เฮอะ ตนเองไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านเจ้าเมือง ก็เลยใช้วิธีการต่ำช้ามาทรมานฮูหยินของพวกเรา เจตนาปล่อยให้ฮูหยินดูแลเรือน เจตนาให้ฮูหยินอยู่ดูแลอาการป่วยของเหล่าจวิน นั่นเพราะอยากให้ฮูหยินปลีกตัวไปที่ใดไม่ได้ แล้วนางก็จะได้มีโอกาสใกล้ชิดท่านเจ้าเมือง ถุย! ช่างต่ำช้าเสียนี่กระไร”

อวี๋ชิงจยาเห็นด้วยตาตนเองว่าอวี๋ซื่อมารดาของนางต้องอยู่ร่วมกับเหล่าจวินที่จวนสกุลอวี๋ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นลำบากเพียงใด นางเห็นใจมารดา แต่นางเป็นเพียงผู้เยาว์ที่อายุยังน้อย อวี๋ชิงจยาจะทำอย่างไรได้ ถึงนางจะร้องขอความเป็นธรรมให้มารดา แต่ก็รู้ว่าบิดาทำอะไรไม่ได้อยู่ดี หากบิดาดื้อรั้นจะอยู่กับมารดาและนางตลอด ก็จะสร้างปัญหาให้พวกนางแม่ลูกแทน เหล่าจวินชอบทำอะไรตามอำเภอใจ ส่วนป้าสะใภ้หลี่ซื่อก็ได้รับความสำคัญจากเหล่าจวิน อวี๋เหวินจวิ้นปกป้องพวกนางแม่ลูกได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ย่อมต้องมีบางครั้งที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย

มารดาของอวี๋ชิงจยาทนได้ไม่กี่ปีก็ตาย อวี๋เหวินจวิ้นสะเทือนใจอย่างยิ่ง ตัดสินใจพาอวี๋ชิงจยาออกจากบ้านนั้น ทั้งไม่ลังเลที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูล อวี๋ชิงจยาชอบชีวิตที่ชิงโจวมาก แม้จะรู้ดีว่าการที่บิดาอยู่ที่ก่วงหลิงจะสูญเสียโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง แต่อวี๋ชิงจยายังหวังอย่างเห็นแก่ตัวว่าบิดาจะอยู่ที่นี่และไม่กลับไปเหยี่ยนโจวอีก

ทว่าข้อความในจดหมายจากเหล่าจวินแต่ละฉบับเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าความสุขที่ช่วงชิงมานี้จะอยู่ได้นานเพียงใด อีกทั้งจะให้ปล่อยภัยแฝงอย่างอวี๋ชิงหย่าอยู่ไปตลอดก็ไม่ได้

ไป๋จื่อเห็นความกังวลของอวี๋ชิงจยา จึงพูดปลอบใจ “คุณหนูไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองรักท่านถึงเพียงนี้ ต้องไม่ยอมให้ท่านกลับไปทนทุกข์ที่บ้านนั้นแน่ ยิ่งกว่านั้นท่านเจ้าเมืองก็มีความคิดเกี่ยวกับเส้นทางขุนนางเป็นของตนเอง เขาไม่มีทางยอมแพ้ต่อเหล่าจวินและคนในตระกูลเพื่อแลกตำแหน่งขุนนางไม่สำคัญนั่นหรอกเจ้าค่ะ”

อวี๋ชิงจยาหัวเราะเบาๆ คำพูดของไป๋จื่อคิดเองเออเองเกินไปแล้ว แต่หากความคิดแสนงดงามนั่นจะทำให้นางสบายใจ นั่นก็ไม่แย่เสียทีเดียว อวี๋ชิงจยาไม่อยากคุยหัวข้อที่หนักหน่วงเหล่านี้อีก อวี๋เหล่าจวินจะไม่พอใจอย่างไร อวี๋ชิงหย่าและระบบจะใส่ร้ายอย่างไรก็ปล่อยไปเถอะ ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่เหยี่ยนโจวเสียหน่อย เกรงว่าในระยะเวลาอันสั้นคงยังกลับไปไม่ได้ แส้ยาวไม่ถึง* เช่นนี้นางคิดมากไปแล้วมีประโยชน์อันใด มิสู้กังวลกับปัญหาตรงหน้าก่อนดีกว่า

“ข้าคิดมาตลอดว่าถึงท่านแม่จากไปเร็ว ท่านพ่อก็จะยังจริงใจต่อท่านแม่ ดูสิ ท่านแม่จากไปสี่ปีแล้วท่านพ่อก็ไม่เคยแต่งอนุภรรยาเลย ใครจะรู้ว่าวันนี้จู่ๆ ท่านพ่อจะพาอนุภรรยากลับมาด้วยหนึ่งคน” อวี๋ชิงจยายังคงกัดฟันเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ นางทั้งรักและเห็นใจอวี๋ซื่อ ย่อมไม่อาจรับได้ที่จะมีสตรีอื่นมาแทนที่มารดา

ความจริงแล้วไป๋จื่อก็ไม่ค่อยพอใจเช่นกัน นางพูดปลอบ “ตามที่คุณหนูเล่ามา อนุภรรยาผู้นี้รูปโฉมงดงามยิ่ง เกรงว่าสหายร่วมงานคงจะมอบให้ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองยากจะปฏิเสธน้ำใจ จึงจำต้องแสร้งทำเป็นพากลับมาก่อน คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ ใช้ความงามเอาใจผู้อื่นจะยั่งยืนได้อย่างไร รอให้ท่านเจ้าเมืองหมดความสนใจแล้ว อนุภรรยาผู้นี้ก็จะสูญเสียความโปรดปราน สุดท้ายก็ถูกคุณหนูกำราบอยู่ดีเจ้าค่ะ”

ที่จริงอวี๋ชิงจยาก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับจิ่งหวน แต่การแสดงอำนาจคือสิ่งจำเป็น อวี๋ชิงจยากล่าว “ไป๋จื่อ เจ้ายังไม่ได้เห็นนาง นางไม่ได้…งดงามธรรมดา แต่ยังดูมีเสน่ห์เย้ายวนด้วย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นปีศาจจิ้งจอก อีกอย่างนางทำเกินไปแล้ว นอกจากจะไม่ฟังข้าพูด นางยังผลักข้าด้วย!”

ไป๋จีเข้ามาเปลี่ยนน้ำร้อน หลังได้ยินที่อวี๋ชิงจยากล่าวก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ นางรู้ว่าคุณหนูต้องแค้นเรื่องที่จิ่งหวนผลักแน่ เกรงว่าคงโกรธเกรี้ยวมาตลอดทางที่กลับห้อง

หลังจากอวี๋ชิงจยาพ่ายแพ้ในศึกแรก จิตใจยังคงเร่าร้อนไปด้วยอารมณ์แห่งการต่อสู้ในบ้าน นางวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุ ตอนนี้ข้าไม่ได้กุมจุดอ่อนของนาง แม้ว่านางจะผลักข้า ข้าก็ไม่สามารถฟ้องท่านพ่อได้ หากข้าทำให้วุ่นวายตั้งแต่ตอนนี้ กลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น อาจจะถูกนางแว้งกัด ทำให้ท่านพ่อคิดว่าข้าก่อปัญหาอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นตอนนี้ข้าควรรั้งทัพแล้วรอบุกยามข้าศึกอ่อนแอ พอนางคลายความระแวดระวังและเผยหางออกมา ข้าก็จะรวบตัวนางพร้อมส่งหลักฐานให้ท่านพ่อทีเดียว”

ไป๋จื่อย่อมเห็นด้วย ชมว่าแผนการของอวี๋ชิงจยาไร้ที่ติ พวกนางนายบ่าวสามคนหารือรายละเอียดอีกหลายอย่าง จนกระทั่งคิดว่าแผนสั่งสอนอนุภรรยาตั้งแต่ต้นจนจบไร้ช่องโหว่แน่แล้ว จึงค่อยเข้านอนด้วยความพึงพอใจ

วันรุ่งขึ้น อวี๋ชิงจยาไปพบบิดาตั้งแต่เช้าตรู่ ขณะกินอาหาร อวี๋ชิงจยากับอวี๋เหวินจวิ้นพูดคุยถึงเรื่องจดหมายที่ส่งมาจากสกุลอวี๋

อวี๋เหวินจวิ้นก็ทำอะไรกับท่านย่าผู้มีนิสัยเผด็จการแสนไร้เหตุผลผู้นั้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมว่าตนเองต้องสูญเสียภรรยาไปด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีวันทำผิดพลาดซ้ำเดิม แล้วปล่อยให้บุตรสาวต้องรับเคราะห์เพราะเขา อวี๋เหวินจวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บุรุษควรประสบความสำเร็จด้วยตนเอง หากเอาแต่พึ่งพาตระกูล พึ่งพาตำแหน่งขุนนางที่ผู้อาวุโสในตระกูลจัดเตรียมไว้ให้แล้วจะมีดีอะไร พ่อไม่ทำเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้นแน่ อีกอย่างพ่อก็ไม่คิดว่าชิงโจวเป็นสถานที่เลวร้ายอันใด ความกันดารห่างไกลนี้ทำให้พ่อยิ่งต้องยืนหยัดบนหลักการ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ จยาจยา อีกเดี๋ยวพ่อจะส่งจดหมายกลับไปหาตระกูลเอง เจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไป”

อวี๋ชิงจยาโล่งใจอย่างยิ่ง บิดาไม่คิดจะกลับไปบ้านนั้นก็ดีแล้ว อวี๋ชิงจยาพลันยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าปีศาจจิ้งจอกอย่างจิ่งหวนนั่งอยู่ตรงหน้านางก็ไม่ใส่ใจ

แน่นอนว่ามู่หรงเหยียนดูไม่สนใจความวุ่นวายของสกุลอวี๋สักนิด อีกทั้งดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนจะจำเรื่องที่ผลักนางไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องหวังให้อีกฝ่ายมารู้สึกผิดหรือละอายใจต่อเรื่องนี้เลย

อวี๋ชิงจยาเก็บ ‘แผนการแก้แค้น’ ของตนไว้ในใจพร้อมกับกัดฟันกรอด อดทนต่อท่าทีอันน่ารังเกียจของปีศาจจิ้งจอก

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ อวี๋เหวินจวิ้นก็โพล่งถามขึ้นมา “จยาจยา เจ้าอยากเรียนขี่ม้ายิงธนูหรือไม่”

“ไม่อยากเจ้าค่ะ” อวี๋ชิงจยาปฏิเสธทันทีโดยไม่คิด “ข้าไม่ชอบยิงธนูเสียหน่อย ไฉนต้องเรียนด้วยเจ้าคะ”

อวี๋เหวินจวิ้นเส้นเลือดบนหน้าผากกระตุก บอกเป็นนัยอย่างอดทน “เจ้ามักจะบอกเสมอว่าไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือ มิสู้ใช้เวลานี้เล่าเรียนประวัติศาสตร์และศิลปะการต่อสู้เอาไว้ ถือเสียว่าเพิ่มวิชาความรู้ติดตัวมาหนึ่งอย่าง”

อวี๋ชิงจยาคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีอะไรทำนั้นสบายกว่ามาก “ยิงธนูทั้งเหนื่อยทั้งดูไม่งาม ข้าไม่อยากเรียนเจ้าค่ะ”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม

อวี๋เหวินจวิ้นเห็นมู่หรงเหยียนกำลังเช็ดนิ้วมืออย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มมุมปาก ก็ยิ่งกระอักกระอ่วน “จยาจยา เจ้าอยากเรียน”

“ข้าไม่อยาก…” อวี๋ชิงจยาเอ่ยมาแล้วก็ชะงักไป เห็นท่าทางบิดาไม่ยอมให้ปฏิเสธแล้วก็เผลอตกปากรับคำในที่สุด “ก็ได้ ข้าเรียนก็ได้เจ้าค่ะ”

 

อวี๋ชิงจยาได้วิชาเรียนเพิ่มมาอย่างงุนงง นางคิดว่ากว่าจะหาอาจารย์ที่เหมาะสมก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะเข้าจวนในสามวันต่อมา

“ยามนี้ผู้ใดใคร่ปกครองราษฎรด้วยวิธีการเก่า ล้วนเปรียบเสมือนเฝ้าตอรอกระต่าย ดังนั้นนักปราชญ์มิพึงลอกเลียนวิธีการโบราณ ไม่พึงยึดติดในขนบธรรมเนียมเก่า แต่ควรดำเนินการปกครองที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในบ้านเมืองปัจจุบัน” อาจารย์สวมชุดคลุมยาวแขนกว้าง หลังจากอ่านบทการปกครองบ้านเมืองอันเลื่องชื่อจบก็ก้มมามองข้างล่าง “เข้าใจหรือไม่”

มู่หรงเหยียนพยักหน้าเบาๆ

อาจารย์พึงพอใจอย่างยิ่ง รีบหยิบม้วนตำราออกมาเริ่มบทต่อไป

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ข้ายังไม่เข้าใจ” อวี๋ชิงจยาตะลึงงัน นางถูกยัดเยียดบทความตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์ฉินอันแสนไม่คุ้นเคยเข้ามาในหัวอย่างไม่เข้าใจสาเหตุ ยังไม่ทันให้นางท่องจำขึ้นใจก็เริ่มบทต่อไปทันที อวี๋ชิงจยารู้สึกประหลาดใจยิ่ง “ก่อนหน้านี้มีบทอ้างอิงหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ เหยี่ยนหวังปกครองด้วยเมตตาธรรมนำพาแคว้นสูญสิ้น** หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

มือที่กำลังคลี่ม้วนตำราของอาจารย์พลันหยุดชะงัก เขาคาดไม่ถึงว่า ‘ของประดับมงคล’ ชิ้นนี้จะถามคำถามขึ้นมา หากอธิบายให้นางฟัง จะต้องทำให้การเรียนคืบหน้าช้าแน่ อาจารย์มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย

อวี๋ชิงจยารู้สึกว่าตั้งแต่ที่บิดาเยี่ยมสหายกลับมา เรื่องในบ้านก็แปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก นางกล่าวอย่างตะลึงงัน “ท่านเป็นอาจารย์ที่เชิญมาให้ข้าไม่ใช่หรือ”

เหตุใดอาจารย์ถึงสนใจฟังปีศาจจิ้งจอกมากกว่า ไม่ยอมสนใจข้าเลยเล่า

มู่หรงเหยียนแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากวาดตามองไปทางโต๊ะหนังสือทางซ้าย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น อาจารย์ทั้งตกตะลึงและคาดไม่ถึงเมื่อได้รับคำสั่งจากมู่หรงเหยียน หลางหยาอ๋องกลายเป็นคนที่ทำอะไรแล้วใส่ใจผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่คำสั่งของรัชทายาทเขายังเมินเฉย นับประสาอะไรกับในยามวิกฤตที่ต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง

อาจเป็นเพราะเขาจะทำอะไรในตอนนี้ล้วนต้องใช้ของประดับมงคลอย่างอวี๋ชิงจยามาตบตา เช่นนั้นจะละเลยนางเกินไปไม่ได้จริงๆ หลังจากอาจารย์พยายามหาเหตุผลให้ตนเองก็กางม้วนตำราเมื่อครู่แล้วอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้ง

ในที่สุดก็ทนมาถึงเวลาพักอย่างยากลำบาก อวี๋ชิงจยาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ นางย้ายไปอยู่ด้านข้างปีศาจจิ้งจอกอย่างเงียบๆ แล้วสะกิดแขนเบาๆ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าฟังรู้เรื่องจริงๆ หรือ”

ทันทีที่อวี๋ชิงจยาเข้ามาใกล้ แขนเสื้อกว้างๆ ของนางก็คลุมม้วนตำราบนโต๊ะเขียนหนังสือทันที เดิมมู่หรงเหยียนไม่คิดจะสนใจนาง แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าหากเขาไม่ตอบ เกรงว่าอวี๋ชิงจยาจะไม่ยอมเลิกราอีก มู่หรงเหยียนจึงได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อืม”

อวี๋ชิงจยาไม่เชื่ออย่างยิ่ง ตนเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง เล่าเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เด็ก แค่ได้ยินบทอู่ตู้ก็ยังรู้สึกกินแรงมาก นางไม่คิดว่าอนุภรรยาที่ไม่ได้รับการปลูกฝังด้านตำราอักษรอย่างจิ่งหวนจะตามทันได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าไม่ต้องกลัวเสียหน้าถึงเพียงนั้นก็ได้ เจ้าพูดความจริงข้าก็ไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก หากเจ้าฟังไม่เข้าใจ พวกเราบอกกับอาจารย์ให้เขาสอนช้าลงในคาบต่อไปก็ได้”

มู่หรงเหยียนมองพู่กันและหมึกที่ถูกทับจนมิดก็อดรนทนไม่ไหว ยื่นมือไปจับแขนของอวี๋ชิงจยาขึ้นมา แล้วลากนางออกจากโต๊ะเขียนหนังสือของตน หลังจากที่อวี๋ชิงจยาถูกคนผลักออกไปด้วยนิ้วเดียวก่อนหน้านี้ก็ต้องพบกับความอัปยศครั้งใหญ่ในชีวิตที่ถูกคนลากตัวออกมาอีกหน

 

บ่าวรับใช้ทั่วทั้งจวนสกุลอวี๋ต่างก็รู้ว่าบุตรีในจวนกับอนุภรรยาที่เจ้าเมืองพามาใหม่ไม่ค่อยถูกกัน แม้ว่าเจ้าเมืองจะสั่งให้ทั้งสองคนเข้าเรียนด้วยกันเพื่อปรับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่ไม่ว่าจะในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียน ทั้งสองคนก็ไม่มีใครพูดคุยกัน ความขัดแย้งนั้นรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด

อวี๋ชิงจยาในยามนี้เกลียดหน้ามู่หรงเหยียนอย่างยิ่ง แต่ละวันพยายามที่จะหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย ทว่าจิ่งหวนอนุภรรยาผู้นี้ช่างแปลกประหลาด ยามเช้าตรู่ฟ้ายังไม่สางก็ลุกขึ้นไปฝึกยิงธนูที่ลานข้างหลัง บ่อยครั้งที่อวี๋ชิงจยามาทักทายบิดายามเช้าก็จะเห็นอีกฝ่ายฝึกฝนร่างกายและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลังอาหารเช้าทั้งสองคนเข้าเรียนด้วยกัน เช้าเรียนบุ๋น บ่ายเรียนบู๊ หลังเลิกเรียนมู่หรงเหยียนก็กลับห้องและไม่ออกมาอีกเลยตลอดทั้งคืน

นี่ไม่เหมือนกับปีศาจจิ้งจอกที่เดินกรีดกรายเอานิ้วสางผมพลางบิดร่างยั่วเย้าไปมาอย่างที่อวี๋ชิงจยาคาดไว้แม้แต่น้อย

ชีวิตประจำวันของอีกฝ่ายดูเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลขุนนางอย่างอวี๋ชิงจยาเสียอีก นางไม่เคยจับผิดอีกฝ่ายได้เลย แผนการสั่งสอนปีศาจจิ้งจอกของนางจึงได้แต่ถูกระงับอย่างไม่มีกำหนด อวี๋ชิงจยาจับตาดูอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อมาครึ่งเดือน พบว่าสิ่งเดียวที่พอจะเรียกว่าไม่เหมาะสมของจิ่งหวนนั้นคงมีแค่เรื่องไม่สวมชุดหรูฉวิน แต่สวมชุดชาวหู

ชุดชาวหูมาจากทางเหนือ พวกเผ่าเร่ร่อนจำเป็นต้องขี่ม้าล่าสัตว์ ย่อมไม่มีทางสวมเสื้อและกระโปรงที่ชาวจงหยวนมองเป็นสิ่งที่ยึดปฏิบัติกันมา ย่อมคุ้นเคยกับชุดชาวหูที่แขนเสื้อแคบและกางเกงขายาวมากกว่า ชนชั้นขุนนางราชวงศ์ใต้ต่างหัวเราะเยาะในท่าทีอันป่าเถื่อนเช่นนี้ ทว่าผู้ปกครองของทั้งสองแคว้นในราชวงศ์เหนือต่างก็มีสายเลือดของชาวหู พวกเขาคุ้นเคยกับการสวมใส่ชุดชาวหู เบื้องบนทำอย่างไร เบื้องล่างก็ทำตามอย่างนั้น ราษฎรในราชวงศ์เหนือจึงยอมรับชุดชาวหูมากกว่าในราชวงศ์ใต้ บุรุษตระกูลสูงศักดิ์จะสวมใส่ชุดชาวหูในเวลาส่วนตัว แต่ในโอกาสสำคัญยังคงเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวแขนเสื้อกว้างตามแบบประเพณี

บุรุษยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับสตรี แทบไม่มีคุณหนูจากตระกูลดีๆ คนใดสวมชุดชาวหูแล้ว ชุดชาวหูแม้จะสะดวกในการเคลื่อนไหว แต่ผู้สูงศักดิ์จะต้องการความสะดวกเช่นนั้นไปทำอันใด อย่างเช่นอวี๋ชิงจยา เสื้อผ้าที่นางสวมใส่คือท่อนบนเป็นชุดหรูฉวินที่เสื้อชายแขนกว้าง และท่อนล่างเป็นกระโปรงสองสีผูกซ้อนกันหลายชั้น ดังนั้นลักษณะการแต่งกายของจิ่งหวนจึงน่าตกตะลึงจริงๆ

ในตอนแรกสุดอวี๋ชิงจยาไม่ได้ใส่ใจ แต่ไม่รู้ว่าอะไรไปกระตุ้นบิดาเข้า จู่ๆ เขาก็อยากให้นางเรียนขี่ม้ายิงธนูขึ้นมา ทั้งยังบีบคั้นให้นางยอมรับปากเรียนด้วย ทุกครั้งที่อวี๋ชิงจยาน้าวสายธนู แขนเสื้อก็จะเข้าไปเกี่ยวกับธนู

ในขณะที่ปีศาจจิ้งจอกที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นสวมชุดแขนแคบเอวสอบ ยิงธนูฟึ่บๆๆๆ อวี๋ชิงจยาจึงกลายเป็นตัวเปรียบเทียบ หลังจากทนมาหลายวัน อวี๋ชิงจยาก็ทุ่มเทอย่างสุดตัว สั่งให้สาวใช้ตัดชุดชาวหูให้หนึ่งชุด

นางคิดอย่างไร้เดียงสาว่าเสื้อผ้าถ่วงฝีมือนาง

อวี๋ชิงจยาเปลี่ยนมาสวมชุดชาวหูสีแดง ทั้งตัวเป็นสีแดงสว่างสดใส แขนเสื้อยังเย็บเป็นลวดลายสีดำโดยไป๋จื่อ เดิมทีไป๋จื่อคัดค้านอย่างรุนแรงที่อวี๋ชิงจยาจะเปลี่ยนมาสวมชุดชาวหู จนกระทั่งอวี๋ชิงจยาสวมชุดที่ยังทำไม่เสร็จเดินวนรอบหนึ่ง ไป๋จื่อก็เงียบปาก ต่อมายังแก้รอบเอวและเติมลวดลายบนชุดให้อวี๋ชิงจยาด้วยตนเอง อวี๋ชิงจยาในยามสวมชุดหรูฉวินที่พลิ้วไหวแขนกว้างนั้นดูบริสุทธิ์บอบบาง ราวกับจะลอยไปตามลมได้ทุกเมื่อ พอเปลี่ยนมาสวมชุดชาวหูรูปโฉมที่ดูนุ่มนวลของนางก็ยิ่งถูกขับเน้นให้งดงามโดดเด่นมากขึ้นไปอีก

อวี๋ชิงจยาออกแรงน้าวสายธนู แต่ทนได้ไม่นานมือขวาก็หมดแรงอย่างรวดเร็ว ลูกธนูที่ปลายนิ้วก็พุ่งออกไป ลอยเหนือพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตกลงบนพื้น

อวี๋ชิงจยาถอนหายใจ นางออกแรงอย่างสุดแรงแล้ว ทว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนับคะแนนเลย เพราะเวลานี้นางยิงไม่เข้าเป้าเลยด้วยซ้ำ

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากข้างๆ ตามด้วยเสียงลูกธนูเข้าเป้าตรงหน้า

อวี๋ชิงจยากัดฟันเงียบๆ อย่าบอกนะว่าข้าจะแพ้ให้กับปีศาจจิ้งจอก นางกัดฟันกรอด ยกธนูและลูกธนูขึ้น ก่อนจะน้าวสายและเล็งเป้าอีกครั้ง ครั้งนี้นางออกแรงอย่างเต็มที่ จนกระทั่งสายธนูตึงสุดขีดแล้วจึงค่อยปล่อยมือ ลูกธนูก็พุ่งออกจากร่องนิ้ว

ครั้งนี้นางยิงเข้าเป้า แต่ไม่ใช่เป้าของนาง…

ภายในระยะเวลาอันสั้น มู่หรงเหยียนก็ยิงธนูดอกที่สามแล้ว ทว่าในยามนี้จู่ๆ ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาจากด้านข้าง ชนปีกนกลูกธนูของเขาเอียง ทำให้หัวลูกธนูได้รับผลกระทบไปด้วย

ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็วางธนูลงและมองอวี๋ชิงจยาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในวันนี้

การพลิกผันของสถานการณ์อยู่นอกเหนือจากที่อวี๋ชิงจยาคาดการณ์อย่างสิ้นเชิง ทำเช่นนี้คล้ายกับนางเจตนาเบนวิถี แต่อันที่จริงนางก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน

อวี๋ชิงจยาเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาและสงบนิ่ง นางกล่าว “มองอันใดกัน อาจารย์พูดก่อนไปว่าให้ทุกคนยิงคนละยี่สิบดอกมิใช่หรือ”

ยิงธนูยี่สิบดอกสำหรับมู่หรงเหยียนนั้นเทียบไม่ได้กับการดื่มน้ำเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์พูดเช่นนี้เพื่อตบตาอวี๋ชิงจยา มู่หรงเหยียนเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูมานานแล้ว ไหนเลยต้องให้อาจารย์มามอบหมายงานด้วย ท่าทางของอวี๋ชิงจยาเมื่อครู่นี้ เผ่าเซียนเปย มองว่าเป็นการยั่วยุอย่างยิ่ง การเบี่ยงเบนวิถีลูกธนูฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องมีฝีมือและความแม่นยำสูงพอสมควร

ทว่าสตรีอ่อนแอที่แม้แต่สายธนูยังดึงไม่โค้งน่ะหรือ มู่หรงเหยียนนึกดูถูกในใจ นางคิดยั่วยุข้า? ไว้ชาติหน้าเถอะ

ขณะที่มู่หรงเหยียนกำลังตั้งสมาธิแล้วน้าวสายธนูก็มีเสียงหายใจแรงดังมาจากข้างๆ เมื่อสมาธิของเขาถูกรบกวน ยามปล่อยธนูจึงพลาดเป้า มู่หรงเหยียนวางธนูลงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นิ้วที่สองอย่ากดปีกลูกธนู”

“อะไรนะ”

มู่หรงเหยียนหันมามองอย่างเย็นชา เขาไม่เคยพูดซ้ำสอง

อวี๋ชิงจยาเพิ่งจะรู้สึกตัวทีหลังว่ามู่หรงเหยียนชี้แนะท่าทางให้นาง

อวี๋ชิงจยายากจะปกปิดความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าปีศาจจิ้งจอกจะใจดีเช่นนี้ อวี๋ชิงจยาแค่นเสียงเบาหนึ่งทีแล้วพึมพำ “เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นสอนข้าหรอก”

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในขณะที่ปล่อยสายธนู อวี๋ชิงจยาก็ได้ปรับท่าทางอย่างไม่อาจเลี่ยง ทว่าผลของการทำเช่นนี้กลับเลวร้าย นี่ไม่ใช่ท่าทางที่นางคุ้นเคย พอสายธนูดีดออกก็เสียดสีกับปลายแขนของนางอย่างฉับพลัน

เนื่องจากงานหลอมเหล็กมีข้อจำกัด แม้สายธนูจะขัดมาอย่างตั้งใจ แต่ก็ยังมีส่วนที่หยาบๆ อยู่ตามขอบไม่น้อย อวี๋ชิงจยาร้องซี้ด รีบมองแขนของตน

แม้จะอยู่ใต้ร่มผ้าหนึ่งชั้นก็ยังโดนบาดจนเลือดออก อวี๋ชิงจยาไม่เคยบาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน ไม่นานน้ำตาก็เอ่อคลอ

เดิมทีมู่หรงเหยียนไม่สนใจการเคลื่อนไหวของคนข้างๆ พอได้ยินเสียงร้องของอวี๋ชิงจยาจึงหันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจและเห็นเลือดสีแดงสดซึมออกจากผิวหนังโดยไม่ทันตั้งตัว มู่หรงเหยียนม่านตาหดเล็กลง นิ้วมือพลันกำเข้าหากันแน่น

มู่หรงเหยียนหันหน้าหลบทันที ดวงตาจ้องมองพื้นโล่ง นิ้วทั้งสองคลายออกแล้วกำเข้า พยายามระงับความกระหายเลือดที่กำลังกำเริบ

คำพูดของอวี๋ชิงจยาเมื่อหลายวันก่อนแม้ไม่เคารพกันอย่างยิ่ง แต่มู่หรงเหยียนรู้ว่านางพูดไม่ผิด บุรุษสกุลมู่หรงเกิดมาพร้อมกับนิสัยกระหายเลือดและชอบการฆ่าฟันจริงๆ

ก่อนหน้านี้เหล่าขุนนางในราชสำนักมักขุ่นเคืองขุนนางที่ประจบสอพลออยู่เสมอ มักตำหนิคนถ่อยเหล่านี้ว่าทำฮ่องเต้เสียคน ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นการยกย่องคนเหล่านี้ เริ่มจากบรรพบุรุษของเขา สกุลมู่หรงทุกรุ่นจะมีพวกผิดแผกมาสักสองสามคน เกิดมาพร้อมกับนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่สามารถควบคุมความกระหายเลือดได้ สกุลมู่หรงเดิมเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของราชวงศ์ก่อน สุดท้ายกลายเป็นฮ่องเต้หลังผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ สายเลือดอันกล้าหาญชำนาญศึกของบุรุษในสกุลมู่หรงนั้นช่างวิเศษ ทว่าเรื่องราวบนโลกก็น่าขบขันเช่นนี้ ตระกูลของพวกเขายิ่งเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ความกระหายเลือดก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น

หมิงอู่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ เสด็จอาของเขาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ อดีตรัชทายาทไม่พอใจต่อการกระทำของบิดาและพี่น้องอย่างยิ่ง แต่เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าบุตรชายของตน…มู่หรงเหยียนก็คือมารร้ายที่น่าสะพรึงกลัว

มู่หรงเหยียนมีพรสวรรค์ด้านดนตรี ขี่ม้ายิงธนู และวรยุทธ์สูงส่งมาก แต่ข้อเสียในด้านนี้ของเขาร้ายแรงกว่าเสด็จปู่และเสด็จอาเสียอีก สุรากับสตรีเป็นตัวกระตุ้นให้เขาสูญเสียการควบคุมตนเองไป ดังนั้นมู่หรงเหยียนจึงไม่แตะต้องสุราและไม่มีนางบำเรอข้างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจสูญเสียการควบคุม แต่ยามนี้เขากลับไม่อาจทนต่อความกระหายเลือดภายในร่างกายได้อีกต่อไป

อวี๋ชิงจยาจับแขนของตนเองอย่างปวดใจ บาดแผลยังมีเลือดไหลไม่หยุด อาจารย์ผู้สอนธนูเป็นทหาร นางไม่สะดวกพาสาวใช้เข้ามา ดังนั้นพวกไป๋จื่อไป๋จีจึงไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อวี๋ชิงจยาบาดเจ็บหนักเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรเรียกหาใครดี

อาการปวดแสบปวดร้อนที่แขนครอบงำความสนใจส่วนใหญ่ของนางไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังสังเกตได้ว่าท่าทางของปีศาจจิ้งจอกดูไม่ค่อยปกติ

อีกฝ่ายหันหลังให้นาง ร่างกายส่วนบนเกร็งจนเห็นเส้นโค้งกล้ามเนื้อแขนได้ชัดเจนผ่านเสื้อผ้า อวี๋ชิงจยาไม่เข้าใจ นางถามด้วยเจตนาดี “เจ้าเป็นอะไรไป”

มู่หรงเหยียนไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่ง กว่าเขาจะเค้นคำออกมาได้อย่างยากลำบาก “ตรงนั้นมีน้ำสะอาดอยู่ ไปล้างแผลสิ”

“เวลาเลือดออกห้ามโดนน้ำ ไม่เช่นนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็น”

คิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงจยาจะกังวลเรื่องทิ้งรอยแผลเป็นด้วย ช่างน่ารักไร้เดียงสาเสียจริง นางไม่เห็นหรือว่าตอนนี้มีสัตว์ป่าที่อันตรายที่สุดอยู่ข้างๆ นาง มู่หรงเหยียนตาแดงก่ำ ม่านตาหดลงไม่หยุด มีประกายประหลาดในดวงตาดำอันมืดมิด เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมตนเองอย่างเต็มที่ เขาเดินไปที่ข้างถังน้ำและหยิบผ้ามาชุบน้ำ ก่อนจะโยนใส่มืออวี๋ชิงจยาโดยไม่หันไปมอง

“ปิดแผลไว้”

อวี๋ชิงจยายังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง

มู่หรงเหยียนกลับเอ่ยขัดนางอย่างทนไม่ไหวเสียก่อน “ลดอาการบวม”

ใช้ผ้าเย็นประคบแผลช่วยลดอาการบวมได้ด้วยหรือ อวี๋ชิงจยาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่นางเพียงคิดว่าตนเองแค่ไม่เคยได้ยินเท่านั้น จึงปิดบาดแผลอย่างเชื่อฟัง

โชคดีที่ไป๋จื่อมาถึงอย่างรวดเร็ว นางเห็นแขนของอวี๋ชิงจยาก็อุทานออกมาว่า “คุณหนูของบ่าว!” แล้วพาอวี๋ชิงจยากลับไปพันแผลใหม่อย่างปวดใจ ในที่สุดสนามยิงธนูก็เงียบสงบ ดวงตาของมู่หรงเหยียนดำจนน่ากลัว เขาน้าวสายธนูเล็งไปที่เป้า ยิงฟึ่บๆๆ สามดอกรวด พละกำลังและความแม่นยำสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 มิ.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: