บทที่ 65 ไร้พิษภัย
อวี๋เหวินจวิ้นมองดูคนทั้งสองที่นั่งฝั่งเดียวกันแล้วเพิ่งพบว่าตนเหมือนจะละเลยสิ่งสำคัญไป
ในตอนแรกสุดที่อวี๋เหวินจวิ้นพามู่หรงเหยียนกลับมาอย่างลับๆ เขาคิดแค่จะปกปิดสถานะอีกฝ่ายอย่างไร ภายหลังอวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนไม่ลงรอยกัน อวี๋เหวินจวิ้นนอกจากปวดหัวก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ต่อมาเขาพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่เมืองผิงชาง อวี๋ชิงจยาออกจากบ้านเป็นเวลานานเช่นนี้เป็นครั้งแรก อวี๋เหวินจวิ้นทั้งกระวนกระวายทั้งหวาดกลัว จึงมีเวลาได้ไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ เขาหยิบมาคิดทีละเรื่อง ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าช่วงก่อนหน้าตนละเลยบุตรสาวไปมากเพียงใด เขารู้สถานะที่แท้จริงของมู่หรงเหยียน แต่อวี๋ชิงจยาไม่รู้ เดิมทีนางก็สูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเล็ก หากเขาเอาแต่ลำเอียงเข้าข้างมู่หรงเหยียนมีแต่จะทำให้อวี๋ชิงจยารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ
อวี๋เหวินจวิ้นได้เรียนรู้บทเรียนและตระหนักถึงความผิดพลาดของตน ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะชดเชยให้อย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าพอเขากลับมา อวี๋ชิงจยากับมู่หรงเหยียนจะสามัคคีกลมเกลียวกันเสียอย่างนั้น บุตรสาวไม่อยากได้รับการชดเชยจากบิดาอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว
อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ อวี๋ชิงจยากินส้มคนเดียวหนึ่งกลีบ หากรู้สึกเปรี้ยว แค่วางมันลงก็ได้แล้ว นางกลับจะยื่นให้มู่หรงเหยียนชิมให้ได้ ที่สำคัญคือมู่หรงเหยียนก็ยอมรับส้มมาและให้ความร่วมมือจริงๆ บุตรสาวของเขาแม้จะฉลาดและยิ้มง่าย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายนัก เนื่องจากอวี๋ซื่อและสภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมา อวี๋ชิงจยาจึงดูเหมือนเป็นมิตรเข้ากับคนง่าย แต่ในความเป็นจริงนางวางตัวห่างเหินกับผู้อื่นมาก การออดอ้อนอย่างเป็นธรรมชาติเช่นในตอนนี้มีให้เห็นน้อยมาก ส่วนมู่หรงเหยียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ผู้อื่นตายตรงหน้าเขา เขาก็ไม่ก้มหน้ามองสักครั้งด้วยซ้ำ แล้วจะกินอาหารที่ผู้อื่นส่งมาให้ได้อย่างไร ทั้งยังมองผู้อื่นด้วยสายตาอ่อนโยน แทบจะตามใจทุกอย่างเช่นนี้
ในที่สุดอวี๋เหวินจวิ้นก็ตระหนักได้ว่ามีตรงที่ใดที่ผิดปกติ เขาเพียงคิดแต่จะปกปิดสถานะของมู่หรงเหยียน ไม่ให้บุตรสาวขัดแย้งกับอีกฝ่าย แต่กลับลืมไปว่ายามพบกัน อวี๋ชิงจยาอายุสิบสี่ มู่หรงเหยียนอายุสิบห้า บุรุษหนุ่มกับแม่นางน้อยอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ทั้งยังอายุห่างกันเพียงปีเดียว
หากในบ้านรองมีนายหญิง ย่อมไม่มีทางมองข้ามเรื่องเช่นนี้แน่ แต่อวี๋ซื่อตายจากไปด้วยโรคภัย นายหญิงผู้เฒ่าอวี๋ของบ้านรองก็อุทิศตนบูชาพระ ส่วนอวี๋เหวินจวิ้นเป็นบุรุษที่ไร้ซึ่งความละเอียดอ่อน กอปรกับการเดินทางต้องหยุดชะงักเกือบสามเดือน ทำให้เขาฉุกคิดเรื่องความใกล้ชิดระหว่างสองคนนั้นได้
อวี๋เหวินจวิ้นอารมณ์ซับซ้อนยากอ่านสีหน้า เขาเป็นบิดา ขณะเดียวกันก็เป็นขุนนางผู้หนึ่ง จู่ๆ มีวันหนึ่งที่พบว่านายน้อยที่เขาต้องช่วยเหลือได้อยู่ร่วมทุกเช้าค่ำกับบุตรสาวของตน และบุตรสาวก็ยังพึ่งพานายน้อยอย่างมาก ไม่ว่าเป็นบุรุษคนใดก็จำต้องเกิดความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทำตัวเสเพลอย่างไร้ขอบเขต โปรดปรานขุนนางโฉด ทั้งยังใช้ข้อกล่าวหาที่สร้างขึ้นมาสังหารรัชทายาทที่อ่อนโยนจิตใจดีและเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง เพื่อชาติบ้านเมืองอวี๋เหวินจวิ้นจึงร่วมเสี่ยงอันตรายกับเหล่าขุนนาง คุ้มครองมู่หรงเหยียนอย่างลับๆ รอให้มู่หรงเหยียนเติบโต แล้วยกทัพกอบกู้บ้านเมืองกลับมา ถึงอย่างนั้นการแสดงความภักดีต่อเจ้านายก็แตกต่างจากการเลือกบุตรเขยโดยสิ้นเชิง ในฐานะนายน้อย มู่หรงเหยียนเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้คน มีความเด็ดขาดอย่างยิ่ง เป็นกษัตริย์ที่ควรค่าให้ผู้คนติดตาม แต่หากเปลี่ยนเป็นอีกด้านหนึ่ง ให้คนที่มีนิสัยอย่างมู่หรงเหยียนมาเป็นบุตรเขยล่ะก็…มิสู้หาผู้อื่นดีกว่า
คนสกุลมู่หรงส่วนใหญ่เป็นพวกเย็นชา กระหายเลือด ดื้อรั้น มักทำให้คนหวาดกลัว อวี๋เหวินจวิ้นจะใช้ความโชคดีตลอดชีวิตของบุตรสาวมาแลกกับความราบรื่นในเส้นทางขุนนางของตนเองได้อย่างไร
อวี๋เหวินจวิ้นกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ตัดสินใจว่าบิดาอย่างเขาผู้นี้จะต้องควบคุมระยะห่างของบุตรสาวกับบุรุษอีกคนให้ได้
อวี๋ชิงจยาที่ยังยุ่งง่วนกับส้มเงยหน้าขึ้น เห็นบิดาป้องปากกระแอมหนึ่งที แล้วกล่าวกับนางด้วยสีหน้าเข้มงวด “จยาจยา เจ้าเล่นอยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว ควรไปทบทวนตำราเสียที”
อวี๋ชิงจยาเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ นางหันไปมองดูท้องฟ้าข้างนอก สุดท้ายก็ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง แล้วกล่าว “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
มู่หรงเหยียนคิ้วกระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง
จนกระทั่งอวี๋ชิงจยาปิดประตูเดินออกไปแล้ว อวี๋เหวินจวิ้นก็หันมามองมู่หรงเหยียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “บุตรสาวของข้าไม่เคยได้รับความลำบากมาตั้งแต่เล็ก ถูกคนในครอบครัวเอาอกเอาใจตั้งแต่อายุยังน้อย ขายหน้าคุณชายแล้วขอรับ”
มู่หรงเหยียนขยับถ้วยชาในมือแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ถูกคนที่เรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ จิกหัวใช้ เรียกว่า ’เอาอกเอาใจ’ ด้วยหรือ”
อวี๋เหวินจวิ้นตะลึงงัน ฟังที่มู่หรงเหยียนพูดไม่เข้าใจ “อะไรนะขอรับ”
มู่หรงเหยียนไม่ยอมพูดอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าเย็นชา
อวี๋เหวินจวิ้นแม้จะอยากถาม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจถามได้อีก เขาได้แต่ลุกขึ้น แล้วมองมู่หรงเหยียนจากไป “น้อมส่งคุณชาย”
มู่หรงเหยียนผลักประตูแล้วเดินออกไป สายลมข้างนอกพัดเข้ามาในแขนเสื้อ ทำให้ชายเสื้อสีขาวของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ มู่หรงเหยียนคิดในใจ อวี๋เหวินจวิ้นมีภรรยาเอกและบุตรสาวที่ ‘พิเศษ’ เช่นนี้ ทั้งยังมีย่าที่เผด็จการและน่ารำคาญ แม้แต่สาวใช้ก็กล้ามองข้ามอวี๋ชิงจยา นี่เรียกว่า ‘เอาอกเอาใจตั้งแต่อายุยังน้อย’ ด้วยหรือ อวี๋เหวินจวิ้นในฐานะบิดากลับไม่สามารถมอบบ้านที่สบายใจให้จยาจยาได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำเอง ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่เอาใจอวี๋ชิงจยาได้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว
สำหรับความระมัดระวังที่อวี๋เหวินจวิ้นแสดงออกในวันนี้ มู่หรงเหยียนหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขามองอวี๋ชิงจยาเป็นทรัพย์สินของเขา อวี๋เหวินจวิ้นจะเห็นด้วยก็ดี ไม่เห็นด้วยก็ช่าง เกี่ยวอะไรกับอีกฝ่ายด้วย!
มู่หรงสวี่ออกมาครั้งนี้โดยใช้ข้ออ้างว่า ‘ทำงานต่างถิ่น’ แต่ที่จริงแล้วแค่ออกมาเที่ยวเล่น หลีกเลี่ยงมรสุม อย่างไรก็ตาม เขาหลีกเลี่ยงมรสุมนี้ไม่สำเร็จ คาดไม่ถึงว่าเลี่ยวเจิ้งคนโปรดของฮ่องเต้จะมาตายกลางคัน
ในฐานะผู้ร่วมทางกับเลี่ยวเจิ้ง มู่หรงสวี่รับมือได้ยากอย่างไม่ต้องสงสัย ที่ยุ่งยากกว่านั้นคือเขายังปล่อยให้มือสังหารหนีรอดไปได้ เดิมทีมู่หรงสวี่จับมือสังหารได้เมื่อเดือนก่อน คิดว่าตนอ่านอุบายของมู่หรงเหยียนออกแล้ว จึงจัดงานเลี้ยงด้วยความพึงพอใจ ใครจะรู้ว่ายามสุขมักเกิดทุกข์ มือสังหารฉวยโอกาสจากงานเลี้ยงครานั้นหนีออกไปได้ มู่หรงสวี่ตามหาอย่างกระวนกระวายใจหลายวัน กลับเป็นดังก้อนหินจมลงสู่ทะเล ไม่พบเบาะแสอย่างราบรื่นเหมือนครั้งที่แล้ว
เวลานี้แม้มู่หรงสวี่ที่กำลังสนุกสนานก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ยังหาคำชี้แจงไม่ได้ ไหนเลยจะกล้ากลับเยี่ยเฉิง แต่ตอนนี้สภาพอากาศเริ่มเย็นลง เวลาก็เข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว วันส่งท้ายปีเก่าใกล้เข้ามา มู่หรงสวี่แม้จะไม่เต็มใจเพียงใดก็ต้องทำใจดีสู้เสือกลับวัง
ก่อนเขาออกเดินทาง สกุลอวี๋ได้จัดงานเลี้ยงตอบแทนเพื่อเป็นการส่งมู่หรงสวี่ออกเดินทาง
เรื่องใหญ่อย่างการส่งอิ่งชวนอ๋องออกเดินทางเช่นนี้ย่อมปิดบังตระกูลขุนนางอื่นๆ ในเมืองไม่ได้ วันนี้สกุลอวี๋มีแขกเหรื่อมากมาย คึกคักอย่างยิ่ง ทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ สาวใช้สวมชุดสีสันสดใสเดินกันขวักไขว่ นักดนตรีบรรเลงเครื่องเคาะและเครื่องสายอยู่ด้านหลังม่าน แม้ว่านอกห้องมีลมหนาวพัดแรง แต่ภายในห้องนั้นมีกลิ่นหอม อบอุ่นเหมือนฤดูวสันต์ และมีกลิ่นอายหรูหรา
งานเลี้ยงของอิ่งชวนอ๋องเมื่อครั้งก่อน บุรุษและสตรีสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่ครั้งนี้ไม่อาจทำได้ ประการหนึ่ง ครั้งนั้นมู่หรงสวี่จัดงานเลี้ยงในสวนดอกไม้ ประการสอง ล้วนเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวที่อายุใกล้เคียงกัน ทุกคนเป็นแขกร่วมห้องกันโดยไม่ต้องกังวลมากนัก แต่วันนี้มีผู้อาวุโสหลายคนเพิ่มเข้ามา งานเลี้ยงจำต้องมีกฎระเบียบขึ้นมาอย่างเลี่ยงมิได้ แขกบุรุษและแขกสตรีถูกแบ่งออกเป็นสองห้องโถง ใจกลางมีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกัน เนื่องจากสาเหตุนี้ บรรดาสตรีจึงชอบมานั่งพูดคุยที่ระเบียงทางเดินมากขึ้น ยามผู้คนจากทั้งสองฝั่งผ่านไปมา พวกนางก็สามารถมองเห็นบุรุษในวัยเหมาะสมได้หลายคน
แขกสตรีต่างก็หัวเราะเสียงนุ่มนวล น้ำเสียงกระจ่างใสราวกับมีนกขมิ้นอยู่ทุกที่ เหล่าสตรีพูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยคก็เอ่ยถึงคนคนเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย “คุณหนูหกสกุลอวี๋คราวที่แล้วนางบรรเลงเพลงฉางหง ข้าไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง หลายวันมานี้ได้ยินคนพูดถึงอยู่ตลอด ทำให้ข้านึกสงสัยว่าเป็นบทเพลงเช่นไรกันแน่ ถึงทำให้ผู้คนจดจำไม่ลืมเลือนถึงเพียงนี้”
ครั้นพูดถึงเพลงฉางหง สตรีที่อยู่ในงานเลี้ยงวันนั้นก็ร่วมสนทนาด้วยทันที “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก ใครให้เจ้าขี้เกียจกัน วันนั้นไม่ยอมออกมากับพวกข้า การประชันพิณในวันนั้นวิเศษมากจริงๆ”
สตรีที่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงครั้งก่อนก็ถือโอกาสขอร้องด้วยน้ำเสียงออดอ้อนให้เล่าเรื่องในวันนั้นให้ฟัง ทุกคนหัวเราะคิกคัก สตรีนางหนึ่งหัวเราะพอแล้วจึงค่อยเล่าการประชันพิณทั้งสามครั้งตั้งแต่ต้นจนจบอย่างช้าๆ ขณะที่นางเล่าอยู่ก็อดมองไปที่อวี๋ชิงหย่าไม่ได้ สตรีคนอื่นๆ สังเกตเห็นสายตาของนาง ต่างก็ก้มหน้าหัวเราะเบาๆ
หลังจากที่อวี๋ชิงจยาบรรเลงเพลงฉางหงต่อหน้าทุกคนแล้วก็มีคนตั้งข้อสงสัยว่าใครเป็นผู้แต่งเพลงตัวจริงอีก ที่น่าขันกว่านั้นคือทุกคนรู้ดีว่าเป็นเพลงที่บรรเลงสองคน อวี๋ชิงหย่ามองไม่ออกก็ช่าง ยังมีหน้ามาบรรเลงเดี่ยวอีก ภายหลังยังบอกเป็นนัยว่านี่คือเพลงที่ตนเขียนขึ้นเอง เหล่าสตรีต่างรู้อุบายของอวี๋ชิงหย่าเป็นอย่างดี ครั้งนี้อวี๋ชิงหย่านับว่าขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลอย่างใหญ่หลวง ศักดิ์ศรีภายในภายนอกล้วนรักษาไว้ไม่อยู่ อวี๋ชิงหย่ารู้สึกถึงสายตาจากทางด้านหลัง จึงรักษารอยยิ้มอย่างฝืนๆ เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าอ่อนโยนและใจกว้าง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวน้องสาวทุกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ เหตุใดถึงคุยกันคึกคักเช่นนี้”
เหล่าสตรีพากันยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สตรีนางหนึ่งกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเรากำลังพูดถึงคุณหนูหกกันอยู่ ตอนนี้มีผู้ใดในเมืองที่ไม่รู้จักนางบ้าง สกุลอวี๋มีอวี๋เหม่ยเหรินคนหนึ่งที่ทั้งงดงามและเก่งพิณ เสียดายที่จะพบหน้าคนงามสักครั้งนั้นไม่ง่ายนัก หลายคนส่งเทียบเชิญไปให้อวี๋เหม่ยเหริน แต่ก็ไร้การตอบกลับ คนคุ้นเคยของข้าได้ยินว่าวันนี้ข้าจะมาที่สกุลอวี๋ จึงตั้งใจไหว้วานให้ข้ามาสอบถามเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าข้าจะมีเกียรตินี้หรือไม่ ให้คุณหนูสี่พาน้องสาวออกมา ถึงอย่างไรก็ให้ข้าได้เห็นหน้านางสักครั้ง กลับบ้านไปจะได้เสร็จสิ้นภาระที่ได้รับมอบหมาย”
เพลงฉางหงในวันนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ทุกคน แต่หลังจากเพลงจบลง อวี๋ชิงจยาก็ยกพิณแล้วจากไป ทุกคนจึงไม่ได้เห็นหน้าของนาง ท่าทีที่ไม่ใส่ใจเช่นนี้ยิ่งช่วยให้ชื่อเสียงอวี๋เหม่ยเหรินเพิ่มขึ้นไปอีก หลังจากนั้นยังมีงานเลี้ยงอีกหลายงาน ผู้คนเชื้อเชิญกันหลายครั้ง แต่อวี๋ชิงจยาไม่ได้ไปร่วมงานพวกนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
การแสดงออกเช่นนี้ของอวี๋ชิงจยาไม่ทำให้คนรู้สึกว่านางหยิ่งผยองแต่อย่างใด กลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่พานพบได้ยากและล้ำค่ากว่าเดิม ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเพลงฉางหงนั้นหาฟังไม่ได้ง่ายๆ คนงามนั้นก็สูงเกินเอื้อมมือถึง นี่ก็คือท่าทีของผู้เลื่องชื่อที่สามารถบรรเลงเพลงอันน่าตื่นตะลึงเช่นนั้น สมควรที่จะวางตัวอย่างสง่างามและหยิ่งยโส
ทุกคนต่างแย้มยิ้ม อวี๋ชิงหย่ารอยยิ้มแข็งค้าง แทบจะเกร็งมุมปากกล่าว “พวกเจ้าล้อเลียนข้าอีกแล้ว พวกเจ้าอยากพบน้องหญิงหกก็ไปหาเองสิ ข้าจะขวางพวกเจ้าได้หรือ”
ทันใดนั้นอวี๋ชิงหย่าก็เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อชาติที่แล้ว ผู้คนแม้จะห้อมล้อมพูดคุยรอบตัวนาง แต่สิ่งที่พวกนางกำลังสนทนาและสนใจอยู่ล้วนเป็นอวี๋ชิงจยา ทั้งที่นางก็แซ่อวี๋เช่นเดียวกัน แต่ยามที่ทุกคนเอ่ยถึง ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ต่อหน้านาง ทุกคนที่รู้ดีแก่ใจกลับไม่คิดหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งแม้แต่น้อย นี่เหมือนจะเป็นการยอมรับโดยนัยไปแล้วว่าผู้ที่สามารถแบกรับชื่อ ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ได้ ย่อมมีแค่อวี๋ชิงจยาเท่านั้น และต้องเป็นอวี๋ชิงจยาเท่านั้น!
อวี๋ชิงหย่าที่แซ่อวี๋เช่นเดียวกันได้ยินคำเรียกนี้แล้วกลัดกลุ้มใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเวลานี้อวี๋ชิงจยากำลังยืนซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบสงบ เดิมนางคิดว่าหลังตนเองปิดประตูไม่ออกไปข้างนอก ไม่กี่วันต่อมาทุกคนก็จะลืมเรื่องนี้ไปเอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ยิ่งทำให้จิตใจของคนเต็มไปด้วยความปรารถนา ผู้คนกลับสนใจยิ่งขึ้นไปอีก อวี๋ชิงจยายิ้มจนใบหน้าแข็งทื่อ ได้แต่หาโอกาสหนีออกมาอยู่อย่างสงบสักระยะ
อวี๋ชิงจยานั่งอยู่บนราวระเบียง ข้างหน้ามีเถาวัลย์เหี่ยวต้นหนึ่งบดบังร่างของนางไว้ ชายกระโปรงกว้างถูกลมพัดปลิวพลิ้วราวกับปีกผีเสื้อ นางจ้องมองเถาวัลย์เหี่ยวตรงหน้า แววตาพลันเหม่อลอย ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกกำลังทำอะไรอยู่หนอ
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ข้างหู อวี๋ชิงจยาหันกลับไปมองก็เห็นว่าผู้มาเยือนไม่แม้แต่จะปั้นหน้ายิ้ม
อวี๋ชิงจยามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
การแสดงออกของอวี๋ชิงหย่าไม่นับว่าดีนัก นางหยุดตรงจุดที่ห่างจากอวี๋ชิงจยาสามก้าว ยืนนิ่งแล้วเอ่ยวาจาเหน็บแนม “คนภายนอกกำลังตามหาเจ้าอยู่ เจ้ากลับมาหลบอยู่ตรงนี้คนเดียว ช่างหยิ่งยโสจริงๆ”
เวลานี้ไม่มีคนนอกอยู่ อวี๋ชิงหย่าก็ไม่แสร้งทำเป็นพี่สาวคนดีอีก อวี๋ชิงจยาหัวเราะ กล่าวพลางกะพริบตาปริบๆ “ที่จริงแล้วข้าไม่ใช่คนที่ชอบความโดดเด่นนัก แต่เรื่องราวไม่เป็นไปดั่งที่หวังไว้ ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้ล่ะ”
เพลิงโทสะของอวี๋ชิงหย่าลุกโชน อะไรคือ ‘ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้ล่ะ’ ช่างไม่รู้จักยางอายเสียเลย อวี๋ชิงจยากำลังโอ้อวดอย่างนั้นหรือ!
เสียดายที่อวี๋ชิงจยาไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ควรหยุดแต่พอประมาณ’ นางเผยท่าทางเป็นกังวล แล้วถอนหายใจกล่าว “ที่จริงแล้วข้าไม่อยากบรรเลงเพลงฉางหงออกมาหรอก ใครจะรู้ว่าพี่หญิงสี่อยากช่วยข้าให้ได้แสดงฝีมือ จริงสิ ที่ข้ามีชื่อเสียงในวันนี้ได้ต้องขอบคุณพี่หญิงสี่เป็นอย่างมาก”
อวี๋ชิงหย่าฟังแล้วสีหน้าคล้ำทะมึน นางย่อมเข้าใจความหมายของอวี๋ชิงจยา หากอวี๋ชิงจยาแค่เล่นพิณ ก็ใช่ว่าจะเป็นที่พูดถึงในวันนี้ได้ ต้องขอบคุณมากที่อวี๋ชิงหย่าสร้างเรื่องน่าขันว่า ‘ฟังผ่านหูไม่ลืมเลือน’ ก่อน และเอาชนะการเล่นพิณสองครั้งติด สร้างบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ ผลกลับกลายเป็นทำชุดแต่งงานให้อวี๋ชิงจยา อวี๋ชิงหย่ารู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนเป็นของบางอย่างที่ติดอยู่ในลำคอ ที่ผ่านมานางไม่ยอมให้ผู้อื่นพูดถึงมัน และไม่อยากไปคิดถึงมันด้วย แต่เวลานี้อวี๋ชิงจยากลับพูดออกมาต่อหน้านางด้วยรอยยิ้ม
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือขณะที่กล่าวคำเช่นนี้ อวี๋ชิงจยายังยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวี๋ชิงหย่าโกรธไม่น้อย นางคิดในใจว่าควรให้คนข้างนอกเหล่านั้นเห็นท่าทางของอวี๋ชิงจยาในยามนี้จริงๆ เหตุใดเจ้าพวกคนตาบอดกลุ่มนั้นถึงคิดว่าอวี๋ชิงจยาเป็นคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนไร้พิษสง งดงาม และสดใสร่าเริงไปได้เล่า
ปลายเล็บของอวี๋ชิงหย่าค่อยๆ จิกเข้าไปในเนื้อ นางนึกถึงแผนการในวันนี้พลันแค่นเสียงหึทีหนึ่ง
การจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพังพินาศ ก็ต้องทำให้ฝ่ายนั้นลำพองใจไปก่อน สุดท้ายชื่อเสียงอันดีงามของอวี๋ชิงจยาก็จะสิ้นสุดลงในวันนี้เท่านั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 มิ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.