บทที่ 62 หลอกใช้
บรรยากาศทั่วทั้งบ้านใหญ่ในวันนี้ต่างจากปกติ แม้แต่บรรดาสาวใช้ก็เดินกันด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส อวี๋ชิงหย่านั่งอยู่ในห้อง สั่งให้พวกสาวใช้ออกไป และกล่าวกับระบบว่า ‘ระบบ ข้าคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าการหกล้มในวันที่ดูแลอาการป่วยของเหล่าจวินมีจุดที่น่าสงสัย เจ้าสามารถฉายภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้หรือไม่’
ระบบจะไม่เป็นฝ่ายคิดริเริ่มเอง แต่มันทำตามคำสั่งได้เร็วมาก ไม่นานระบบก็ตอบกลับมา ‘เรียกค้นข้อมูลทั้งหมดแล้ว โฮสต์ต้องการดูสิ่งใด’
‘ตรวจสอบดูว่าวันนั้นมีสิ่งใดกระแทกเข่าของข้ากันแน่ ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าถูกบางสิ่งขัดขา’
ระบบเรียกค้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวว่า ‘โฮสต์ การคาดเดาของท่านถูกต้อง มีเมล็ดถั่ววงศ์ฟาโบเดียเมล็ดหนึ่งชนข้อพับของท่าน’
‘เมล็ดถั่ววงศ์ฟาโบเดีย?’
‘ในภาษาของพวกท่านเรียกว่า ‘ถั่วแดง’ ’
อวี๋ชิงหย่าพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ ‘ไม่ผิด ช่วงหลายวันนั้นเหล่าจวินร่างกายไม่แข็งแรง ครัวเล็กต้มโจ๊กถั่วแดงเพื่อบำรุง เป็นไปได้ว่าอาจมีสาวใช้สักคนเก็บถั่วแดงไม่ดี ทำหล่นไปสองสามเมล็ด จึงถูกคนฉวยโอกาสได้ ถ้าเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ แสดงว่าเหตุการณ์ในวันนั้นล้วนเป็นฝีมือคน มีคนเล่นงานข้าในที่ลับใช่หรือไม่’
‘เงื่อนไขไม่เพียงพอ โฮสต์โปรดใช้วิจารณญาณด้วยตนเอง’
อวี๋ชิงหย่าคุ้นชินกับความเถรตรงของระบบแล้ว นางไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงคิดทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นต่อ นางมุ่งความสงสัยไปที่อวี๋ชิงจยาแทบจะในทันที อย่างไรเสียในตอนนั้นอวี๋ชิงจยาก็ยืนอยู่ตรงหน้านาง ไม่มีทางที่จะซัดข้อพับนางจากทางด้านหลังได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีคนยืนอยู่ข้างๆ อวี๋ชิงจยาอีกตั้งมากมาย โอกาสที่จะลงมือจึงมีน้อยมาก…
อวี๋ชิงหย่าคิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น นางถามระบบ ‘เจ้าสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าถั่วแดงถูกดีดมาจากที่ใด’
‘ในกรณีที่ไม่มีการระบุคำสั่งแบบเฉพาะเจาะจง ระบบจะตั้งค่าเริ่มต้นให้รวบรวมเฉพาะภาพเหตุการณ์ที่อยู่ภายในรัศมีหนึ่งเมตรเท่านั้น หากโฮสต์มีความต้องการพิเศษ โปรดระบุคำสั่งที่ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินการ’
มีแค่รัศมีโดยรอบหนึ่งเมตร เช่นนั้นก็มองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย อวี๋ชิงหย่ายากจะปกปิดความผิดหวัง แต่เมื่อนางได้รู้ว่ามีคนลอบเล่นงาน ก็นับว่าได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เล็กน้อย อวี๋ชิงหย่าขบคิดจนสมองแตกก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นผู้ใดที่ลอบเล่นงานนาง นี่ไม่ใช่เพราะอวี๋ชิงหย่าไม่เคยผูกพยาบาทกับใคร ตรงกันข้าม เป็นเพราะนางสร้างศัตรูมากเกินไปต่างหาก
อวี๋ชิงหย่าช่วงนี้โอ้อวดมากเกินไปจริงๆ นางอาศัยยาของระบบก้าวพรวดขึ้นมาเป็นคนโปรดข้างกายอวี๋เหล่าจวิน เบียดคนจำนวนมากออกไป ขณะเดียวกันก็ล่วงเกินคนมากมายเพราะการกระทำที่ไม่รู้จักยับยั้งของนาง เมื่ออวี๋ชิงหย่ากลับมาคิดในตอนนี้ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่แค่อวี๋ชิงจยาที่น่าสงสัย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะลอบเล่นงานนางทั้งสิ้น
นางครุ่นคิดมาครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ยังจดบัญชีนี้ภายใต้ชื่อของอวี๋ชิงจยา เพราะอวี๋ชิงจยาคือคนที่นางจงเกลียดจงชังมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด เนื่องจากวันนี้อวี๋เหวินจวิ้นกลับมา อวี๋ชิงหย่าจึงฉุกคิดได้ว่าบ้านรองคล้ายยังมีอีกคนหนึ่งที่กลับมาจากชิงโจวพร้อมกับอวี๋ชิงจยาด้วย
เวลานี้ไป๋ลู่เข้ามาเติมเครื่องหอมพอดี อวี๋ชิงหย่าจึงเรียกไป๋ลู่มาถาม “ข้างกายอวี๋ชิงจยายังมีอีกคนหนึ่ง เหมือนจะชื่อว่าจิ่งอะไรสักอย่าง…”
ไป๋ลู่ประกายตาวูบไหว นางก้มหน้ากล่าว “คนผู้นั้นมีนามว่าจิ่งหวนเจ้าค่ะ คุณหนูสี่ เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ”
ตั้งแต่อวี๋ชิงหย่าซื้อตัวไป๋ลู่กลับมา ในใจนางก็รู้สึกเชื่อมั่นและเลื่อมใสในตัวไป๋ลู่อย่างมาก ทันทีที่เริ่มทำงานก็ให้ไป๋ลู่เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายนาง และมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ หงหลวนและสาวใช้จำนวนมากต่างไม่พอใจ ทั้งพูดโดยนัยและโดยแจ้งกับอวี๋ชิงหย่าหลายครั้ง แต่อวี๋ชิงหย่ารู้เหตุการณ์เมื่อชาติที่แล้วเป็นอย่างดี นางอยากได้ความสามารถของไป๋ลู่มาก ดังนั้นนางจึงไม่สนใจความเห็นของใคร หมายมั่นให้ไป๋ลู่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายทำงานรับใช้ตนเอง
อวี๋ชิงหย่าเชื่อมั่นในเหตุการณ์ของชาติที่แล้วมาก จึงไม่ปิดบังกับไป๋ลู่ นางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด นางมาถึงสกุลอวี๋นานเพียงนี้กลับไม่มีใครรู้จัก ทำตัวราวกับเป็นคนล่องหนไร้ตัวตน ทั้งที่เป็นเช่นนี้ ไม่รู้เหตุใดท่านพ่อถึงต้องส่งนางกลับมาที่เกาผิงด้วย ทั้งยังเอ่ยถึงในจดหมายอีก”
ไป๋ลู่เก็บซ่อนแววตาไว้ ทำให้อ่านความรู้สึกในดวงตาไม่ออก “คุณหนูสี่พูดได้ถูกต้องเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณหนูคิดจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าอยากจะสืบเรื่องคนผู้นี้ดูสักหน่อย” อวี๋ชิงหย่าดวงตาฉายแววมุ่งมั่น “ไม่ว่านางจะเก็บซ่อนความโง่ไว้หรือเป็นการแสร้งโง่ ตราบใดที่อยู่ในพื้นที่ของสกุลอวี๋ ก็อย่าคิดว่าจะหลบพ้นสายตาข้าไปได้”
ความคิดของอวี๋ชิงหย่านั้นเรียบง่ายมาก เวลานี้อวี๋เหวินจวิ้นกลับมาแล้ว ต่อให้นางอยากจะลงมือกับอวี๋ชิงจยาปานใดก็ได้แต่ทำอย่างอ้อมค้อม ส่วนอิ๋นผิงถูกขายออกไปแล้ว อิ๋นจูที่เหลืออยู่ก็ไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก ไป๋หรงเพิ่งถูกซื้อตัวเข้ามาก็คงไม่ได้แตะต้องงานสำคัญ ส่วนสาวใช้สองคนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นคนที่อวี๋ชิงจยาเรียกใช้สอยเป็นประจำ เกรงว่าจะซื้อตัวไม่สำเร็จ เมื่อคิดคำนวณไปๆ มาๆ เช่นนี้คนที่นางสามารถใช้งานได้ก็เหลือแค่คนเดียว…จิ่งหวน
อวี๋ชิงหย่าคิดอย่างไรก็ทำเช่นนั้น ลงมือเขียนจดหมายทันที ก่อนจะปิดผนึกด้วยครั่งและส่งต่อให้ไป๋ลู่ โดยบอกให้นำจดหมายนี้มอบแก่จางเสียนที่อยู่ข้างนอกด้วยตนเอง ในจดหมายอวี๋ชิงหย่าไหว้วานให้จางเสียนสืบหาเบื้องลึกเบื้องหลังของจิ่งหวนผู้นี้ ทางที่ดีควรหาจุดอ่อนของนางมาให้ได้ จากนั้นอวี๋ชิงหย่าจะได้ใช้สิ่งนี้เพื่อข่มขู่นาง ทำให้นางเป็นหนอนบ่อนไส้ในบ้านรอง
เมื่อไป๋ลู่ได้รับจดหมาย ประกายลึกล้ำก็วาบขึ้นในดวงตา ทว่ายังไม่ทันปรากฏชัดเจนก็คล้ายจมลงสู่ใต้ธารน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ไป๋ลู่เก็บซ่อนจดหมายไว้ในแขนเสื้อต่อหน้าอวี๋ชิงหย่า ก่อนจะผูกเสื้อคลุมแล้วเดินไปที่ประตูจวนท่ามกลางลมหนาว
หลังจากไป๋ลู่ไปได้ไม่นาน ข้างนอกก็มีเสียงดังวุ่นวาย ดูเหมือนจะมาจากเรือนของหลี่ซื่อ อวี๋ชิงหย่าเรียกสาวใช้มาถาม “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “จู่ๆ นายท่านก็นึกได้ว่าต้องเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง จึงขอไปตอบจดหมายที่เรือนหน้าก่อน ฟ้าก็มืดมากแล้ว นายท่านคร้านจะกลับเรือนมาอีกรอบ คืนนี้จึงค้างอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนหน้าเจ้าค่ะ”
อวี๋ชิงหย่ายิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งเย็นชา ตอบจดหมาย? เฮอะ จดหมายอะไรถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ ต่อให้มีเรื่องด่วนจริง ก็ให้บ่าวรับใช้ไปเอามาให้ แล้วตอบจดหมายในห้องก็ได้ เหตุใดต้องวิ่งไปเขียนที่ห้องหนังสือโดยเฉพาะด้วย เพื่อเรื่องนี้ถึงกับต้องค้างคืนที่ข้างนอกเลยหรือ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เพื่อปกปิดเรื่องที่อวี๋เหวินจวิ้นจากไป หลี่ซื่อจึงสร้างข้ออ้างอันน่าขันที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นี้ขึ้นมา อวี๋ชิงหย่าโกรธมาก วันนี้อวี๋เหล่าจวินพูดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงหน้าตา บอกว่าความอาวุโสมีลำดับ อวี๋เหวินจวิ้นกลับบ้านคืนแรกควรจะอยู่ในเรือนของบ้านใหญ่ เพื่อบีบบังคับให้อวี๋เหวินจวิ้นรับปาก อวี๋เหล่าจวินจึงยกหลักกตัญญู อ้างถึงอวี๋เหยี่ยน รวมถึงการป่วยติดต่อกันเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ อวี๋เหวินจวิ้นถูกบีบบังคับ ด้วยความกตัญญูจึงจำต้องตกลง แต่เขากลับเลือกไปอยู่ห้องหนังสืออันเย็นยะเยือกแทน อย่างไรก็ไม่ยอมอยู่ในเรือนของหลี่ซื่อ
นี่ใช่แค่การตบหน้าเสียที่ใด เรียกว่าเอาหน้าของหลี่ซื่อโยนลงบนพื้นแล้วเหยียบซ้ำมากกว่า
ชาติที่แล้วอวี๋ชิงหย่าก็เคยแต่งงาน นางฟังถึงตรงนี้แล้วรู้สึกขายหน้าอย่างสุดซึ้ง
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ข่าวแพร่ไปถึงภายนอก เหล่าสะใภ้ได้ยินคำพูดของหลี่ซื่อเกี่ยวกับเรื่อง ‘เขียนจดหมาย’ ก็หัวเราะกันจนฟันหน้าแทบหลุด
หลี่ซื่อถูกทุกคนหัวเราะเยาะ จึงร้องไห้วิ่งโร่ไปให้อวี๋เหล่าจวินตัดสินใจ
อวี๋เหล่าจวินทั้งโกรธทั้งขุ่นเคืองจริงๆ โกรธที่อวี๋เหวินจวิ้นไม่เห็นแก่หน้าบรรพบุรุษอย่างนาง และยิ่งขุ่นเคืองที่หลี่ซื่อไม่ได้ความ ตลอดทั้งวันรู้จักแต่ร้องห่มร้องไห้ แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็จัดการเองไม่ได้ ในใจทุกคนต่างเข้าใจการเหน็บแนมของอวี๋เหล่าจวิน
อวี๋เหล่าจวินทำถึงขั้นนี้แล้ว หลี่ซื่อก็ยังรั้งบุรุษไว้ไม่ได้อีก…เหล่าสะใภ้แอบหัวเราะเยาะว่าหลี่ซื่อต้องแก่ น่ารังเกียจ และโง่เขลาเพียงใด ถึงทำให้บุรุษไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันพวกนางก็ขยิบตาให้กัน ลอบหัวเราะเยาะอวี๋เหล่าจวินที่เป็นคนแก่ไม่รู้จักสำรวมตน เอาแต่แทรกแซงเรื่องในห้องหอของหลานชายและหลานสะใภ้ ผลลัพธ์ตอนนี้ดีเลย ภาพลักษณ์ภายในภายนอกล้วนไม่มีเหลือแล้ว
อวี๋เหล่าจวินเคยชินกับการถูกเอาอกเอาใจ เวลานี้ถูกคนมองเป็นเรื่องครึกครื้น นางพลันเดือดดาลและเรียกอวี๋เหวินจวิ้นมาซักถามทันที อวี๋เหวินจวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ท่านย่าบอกว่าความอาวุโสมีลำดับ ทั้งยังนำเรื่องในอดีตของผู้อาวุโสทั้งสองบ้านมาพูด ข้าย่อมมิกล้าไม่ปฏิบัติตาม ตอนนี้ข้าก็อยู่บ้านใหญ่แล้วจริงๆ ท่านย่ามีสิ่งใดจะกำชับอีกขอรับ”
อวี๋เหล่าจวินพูดไม่ออก ด้วยไม่รู้จะพูดคำที่เหลืออย่างไร แม้อวี๋เหวินจวิ้นจะสืบวงศ์วานสองบ้าน แต่ช่องว่างระหว่างบ้านใหญ่กับบ้านรองนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ห้องหนังสือที่เรือนหน้าก็แบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อคืนนี้อวี๋เหวินจวิ้นนอนในห้องหนังสือของเรือนใหญ่ นั่นหมายความว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของอวี๋เหล่าจวินครบถ้วน อวี๋เหล่าจวินจะพูดอย่างไรได้อีก หรือจะให้บอกว่า ‘หลี่ซื่อเป็นม่ายมาหลายปี จนตอนนี้บ้านใหญ่ยังไม่มีผู้สืบทอดตระกูล ดังนั้นเจ้าต้องไปอยู่บนเตียงของหลี่ซื่อ’ แทน?
ถ้าเป็นหลี่ซื่อคงพูดได้ไม่กระดากปาก แต่อวี๋เหล่าจวินอับอายที่ต้องพูด
อวี๋เหล่าจวินถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก นี่คือคำพูดของนาง และตอนนี้คำพูดพวกนั้นก็ได้ย้อนกลับมาหาตัวนางเองแล้ว
ขณะทางฝั่งอวี๋เหล่าจวินวุ่นวายไม่หยุด ทางเรือนของบ้านรองกลับสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่
อิ๋นจูชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ตลอดช่วงเช้าได้ยินแต่เรื่องขบขันของบ้านใหญ่ อวี๋ชิงจยาเห็นการแสดงออกของอิ๋นจูก็รู้แล้วว่านางคิดจะพูดอะไร อวี๋ชิงจยาจึงยื่นมือไปปรามอิ๋นจูแล้วกล่าว “ข้าไม่ได้อยากฟังข่าวที่เรือนนั้น ข้าแค่จะถามเจ้าว่าท่านพ่อยังอยู่กับเหล่าจวินใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” อิ๋นจูไม่รู้ว่าถอนหายใจด้วยความเสียใจหรือกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “แต่บ่าวได้ยินคนข้างกายนายท่านบอกว่านายท่านสั่งให้ย้ายสิ่งของที่ใช้เป็นประจำไปที่ห้องหนังสือเรือนหน้า เป็นไปได้ว่าสองสามวันนี้จะพักอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเดินเข้ามาจากข้างนอก พอได้ยินคำพูดนี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “คำว่า ‘กตัญญู’ นั้นทับคนตายโดยแท้ ท่านเจ้าเมืองเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเพิ่งกลับมากับอวี๋เหวินจวิ้นเมื่อคืน หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน วันนี้ก็มีเรี่ยวแรงขึ้น ตอนที่ไป๋จื่อเพิ่งได้เจออวี๋ชิงจยา นางเกือบจะร้องไห้ออกมา วันนี้ร่างกายดีขึ้นแล้วจึงรีบมาดูแลอยู่ข้างๆ อวี๋ชิงจยาทันที ไป๋จื่อยังคงเคยชินกับตอนที่อยู่ชิงโจว จึงยังเรียกอวี๋เหวินจวิ้นว่า ‘ท่านเจ้าเมือง’
อวี๋ชิงจยารู้ว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ขอเพียงอวี๋เหวินจวิ้นอาศัยอยู่ลำพังที่เรือนหน้าและใช้ข้ออ้างอย่างขอไปทีว่า ‘อ่านหนังสือและฝึกฝนตนเอง’ อวี๋เหล่าจวินกับหลี่ซื่อก็มาว่ากล่าวอะไรไม่ได้แล้ว และคนเหล่านี้คงหยุดหาเรื่องได้เสียที
อวี๋ชิงจยาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เพราะตอนอยู่ที่เมืองก่วงหลิงนางก็อาศัยอยู่ลำพังภายในเรือน ตอนนี้ก็แค่เรือนกว้างขึ้นมาหน่อย หากนางอยากจะพบอวี๋เหวินจวิ้น แค่ไปหาที่เรือนหน้าโดยตรงก็ได้แล้ว
เวลานี้ภายในเรือนด้านหลังของบ้านรองก็กำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ไป๋หรงเอ่ยขึ้น “คุณชาย พวกบ่าวคิดไม่ถึงว่าสกุลอวี๋จะเกิดเรื่องขึ้นมากเช่นนี้ เพราะเรื่องครอบครัวของเขา เกรงว่าอวี๋เหวินจวิ้นจะต้องอยู่ที่เรือนหน้าสักระยะหนึ่งเจ้าค่ะ หากคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณชายแล้ว ควรให้อวี๋เหวินจวิ้นย้ายกลับมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง การไม่เคลื่อนไหวถือเป็นการปกปิดที่ดีที่สุด อวี๋เหวินจวิ้นควรทำอย่างไรก็จงทำไปอย่างนั้น ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ” มู่หรงเหยียนถือจดหมายไว้ในมือ อ่านอย่างรวดเร็วทีละหลายบรรทัดพลางกำชับไป๋หรงอย่างไม่ใส่ใจนัก “ให้เขาอยู่ที่ห้องหนังสืออย่างสบายใจเถอะ เขาขัดแย้งกับผู้อาวุโสในครอบครัว เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จะทำให้คนผู้นั้นวางใจ และเบี่ยงเบนความสนใจคนเหล่านั้นได้”
อวี๋เหวินจวิ้นย้ายไปอยู่ห้องหนังสือ กำลังคนจำนวนมากยังไม่ถูกย้ายมาในจวน นั่นหมายความว่าข้างกายมู่หรงเหยียนมีไป๋หรงเพียงคนเดียวที่พอจะต่อสู้ได้บ้าง คนที่อยู่ข้างนอกย่อมไม่วางใจ แต่มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นไม่สำคัญ หรือก็คือเขาคิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว
เขาไม่ชอบให้มีคนอยู่รอบๆ อวี๋ชิงจยามากเกินไป อย่างเช่นอวี๋เหวินจวิ้น
ไป๋หรงได้ยินแล้วพลันเลื่อมใสในเหตุผลของคุณชาย เพื่อการใหญ่ แม้จะเอาตนไปอยู่ท่ามกลางอันตรายก็อดทนได้ ไป๋หรงมองเจตนาที่แท้จริงของมู่หรงเหยียนในด้านดีเสมอ ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม “คุณชายปราดเปรื่องยิ่งนัก” นางเอ่ยต่อว่า “คุณชายเจ้าคะ จดหมายของไป๋ลู่เมื่อวานนี้…”
“ส่งถึงจางเสียนแล้ว?”
“เจ้าค่ะ”
“เอามา”
ไป๋หรงหยิบ ‘จดหมายลับ’ ที่อวี๋ชิงหย่าตั้งความหวังไว้ออกมาอย่างสงบเสงี่ยม แม้กระทั่งครั่งบนนั้นยังสภาพเหมือนกับตอนที่ออกจากมือของอวี๋ชิงหย่า มู่หรงเหยียนฉีกซองจดหมายอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นการกล่าวถึงตนภายในนั้นก็หัวเราะเบาๆ
ที่แท้ก็มีคนจะสืบเรื่องของเขา ทั้งยังส่งจดหมายมาถึงมือเขาอีก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 มิ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.