X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 64

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 64 เปรี้ยวฟัน

เมื่อครู่นี้มีม่านกางกั้นอยู่ มู่หรงเหยียนจึงไม่ได้สนใจ จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้กลิ่นเครื่องหอมเพิ่มเข้ามาในศาลา

มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วมุ่น ถอยหลังสองก้าวอย่างเงียบเชียบ

สภาพจิตใจของเขาไม่มั่นคง เนื่องจากมีความกระหายเลือดที่ควบคุมไม่ได้อยู่ในตัว ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสัมผัสสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นมาโดยตลอด เครื่องหอมยิ่งเป็นของที่กระตุ้นความกระหายเลือดได้ง่ายที่สุด เขายิ่งต้องระมัดระวังให้มาก อวี๋ชิงหย่าควรรู้สึกโชคดีที่เครื่องหอมเสริมวิชาเสน่ห์ของนางเป็นประเภทสงบจิต มิเช่นนั้นเกรงว่าตอนนี้คงเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง

มู่หรงเหยียนถอยหลังสองก้าวไปยืนอยู่ที่ช่องรับลม กลิ่นหอมเจือจางที่ปลายจมูกหายไปในที่สุด เวลานี้เขาเพิ่งสังเกตว่าท่าทีของอวี๋ชิงหย่าดูแปลกไปจากเดิม

ม่านตาของนางขยายกว้าง ดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อรวมกับกลิ่นเครื่องหอมสงบจิตที่ช่วยในการนอนหลับเวลานี้ มู่หรงเหยียนก็เดาได้อย่างง่ายดายว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่

มู่หรงเหยียนไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกว่าน่าขบขัน อวี๋ชิงหย่าคิดว่าวิธีการสะกดจิตชั้นต่ำเช่นนี้จะสามารถควบคุมจิตใจเขาได้จริงหรือ ครั้งหนึ่งมู่หรงเหยียนเคยเห็นสนมชายาในวังหลวงใช้แผนการพวกนี้มาก่อนเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน พวกนางทั้งสวดภาวนาต่อเทพและบูชาพระ จุดธูปสะกดจิต ใช้คาถาอาคม หรือไปพบหมอผีที่แสร้งทำลึกลับหลอกลวงผู้คน อ้างว่าสามารถติดต่อกับผู้ตายได้ ทำให้คนเป็นมองเห็นชีวิตหลังความตาย เป้าหมายของคาถาเหล่านี้จะต้องเป็นคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ผู้อื่นพูดอย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น ขอแค่เป็นคนเช่นนี้ก็จะถูกสะกดจิตได้ง่าย แต่มู่หรงเหยียนไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ความระมัดระวังและความก้าวร้าวนั้นแข็งแกร่งมาก ใช้วิชาสะกดจิตกับเขา ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ

ในอดีตกระทั่งนักเวทในวังยังทำอะไรมู่หรงเหยียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยามนี้วิธีการของอวี๋ชิงหย่ายังห่างไกลกับนักเวทมาก นางก็ยังกล้าเอามาใช้ต่อหน้าเขาอีก

เดิมมู่หรงเหยียนไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขาไม่รีบร้อน จึงถือโอกาสอดทนดูอวี๋ชิงหย่า หรือพูดอีกอย่างก็คือดูว่าระบบที่อยู่เบื้องหลังของนางจะทำอะไร เนื่องจากมู่หรงเหยียนหยุดฝีเท้ากะทันหัน อวี๋ชิงหย่าจึงดีใจ กล่าวกับระบบทันที ‘ระบบ วิชาเสน่ห์ต๋าจี่มีประโยชน์จริงๆ นางหยุดแล้วจริงๆ ด้วย’

ระบบกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ‘วิชาเสน่ห์ต๋าจี่เป็นคลื่นอินฟราเรดที่ดึงมาจากสมองของแบบจำลอง หลังจากสร้างแบบจำลองอย่างสมบูรณ์โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ อิงจากประสบการณ์ภัยพิบัติจากนารีอันเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ของพวกเรา เป้าหมายภารกิจจะไม่ได้ยินเสียงคลื่นอินฟราเรด แต่คลื่นเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจกรรมทางจิตของเป้าหมาย ดังนั้นจึงสามารถบรรลุผลเช่นเดียวกับต๋าจี่มอมเมากษัตริย์’

คำอธิบายของระบบมีคำศัพท์เฉพาะทางมากมาย อวี๋ชิงหย่าฟังแล้วเข้าใจเพียงบางส่วน แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเข้าใจคร่าวๆ ของอวี๋ชิงหย่า นางแค่รู้ว่าตอนนี้ตนเองเหมือนกับต๋าจี่และเปาซื่อในตำนานเล่าขานที่สามารถใช้เสน่ห์ให้กษัตริย์หลงมัวเมาได้ก็พอแล้ว

อวี๋ชิงหย่าคิดไปเองว่าวิชาเสน่ห์สำเร็จ จึงกล่าวต่อโดยกดน้ำเสียงต่ำลง “เจ้าพอใจกับชีวิตในตอนนี้แล้วจริงๆ หรือ ทั้งที่ความสามารถในการเล่นพิณของเจ้าไม่ด้อยไปกว่าอวี๋ชิงจยาแท้ๆ แต่แค่เพราะเจ้าเป็นอนุ ส่วนนางเป็นบุตรสาวสายตรง ดังนั้นเจ้าจึงเป็นได้แค่คู่บรรเลงของนาง ช่วยขับให้นางโดดเด่นเท่านั้น เห็นชัดๆ ว่าเจ้ามีผลงานอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ชื่อเสียงทั้งหมดกลับตกเป็นของนาง และไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าเลย”

มู่หรงเหยียนไม่พูดจา ซ้ำในแววตายังปรากฏรอยยิ้ม มองอวี๋ชิงหย่าอย่างเงียบๆ

อวี๋ชิงหย่าคิดว่าอีกฝ่ายถูกโน้มน้าวสำเร็จแล้ว จึงรีบใส่ไฟเพิ่มไปอีก “ฐานะเดิมของเจ้าก็ไม่เลว อวี๋ชิงจยาใช้งานเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะปล่อยผ่านไปได้หรือ”

มู่หรงเหยียนอดทนมาตั้งนาน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอวี๋ชิงหย่าพูดบางคำที่มีประโยชน์ เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง กล่าวว่า “พูดมีเหตุผล ปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆ”

อวี๋ชิงหย่าดีใจอย่างยิ่งพลางคิดในใจ นึกแล้วว่าของจากระบบใช้งานได้ราบรื่นทุกอย่างจริงๆ ขนาดจิ่งหวนผู้นี้ตอนแรกยังเย็นชาอยู่ แต่พอใช้วิชาเสน่ห์ก็เชื่อฟังแต่โดยดี อวี๋ชิงหย่าสงบจิตใจ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้งอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าจะไม่พอใจก็ถูกแล้ว ขอแค่เจ้าเชื่อฟังข้า ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้ากลับมามั่งคั่งร่ำรวยได้ใหม่ แม้กระทั่งมารดาของเจ้า ขอแค่เจ้าทำผลงานได้ดี ข้าก็จะช่วยตามหานางให้เจ้าเช่นกัน”

มู่หรงเหยียนมองอวี๋ชิงหย่าที่เอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ยากจะนึกได้ว่าใต้หล้ามีคนที่โง่เขลาเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่ต้องให้ข้าเปลืองแรง คนโง่ผู้นี้ก็พูดออกมาหมดเปลือกแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้มู่หรงเหยียนก็ถามขึ้น “เจ้าคิดจะทำอะไร”

“อวี๋ชิงจยาทำลายแผนการใหญ่ของข้า ทำลายชื่อเสียงข้า ข้าต้องทำให้นางได้รับความรู้สึกเดียวกัน” อวี๋ชิงหย่าพูดอย่างไม่ไยดีพลางเหลือบมองมู่หรงเหยียนปราดหนึ่ง “ในตอนนี้ยังบอกแผนการโดยละเอียดกับเจ้าไม่ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าเพียงฟังคำสั่งของข้าก็พอ”

วิชาเสน่ห์ของต๋าจี่สิ้นเปลืองคะแนนทุกชั่วขณะ อวี๋ชิงหย่ามองดูคะแนนที่หายไปราวกับบินหนีด้วยตาตนเอง นางเสียดายคะแนน จึงสิ้นสุดรัศมีเสน่ห์ทันทีที่เห็นว่าการสะกดจิตสำเร็จ อวี๋ชิงหย่าคิดว่านางใช้การข่มขู่และปิดท้ายด้วยผลประโยชน์หลอกล่อก็สามารถควบคุมมู่หรงเหยียนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงจากไปอย่างพึงพอใจ มู่หรงเหยียนเดินไปที่ลานเรือนอย่างไม่เร็วไม่ช้า ขณะที่เขาเดินก็คิดในใจว่าเพิ่งเคยพบนักโทษที่สอบปากคำง่ายเช่นนี้เป็นครั้งแรก

แค่ถามเรื่อยเปื่อยก็พูดออกมาหมดเปลือกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาบอกข้าก่อนลงมืออีก

ลมหนาวพัดซู่ๆ กิ่งไม้แห้งเหี่ยวในลานเรือนส่งเสียงดังกรอบแกรบ ไป๋หรงไม่พบมู่หรงเหยียนในเรือนหลัง นางตกใจ รีบเดินไปข้างนอกทันที พบว่าเพิ่งเดินไปถึงระเบียงหน้าก็เห็นเงาร่างสีขาวเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ไป๋หรงพลันหยุดนิ่งและก้มหัวหลีกทางให้ทันที

คุณชายหายตัวไปอย่างกะทันหัน เกือบจะทำให้ไป๋หรงตกใจตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่อให้นางยืมสิบความกล้า ก็ไม่กล้าถามว่าเมื่อครู่นี้มู่หรงเหยียนไปที่ใดมา

ไป๋หรงกลั้นหายใจ ก้มหน้ามองอิฐบนพื้น ไม่กล้ามองคุณชายตรงๆ คิดไม่ถึงว่ามู่หรงเหยียนกลับหยุดอยู่ข้างๆ นางแล้วถามว่า “นางอยู่ที่ใด”

คำพูดนี้เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป ทว่าไป๋หรงตะลึงงันเพียงชั่วขณะก็เข้าใจทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูหกตามหาท่านไม่พบ กำลังจะสวมเสื้อคลุมออกไปข้างนอก คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอท่านผู้บัญชาการทัพอวี๋เจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูหก…บิดาและบุตรสาวกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือสองคนเจ้าค่ะ”

มู่หรงเหยียนพยักหน้า ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็นโดยไม่พูดมากความแม้แต่คำเดียว ไป๋หรงจิตใจซับซ้อนเล็กน้อย คุณชายเหมือนกับที่เล่าลือกันดังคาด เขาเป็นคนนิสัยเย็นชาและเด็ดขาด ถือผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก แต่ในสายตาของเขาเหมือนมีแค่อวี๋ชิงจยาที่ดูแตกต่างออกไป

เมื่อครู่นี้มู่หรงเหยียนรำคาญอวี๋ชิงหย่า บอกว่าตนมีธุระสำคัญ เขามีธุระสำคัญจริงๆ และ ‘อวี๋ชิงจยา’ ก็คือธุระสำคัญของเขา มู่หรงเหยียนเดินไปถึงประตู งอนิ้วมือขึ้น ตอนที่กำลังจะเคาะประตู เขาก็หยุดชะงัก

เบื้องหน้าแม้มีประตูไม้หนึ่งบานกั้นอยู่ ทว่าเสียงข้างในกลับไร้สิ่งใดกั้นขวาง เนื่องจากมู่หรงเหยียนเดินอย่างไร้สุ้มเสียง อวี๋เหวินจวิ้นและอวี๋ชิงจยาที่อยู่ในห้องจึงไม่รู้ตัวว่ามู่หรงเหยียนมา

อวี๋เหวินจวิ้นเป็นห่วงอย่างยิ่ง เขาสอบถามรายละเอียดระหว่างทางของอวี๋ชิงจยาอย่างใจเย็น “วันนั้นม้าพวกเจ้าแตกตื่นวิ่งเตลิดออกไป มันวิ่งไปที่ใดกัน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น”

อวี๋ชิงจยาเล่าเหตุการณ์ที่รถม้าเสียการควบคุม สุดท้ายคนทั้งสองจำต้องลัดเลาะป่าไม้และเข้าพักที่เมืองซีซงให้อวี๋เหวินจวิ้นฟังคร่าวๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่อวี๋ชิงจยาเล่านั้นได้ข้ามเรื่องที่นางกับมู่หรงเหยียนหลบฝนในถ้ำภูเขาโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งประสบการณ์ที่คนทั้งสองค้างแรมในโรงเตี๊ยมด้วยกัน นางก็เล่าผ่านไปอย่างคร่าวๆ

สำหรับมือสังหารสองคนที่ตามฆ่าพวกเขาในป่าแต่ภายหลังไร้ข่าวคราว อวี๋ชิงจยาไม่ได้เล่าถึง อวี๋เหวินจวิ้นเองก็ไม่ได้ถาม คนทั้งสองต่างรู้แก่ใจแต่ไม่พูดออกมา จึงเพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

ในที่สุดอวี๋เหวินจวิ้นก็รู้ถึงเหตุการณ์หลังจากที่คนทั้งสองกลุ่มแยกทางกันแล้ว เขาแค่ฟังอวี๋ชิงจยาเล่าก็ตกใจจนทั่วร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อยว่าอวี๋ชิงจยาต้องประสบอันตรายมากน้อยเพียงใด อวี๋เหวินจวิ้นทอดถอนใจพลางกล่าว “ครั้งนี้ได้จิ่งหวนช่วยไว้เยอะมาก มิเช่นนั้น…”

อวี๋เหวินจวิ้นพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดกะทันหัน เนื่องจากเขาฉุกคิดได้ว่าหากไม่มีมู่หรงเหยียน อวี๋ชิงจยาก็ไม่ต้องประสบเหตุการณ์เหล่านี้ สุดท้ายแล้วนี่เป็นโชคหรือเคราะห์ก็มิอาจแยกแยะได้ชั่วขณะ

อวี๋ชิงจยาเดิมพยักหน้าเป็นเชิงว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง แต่จู่ๆ เห็นอวี๋เหวินจวิ้นหยุดพูด นางก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจ แล้วกล่าวเสริมคำที่เหลือของอีกฝ่าย “ตลอดทางมานี้ได้จิ่งหวนช่วยดูแลข้าไว้มาก ควรขอบคุณนางเจ้าค่ะ”

อวี๋เหวินจวิ้นถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ไม่อยากจะนึกถึงเรื่องเหล่านี้อีก เขามองอวี๋ชิงจยา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “จยาจยา เมื่อก่อนพ่อใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง คิดแต่จะให้จิ่งหวนมาเป็นอันดับแรก จนละเลยความรู้สึกของเจ้า หลายเดือนมานี้พ่อคิดทบทวนอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าตอนอยู่ก่วงหลิงพ่อทำผิดต่อเจ้าไว้มาก เจ้าพูดถูก พ่อเข้าข้างจิ่งหวนมากเกินไป”

อวี๋เหวินจวิ้นจำได้ดี ตอนอยู่เมืองก่วงหลิง อวี๋ชิงจยาโวยวายใหญ่โตเพราะมู่หรงเหยียน นางคิดว่ามู่หรงเหยียนเป็นสตรี จึงเกิดอาการหวงบิดาอย่างยิ่ง สร้างปัญหาอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นอวี๋เหวินจวิ้นคิดว่าเป็นแค่อารมณ์ของแม่นางน้อย ไม่ต้องสนใจ แต่สามเดือนมานี้ที่อวี๋ชิงจยาไม่อยู่ข้างกาย อวี๋เหวินจวิ้นก็ค่อยๆ คิดทบทวน และพบว่าวิธีการของตนนั้นไม่เหมาะสม ทั้งยังละเลยอวี๋ชิงจยาไปมาก

อวี๋เหวินจวิ้นได้รับบทเรียนแล้ว เขาตัดสินใจว่ากลับมาครั้งนี้จะปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ในเมื่ออวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนไม่ลงรอยกันประหนึ่งน้ำกับไฟ เช่นนั้นอวี๋เหวินจวิ้นก็ต้องพยายามมากขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน

อวี๋ชิงจยานั่งบนที่นั่ง ถือโอกาสหยิบส้มในถาดผลไม้ขึ้นมาดูเล่น “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ให้นางเป็นคนถือกุญแจเรือนก็ดีแล้ว”

อวี๋เหวินจวิ้นเตรียมคำพูดไว้เต็มท้อง พอได้ยินคำตอบของอวี๋ชิงจยาก็เกือบสำลัก เขาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง หลังจากตะลึงงันอยู่พักใหญ่ก็ถามย้ำอย่างคาดไม่ถึง “เจ้ายอมให้จิ่งหวนดูแลเรือนต่อจริงๆ หรือ”

อวี๋ชิงจยามองอวี๋เหวินจวิ้นอย่างประหลาดใจ “ไม่เป็นไร เช่นนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ”

อวี๋เหวินจวิ้นตกตะลึงโดยสมบูรณ์ เขาจำได้ดีว่าก่อนออกเดินทางอวี๋ชิงจยาโวยวายอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ ซ้ำยังร้องไห้ด้วยความโกรธ ตอนนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นคนละคน

“จยาจยา พ่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ละเลยเจ้า ตอนนี้จิ่งหวนไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่ชอบใจก็พูดมาตรงๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นเก็บมันไว้ในใจ”

อวี๋เหวินจวิ้นคิดว่าอวี๋ชิงจยายังโกรธอยู่ ตอนนี้นางจึงแสร้งพูดตรงกันข้าม อวี๋ชิงจยาส่ายหน้า กล่าวโดยไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง “ท่านพ่อคิดมากแล้ว นางดีมาก อีกอย่างอะไรคือ ‘ตอนนี้จิ่งหวนไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่ชอบใจก็พูดมาตรงๆ’ ท่านพ่อจะว่าผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”

อวี๋เหวินจวิ้นอารมณ์ภายในซับซ้อน เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกบุตรสาวสั่งสอนเสียเอง ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ การเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ค่อยทัน

รอยยิ้มบนริมฝีปากของมู่หรงเหยียนหายไป ในที่สุดมือที่ยกค้างไว้ของเขาก็ออกแรงเคาะประตูอย่างช้าๆ เสียงดังชัดเจน

อวี๋เหวินจวิ้นได้ยินเสียงเคาะประตู สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนท่าทีของอวี๋ชิงจยากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นางแทบจะรู้ในทันทีว่าผู้ที่อยู่นอกประตูคือใคร นางยืนขึ้น ยกชายกระโปรงแล้ววิ่งไปที่ประตู ก่อนจะออกแรงผลักประตูออก “เจ้ากลับมาแล้วหรือ เมื่อครู่นี้เจ้าไปที่ใดมา ข้าตามหาเจ้าไม่พบเลย”

น้ำเสียงเช่นนี้คล้ายบ่นแต่ก็คล้ายออดอ้อน การกระทำทั้งหมดของอวี๋ชิงจยาดูเป็นธรรมชาติ มู่หรงเหยียนก็จับข้อมือของนางอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน ดึงนางออกห่างจากประตู แล้วหันไปปิดประตู “ข้างนอกลมแรง อย่ายืนตรงช่องลม”

อวี๋เหวินจวิ้นนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน เขาพลันเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย

หัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้ไม่มีใครพูดต่อ อวี๋เหวินจวิ้นไม่รู้ว่ามู่หรงเหยียนได้ยินมากน้อยเพียงใด แต่ในเมื่อมู่หรงเหยียนไม่พูด อวี๋เหวินจวิ้นก็ไม่เอ่ย ต่อให้คุณชายถามขึ้นมา อวี๋เหวินจวิ้นก็ไม่ละอายใจ เขาอยากช่วยงานสำคัญของคุณชาย แต่ก็ต้องดูแลบุตรสาวในครอบครัวด้วยเช่นกัน บุตรสาวรู้เรื่องราวแค่เพียงบางส่วน เข้าใจสถานะของคุณชายผิด ส่งผลให้นางกับคุณชายไม่ถูกกันดั่งน้ำกับไฟ เขาแยกคนทั้งสองออกจากกัน ว่าด้วยหลักของเหตุผลและความรู้สึกแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะตำหนิเขาได้

อวี๋เหวินจวิ้นตัดสินใจภายในใจแล้ว เตรียมพูดไปตามจริงถ้ามู่หรงเหยียนถามถึง ต่อให้ทำเช่นนี้แล้วมู่หรงเหยียนจะไม่พอใจก็ตาม แต่ที่น่าแปลกคือ…เหตุใดมู่หรงเหยียนถึงดูอารมณ์ดี

อวี๋เหวินจวิ้นรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ

มู่หรงเหยียนนั่งลงตรงที่นั่งแขกชั้นบนอย่างรู้สึกสมเหตุสมผล…

ในอดีตอวี๋ชิงจยาโกรธจนควันแทบขึ้นหัวเพราะลำดับที่นั่ง ทว่าตอนนี้นางลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้ง แล้วนั่งลงที่ด้านล่างมู่หรงเหยียนอย่างคล่องแคล่วและคุ้นเคย ทั้งยังหยิบส้มในถาดผลไม้มาเล่นอย่างผ่อนคลาย

เมื่อมู่หรงเหยียนเข้ามาแล้ว อวี๋เหวินจวิ้นก็จำต้องทักทายใหม่อีกครั้ง ขณะที่พวกเขาสองคนสนทนากัน อวี๋ชิงจยาก็ปอกส้มอย่างสบายใจ นางแบ่งออกมาหนึ่งกลีบแล้วใส่เข้าปาก พลันขมวดคิ้วด้วยความเปรี้ยว

มู่หรงเหยียนกำลังพูด จู่ๆ แขนเสื้อก็ถูกคนดึง เขาหันมามอง เห็นมือเรียวขาวเนียนของอวี๋ชิงจยากำส้มกลีบหนึ่ง มองเขาตาปริบๆ “เจ้ากินส้มหรือไม่”

มู่หรงเหยียนก้มหน้ากวาดตามองปราดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ ข้าไม่กินของพวกนี้”

“เจ้าชิมดูสิ!” อวี๋ชิงจยาพูดพลางยัดส้มกลีบหนึ่งใส่ในมือมู่หรงเหยียน

เขาจนปัญญา ได้แต่ก้มหน้าแล้วส่งส้มกลีบนั้นเข้าไปในปาก หัวคิ้วของมู่หรงเหยียนพลันกระตุก

อวี๋ชิงจยากล่าวกับเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ “เปรี้ยวเป็นพิเศษใช่หรือไม่!”

ดวงตาของนางเป็นประกาย ภายในนั้นเต็มไปด้วยความสุขที่หลอกคนสำเร็จ แววตาแสดงความรู้สึกชัดเจน มู่หรงเหยียนมองนาง ทั้งที่ท่าทางยังคงเหมือนกับเมื่อครู่นี้แท้ๆ แต่สายตากลับแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มและอ่อนโยนขึ้นมาก

อวี๋เหวินจวิ้นที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งพลันรู้สึกว่าตนก็เปรี้ยวเช่นกัน…แต่เป็นการเปรี้ยวฟัน!

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มิ.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: