X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 7 ทรยศ

ชิงโจวและเหยี่ยนโจวอยู่ห่างกันพันหลี่ ในเวลานี้ชิงโจวยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกและฝน

ฝนตกปรอยๆ ข้างนอก อวี๋ชิงจยาเท้าคางมองดูฝน นอกหน้าต่างน้ำและดินมาบรรจบกัน หยาดฝนไหลลงจากหลังคาและร่วงหล่นบนพื้นอิฐสีนิล น้ำจำนวนมากกระเซ็นมารวมกันเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ วันนี้ฝนตกกะทันหัน อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์คงจะถูกฝนทำให้ล่าช้า ตอนนี้ยังมาไม่ถึง

อวี๋ชิงจยามองฝนอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง จึงพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ เล่น ทันใดนั้นสายลมก็พัดเข้ามาจากหน้าต่างพร้อมกับละอองน้ำเปียกชื้น อวี๋ชิงจยาไม่ทันรู้สึกตัว ก้อนกระดาษในมือของนางก็ปลิวไปอีกด้านหนึ่ง

มู่หรงเหยียนคว้าก้อนกระดาษได้อย่างแม่นยำโดยไม่หันไปมอง เขาหยิบมาดูตรงหน้า พบว่าสิ่งที่ลอบโจมตีตนเป็นเพียงกระดาษก้อนหนึ่ง เขาพูดไม่ออกกับการกระทำของอวี๋ชิงจยาอย่างยิ่ง โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาก็โยนมันกลับไป

ก้อนกระดาษถูกโยนใส่หน้าผากอวี๋ชิงจยาโดยไม่ทันตั้งตัว นางตกตะลึงชั่วขณะ ก่อนจะหยิบกระดาษข้างมือมาขยำเป็นก้อน แล้วออกแรงขว้างใส่มู่หรงเหยียน

ฝีมือการขว้างกระดาษขึ้นอยู่กับการใส่แรง บางครั้งยิ่งออกแรงมากยิ่งขว้างไม่ไกล กระดาษที่แฝงไว้ซึ่งโทสะทั้งหมดของอวี๋ชิงจยาลอยไปได้ครึ่งทางก็ร่วงตกลงพื้น มู่หรงเหยียนหันมามองอย่างคร้านจะปิดบังความดูถูกในแววตา

อันที่จริงเขาก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกอะไรอยู่แล้ว

อวี๋ชิงจยากัดฟันกรอด “เจ้าอย่าได้โอหังเกินไป เจ้าไม่กลัวข้าฟ้องท่านพ่อ ทำให้ต่อจากนี้เจ้ามีชีวิตที่ลำบากหรือ”

“ตามสบาย”

“เจ้า…เสียแรงที่วันนั้นข้าห่วงว่าเจ้าจะป่วยหรือไม่ ดูจากท่าทางเช่นนี้ เจ้ามันไม่รู้คุณคน”

มู่หรงเหยียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่กี่วันก่อนอวี๋ชิงจยาเหมือนแขนจะบาดเจ็บ เขาเหลือบมองด้วยหางตาก็เห็นแขนของนางพันด้วยผ้าขาวหลายชั้นดังคาด แผลแค่นี้ ไยต้องพันหนาปานนั้นด้วย

มู่หรงเหยียนเกิดมาเป็นคนไร้ความเห็นใจ ผู้อื่นเห็นทารกคนจนแล้วรู้สึกสงสาร แต่มู่หรงเหยียนไม่สงสาร ความยากจนข้นแค้น ความโดดเดี่ยวอ่อนแอ ความตาย ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา ไยต้องสงสารด้วย เช่นเดียวกัน อวี๋ชิงจยาได้รับบาดเจ็บเกี่ยวอะไรกับเขา

มู่หรงเหยียนนิ่งเงียบเย็นชา ไม่พูดจา

อวี๋ชิงจยาคร้านจะสนทนากับปีศาจจิ้งจอก นางมองม่านฝนอันกว้างใหญ่นอกหน้าต่างพลางกล่าวพึมพำ “ตั้งนานแล้วอาจารย์ก็ยังไม่มาอีก อย่าบอกนะว่าระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

อวี๋ชิงจยาได้ยินเสียงหัวเราะที่เบาและแฝงด้วยความเยาะหยันมาจากข้างหลัง นางก็หันกลับมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าหัวเราะเช่นนี้หมายความว่ากระไร เคยได้ยินความทั้งห้าหรือไม่ ฟ้า ดิน กษัตริย์ ญาติ อาจารย์เจ้าต้องเคารพอาจารย์”

“เคารพอาจารย์…” มู่หรงเหยียนย้ำคำสี่พยางค์นี้ช้าๆ เขามีรูปโฉมงดงามที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นเพศใด ขณะที่เขากล่าวเสียงเบา น้ำเสียงยังคงเย็นชาไร้ซึ่งความแยแส เขานึกถึงภาพงานเลี้ยงที่มีเสียงดนตรีดังไม่ขาดสาย ตระกูลสูงศักดิ์ที่โลภและฟุ่มเฟือยอย่างที่สุด ก่อนถึงคราวตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลังจากมู่หรงเหยียนกล่าวขึ้นมาก็หัวเราะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอดีตรัชทายาทตายอย่างไร”

“ถูกคนถ่อยฟ้องร้อง”

“ถูกใครฟ้องร้องนะ”

อวี๋ชิงจยาชะงักอึ้งกับคำถามของอีกฝ่าย นางฟังอวี๋เหวินจวิ้นด่าพวกขุนนางทรยศ พวกประจบสอพลอ พูดจายุยงปลุกปั่น ใส่ร้ายผู้ภักดีมีเมตตาอยู่ทุกวัน นางย่อมเข้าข้างอดีตรัชทายาทอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ อวี๋ชิงจยาก็ไม่รู้แน่ชัด

มู่หรงเหยียนคล้ายมีรอยยิ้มที่ริมฝีปาก เขานั่งตัวตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะอย่างผ่อนคลาย ทว่าแววตากลับมืดมนอย่างไม่อาจเห็นก้นบึ้ง “คืออาจารย์ของเขา”

เนื่องจากเสียงพูดผสมกับเสียงฝนนอกหน้าต่าง อวี๋ชิงจยาจึงคิดว่าตนฟังผิดไป “อะไรนะ”

แต่มู่หรงเหยียนไม่คิดที่จะพูดต่อแล้ว การที่รัชทายาทเข้าตำหนักบูรพาได้ แสดงว่าไม่ใช่คนโง่เขลา ไหนเลยจะวิจารณ์เรื่องบ้านเมืองส่งเดชไปทั่วทุกที่ ตอนที่เขาพูดในวันนั้น คาดว่าผู้ที่อยู่ด้วยล้วนเป็นคนที่เชื่อใจได้

แต่ใครจะรู้ อาจารย์ของเขาได้ยินแล้วเกิดนึกกลัวขึ้นมา หากคำพูดของรัชทายาทถูกคนนำไปฟ้องร้อง เช่นนั้นพวกเขาที่ฟังอยู่จะไม่เคราะห์ร้ายไปด้วยหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เขาฟ้องร้องเองดีกว่า

คดีกวาดล้างตำหนักบูรพาจึงเริ่มต้นด้วยเหตุนี้

มู่หรงเหยียนเบนสายตากลับมาที่ม้วนตำราของตน ทว่าอวี๋ชิงจยามองเขาอย่างไม่อาจละสายตาอยู่นาน

จิ่งหวนพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร นางค่อยๆ เหลือบมองโต๊ะเขียนหนังสือของอาจารย์ที่ด้านบน ทันใดนั้นก็ตัวสั่นเทา

อวี๋ชิงจยาลูบแขนเงียบๆ ตรงแขนมีขนลุกชัน หากมู่หรงเหยียนทำหน้าโกรธหรือดูถูก อวี๋ชิงจยายังรู้สึกปกติ แต่นี่เขากลับไม่แยแสอะไร ราวกับกำลังเล่าเรื่องตลกสักเรื่องหนึ่ง

ความชมชอบของท่านพ่อเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะชอบหญิงงามที่ร้ายกาจ

ผ่านไปไม่นานอาจารย์ก็กางร่มเดินมาอย่างเร่งรีบ ไม่มีผู้ใดรู้เหตุการณ์เล็กน้อยก่อนเข้าเรียน ม้วนตำราถูกคลี่ออกอย่างเงียบเชียบ

ทว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจะไม่ทิ้งร่องรอยได้อย่างไร หลังเลิกเรียนสายตาที่อวี๋ชิงจยามองมู่หรงเหยียนก็เปลี่ยนจากความเป็นศัตรูเป็นระวังป้องกัน

เนื่องจากฝนตก วิชาขี่ม้ายิงธนูในช่วงบ่ายจึงยกเลิกไป อวี๋ชิงจยาโล่งใจอย่างยิ่ง เหล่าสาวใช้ต่างหลบฝนอยู่ในเรือน หญิงสาวหลายคนรวมตัวกันพูดเรื่องขบขันไม่รู้จบ ช่วงบ่ายจึงผ่านไปด้วยการพูดคุยหัวเราะเช่นนี้

ยามพลบค่ำ อวี๋ชิงจยาพลันนึกขึ้นได้ว่าถุงแพรของตนเหมือนจะตกอยู่ในห้องเรียน ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก พรุ่งนี้เช้าค่อยไปหยิบก็ยังทัน แต่อวี๋ชิงจยาไม่มีอะไรให้ทำ ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว อากาศดีมาก อวี๋ชิงจยาจึงพาสาวใช้เดินไปที่ห้องเรียนราวกับเดินเล่น

เดินไปได้ครึ่งทาง เงาร่างหนึ่งก็ผ่านหางตาของอวี๋ชิงจยาไป นางส่งเสียงชู่ใส่สาวใช้ทันที ก่อนจะเดินย่องไปอยู่หลังเสา แล้วชะโงกหน้าออกไปดู

ฝนเพิ่งหยุดตก ปีศาจจิ้งจอกเดินไปข้างนอกด้วยเหตุใดกัน

อวี๋ชิงจยารู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ปกติอย่างยิ่ง ฉับพลันนางก็รู้สึกสงสัยในตัวปีศาจจิ้งจอกมากกว่าสนใจในถุงแพรทันที นางกำชับสาวใช้เสียงแผ่วเบา ก่อนจะแอบย่องตามหลังมู่หรงเหยียนไปอย่างเงียบๆ

อวี๋ชิงจยาหลบอยู่ตรงมุมกำแพง เห็นปีศาจจิ้งจอกเปิดประตูหลัง มีชายผู้หนึ่งรออยู่ที่นอกประตูหลังนานแล้ว คนทั้งสองขยับเข้าใกล้กัน ไม่รู้ว่าพูดอะไร จากนั้นปีศาจจิ้งจอกก็ส่งถุงพองๆ ให้ชายผู้นั้นหนึ่งใบ ชายผู้นั้นก็หมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว ปีศาจจิ้งจอกมองตามไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นแล้วจึงค่อยถอยหลังหนึ่งก้าวและดึงประตู ขณะที่ลงดาลประตู คล้ายว่าเหลือบมองมาทางข้างหลังแวบหนึ่ง

อวี๋ชิงจยารีบหลบอย่างรวดเร็ว ร่างพิงกำแพงด้วยหัวใจที่เต้นแรง

สวรรค์ เมื่อครู่นี้ปีศาจจิ้งจอกลอบนัดพบกับชายอื่นไม่ใช่หรือ ผู้คนมักหัวเราะเยาะตนเองว่าพิธีเสื่อมดนตรีเสียแต่นั่นแค่สำหรับบุรุษเท่านั้น สำหรับสตรีการลอบนัดพบบุรุษ ลอบรับมอบของกัน ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง

ยิ่งกว่านั้นปีศาจจิ้งจอกไม่ใช่คุณหนูตระกูลขุนนางที่มีฐานะพิเศษ นางเป็นอนุภรรยา! อีกทั้งถุงใบนั้นที่นางมอบไปก็มีลักษณะพองๆ เห็นได้ชัดว่าคือเงิน

แอบลอบนัดพบบุรุษลับหลังบิดาข้ายังไม่พอ ยังใช้เงินของตระกูลพวกนางเลี้ยงชายชู้ที่อยู่ข้างนอกด้วย?

อวี๋ชิงจยาสุดจะทนไหว นางไม่สนใจถุงแพรของตนแล้ว พาไป๋จีไปที่เรือนหลักทันที

ขณะที่มู่หรงเหยียนเดินกลับมา สายตาก็เหลือบมองข้างล่างโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่าใต้ฐานกำแพงมีรอยเท้าอยู่ดังคาด วันนี้ฝนเพิ่งตก ตะไคร่น้ำที่มุมกำแพงจึงเปียก เมื่อมีคนมายืนจึงทำให้เห็นรอยตรงนั้นได้ชัด มู่หรงเหยียนมองดูร่องรอยที่มุมกำแพงแล้วยกมุมปากขึ้น

“ท่านพ่อ” อวี๋ชิงจยาวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กระโปรงพลิ้วไหวราวกับนกกระพือปีก “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

อวี๋เหวินจวิ้นเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอยากจะพูดอะไร เหตุใดถึงวิ่งมาด้วยท่าทางรีบร้อนเพียงนี้”

อวี๋ชิงจยานั่งคุกเข่าด้านข้างบิดา ชายกระโปรงนุ่มและกว้างของชุดหรูฉวินแผ่คลุมพื้น ขับเน้นให้นางดูงดงามอย่างไม่อาจบรรยาย

มู่หรงเหยียนเห็นอวี๋ชิงจยาตั้งแต่อยู่ข้างนอกแล้ว อวี๋ชิงจยาเพิ่งจะเข้ามาในห้อง มู่หรงเหยียนก็ตามมาติดๆ

ตอนนี้เขาหยุดยืนอยู่นอกประตู รอฟังคำพูดต่อไปของอวี๋ชิงจยาเงียบๆ

วันนี้เขาได้พูดเรื่องอาจารย์ของอดีตรัชทายาทให้อวี๋ชิงจยาฟัง คำพูดดังกล่าวถ้าเข้าหูขุนนางอย่างอวี๋เหวินจวิ้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน** หลักการที่ใครๆ ต่างก็รู้ นับประสาอะไรกับมู่หรงเหยียนที่ตอนนี้ยังเป็นเพียงบุตรชายของสามัญชนที่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงนามของหลางหยาอ๋อง แม้แต่จะแสดงตัวในฐานะบุรุษก็ไม่กล้า วันนี้เขากล้ากล่าวคำเช่นนี้ในห้องเรียน รอให้เขาฟื้นฟูแคว้นได้จริง ขุนนางผู้มีความชอบอย่างอวี๋เหวินจวิ้นจะลงเอยด้วยดีจริงๆ หรือ

เกรงว่าไม่ว่าใครก็ต้องคิดในใจเช่นนั้น

ตอนนี้ขอแค่อวี๋ชิงจยาพูดในสิ่งที่เขาพูดช่วงเช้าออกไป นางก็สามารถแก้แค้นและกำจัดเขาได้อย่างสมบูรณ์

มู่หรงเหยียนรออย่างเงียบๆ ด้วยอารมณ์ขบขัน

ภายในห้อง อวี๋เหวินจวิ้นมองบุตรสาวอย่างเป็นห่วง อวี๋ชิงจยาสูดหายใจลึกราวกับเตรียมทุ่มทุกอย่างแล้ว นางกล่าว “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ ปีศาจจิ้งจอกจิ่งหวนแอบลอบนัดพบชายอื่น!”

มู่หรงเหยียนที่ยิ้มๆ อยู่ เมื่อได้ยินคำนี้เขาก็เลิกคิ้วอย่างไม่คาดคิด

ในยามนี้ทั้งห้องเงียบสงัด อวี๋เหวินจวิ้นมองบุตรสาวอยู่นานสองนาน ก่อนจะเอ่ย “ยังมีอีกหรือไม่”

อวี๋ชิงจยาคาดหวังว่าบิดาจะโกรธเกรี้ยว อย่างน้อยก็ต้องแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาบ้าง แต่การกล่าวอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร

อวี๋ชิงจยามองบิดาอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ?”

อวี๋เหวินจวิ้นกระแอมทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรอธิบายกับบุตรสาวอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าสตรีเรือนหลังสามารถพบบุรุษอื่นได้ตามใจชอบ นี่ไม่เป็นการสอนสิ่งไม่ดีให้บุตรสาวตนหรอกหรือ แต่ถ้าไม่พูดเช่นนี้ก็ไม่สามารถอธิบายความพิเศษของ ‘อนุภรรยา’ ผู้นี้ของตนแล้วจริงๆ

สุดท้ายอวี๋เหวินจวิ้นได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือ “จยาจยา เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ไปก็ไม่เป็นผลดี พ่อจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”

“จริงหรือเจ้าคะ”

อวี๋เหวินจวิ้นพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด “จริง พ่อเคยหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็ได้เจ้าค่ะ” อวี๋ชิงจยาลุกขึ้นยืน เดินได้สองก้าวก็อดหันกลับมาเตือนไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการอย่างยุติธรรมนะเจ้าคะ นางไม่ใช่แค่ลอบนัดพบบุรุษอื่น ยังแอบยัดถุงเงินให้คนนอกด้วย”

อวี๋เหวินจวิ้นกระแอมหนึ่งครั้ง สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จยาจยา เรื่องนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้เชียว”

อวี๋ชิงจยาพยักหน้าขานรับอย่างเชื่อฟัง ขณะออกประตู นางก็เผชิญหน้ากับมู่หรงเหยียนพอดี

แววตาที่มู่หรงเหยียนมองนางมีแววขบขัน ในยามปกติมู่หรงเหยียนมักจะมีท่าทีลึกลับยากคาดเดา ทว่ายามนี้ในแววตาของเขาราวกับกำลังยิ้มอยู่จริงๆ

อวี๋ชิงจยาเห็นสายตาเช่นนี้ของอีกฝ่ายแล้วขนลุก นางถลึงตากลับอย่างดุร้าย “ยิ้มอะไร!”

มู่หรงเหยียนกลับส่ายหน้าอย่างคลุมเครือ เขาถอนสายตาและมองไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็ถามโพล่งขึ้นมา “เหตุใดไม่พูดอีกเรื่องหนึ่ง”

อวี๋ชิงจยาตกใจ นึกถึงคำพูดที่น่าตกใจของปีศาจจิ้งจอกในห้องเรียนทันที จึงจ้องกลับไปด้วยความโกรธและกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ใช่เรื่องที่ให้เจ้ายุ่งหรือ”

วันนั้นหลังจากอวี๋ชิงจยากลับไปห้องก็รอบิดาจัดการเรื่องราวให้ยุติธรรมอย่างสงบ จนกระทั่งผ่านไปสองวัน คลื่นลมในจวนยังคงสงบ

อวี๋ชิงจยาทนไม่ไหวจึงเร่งเร้าให้ไป๋จีไปสืบข่าวข้างนอก ตั้งนานกว่าไป๋จีจะกลับมา นางก้มหน้าด้วยอารมณ์หลากหลายที่ไม่อาจตีความหมาย

อวี๋ชิงจยาสงสัย จึงเรียกนางมาถามทันที “สืบได้ความแล้วหรือยัง ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้าง”

ไป๋จีอ้ำอึ้ง สายตามองไปรอบๆ ไม่หยุด “คุณหนู…”

“พูด!”

ไป๋จีกัดฟันพูดออกมา ราวกับกำลังเสี่ยงชีวิต “ท่านเจ้าเมืองจัดการจิ่งเหนียง อย่างไร บ่าวสืบมาไม่ได้ แต่ได้ยินคนในห้องครัวบอกว่าท่านเจ้าเมืองมอบกุญแจและป้ายคู่ให้จิ่งเหนียงเจ้าค่ะ”

อวี๋ชิงจยาเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยกล่าวย้ำเบาๆ “เจ้าบอกว่าท่านพ่อไม่เพียงแต่ไม่ลงโทษนาง ยังมอบอำนาจเรื่องเงินของเรือนหลังให้นางด้วยหรือ”

ไป๋จีก้มหน้า ไม่กล้ายอมรับอย่างเห็นได้ชัด

อวี๋ชิงจยานั่งบนตั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พลันลุกขึ้นมา เดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา

ไป๋จื่อและไป๋จีรีบเข้ามาขวาง “คุณหนู เหตุใดท่านต้องโกรธอนุคนหนึ่งด้วย นางเป็นแค่อนุที่ท่านเจ้าเมืองพากลับมา แม้จะมีชื่อ แต่ไม่นับว่าเป็นผู้อาวุโสของท่านอย่างแท้จริง ท่านอดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ รอให้ท่านเจ้าเมืองหมดความสนใจ ท่านทะเลาะกับท่านเจ้าเมืองตอนนี้มีแต่จะทำร้ายไมตรีพ่อลูกของคุณหนูกับท่านเจ้าเมืองนะเจ้าคะ!”

“ข้าจะทนได้อย่างไร ท่านพ่อถึงขั้นไม่แยกแยะถูกผิดแล้ว สตรีในครอบครัวลอบนัดพบบุรุษอื่นเป็นเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ จิ่งเหนียงกรอกยาลุ่มหลงให้เขา เขาก็จะเลอะเลือนไม่รู้อะไรเลยหรือ หากตอนนี้ข้ายังไม่ออกหน้า รอวันหน้ามือของจิ่งเหนียงยื่นมาถึงตัวข้า เช่นนั้นทุกอย่างก็สายไปหมดแล้ว!”

ไป๋จื่อและไป๋จีไม่อาจขวางอวี๋ชิงจยาได้

 

อวี๋ชิงจยาดวงตาลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ ขณะที่นางเดินไปถึงเรือนหลักก็เห็นอวี๋เหวินจวิ้นกับมู่หรงเหยียนเดินออกมา ไม่รู้ทั้งสองคนพูดอะไร อวี๋เหวินจวิ้นจึงฟังด้วยท่าทางตั้งใจเป็นพิเศษ

อวี๋ชิงจยาไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าตัณหาจะทำให้คนโง่เขลา ไหนเลยจะมีบุรุษที่ถูกสตรีใช้คำพูดล่อลวงไม่กี่คำก็ไม่สนใจความเป็นความตายของภรรยาและบุตรสาว แต่ตอนนี้การกระทำของบิดาแท้ๆ ได้ตบหน้านางอย่างแรง

อนุภรรยาลอบนัดพบบุรุษอื่น ถูกสวมหมวกเขียวแท้ๆ บิดาก็ยังทนได้ อวี๋ชิงจยาทั้งรู้สึกโกรธและน้อยใจ

อวี๋เหวินจวิ้นเห็นอวี๋ชิงจยา ร่างก็หยุดชะงัก แววตาของเขาปรากฏรอยยิ้มของบิดาผู้ใจดีในทันที “จยาจยา”

เห็นได้ชัดว่าเขาลืมสิ่งที่พูดหลอกอวี๋ชิงจยาไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว

“ท่านพ่อ” อวี๋ชิงจยาทำความเคารพอวี๋เหวินจวิ้นด้วยใบหน้าบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองมู่หรงเหยียนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อ ได้ยินมาว่าท่านมอบกุญแจและป้ายคู่ให้นาง?”

อวี๋เหวินจวิ้นคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หลางหยาอ๋องไม่ใช่สตรีเรือนหลังจริงๆ เสียหน่อย ยิ่งกว่านั้นเขายังมีอีกฐานะที่สำคัญ การมอบอำนาจในการดูแลเรือนหลังให้เขานับเป็นประโยชน์ต่อการใหญ่ของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

“ใช่ จิ่งหวนเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ให้เขาดูแลความปลอดภัยของเรือนหลัง พ่อวางใจยิ่ง”

ดูจากคำพูดเลอะเลือนนี้แล้ว ไม่แปลกเลยที่ใครต่อใครต่างบอกว่ามีมารดาใหม่ก็เหมือนมีบิดาใหม่ เกรงว่าในสายตาบุรุษ สตรีที่เขารักนั้นช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจเหลือเกิน ต่อให้ใครจะเอาข้อเท็จจริงมาวางตรงหน้า เขาก็จะรู้สึกว่าผู้อื่นกำลังให้ร้ายอนุคนงามของเขาอยู่

“ท่านพ่อ นางลอบนัดพบบุรุษอื่น นำทรัพย์สินมอบให้คนนอกตามใจชอบ คิดไม่ถึงว่าท่านยังให้นางดูแลเรือนหลังอีก ยิ่งกว่านั้นนางเป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่ง ไหนเลยจะมีใครให้อนุภรรยาควบคุมเรือนหลัง สกุลอวี๋ของพวกเราแม้ไม่นับว่าเป็นตระกูลมีชื่อเสียง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลขุนนางที่มีหน้ามีตาในเหยี่ยนโจว ท่านโปรดปรานอนุ ทำลายเกียรติภรรยาเอกอย่างไม่รู้จักแยกแยะเช่นนี้ ท่านเอาข้าไปไว้ที่ใด เอาท่านแม่ไปไว้ที่ใดเจ้าคะ”

“จยาจยา” อวี๋เหวินจวิ้นคิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงจยาจะกล่าวเช่นนี้ เขาย่อมรู้ว่าฐานะของอนุภรรยาเมื่อเทียบกับทายาทแล้ว อนุภรรยานั้นต่ำต้อยมาก เหล่าขุนนางแม้จะมองการมอบอนุภรรยาให้ผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่มีใครแต่งอนุภรรยาเป็นภรรยาเอก เมื่อพูดถึงการแต่งงาน ทุกคนก็ล้วนแต่งงานกับคุณหนูตระกูลขุนนางที่สมฐานะกัน ส่วนเรื่องการสืบทอดทายาทครอบครัว ปรนนิบัติบิดามารดา ดูแลงานเรือน มองว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาเอก ไม่ใช่อนุภรรยา เนื่องจากอนุภรรยานั้นมีไว้เพื่อความสำราญ หากมีใครให้อนุภรรยามาดูแลงานเรือน เกรงว่าจะถูกตระกูลขุนนางระดับเดียวกันหัวเราะจนฟันร่วง

ทว่ามู่หรงเหยียนไม่ใช่อนุภรรยา เขาไม่ใช่สตรีด้วยซ้ำ อวี๋เหวินจวิ้นไม่รู้ว่าควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร เขาลองปลอบบุตรสาว “เรื่องที่เจ้าพูดพ่อรู้หมดแล้ว พ่อรู้ว่าควรจัดการอย่างไร เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว”

คำพูดนี้ออกจะดูแก้ตัวให้ผ่านๆ ไปสักหน่อย ไม่อาจหลอกอวี๋ชิงจยาให้เชื่อได้

อวี๋ชิงจยาดวงตาทั้งดำและเป็นประกาย เนื่องจากความโกรธ จึงทำให้ทั่วทั้งดวงหน้าของนางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา งามเจิดจ้าจนไม่อาจมองใกล้ๆ

มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าเหตุการณ์ตรงหน้ารื่นเริงดี ก่อนหน้านี้เขาจึงยืนดูละครอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอด ทว่าในยามนี้มู่หรงเหยียนพลันพบว่าบุตรสาวสกุลอวี๋ผู้นี้งดงามมากจริงๆ เส้นผมดำขลับ คิ้วตาน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงสดเนียนละเอียด เงางามดุจโลหิตถูกเคลือบเงาวาวหนึ่งชั้น หญิงงามเช่นนี้ทำให้บุรุษเกิดความปรารถนาที่จะครอบครองและปรารถนาที่จะทำลายได้ง่ายที่สุด

ดวงตาของอวี๋ชิงจยาแทบลุกเป็นไฟ นางชี้หน้ามู่หรงเหยียน สองตาจ้องมองอวี๋เหวินจวิ้นในระยะประชิด “ตั้งแต่ที่นางมา ท่านก็เอาแต่ทำเรื่องแปลกๆ เดิมข้าคิดว่าท่านพ่อจะรู้ขอบเขต แต่ตอนนี้แม้แต่หลักการท่านก็ไม่สนแล้ว ในใจท่านนางสำคัญกว่าบุตรสาวอย่างข้าใช่หรือไม่”

มู่หรงเหยียนถูกคนชี้หน้าก็ไม่รู้สึกโกรธ เขาเพียงปรายตามองอวี๋เหวินจวิ้นด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รอฟังคำตอบของอวี๋เหวินจวิ้นราวกับดูละครสนุกเรื่องหนึ่ง

อวี๋เหวินจวิ้นมองบุตรสาวที่ถูกประคบประหงมราวกับสมบัติล้ำค่ามาตั้งแต่เด็ก แล้วมองหลางหยาอ๋องซึ่งยกยิ้มมุมปากอย่างไม่อาจทราบความหมาย เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกปวดหัวตุบๆ ชีวิตช่างยากเหลือทนจริงๆ

ข้าทำอะไรผิด เหตุใดข้าต้องเลือกเช่นนี้ด้วย

อวี๋ชิงจยาจ้องมองบิดาไม่หยุด อยากรู้ว่าในใจบิดาใครสำคัญกว่า เหมือนกับบุตรสาวทุกคนที่เสียมารดาแล้วบิดาพาคนใหม่กลับมา

อวี๋เหวินจวิ้นลอบมองมู่หรงเหยียน พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับชมเรื่องรื่นเริงบางอย่าง อวี๋เหวินจวิ้นปวดหัวอย่างยิ่ง คนหนึ่งคือบุตรสาวสุดที่รัก อีกคนหนึ่งคือนายน้อยที่ต้องภักดีในวันหน้า แล้วเขาต้องเลือกอย่างไร

อวี๋เหวินจวิ้นพยายามพูดเอาตัวรอด “จยาจยา เจ้ากับจิ่งหวนไม่เหมือนกัน พวกเจ้าสองคนเทียบกันไม่ได้”

อวี๋เหวินจวิ้นเจตนาที่แท้จริงคือบุตรสาวกับฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องมีความสำคัญแตกต่างกัน จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่เมื่ออวี๋ชิงจยาได้ยินคำพูดนี้แล้ว ความหมายของคำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อวี๋ชิงจยากะพริบตา ดวงตาสีดำเต็มไปด้วยน้ำแวววาวทันที “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะเลือกนาง ท่านพ่อเข้าข้างนาง!”

หลังจากอวี๋ชิงจยาพูดจบก็หันหลังแล้ววิ่งไปทันที

มู่หรงเหยียนทนต่อไปไม่ไหว ก้มศีรษะแล้วหัวเราะออกมา

นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาได้หัวเราะออกมาจากใจจริง นับแต่หนีรอดจากความตายมาเมื่อสองปีก่อน

เมื่อครู่นี้มู่หรงเหยียนมาหารือกับอวี๋เหวินจวิ้น ตอนที่อวี๋ชิงจยาปรากฏตัวธุระก็คุยเสร็จเกือบหมดแล้ว หลังจากอวี๋ชิงจยาเข้ามาขัดบทสนทนา ทั้งสองคนก็ไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องสำคัญต่อ ถึงอย่างนั้นมู่หรงเหยียนก็ยังอารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก

มู่หรงเหยียนเดินไปยังเรือนของตนอย่างไม่เร็วไม่ช้า ขณะที่จะก้าวขึ้นระเบียงทางเดินที่ต้องผ่านทางกลับเรือน ฝีเท้าของเขาก็หยุดลง

บนระเบียงทางเดินอันคดเคี้ยว มีสตรีนางหนึ่งยืนหันหลังให้เขา

มู่หรงเหยียนพบว่าตนยิ้มโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว เขาเดินขึ้นระเบียงทางเดินราวกับมองไม่เห็นเงาร่างของคนผู้นั้น เขาอยากรู้นักว่า ‘บุตรสาวภรรยาเอก’ ผู้นี้คิดจะมาลูกไม้ใดกัน

เป็นเช่นที่คาดไว้ ขณะที่คนทั้งสองเดินเฉียดไหล่ผ่านไป เสียงเย็นชาของอวี๋ชิงจยาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “หยุดนะ”

นางพยายามทำให้เสียงของตนดูเย็นชาและน่าเกรงขามอย่างที่สุดแล้ว แต่น้ำเสียงของนางยังคงเจือสะอื้นออกมาอยู่ดี ฟังแล้วคล้ายอยากให้คนรังแกนางจนร้องไห้เสียมากกว่า

มู่หรงเหยียนหยุดฝีเท้าอย่างหาได้ยาก หันกลับมามองตาของนาง “ร้องไห้หรือ”

อวี๋ชิงจยาหางตาแดง นางพยายามปกปิดคราบน้ำตา เดิมทีคิดว่าผู้อื่นมองไม่ออก สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายมองออกในปราดเดียวอยู่ดี อวี๋ชิงจยาเบิกตาโตแล้วกล่าวปฏิเสธ “เปล่า”

หญิงสาวอายุสิบสี่โกรธจนร้องไห้ ยามมาหาเขายังกล่าวด้วยเสียงสะอื้น แม้แต่บุรุษหนุ่มซึ่งเป็นช่วงวัยที่ไม่คิดจะแยแสสิ่งใดที่สุดก็ยังพูดจารุนแรงกับนางไม่ลง ทว่าความรู้สึกสงสารไม่ได้มีอยู่ในตัวมู่หรงเหยียนสักนิด เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายขึ้นเนื่องจากรอยยิ้ม คนหนุ่มรูปงามที่แยกชายหญิงไม่ออกยิ้มอ่อนโยนราวกับเป็นทูตสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นกลับร้ายกาจยิ่ง “เรื่องเล็กแค่นี้คู่ควรให้เจ้าร้องไห้หรือ ไม่ได้เรื่องจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเจ้าร้องไห้แล้วมีประโยชน์อะไร” มู่หรงเหยียนชื่นชมท่าทางอันน่าเวทนาที่พ่ายแพ้ให้กับเขา ก่อนพูดประหนึ่งเอามีดแทงหัวใจคนอย่างช้าๆ “บุ๋นไม่สำเร็จ บู๊ไม่ได้ความ ตอนนี้ยังถูกบิดาทอดทิ้ง สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คือก้าวข้ามข้าไป หรือไม่ก็เปิดโปงข้าต่อหน้าอวี๋เหวินจวิ้นเสีย มาแอบร้องไห้อยู่คนเดียวเช่นนี้ นอกจากมีเหตุผลให้ข้าหัวเราะเยาะเจ้าเพิ่ม แล้วยังมีประโยชน์อะไรอีก”

อวี๋ชิงจยามองมู่หรงเหยียน กะพริบตาและอยากจะร้องไห้อีกครั้ง ใต้หล้ามีสตรีที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร

มู่หรงเหยียนริบของเชลยแล้วจากไปด้วยความพึงพอใจ อวี๋ชิงจยาก้มหน้าเช็ดน้ำตาแรงๆ สตรีชั่วร้ายพูดถูก ข้าร้องไห้แล้วมีประโยชน์อันใด ทว่าแม้ในใจรู้ดี แต่เสียงสะอื้นของนางกลับควบคุมไม่อยู่ นางตะโกนใส่แผ่นหลังของมู่หรงเหยียน “เจ้าหยุดนะ!”

มู่หรงเหยียนเดินไปข้างหน้าต่ออย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย อวี๋ชิงจยาโกรธจนรีบตามไปดึงแขนของเขา “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

อวี๋ชิงจยาไม่รู้ว่าสตรีนางหนึ่งเหตุใดถึงแรงเยอะเพียงนี้ พวกนางสองคนอายุห่างกันแค่หนึ่งปีเท่านั้น ทว่าอวี๋ชิงจยาไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิง

มู่หรงเหยียนสะบัดแขนสองสามที พลันพบว่าเจ้าขนมหนิวผีถัง ชิ้นนี้สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด จึงเดินไปข้างหน้าต่ออย่างไม่สนใจ อวี๋ชิงจยาดึงแขนของมู่หรงเหยียนด้วยมือสองข้าง จึงถูกลากจนพุ่งไปข้างหน้าทั้งร่างเช่นนั้น

อวี๋ชิงจยาทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ทันทีที่มองไปเห็นเสาข้างๆ ความคิดของนางก็กระจ่างแจ้งทันที นางกระโจนไปหาเสาต้นนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนฉวยโอกาสตอนที่มู่หรงเหยียนไม่ทันตั้งตัวใช้สองแขนโอบเสาไม้หนาๆ ไว้ ให้ร่างมู่หรงเหยียนเข้ามาในอ้อมแขนของนางด้วย ล้อมตัวอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา “ดูซิว่าตอนนี้เจ้าจะไปได้อย่างไร!”

มู่หรงเหยียนรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มผิดปกติที่แขน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“ปล่อยมือ!”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: