บทที่ 63 เสน่ห์
อวี๋ชิงหย่าคงคาดไม่ถึงว่าจดหมายลับที่นางเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อวานจะถูกส่งต่อถึงมืออีกคนหนึ่งในสภาพเดิม และคนผู้นี้ยังเป็นคนสำคัญที่นางต้องการสืบหาที่มาที่ไป
ไม่เพียงเท่านี้ อวี๋ชิงหย่ายังนึกภูมิใจที่ตนเองล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า นางรู้ว่าจางเสียนคือบุคคลยอดเยี่ยมที่พบเจอได้ยาก และรู้ว่าไป๋ลู่คือสาวใช้ที่มีความสามารถทั้งยังเฉลียวฉลาดมาก ดังนั้นนางจึงแย่งสองคนนี้มาโดยไม่สนวิธีการ จัดให้คนหนึ่งอยู่นอกเรือน ส่วนอีกคนหนึ่งจัดให้อยู่ข้างกายตนเอง อวี๋ชิงหย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วนางก็มีผู้มากความสามารถคอยรับผิดชอบการติดต่อกับผู้คนภายนอกและจัดการงานภายในเรือน ตนเองจะสามารถอยู่อย่างสงบไร้กังวล นอนรอชัยชนะอย่างสบายๆ ได้แล้ว
น่าเสียดายที่อวี๋ชิงหย่าละเลยสิ่งหนึ่งไป ชีวิตก็คือชีวิต เรื่องราวก็คือเรื่องราว คนเรามักจะมีผลประโยชน์ที่ซับซ้อนเกี่ยวพันโยงใยไปทั่วทุกฝ่าย จะจำกัดความด้วยคำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำว่า ‘นางเอก’ ‘ตัวประกอบหญิง’ ‘พระเอก’ และ ‘ตัวประกอบ’ ได้อย่างไร
ความเย่อหยิ่งน่ากลัวกว่าความอ่อนแอ อวี๋ชิงหย่าเดินตามเส้นทางเมื่อชาติก่อนเพื่อคว้าชิงโอกาส แต่หารู้ไม่ว่าคนที่นางมองเป็นบ่าวรับใช้ผู้มีความสามารถ แท้จริงแล้วกลับลอบภักดีกับคนอีกผู้หนึ่ง ทั้งยังรู้จักกันมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้แผนการของอวี๋ชิงหย่าก็กลายมาเป็นบ่วงพันธนาการตนเอง เนื่องจากภายในเรือนมีไป๋ลู่ ภายนอกมีจางเสียน ไม่ว่าอวี๋ชิงหย่าคิดจะทำอะไรก็ไม่สามารถปิดบังสองคนนี้ได้
มู่หรงเหยียนกวาดตาอ่านทีละหลายบรรทัด หลังจากอ่านความสงสัยที่อวี๋ชิงหย่ามีเกี่ยวกับตน รวมถึงแผนการต่อไปจบ เขาก็โยนจดหมายทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ สีหน้าท่าทางเรียบเฉย มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ไป๋หรงมองดูท่าทางของมู่หรงเหยียนเงียบๆ พอเห็นเขาไม่พูดจา นางก็ไม่กล้าเอ่ย ไป๋หรงเพียงรู้ว่าเมื่อวานนี้ไป๋ลู่ส่งจดหมายของอวี๋ชิงหย่าให้จางเสียน กลับคิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงหย่าจะอาจหาญเทียมฟ้า คิดจะสืบเรื่องคุณชาย จางเสียนที่ได้รับจดหมายจึงทั้งไม่กล้าตัดสินใจ และไม่กล้าฉีกจดหมาย ได้แต่ส่งต่อมันมาให้มู่หรงเหยียนในสภาพเดิม
ไป๋หรงกลั้นหายใจ อาศัยเพียงสังเกตท่าทางย่อมไม่มีทางคาดเดาอารมณ์ของมู่หรงเหยียนได้ นางจึงได้แต่ถามหยั่งเชิง “คุณชาย สตรีผู้นี้ช่างอวดดีนัก ลบหลู่ท่านเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่นำความไปบอกจางเสียน ให้เขาเตือนนางเสียหน่อย”
“เหตุใดต้องเตือนนางด้วยเล่า” มู่หรงเหยียนกล่าวช้าๆ “ในเมื่อนางอยากรู้นัก เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางสืบไป”
ไป๋หรงค่อนข้างลำบากใจ และไม่ค่อยเข้าใจ “จางเสียนย่อมไม่เปิดเผยฐานะของคุณชายอยู่แล้วเจ้าค่ะ พวกเราแค่บอกสตรีผู้นี้ไปว่าทุกอย่างปกติก็ได้ เหตุใดต้อง…”
“ถึงพวกเจ้าบอกนางไปว่า ‘จิ่งหวน’ ฐานะปกติทุกอย่าง สืบหาอะไรไม่ได้เลย นางก็คงไม่เชื่อกระมัง…มิสู้คล้อยตามนางเสียหน่อย นางอยากได้ยินเรื่องอะไร ก็ให้บอกเรื่องนั้นแก่นาง”
ไป๋หรงพลันกระจ่างแจ้ง อวี๋ชิงหย่าแม้จะบอกให้จางเสียนไปสืบประวัติจิ่งหวน แต่ความจริงนางมีเป้าหมายในใจแล้ว ถึงบอกอวี๋ชิงหย่าไปว่า ‘จิ่งหวนไม่มีปัญหา’ เกรงว่าอวี๋ชิงหย่าก็คงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในทางกลับกัน หากบอกนางว่าจิ่งหวนมีจุดอ่อนอยู่กับตัวล่ะก็ คาดว่าอวี๋ชิงหย่าคงหลงเชื่อในทันที สิ่งที่มู่หรงเหยียนต้องการคือปั้นแต่งเรื่องที่สืบหาได้ตรงตามความคิดของอวี๋ชิงหย่า ชักจูงให้นางถลำลึกทีละก้าว ค่อยๆ เดินไปถึงใจกลางหลุมทราย และในที่สุดก็จมลงในทรายดูดจนไม่สามารถหลุดออกมาได้
ไป๋หรงเข้าใจแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัว หลายวันมานี้นางเห็นมู่หรงเหยียนตามใจและใจดีกับอวี๋ชิงจยา ไป๋หรงก็เริ่มสงสัยว่าที่จริงแล้วคุณชายไม่ได้เป็นอย่างในข่าวลือ ทุกคนบอกว่าเขาเลือดเย็นและโหดเหี้ยม บางทีกลุ่มอำนาจอื่นอาจจะใส่ร้ายหวังทำลายชื่อเสียงของมู่หรงเหยียนก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ไป๋หรงได้ตระหนักชัดเจนอย่างยิ่ง ไม่ใช่ผู้อื่นใส่ร้ายเขาหรอก แต่หลางหยาอ๋องหนุ่มผู้งดงามมีจิตใจอำมหิตจริงๆ
หากพบคนหลงทาง บางคนอาจจะเข้าไปช่วย บางคนอาจจะนิ่งดูดาย แต่มู่หรงเหยียนจะล่อลวงให้คนผู้นั้นเดินถลำลึกเข้าไป ที่ไป๋หรงเคยคิดว่ามู่หรงเหยียนถูกผู้อื่นปรักปรำนั้นช่างโง่เขลาจนดูน่าขันเสียจริง
สิบวันต่อมา อวี๋ชิงหย่าได้รับข่าวที่ส่งกลับมาจากข้างนอก นางดีใจทันทีที่เห็นจดหมาย จึงเผยรอยยิ้มและกล่าวกับระบบในใจว่า ‘จางเสียนชื่อเสียงสมคำเล่าลือดังคาด แค่ไม่กี่วันก็สืบเบื้องหลังของคนผู้หนึ่งได้กระจ่างแล้ว’
อวี๋ชิงหย่าฉีกซองจดหมายแล้วอ่านอย่างละเอียด จางเสียนกล่าวในจดหมายว่าจิ่งหวนคือนักดนตรีที่อวี๋เหวินจวิ้นพากลับมาตอนเยี่ยมสหายที่ชิงโจว ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เหยี่ยนโจว จิ่งหวนเดิมเป็นบุตรีของพ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวย เล่าเรียนดนตรีมาตั้งแต่เล็ก น่าเสียดายที่บิดาตายในสงคราม อาและลุงในตระกูลยึดกิจการของบิดานาง แล้วขับไล่นางและมารดาออกไปจากบ้าน ภายหลังนางและมารดาพลัดหลงกันในหมู่ผู้ลี้ภัย ส่วนนางก็ตกต่ำกลายเป็นนักดนตรี หลังจากถูกส่งต่อไปหลายครั้งก็ถูกคนมอบให้อวี๋เหวินจวิ้น จางเสียนยังบอกอีกว่าเพราะความเร่งรีบ เวลานี้เขาจึงสืบมาได้แต่เรื่องเหล่านี้ ส่วนจิ่งหวนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ใด มารดาเร่ร่อนไปอยู่แห่งหนใด เขายังสืบไม่พบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้สำหรับอวี๋ชิงหย่าถือว่าเพียงพอแล้ว นางวางจดหมายลงพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” สายตาของนางไม่ได้ดูประหลาดใจ แต่ฉายแววเป็นเชิงว่าคาดคิดเอาไว้แล้ว
อวี๋ชิงหย่ากล่าวกับระบบ ‘ดูท่าที่พวกเราเดาไว้จะถูกต้องแล้ว จิ่งหวนมาจากครอบครัวที่มีฐานะจริงๆ นางถึงได้เชี่ยวชาญดนตรี คนที่บรรเลงร่วมกับอวี๋ชิงจยาในวันนั้นเกรงว่าจะเป็นนาง เพียงแต่ประสบเหตุพลิกผันของครอบครัว จึงตกลงสู่ฐานะต่ำต้อย สตรีที่งดงามและมีภูมิหลังไม่เลวเช่นนี้มักเป็นผู้ที่ใจสูงกว่าฟ้า ชะตาบางกว่ากระดาษ* ทั้งนั้น ควบคุมได้ง่ายมาก’
ระบบเห็นด้วย ‘โฮสต์พูดมีเหตุผล’
อวี๋ชิงหย่าทำท่าครุ่นคิดแล้วกล่าว ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายแล้ว สตรีเช่นจิ่งหวนไม่มีทางยอมตกต่ำเป็นนักดนตรีเด็ดขาด นี่ยังมาเป็นคู่บรรเลงให้อวี๋ชิงจยาอีก นางต้องมีความไม่พอใจอวี๋ชิงจยาอยู่ในใจแน่ ข้าแค่ข่มขู่และใช้ประโยชน์หลอกล่อนางสักเล็กน้อย นางย่อมจะเต็มใจทำงานเพื่อข้า รอข้าสำเร็จการใหญ่ นางสถานะต่ำต้อยจะไม่อยู่ในกำมือข้าหรือ’
‘โฮสต์ ท่านมีแผนการแล้ว?’
‘ถูกต้อง’ อวี๋ชิงหย่ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ‘ตอนนี้เดือนสิบสองแล้ว ข้าได้ยินคนข้างนอกพูดกันว่าอิ่งชวนอ๋องจัดการงานเรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็จะกลับเยี่ยเฉิง อิ่งชวนอ๋องมีจัดงานเลี้ยงและชวนทุกคนไปร่วมเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าด้วยเหตุผลและความรู้สึก สกุลอวี๋จะต้องจัดงานเลี้ยงและเชิญอิ่งชวนอ๋องคืน ฟังจากเจตนาของเหล่าจวิน ครั้งนี้ควรให้อวี๋เหวินจวิ้นเป็นคนออกหน้าชวน เพื่อให้ทั้งสกุลอวี๋เลี้ยงส่งอิ่งชวนอ๋อง งานในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะแก้ชื่อเสียงของข้า’
อวี๋ชิงหย่าลูบจัดผมพลางนึกถึงเหตุการณ์ในงานเลี้ยงเมื่อคราวก่อน นางยังคงโกรธเคืองไม่หาย นางกล่าวย้ำเป็นพิเศษ ‘คราวก่อนเป็นเหตุไม่คาดฝัน ทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องสร้างความประหลาดใจต่อหน้าอิ่งชวนอ๋องให้ได้ ให้เขารู้ว่าข้าต่างหากคือสตรีผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง’
งานเลี้ยงครั้งที่แล้วอวี๋ชิงหย่าจิตใจฮึกเหิม ต้องการให้ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังในงานครั้งเดียว สุดท้ายถูกเล่นงานตอนอยู่ที่ศาลากลางน้ำ จนต้องคืนสิทธิ์เจ้าของเพลงให้อวี๋ชิงจยาอย่างช่วยไม่ได้ ภายหลังแสดงความสามารถฟังผ่านหูไม่ลืมเลือนต่อสายตาผู้คน ผลคือชื่อเสียงอัจฉริยะยังไม่ทันสร้าง ก็ถูกตบหน้าเสียยับเยิน ชัยชนะสองครั้งก่อนหน้า คำพูดคุยโวที่ลั่นออกไปก่อนบรรเลงพิณ เมื่อเปรียบเทียบกับอวี๋ชิงจยาก็ล้วนกลายเป็นเรื่องตลก
อวี๋ชิงหย่ากับระบบนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคราวที่แล้วต่างก็พูดไม่ออก ไม่เพียงอวี๋ชิงหย่าได้รับผลกระทบที่ยังหลงเหลืออยู่ แม้แต่ระบบก็เกือบจะล่มสลาย จนถึงวันนี้อวี๋ชิงหย่าคิดจะรักษาตัวก็สายเกินไปแล้ว ตั้งแต่เรื่องในคราวนั้นนางต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัว เส้นประสาทของนางได้รับความเสียหาย ยังไม่ทันรักษาให้หายดีก็ต้องไปดูแลผู้ป่วย การทรมานหลายวันมานี้ทำให้นางปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังแม้จะกินยาของระบบและบรรเทาอาการไปมากแล้ว แต่อาการปวดหัวก็ยังอยู่จนถึงตอนนี้ อวี๋ชิงหย่าลองดูหลายวิธีก็ยังไม่มีวิธีใดรักษาได้
ความเสียหายของสมองจำเป็นต้องหาทางแก้ไขอย่างช้าๆ แต่ตอนนี้อวี๋ชิงหย่าต้องกอบกู้ชื่อเสียงของตนกลับมาก่อน ผู้คนในใต้หล้าล้วนจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น ถึงอวี๋ชิงหย่าจะชนะการดวลพิณถึงสองครั้ง แต่ครั้งสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้อวี๋ชิงจยา เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะสนใจอวี๋ชิงหย่าอีก อวี๋ชิงหย่ากับระบบจึงกลายเป็นหินรองเหยียบของอวี๋ชิงจยา ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเรื่องบันทึกเพลงพิณและอิ๋นผิง แขกสตรีบางคนจึงกระจายข่าวลือว่าอวี๋ชิงหย่ามีจุดประสงค์แอบแฝง คิดจะครอบครองความสำเร็จของน้องสาว
อวี๋ชิงหย่าจะยอมรับความแตกต่างนี้ได้อย่างไร ช่วงนี้นางอธิบายกับคนอื่นๆ อยู่ตลอด อ้างว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนัก อวี๋ชิงหย่าคิดว่านางจำเป็นต้องหาโอกาสสำคัญแก้ไขชื่อเสียงให้แก่ตนเอง งานเลี้ยงนี้จะเป็นที่จับตามองของผู้คน หากอวี๋ชิงจยาทำพลาดในงานเลี้ยงครั้งนี้ เช่นนั้นเสียงวิจารณ์ของนางกับอวี๋ชิงจยาก็จะพลิกผันทันทีใช่หรือไม่…
อวี๋ชิงหย่ากลอกตาและตัดสินใจทันที นางกล่าวกับระบบ ‘ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่สวรรค์ประทานลงมา ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ตัวจิ่งหวนผู้นี้ ระบบ เจ้ามีวิธีที่ทำให้แน่ใจว่านางจะเชื่อฟังข้าบ้างหรือไม่’
‘โฮสต์วางแผนจะทำอย่างไร’
‘ข้าจะใช้งานนาง ทำให้อวี๋ชิงจยาก่อเรื่องอื้อฉาวจนชื่อเสียงป่นปี้ ครั้งนี้สำคัญมาก อาศัยเพียงนำชาติกำเนิดของจิ่งหวนมาข่มขู่ เกรงว่าจะยังวางใจไม่ได้’
‘ร้านค้าระบบสามารถให้ความช่วยเหลือแก่โฮสต์ได้ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนอุปกรณ์สมมติให้ท่านได้ อย่างเช่นเสน่ห์ของต๋าจี่’
‘มันคืออะไร’
‘เครื่องมือพิเศษที่สร้างขึ้นจากภัยพิบัติของนารีอันเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ สามารถเพิ่มเสน่ห์และพลังในการปลุกปั่นของโฮสต์ได้ ทำให้คนที่ท่านต้องการควบคุมเชื่อฟังคำสั่งของท่านแต่โดยดี’
อวี๋ชิงหย่าดีใจอย่างยิ่ง นางรีบถาม ‘เช่นนั้นก็หมายความว่าหลังจากใช้วิชาเสน่ห์ต๋าจี่แล้ว ไม่ว่าข้าใช้เสน่ห์กับใครก็ล้วนสำเร็จหรือ’
‘ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากบุคคลที่เป็นเป้าหมายมีความตระหนักรู้ในตนเองมาก ความระมัดระวังตัวก็จะยิ่งสูง โอกาสในการต้องเสน่ห์จะยิ่งน้อยลง อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่มีทั้งฝูงชนและเหตุอื่นๆ ขอแนะนำให้โฮสต์ใช้เสน่ห์นี้เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อการหาเลี้ยงชีพ’
อวี๋ชิงหย่าผิดหวังเล็กน้อย นางคิดว่าจะสามารถใช้วิชาเสน่ห์เพื่อสะกดจิตหลางหยาอ๋อง สะกดจิตฮ่องเต้ได้โดยตรง แล้วไต่เต้าขึ้นสูงไปตลอดทางได้เสียอีก หากนางสามารถล่อลวงเชื้อพระวงศ์ได้ ทำให้บุรุษที่ดีเลิศที่สุดในใต้หล้ามาพิชิตใต้หล้าเพื่อนาง เช่นนั้นนางในตอนนี้จะมัวมาเปลืองแรงกายและแรงใจไปทำอันใด ช่างน่าเสียดาย วิธีการนี้ทำได้เพียงเป็นตัวช่วยเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นไพ่ตายได้
ดูเหมือนสุดท้ายระบบก็เป็นแค่สิ่งไม่มีชีวิต มันสามารถจัดหาเครื่องมือต่างๆ ได้ แต่สิทธิ์ในการตัดสินใจยังคงอยู่ในกำมือคน อวี๋ชิงหย่าใจเต้นเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็เหมือนจะคว้าโอกาสบางอย่างที่ใช้ควบคุมระบบได้แล้ว
ลมในศาลาส่งเสียงดังซู่ซ่า มองออกไปเห็นเพียงฝักบัวแห้งเหี่ยวในสระน้ำ ยามลมหนาวพัด ต้นไม้ก็ส่งเสียงกรอบแกรบ
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอมเทามองเห็นร่างหนึ่งที่สวมชุดสีขาว สวมหมวกม่านแพรคลุมยาวถึงเข่ากำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า อวี๋ชิงหย่าให้คนวางเตาอุ่นเต็มศาลากลางน้ำ สายลมหนาวพัดอยู่ภายนอก แต่ภายในม่านกลับมีกลิ่นหอมอบอุ่นปะทะหน้า วันนี้ตอนที่นางมา เดิมทีมีความรู้สึกเหนือกว่าและควบคุมทุกอย่างได้ แต่เมื่อนางมองดูเงาร่างที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ม่านตาก็อดขยายออกไม่ได้ นางจ้องมองการเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนอย่างหวาดกลัว นอกจากมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแล้ว นางก็ไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเลย จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ อวี๋ชิงหย่าพลันตกใจ และรู้สึกตัวว่าตนเหม่อลอยไป
อวี๋ชิงหย่าระมัดระวังตัวขึ้นมา ยังไม่ทันให้นางได้หายตกใจ มู่หรงเหยียนก็หยุดอยู่นอกม่านแล้ว เขาไม่เข้ามา อาภรณ์สีขาวสะบัดพลิ้วไปตามสายลมหนาว เสียงของเขากลืนไปกับสายลม คาดไม่ถึงว่าแลดูเยือกเย็นกว่าอากาศในเวลานี้หลายส่วน “มีอะไรก็รีบพูดมา ข้ามีธุระอื่นที่สำคัญ”
อวี๋ชิงหย่าฟุ้งซ่านเพียงแค่ครู่เดียว อำนาจของผู้ที่อยู่เหนือกว่าก็ถูกมู่หรงเหยียนแย่งชิงไปแล้ว นางลอบขมวดคิ้ว พลันชิงกล่าว หมายจะแย่งอำนาจในการควบคุมกลับมา “วางท่าใหญ่โตนักนะ ตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่คนตกทุกข์ได้ยากผู้หนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้ เจ้าเคยทำเรื่องอะไรไว้ คิดว่าจะปิดบังทุกคนได้จริงๆ หรือ”
อวี๋ชิงหย่าเจตนาแค่นเสียงหนัก แสร้งทำเป็นพูดคำขู่ด้วยท่าทีลึกลับ
ทว่าสำหรับมู่หรงเหยียนคำพูดพวกนั้นก็ถือว่ามีความจริงอยู่บ้าง เพราะตรงกับชีวิตเขา แต่มู่หรงเหยียนฟังแล้วคิ้วตาไม่ขยับ เขาเพียงยืนนิ่งท่ามกลางสายลม
อวี๋ชิงหย่าเห็นอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวก็รู้สึกรางๆ ว่ามีบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม นางไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย จึงถามต่อ “ตอนนี้เจ้าพลัดพรากกับครอบครัวมาได้หลายปีแล้วสินะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าตอนนี้มารดาของเจ้าอยู่ที่ใด”
อวี๋ชิงหย่าตั้งใจจะยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว หลอกใช้จิ่งหวนเพื่อเล่นงานอวี๋ชิงจยา หลังจบเรื่องก็โยนความผิดทั้งหมดไปให้จิ่งหวนเสีย หนามตำใจทั้งสองของบ้านรองก็จะถูกจัดการในคราวเดียว ทว่านางหาโอกาสมานานแล้วก็ไม่สามารถพบจิ่งหวนโดยบังเอิญได้ เพราะอีกฝ่ายเก็บตัวอยู่ในเรือนลึกเกินไปจริงๆ ออกไปข้างนอกเพียงไม่กี่ครั้ง และข้างกายจะต้องมีอวี๋ชิงจยาอยู่ด้วยเสมอ อวี๋ชิงหย่าเฝ้ารอโอกาสมานาน สุดท้ายนางก็เลือกใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุด โดยส่งจดหมายถึงจิ่งหวน เขียนข้อความอย่างคลุมเครือเกี่ยวกับข่าวของมารดาอีกฝ่าย เพื่อใช้สิ่งนี้ล่อจิ่งหวนออกมา
อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งจิ่งหวนมายืนอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ อวี๋ชิงหย่ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องนัก เดิมนางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นอนุรูปงามธรรมดาๆ คนหนึ่ง สตรีที่ตระกูลตกต่ำแต่จิตใจสูงกว่าฟ้านั้นนางเห็นมานักต่อนักแล้ว แรกเริ่มอวี๋ชิงหย่าคาดว่าจิ่งหวนจะเป็นเช่นที่คิดไว้ แต่ขณะที่อีกฝ่ายเดินมาอย่างเชื่องช้า มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน กระทั่งลำตัวช่วงบนก็มองเห็นเพียงเลือนราง มีแค่แขนเสื้อที่กระพือช้าๆ อวี๋ชิงหย่าก็ได้แต่ตะลึงงัน เวลานี้หลังนางพูดจบแล้วเดิมควรจะจิตใจสงบผ่อนคลาย แต่นางกลับรู้สึกประหม่าและไม่ปลอดภัยอย่างยากจะอธิบาย
นี่คือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก
อวี๋ชิงหย่ากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็กล่าว “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
อีกฝ่ายงับเหยื่อแล้ว แต่อวี๋ชิงหย่าไม่ได้ดีใจที่ปลางับเหยื่อ กลับพูดอย่างตะกุกตะกัก “ข้ามีข่าวของมารดาเจ้า ขอแค่เจ้าทำตามแผนการของข้า วันหน้าข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ร่วมกับนาง”
“ข่าวของมารดาข้า?” มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ เหตุใดเขาต้องให้ผู้อื่นมาเตือนด้วย เขารู้อยู่แล้ว มารดาของเขาตายอย่างไร และทุกสิ่งของเขาถูกคนแย่งชิงไปอย่างไร
เนื่องจากมีม่านและหมวกม่านแพรกั้นอยู่ อวี๋ชิงหย่าจึงไม่สามารถมองเห็นท่าทีของอีกฝ่ายได้ แต่ก็รู้สึกได้เลือนรางว่าอีกฝ่ายคล้ายกำลังยิ้มอยู่ ทั้งที่ไม่เห็นอะไรเลยแท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกว่าคนผู้นั้นงดงามจนน่าตื่นตะลึง อวี๋ชิงหย่าทั้งตะลึงงันและระแวดระวัง
โดยไม่รอให้นางได้ตั้งสติ มู่หรงเหยียนก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าถือเป็นสิ่งใด เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า”
มู่หรงเหยียนพูดจบ อาภรณ์พลันพลิ้วไหวเล็กน้อยขณะหมุนกายเพื่อจากไป
อวี๋ชิงหย่าร้อนใจ รีบกู่ร้องขึ้นในใจ ‘ระบบ! เปิดใช้งานวิชาเสน่ห์ต๋าจี่!’
ราวกับมีบางอย่างที่มองไม่เห็นแตกต่างออกไป แต่ก็ราวกับทุกอย่างคือภาพลวงตา ขณะที่อวี๋ชิงหย่าเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง นางพลันรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนประหนึ่งมีกระแสน้ำวนแห่งการปลุกปั่นจิตใจคนอยู่ “เจ้าไม่อยากรู้จริงๆ หรือ”
มู่หรงเหยียนร่างหยุดชะงัก ในเวลานี้มีสายลมระลอกหนึ่งพัดมา ใบบัวเหี่ยวเฉาในน้ำส่งเสียงดังกรอบแกรบ มู่หรงเหยียนได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากสายลม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 มิ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.