บทที่ 96 ความฝัน
ความฝันนั้นมาอย่างไม่ปะติดปะต่อ มู่หรงเหยียนมีความจำที่ดีมาก แต่ความฝันเมื่อคืนนี้ราวกับถูกกั้นไว้ด้วยชั้นหมอก มีเพียงบางส่วนที่แวบผ่านเป็นครั้งคราว ในความฝันเขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าที่รุนแรงพอจะฉีกทำลายคนผู้หนึ่ง แต่หลังจากตื่นขึ้นมา เขากลับจดจำรายละเอียดได้ไม่มาก
แต่ภาพไฟโหมกระหน่ำในเมืองเกาผิงตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่หายไป เขาไม่จำเป็นต้องหลับตาก็คล้ายมองเห็นแสงไฟส่องขึ้นฟ้า สาดส่องไปครึ่งหนึ่งของท้องนภา ท่ามกลางแสงสว่างคล้ายแฝงไปด้วยการทำลายตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ถึงเสียงจะค่อนข้างแตกต่าง และน้ำเสียงที่ใช้พูดดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มู่หรงเหยียนก็สามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายว่าเสียงในความฝันนั้นคือตัวเขาเอง หรือก็คือตัวเขาในอีกไม่กี่ปีต่อมา
มู่หรงเหยียนไม่เชื่อเทพเซียน ไม่เชื่อพุทธศาสนา ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลกรรม ความฝันที่เป็นสิ่งลวงตาไม่มีอยู่จริง ยิ่งไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป มู่หรงเหยียนเกิดลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าโดยไม่มีเหตุผลใดๆ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง
สักวันหนึ่งในอนาคตเขาจะออกคำสั่งฆ่าล้างสกุลอวี๋ทั้งหมดด้วยตนเองและเผาเมืองเกาผิงครึ่งเมือง เกือบจะทำลายตระกูลขุนนางที่อาศัยอยู่ร่วมกันในตรอกเจี้ยนอันจนพินาศวอดวาย หากความฝันดำเนินมาถึงแค่ตรงนี้ มู่หรงเหยียนคงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เมืองแห่งหนึ่งจะถูกเผาก็เผาไปเถิด เขาไม่สนใจว่าผู้อื่นจะพูดถึงเขาอย่างไร ยิ่งไม่ใส่ใจต่อคำวิจารณ์ในหนังสือประวัติศาสตร์ สิ่งที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมากลางดึกและยืนรับลมจนถึงรุ่งเช้าอย่างแท้จริงคือคำพูดคลุมเครือในความฝันประโยคนั้นต่างหาก
‘ในเมื่อนางไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นจะเหลือจวนสกุลอวี๋ไปด้วยเหตุใดอีก’
มู่หรงเหยียนปฏิเสธที่จะคิดว่า ‘นาง’ ในคำพูดนั้นหมายถึงใคร ทว่าคำตอบในใจเขานั้นชัดเจนมาก
อวี๋ชิงจยา…อวี๋ชิงจยาจะตายก่อนเขาได้รับอำนาจ ตายก่อนที่เขาจะมีคุณสมบัติพอให้ควบคุมชะตากรรมของคนตระกูลหนึ่ง
ไป๋หรงได้ยินรายงานของข้ารับใช้ก็มองไปยังประตูที่ปิดสนิทบานนั้นด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง นางไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปรบกวนการอยู่ตามลำพังของคุณชายหรือไม่ หากเป็นเรื่องอื่นไป๋หรงจะหมุนกายและจากไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหก
ขณะที่ไป๋หรงยังคงลังเล จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ประตูไม้สีเข้มถูกผลักออกอย่างช้าๆ แสงสว่างราวกับแย่งชิงกันส่องเข้าไปในห้องอันมืดมิด สามารถมองเห็นเค้าโครงของคนผู้หนึ่งที่อยู่ในจุดย้อนแสงได้รางๆ ไป๋หรงเกร็งแผ่นหลังโดยไม่รู้ตัว ศีรษะก้มลงอย่างเคารพนอบน้อม “เจ้านาย”
‘คุณชาย’ เป็นคำที่ใช้เรียกทายาทของชนชั้นสูงและทายาทของผู้ปกครองดินแดน ตอนนี้ข้างกายมู่หรงเหยียนล้วนเป็นคนของตนเอง ไม่จำเป็นต้องปกปิดสถานะเท่าใดนัก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ก่อนที่โอกาสแท้จริงจะมาถึงพวกเขาควรระมัดระวังตัวไว้ก่อน พวกไป๋หรงไม่สะดวกที่จะใช้คำว่า ‘คุณชาย’ จึงได้แต่เรียกว่า ‘เจ้านาย’ แทน
มู่หรงเหยียนเปลี่ยนเกี้ยวและสวมเสื้ออันประณีตงดงาม แขนแคบ ดูสะอาดเรียบร้อย เมื่อเขาสวมเกี้ยวก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการแต่งกายของบุรุษ เดิมมู่หรงเหยียนมีใบหน้าขาวราวกับหยก เมื่อเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ขาวตลอดทั้งร่างจึงยิ่งขับให้แขนขาดูเรียวยาว เย็นชาและเฉียบแหลมยิ่งขึ้น
รูปโฉมมู่หรงเหยียนในวัยเยาว์แยกแยะชายหญิงได้ยาก หลังจากผ่านไปสองปีกระดูกของเขายืดยาวขึ้น เค้าโครงชัดเจน ความเป็นสตรีที่นุ่มนวลก็ลดลงมาก ในทางกลับกันเนื่องจากเค้าโครงที่ชัดเจนขึ้นทุกวัน ความอำมหิตและดุร้ายที่ฝังอยู่ในกระดูกก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งในเวลานี้เขามีสีหน้าเย็นชา ไม่ปิดบังจิตสังหารในดวงตาแม้แต่น้อย ความรู้สึกงดงามและอันตรายถึงชีวิตก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เดิมทีไป๋หรงเห็นมู่หรงเหยียนก็ระมัดระวังตัวมากอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นเขาแทบจะไม่ควบคุมความดุร้าย นางก็ขนลุกชูชัน แทบจะควบคุมร่างกายที่ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณของตนเองไม่ได้
มู่หรงเหยียนถาม “เรื่องอะไร”
ไป๋หรงตกตะลึง ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามู่หรงเหยียนได้ยินการสนทนาของนางกับข้ารับใช้จากในห้อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไป๋หรงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว นางกล่าวว่า “เจ้านาย หลายวันมานี้คุณหนูหกดูอารมณ์ไม่ดี เหมือนจะมีเรื่องในใจเจ้าค่ะ”
เรื่องในใจ? มู่หรงเหยียนนึกถึงฝันเมื่อคืนอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถาม “นางอยู่ที่ใด”
“ประทินโฉมอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
ไป๋หรงพูดโดยก้มศีรษะอยู่ตลอด นางไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนอวี๋ชิงจยา ไม่กล้ามองใบหน้าของมู่หรงเหยียนตรงๆ อีกทั้งยังรู้สถานการณ์ดี จึงไม่สอบถามมู่หรงเหยียนว่าถามหาอวี๋ชิงจยาด้วยเหตุใด มู่หรงเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปข้างนอกทันที
ข้ารับใช้ทั้งสองฝั่งสะดุ้งโหยง พวกเขารีบกล่าวขึ้น “เจ้านาย ตอนนี้ท่าน…”
มู่หรงเหยียนหันกลับมามองพวกเขา แต่ละคนต่างตกใจกลัวสายตาของเขา พากันก้มหน้าลงและคุกเข่า ไม่กล้ากล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
ไป๋จื่อหวีผมยาวของอวี๋ชิงจยา เลือกที่กลัดผมหินลวี่ซง* มารวบผมให้นาง แล้วเสียบพู่และปิ่นเข้าไปในที่กลัดผมทางด้านซ้ายและขวา หลังจากจัดแต่งผมเสร็จแล้วไป๋จื่อก็มองดูซ้ายและขวา ก่อนจะกล่าวด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง “คุณหนูงดงามแต่กำเนิด แค่รวบผมอย่างเรียบง่ายก็น่ามองมากแล้วเจ้าค่ะ รอวันหน้าหาสามีได้แล้วสามารถมวยผมสูงได้ เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องครบหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะน่าตะลึงมากเพียงใด”
ราชวงศ์เหนือมีประเพณีนิยมเปิดเผย ในหมู่สตรีพูดล้อเล่นตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ถือเป็นการทำผิดธรรมเนียม ซึ่งไป๋จื่อก็ดูแลอวี๋ชิงจยามาตั้งแต่เด็ก มีสถานะกึ่งมารดากึ่งพี่สาว คำพูดหยอกล้อของนางเป็นเพราะตั้งตารอการแต่งงานของอวี๋ชิงจยาจริงๆ เหล่าสาวใช้ได้ยินประโยคนี้แล้วพากันยิ้ม อวี๋ชิงจยาเหลือบมองไป๋จื่อในคันฉ่องและอดยิ้มไม่ได้ “พูดเหลวไหลอะไรกัน”
“บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหลนะเจ้าคะ” ไป๋จื่อจัดปอยผมของอวี๋ชิงจยาอย่างนุ่มนวล พลันมองอวี๋ชิงจยาพลางทอดถอนใจ “คุณหนูฉลาดและงดงาม จิตใจบริสุทธิ์ เป็นดั่งไข่มุกที่สง่างามอย่างสงวนท่าทีในสายตาบ่าว ไม่ว่าจะวางไว้ที่ใดก็เปล่งประกายสดใสอยู่เสมอเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าคุณหนูจะได้แต่งงานกับสามีเช่นไร”
ไป๋จื่อเผยความกลัดกลุ้มออกมารางๆ นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสกุลอวี๋แม้แต่น้อย แต่จำต้องยอมรับว่าอำนาจของตระกูลยังคงเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญของการแต่งงานมาก เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่อวี๋เหวินจวิ้นพาอวี๋ชิงจยาออกจากสกุลอวี๋ ชีวิตของพวกนางในช่วงเวลานี้มีแต่ความสงบและสบายใจ แต่ไป๋จื่ออายุมากแล้ว จำต้องพิจารณาให้ไกลขึ้น ตอนนี้อวี๋ชิงจยาถึงช่วงวัยที่ต้องหารือการแต่งงานแล้ว เรื่องของสกุลอวี๋ใหญ่โตถึงเพียงนั้น การแต่งงานของอวี๋ชิงจยาจะจัดการอย่างไรดี ในใจของไป๋จื่อ คุณหนูหกของนางคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า คู่ควรกับทุกคน แต่จำต้องยอมรับว่าการแตกแยกระหว่างอวี๋เหวินจวิ้นกับสกุลอวี๋จะส่งผลกระทบต่อการแต่งงานของอวี๋ชิงจยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อวี๋ชิงจยามองเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ของไป๋จื่อ ตัวนางไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ชีวิตคนไม่ควรประเมินจากการที่ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี การทำสิ่งที่ตนเองชอบถึงจะเป็นสิ่งที่อวี๋ชิงจยาให้ความสำคัญที่สุด อีกทั้งนางติดตามอวี๋เหวินจวิ้นออกจากสกุลอวี๋ คนนอกไม่สนใจว่านางจะยากลำบากหรือได้รับความไม่ยุติธรรมอย่างไร พวกเขาเห็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้เท่านั้น จากเหตุการณ์นี้อวี๋ชิงจยาจะต้องถูกบรรดาฮูหยินตระกูลขุนนางตัดออกจากรายชื่อลูกสะใภ้อย่างแน่นอน จากนี้ก็คงพูดกับนางไม่ดีเท่าไร แต่อวี๋ชิงจยากลับรู้สึกไม่สนใจ ไม่ว่าคนนอกจะพูดอย่างไร การมีชีวิตที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุด
อวี๋ชิงจยากล่าว “การใช้ชีวิตก็เหมือนการดื่มน้ำ รู้ร้อนรู้หนาวด้วยตนเอง ชีวิตต้องใช้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาบอก การแต่งงานของท่านแม่ถูกต้องตามประเพณี เหมาะสมอย่างยิ่ง แม้แต่การแต่งงานของหลี่ซื่อ คนนอกยังมองว่าดีมาก แต่หลังจากที่พวกนางแต่งงานแล้วมีคนใดที่ใช้ชีวิตได้ดีเล่า ผู้อื่นจะพูดอะไรล้วนไม่สำคัญ ดูว่าได้สิ่งใดมาอยู่ในมือถึงจะเป็นความจริงที่สุด”
ไป๋จื่อคิดตามก็เห็นด้วย หากยอมทนทุกอย่างจากอวี๋เหล่าจวินและอวี๋ชิงหย่าเพื่อการแต่งงานที่ดี นั่นคงต้องทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง จิตใจของไป๋จื่อค่อยๆ สงบลงแล้วกล่าว “คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ บ่าวสายตาตื้นเขินเกินไป คุณหนูใช้ชีวิตอย่างสดใสเช่นนี้ ใครได้แต่งงานกับคุณหนูถือว่าโชคดี ไม่รู้ว่าวาสนาของคุณหนูจะอยู่ที่ใด…”
ไป๋จื่อตกอยู่ในห้วงความคิด อวี๋ชิงจยารู้สึกร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อครู่นี้นางเพิ่งกล่าวอย่างจริงใจว่าจะไม่ทำให้ตัวเองลำบากเพื่อสายตาชาวบ้าน แต่ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนความคิดอีกอย่างหนึ่งไว้ ที่นางไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน แท้จริงแล้วเป็นเพราะในใจนางมีเงาของสามีในอนาคตอยู่แล้ว
อวี๋ชิงจยากระแอมอย่างกระอักกระอ่วน ลุกขึ้นและกล่าว “ข้างนอกเพิ่งจะฝนตกไป อากาศกำลังดี ข้าจะออกไปเดินข้างนอกสักหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องตามมานะ”
ที่แห่งนี้เงียบสงบ ปล่อยให้อวี๋ชิงจยาเดินคนเดียวไม่มีอะไรให้น่ากังวลจริงๆ ไป๋จื่อกำชับอวี๋ชิงจยาว่าต้องรีบกลับมาแล้วไปทำงานของตนเองต่อ อวี๋ชิงจยากลัดผมด้วยหินลวี่ซง ปักปิ่นหยกสีเขียวอ่อนสองข้าง ด้านล่างสุดห้อยพู่เงิน ขณะที่นางเดินอยู่บนระเบียงทางเดินมีสายลมอบอุ่นพัดมา พู่เงินก็ส่งเสียงกระทบกรุ๊งกริ๊งเบาๆ
อวี๋ชิงจยากำลังเดินอย่างไร้จุดหมาย นางเห็นดอกไม้กิ่งหนึ่งถูกลมพัดตกลงมาข้างทางจึงหยุดฝีเท้าแล้วหยิบดอกไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดโคลนบนกลีบดอกไม้ นางโน้มตัวมองดอกไม้อย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมอง
มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพุ่มดอกไม้ กำลังมองดูนางอยู่เงียบๆ
อวี๋ชิงจยาเห็นอีกฝ่ายแล้วตกตะลึงอย่างยิ่ง ก่อนจะจำได้อย่างไม่กล้าเชื่อสายตาว่าคนผู้นั้นคือมู่หรงเหยียน
เขารวบผมยาวด้วยเกี้ยว บนร่างสวมชุดผ้าแพร แขนเสื้อแคบ ดูมีระเบียบเรียบร้อย เผยใบหน้าด้านข้างที่เห็นขอบมุมชัดเจนและรูปร่างที่เพรียวบางแต่ทรงพลัง ทั่วทั้งร่างของเขาราวกับมีดที่งดงามล้ำค่าเล่มหนึ่ง แม้อยู่ห่างไกลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแหลมคมอันน่าหวาดเกรง
อวี๋ชิงจยาตะลึงงันเป็นเวลานาน นางเคยคิดในใจว่ามู่หรงเหยียนกลับมาสวมชุดบุรุษแล้วจะเป็นอย่างไร นางเคยคิดว่าเมื่อไรมู่หรงเหยียนถึงจะไร้ความกังวล แต่อวี๋ชิงจยากลับคาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้เห็นภาพที่ยากจะลืมเลือนไปตลอดชีวิตในเช้าตรู่ที่มีน้ำค้างลงจัดเช่นนี้
มู่หรงเหยียนนั้นหน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อนานมาแล้วอวี๋ชิงจยาเอาแต่เรียกเขาด้วยความโกรธว่า ‘ปีศาจจิ้งจอก’ มาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วเครื่องชุดหลวมๆ ที่คล้ายหญิงคล้ายชายนั้นบดบังเสน่ห์อันน่าดึงดูดของเขามาโดยตลอด ความน่าดึงดูดเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตา แต่เป็นบุคลิกลักษณะอันสูงส่งที่ส่งตรงถึงใจคน
มู่หรงเหยียนไม่รู้ว่ามองอยู่ตรงนั้นนานเพียงใดแล้ว เขาเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ยื่นมือไปแตะใบหน้าด้านข้างของอวี๋ชิงจยา แล้วปาดโคลนออกจากหน้าของนาง หลังจากเช็ดโคลนจนสะอาดเขาก็ยังไม่ดึงมือกลับไป ยังคงอยู่ข้างใบหน้าของนางและจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง
อวี๋ชิงจยาเพิ่งรู้ว่าใบหน้าของตนเปื้อนโคลน นางรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก จากนั้นก็ค่อยๆ พบว่าสีหน้าท่าทางของมู่หรงเหยียนดูไม่ค่อยปกติ
เหตุใดเขาถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนี้
มือของมู่หรงเหยียนเย็นยิ่งกว่าน้ำค้างในยามเช้าตรู่ อวี๋ชิงจยาถามเสียงเบา “เจ้าเป็นอะไร เหตุใดมือถึงได้เย็นถึงเพียงนี้”
มู่หรงเหยียนไม่ตอบ นางคิดจะช่วยอุ่นมือให้เขา แต่ถูกมืออีกข้างหนึ่งของเขาจับไว้แทน “อย่าขยับ ข้าอยากดูว่าเจ้าใช่ตัวจริงหรือไม่”
อวี๋ชิงจยาถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโหและขบขันในคราวเดียวกัน “ถ้าข้าไม่ใช่ตัวจริง ยังจะเป็นตัวปลอมได้อีกหรือ มือของเจ้าเย็นมากเลย เมื่อคืนนี้เป็นหวัดหรือ” อวี๋ชิงจยานำมือของมู่หรงเหยียนมาวางไว้ใกล้หน้าแล้วพ่นลมร้อนๆ ใช้ฝ่ามือช่วยมอบความอบอุ่นให้เขา อวี๋ชิงจยาเงยหน้ามองมู่หรงเหยียนทีหนึ่ง พลันรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้า…เหตุใดเจ้าจู่ๆ ก็…”
อวี๋ชิงจยายังถามไม่จบ แต่คนทั้งสองต่างรู้ความนัยที่เหลือ จู่ๆ มู่หรงเหยียนก็กลับมาสวมชุดบุรุษเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้วใช่หรือไม่
“ตอนนี้โอกาสยังมาไม่ถึง” มู่หรงเหยียนไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง “แต่ก็อีกไม่นานแล้ว เรื่องต่อจากนี้ใช่ว่าปกปิดแล้วจะทำสำเร็จได้ ดังนั้นไม่มีความแตกต่างไม่ว่าจะเปิดเผยสถานะหรือไม่ก็ตาม”
อวี๋ชิงจยายังอยากจะถามบางอย่างจากเขา แต่พอคำพูดเกือบออกจากปากไปก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น นางยกมือของมู่หรงเหยียนขึ้นและเขย่าพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าขอพรในวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ปีนี้เจ้าจะราบรื่นตลอดปี”
ในที่สุดมู่หรงเหยียนก็เผยรอยยิ้ม เขามองดูอวี๋ชิงจยาที่สดใสและมีชีวิตชีวาตรงหน้า นางในตอนนี้ทั้งรู้จักยิ้มให้เขาและออดอ้อนเขา แล้วก็หวนนึกถึงความฝันเมื่อคืนอีกครั้งโดยไม่คาดคิด
อวี๋ชิงจยาพูดจบพลันรู้สึกว่ามู่หรงเหยียนจับมือของนางไว้แน่นมาก นางตกใจ มองสีหน้าท่าทางของมู่หรงเหยียนอย่างละเอียด “วันนี้เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
อวี๋ชิงจยามองดวงตาของมู่หรงเหยียนอย่างระมัดระวัง พยายามเสาะหาเบาะแสบางอย่าง นางเห็นม่านตาของมู่หรงเหยียนทั้งดำและมืดมน ภายในนั้นส่องสะท้อนเงาร่างของตนอย่างชัดเจน และนางเห็นดวงตาคู่นี้ค่อยๆ เคลื่อนไป โดยมองผ่านนางไปยังทิศทางอื่น
อวี๋ชิงจยาหันกลับไปตามสายตาของมู่หรงเหยียน และเห็นอวี๋เหวินจวิ้นยืนอยู่ด้านหลังราวระเบียง
อวี๋เหวินจวิ้นเห็นฝ่ามือของมู่หรงเหยียนที่จับใบหน้าด้านข้างของอวี๋ชิงจยา ก่อนจะเหลือบไปเห็นมือของคนทั้งสองที่จับกันแน่น อวี๋เหวินจวิ้นสูดหายใจลึก พยายามกล่าวอย่างสงบ “จยาจยา เจ้ากลับไปก่อน พ่อมีเรื่องจะพูดกับเขา”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ส.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.