บทที่ 97 ความยับยั้งชั่งใจ
ทันทีที่ได้ยินเสียงของอวี๋เหวินจวิ้น อวี๋ชิงจยาก็ตกใจ นางรีบหันกลับไป เห็นบิดายืนอยู่ด้านหลังราวระเบียงด้วยหน้าตาบึ้งตึง ท่าทางจริงจัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความใกล้ชิดระหว่างพวกเขาสองคนเมื่อครู่นี้ถูกอวี๋เหวินจวิ้นมองเห็นทั้งหมด อวี๋ชิงจยาแก้มแดงก่ำ นางคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันให้นางครุ่นคิด อวี๋เหวินจวิ้นก็กล่าวขึ้นอีกว่า “จยาจยา เมื่อครู่นี้ไป๋จื่อตามหาเจ้า เจ้ากลับไปดูว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้นเถิด”
อวี๋ชิงจยายังอยากจะอธิบาย
มู่หรงเหยียนโอบไหล่ของอวี๋ชิงจยาจากด้านหลัง แล้วดันนางออกไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง “ที่นี่เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้ากลับไปก่อน”
อวี๋ชิงจยามองอวี๋เหวินจวิ้นแล้วมองมู่หรงเหยียน สุดท้ายก็จากไปตามแรงดันของมู่หรงเหยียน หลังจากเดินออกไปได้สองก้าวนางก็หันกลับมาอย่างไม่วางใจ และกล่าวเสียงเบากับมู่หรงเหยียน “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
มู่หรงเหยียนพยักหน้า แล้วมองดูนางจากไป อวี๋ชิงจยาค่อยๆ เดินจากไปไกล อวี๋เหวินจวิ้นกับมู่หรงเหยียนต่างมองเงาหลังของนาง ไม่มีใครพูดจา
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งลมพัดกลิ่นหอมที่หลงเหลืออยู่ในอากาศออกไป อวี๋เหวินจวิ้นที่สายตายังคงจ้องมองไปทางที่อวี๋ชิงจยาจากไปก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ในวันที่จยาจยาเกิด ข้าถูกเหล่าจวินส่งตัวออกไปโดยอ้างว่า ‘เยี่ยมผู้อาวุโส’ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าอวี๋ซื่อใกล้จะคลอด ข้าคิดว่ารอข้ากลับมาก็จะทันนางคลอดพอดี แต่รอให้ข้าปลีกตัวกลับมาได้ในที่สุดก็เพิ่งรู้จากปากของสาวใช้ว่าอวี๋ซื่อคลอดลูกแล้ว นางทรมานตลอดหนึ่งวัน ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน พวกนางอุ้มจยาจยามาให้ข้าดู ตอนนั้นนางยังตัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือข้า ข้าแทบจะไม่กล้าเชื่อว่านี่คือบุตรสาวของข้า
ตอนอวี๋ซื่อตั้งครรภ์ เดิมนางร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ยังถูกเหล่าจวินจงใจชะลอการคลอด ทำให้นางเจ็บปวดตลอดทั้งวันจนให้กำเนิดจยาจยาได้ในที่สุด แม้ว่าสุดท้ายแม่ลูกจะปลอดภัย แต่หลังจากเหตุการณ์นี้อวี๋ซื่อก็เลือดลมเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ตอนนั้นข้าจึงรู้ว่านี่คงจะเป็นลูกเพียงคนเดียวของข้ากับอวี๋ซื่อ ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่สามีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตอนที่พวกนางแม่ลูกเดินผ่านประตูยมโลก ข้าที่เป็นทั้งสามีและพ่อคนถูกย่าของตนเองกีดกันออกไป ไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกนางในเวลาที่พวกนางต้องการข้ามากที่สุด มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าจยาจยาได้ออกมาดูโลกนี้แล้ว ข้าผิดต่ออวี๋ซื่อไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าก็จะติดค้างนางไปทุกภพทุกชาติ ข้าไม่ใช่สามีที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ดังนั้นข้าจึงจะไม่กลายเป็นพ่อที่ขาดคุณสมบัติอย่างเด็ดขาดขอรับ”
คำพูดเหล่านี้อวี๋เหวินจวิ้นไม่เคยพูดกับใครมาก่อน นี่คือความเจ็บปวดและความละอายใจที่ลึกที่สุดในใจเขา แต่เช้าวันนี้หลังฝนตก เขาได้เปิดรอยแผลของตนให้มู่หรงเหยียนดูทีละจุด “คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนนั้นแค่ได้ยินคำเล่าลือ หนึ่งปีมานี้ได้เห็นกับตาตนเองจึงรู้ว่าข่าวลือนั้นไม่ได้โกหก ท่านเป็นอัจฉริยะในหลายด้าน ในด้านดนตรี ท่านสามารถฟังผ่านหูไม่ลืมเลือน ในด้านศิลปะการต่อสู้ ท่านเชี่ยวชาญด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ กลอุบายชั่วร้ายยิ่งโค่นท่านได้ยาก ท่านมีสติปัญญาเหนือผู้คน มีวินัยในตนเอง มีเหตุผลและความเด็ดขาด ทุกคนต่างรู้ว่าหากท่านขึ้นครองบัลลังก์ ภายหน้าจะต้องสำเร็จการใหญ่ ดังนั้นถึงองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปหลายปีเช่นนี้ คนที่สนับสนุนท่านกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใต้หล้าโกลาหลมานานเกินไปแล้ว พวกเรากำลังเฝ้ารอฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง”
มู่หรงเหยียนฟังอย่างสงบเยือกเย็นอยู่ตลอด จนถึงตรงนี้จึงค่อยเอ่ยด้วยท่าทางเรียบเฉย “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
อวี๋เหวินจวิ้นสีหน้าเคร่งขรึม หันมาโค้งคำนับให้มู่หรงเหยียน พูดด้วยคำพูดทางการ “หลางหยาอ๋อง กระหม่อมยินดีสละชีพอย่างไม่เสียดาย จงรักภักดีต่อพระองค์ด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเป็นห่วงบุตรสาว จยาจยาในวัยเด็กได้รับความทุกข์มามากแล้ว แม้ว่านางจะดูร่าเริงมีความสุข แต่ไม่เคยคบหาลึกซึ้งกับใครมาก่อน ยิ่งไม่สร้างปัญหาให้ใคร ทายาทรู้ความล้วนเป็นผลจากความผิดของพ่อแม่ แต่พ่ออย่างกระหม่อมเห็นแล้วเจ็บปวดใจยิ่ง นางมีนิสัยเช่นนี้ หากเข้าไปในราชวงศ์ ภายภาคหน้าแม้จะได้รับความไม่ยุติธรรมก็จะไม่มาพูดกับครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ ไม่กลัวพระองค์หัวเราะเยาะ กระหม่อมขอพูดตามตรง หากบุตรเขยเป็นคนธรรมดา พ่อตาอย่างกระหม่อมก็สามารถออกหน้าให้บุตรสาวได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นพระองค์ จยาจยาได้รับความไม่ยุติธรรม แม้แต่จะสนับสนุนนางกระหม่อมก็ทำไม่ได้ หลางหยาอ๋อง โปรดเห็นใจในความเห็นแก่ตัวของพ่อคนหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่กล้าปฏิเสธตำแหน่งสูงที่เชื้อพระวงศ์มอบให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายเพิ่งแสดงความสนใจออกมา ยังไม่ทันบอกว่า ‘จะไม่แต่งกับใครนอกจากบุตรสาวท่าน’ บิดาก็รีบร้อนปฏิเสธเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็ทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่ได้ แต่มู่หรงเหยียนกลับนิ่งเงียบอยู่นาน
หากคำพูดของอวี๋เหวินจวิ้นเจือด้วยความเสแสร้งหรือใช้ประโยชน์จากอวี๋ชิงจยา มู่หรงเหยียนก็สามารถพูดกล่อมให้ตนเองเพิกเฉยได้ แต่เขาสามารถฟังอย่างเงียบๆ จนถึงตอนนี้ได้เพียงเพราะทุกถ้อยคำของอวี๋เหวินจวิ้นปราศจากความเห็นแก่ตัว ล้วนเป็นความหวังดีต่ออวี๋ชิงจยาที่ออกมาจากใจจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพที่ใครต่อใครเห็นกันนั้น การแต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ถือเป็นเกียรติและรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง แต่บิดามารดาที่รักลูกอย่างแท้จริงจะไม่ยอมส่งบุตรสาวเข้าวังหลวง ต่อให้มู่หรงเหยียนจะพูดเอง เขาก็ไม่คิดว่าการแต่งเข้าสกุลมู่หรงเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่างใด
ผู้คนต่างอิจฉาบุรุษสกุลมู่หรงที่มีตำแหน่งสูง ชำนาญการรบโดยกำเนิด แต่ละคนรูปโฉมงดงาม แต่มู่หรงเหยียนกลับรู้ว่าภายใต้พรสวรรค์เหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ตอนที่เขาพบอวี๋ชิงจยาครั้งแรกเมื่อเดือนสี่ปีที่แล้ว นางไม่รู้สถานะของเขา ได้หลุดพูดออกมาตอนมื้อค่ำว่าคนสกุลมู่หรงเป็นโรคหรือไม่ อวี๋เหวินจวิ้นตกตะลึงอย่างยิ่ง มองเขาด้วยความประหม่า กลัวว่าเขาจะลงโทษเพราะเรื่องนี้ มู่หรงเหยียนในตอนนั้นเห็นแก่หน้าของอวี๋เหวินจวิ้นจึงไม่ได้ลงโทษใดๆ แต่ที่จริงแล้วเขารู้ว่าอวี๋ชิงจยาพูดไม่ผิด
สกุลมู่หรงมีสายเลือดเซียนเปยอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งแสดงออกมาภายนอกคือรูปร่างสูงเพรียว จมูกโด่ง และดวงตาลึก ที่มาของข้อบกพร่องนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่บุรุษสกุลมู่หรงแต่ละคนชอบการต่อสู้อย่างที่สุด ขี้ระแวงและจิตใจเปลี่ยนแปลงง่าย จนในภายหลังนิสัยที่ชอบการต่อสู้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับชอบที่จะเห็นเลือดไหลกระฉูด และเพลิดเพลินกับความรู้สึกตื่นเต้นที่มาจากการเข่นฆ่า นี่ไม่ใช่สภาวะปกติอย่างแน่นอน ตัวมู่หรงเหยียนเองก็รู้สึกว่าสายเลือดเช่นนี้ควรจะสูญสิ้นโดยเร็ว อย่าได้แพร่กระจายไปในใต้หล้าอีก
ข้อบกพร่องทางอารมณ์ของเขารุนแรงเป็นพิเศษ ดังนั้นแค่คิดก็รู้ว่าบุตรชายของเขาจะต้องเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวตั้งแต่แรกเกิด หากเปลี่ยนเป็นตัวมู่หรงเหยียน เขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้บุตรสาวแต่งงานกับคนเช่นนี้
หากเป็นในอดีต เมื่อมู่หรงเหยียนพบกับสิ่งที่ชอบ ต่อให้ถูกทำลายก็ต้องคว้าเอามาอยู่ในมือของตนให้ได้ อย่างไรก็ตามความชอบคือการกระทำตามอำเภอใจ การครอบครอง และการทำลาย แต่ความรักคือความยับยั้งชั่งใจ เมื่อเจอสิ่งที่ชอบก็จะต้องการครอบครองนางให้ได้ แทบอยากจะมัดนางไว้ข้างกายตนเองตลอดทั้งวัน แต่เมื่อชอบสิ่งนี้มากๆ และทุ่มเทความรู้สึกมากเกินไปก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เอาแต่กังวลว่านางมีความสุขหรือไม่ การกระทำของตนจะทำร้ายนางหรือไม่
มู่หรงเหยียนนึกถึงความฝันเมื่อคืน หากตัวเขาในอนาคตไม่สามารถปกป้องนางได้ เช่นนั้นจะยังมีคุณสมบัติใดมาครอบครองนาง ให้นางต้องมารอเขา ในความฝันอวี๋ชิงจยาตายเพราะเขา ต่อให้เขาฆ่าล้างทั้งสกุลอวี๋หลังจากนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร
การหวงแหนมากเกินไปจะทำให้เขาไม่สามารถรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียได้ นี่คือสิ่งที่มู่หรงเหยียนไม่สามารถนึกภาพออกได้ ในอดีตเขาเคยถูกใจม้าบรรณาการตัวหนึ่ง ตอนที่ฉางซานอ๋องมาขอจากเขา มู่หรงเหยียนเลือกที่จะฆ่ามัน แต่ตอนนี้เขากลับค่อยๆ ปล่อยสิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดในชีวิตไปจากมือตนเอง
มู่หรงเหยียนได้ยินแล้วกล่าว “ดี”
อวี๋ชิงจยาเคยบอกว่าสามีในอนาคตของนางต้องเป็นคนเที่ยงตรง ใจดี อ่อนโยน และกตัญญูเหมือนกับบิดาของนาง เขาเคยดูแคลนและใช้คำเหล่านี้มาโต้แย้งนาง แต่ตอนนี้เขายอมถอยให้คนที่นางชอบก็ได้…หากว่านี่คือลักษณะของสามีที่นางเฝ้าปรารถนา
ในจวนสกุลอวี๋ อวี๋ชิงหย่ากำลังมองคนในคันฉ่องอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นนางก็จับคันฉ่องอย่างแรง เป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว ตัวนางเมื่อชาติที่แล้วก็ด้านชา เหนื่อยล้า และมีความคิดแย่ๆ เช่นนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขอย่างไร อวี๋ชิงหย่ารู้สึกหวาดกลัว นางตะโกนเรียกในใจ ‘ระบบ!’
‘โฮสต์’
เพิ่งจะสิ้นเสียงระบบ อวี๋ชิงหย่าก็ถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ‘อวี๋ชิงจยาตามอวี๋เหวินจวิ้นย้ายออกไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้’
‘นี่เป็นเรื่องปกติมาก’ ระบบกล่าว ‘ในโลกยุคหลังมีคำนามเฉพาะที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก’* หลักการโดยละเอียดเดาว่าโฮสต์คงจะไม่สนใจ ดังนั้นข้าจะอธิบายถึงข้อสงสัยในตอนนี้ของโฮสต์โดยตรง ชาติที่แล้วอวี๋เหล่าจวินไม่ได้ป่วย ถึงแม้หลิ่วหลิวซูจะถูกรับมาที่สกุลอวี๋เช่นเดียวกัน แต่ก็แค่มาขอพักอาศัย ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อื่นๆ ดังนั้นอวี๋เหวินจวิ้นจึงไม่ได้ทะเลาะกับอวี๋เหล่าจวิน ย่อมไม่มีทางแยกไปอยู่ตามลำพัง ในโลกนี้โฮสต์ได้เข้ามามีส่วนร่วม เปลี่ยนแปลงวิถีของสิ่งต่างๆ มากมาย จึงนำไปสู่บทสรุปที่แตกต่างกันนับไม่ถ้วน อวี๋เหวินจวิ้นกับอวี๋ชิงจยาย้ายออกจากสกุลอวี๋ก็คือหนึ่งในนั้น’
อวี๋ชิงหย่าไม่ได้สนใจทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกจริงๆ นางไม่อยากรู้ความรู้ใหม่เอี่ยมที่มาจากอนาคตเหล่านี้แม้แต่น้อย นางเพียงสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะแย่งชิงโอกาสวาสนาของอวี๋ชิงจยาได้ อวี๋ชิงหย่าเข้าใจคำอธิบายของระบบเพียงเล็กน้อย อย่างน้อยนางก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง มีหลายสิ่งที่แตกต่างออกไปในชาตินี้ สิ่งที่ประสบพบเจอในชาติที่แล้วใช่ว่าจะเป็นจริงในชาตินี้
อวี๋ชิงหย่าขมวดคิ้ว หลังจากคิดอยู่นานก็ถามขึ้น ‘อวี๋ชิงจยาย้ายออกไป ข้าไม่สามารถมองเห็นว่านางกำลังทำอะไรอยู่ หากนางฉวยโอกาสพบกับหลางหยาอ๋องในช่วงเวลานี้จะทำเช่นไรเล่า’
ระบบเงียบไป มันวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว ‘ขอบเขตที่โฮสต์กำหนดกว้างเกินไป ระบบไม่สามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ออกมาได้ โฮสต์โปรดใช้วิจารณญาณด้วยตนเอง’
อวี๋ชิงหย่าขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ ระบบมักเป็นเช่นนี้เสมอ เวลาใช้อุบายกับนางยิ่งกระตือรือร้นเป็นพิเศษ แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้มัน มันก็จะเอาแต่พูดว่า ‘ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตัดสิน’ อวี๋ชิงหย่าเก็บความรำคาญเอาไว้แล้วกล่าว ‘พอแล้ว ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาย้ายออกไปเช่นนี้ จะคาดหวังให้พวกเขาย้ายกลับมาก็ยากเกินไป แผนการในตอนนี้มีเพียงคิดหาทางสร้างอุบัติเหตุ ทำงานหนักครั้งเดียวได้ผลถาวร หลีกเลี่ยงปัญหาในภายหน้าไปตลอดกาล’
‘เว้นแต่สถานการณ์จำเป็น ระบบไม่แนะนำให้โฮสต์ลงมือกับชนพื้นเมืองดั้งเดิม มีเพียงชะตาชีวิตคนเท่านั้นที่ไม่สามารถฝืนได้ แต่ถ้าหากนี่คือการตัดสินใจของตัวโฮสต์เอง ระบบจะเก็บเงียบ’
พูดมาตั้งมากมาย ก็หมายความว่ายอมรับโดยนัยไม่ใช่หรือ อวี๋ชิงหย่าลอบหัวเราะเยาะแล้วถาม ‘มีวิธีอะไรที่สร้างอุบัติเหตุได้บ้าง ทำให้อวี๋ชิงจยาตาย ‘โดยบังเอิญ’ ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เปิดเผยร่องรอยของข้า’
ระบบค้นหาฐานข้อมูลแล้วกล่าว ‘ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลานี้มีโอกาสที่ดีอยู่จริงๆ แต่หากโฮสต์ต้องการประสบความสำเร็จ เกรงว่าจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากยาประเภทสะกดจิต’
อวี๋ชิงหย่าลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า ‘แต่คะแนนของข้า…’
‘คะแนนปัจจุบันของโฮสต์ยังคงติดลบ’ ระบบตอบกลับมาอย่างเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ ‘คะแนนของโฮสต์ใกล้จะถึงค่าเตือนแล้ว การซื้อสินค้าต่อไปจะทำให้เกิดสภาวะจำศีล ฟังก์ชันส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้งานได้’
อวี๋ชิงหย่ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ในตอนแรกนางไม่แยแส แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เรียกว่า ‘มีโอกาสที่ดี’ จากระบบ นางก็ตกอยู่ในความลำบากใจทันที โอกาสนี้ดีมาก หากพลาดไปคงยากที่จะพบอีกเป็นครั้งที่สอง แต่นางไม่เหลือคะแนนแล้วจริงๆ
เรื่องอ้อมไปหนึ่งรอบใหญ่ สุดท้ายก็เหมือนจะวกกลับมาจุดเดิมอีกครั้ง อวี๋ชิงหย่าเกิดความรู้สึกว่าฝุ่นผงร่วงหล่นเล็กน้อย ผลลัพธ์นี้ค่อนข้างจนปัญญา แต่ก็เหมือนจะคาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว อวี๋ชิงหย่าถามว่า ‘ข้ายังจำนำกับร้านค้าได้อีกหรือไม่’
‘ได้อยู่แล้ว’ ระบบตอบทันที ‘หลังจากโฮสต์โอน ‘ความรัก’ เมื่อครั้งที่แล้ว ความต้องการในด้านอารมณ์ความรู้สึกในร้านค้าก็ถูกเติมเต็ม ครั้งนี้หากโฮสต์ต้องการแลกเปลี่ยน จำเป็นต้องแลกด้วยสิ่งอื่น’
‘อย่างเช่น…’
‘เช่นการกำเนิดและการเจริญเติบโตของชีวิตแรกเริ่มของมนุษย์’
อวี๋ชิงหย่าตะลึงงัน ก่อนจะตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าระบบกำลังพูดถึงอะไร อวี๋ชิงหย่าโกรธจัด และปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ‘ไม่ได้!’
ชีวิตแรกเริ่มของมนุษย์ก็คือทารกไม่ใช่หรือ อวี๋ชิงหย่ารู้สึกว่าตนถูกคุกคามอย่างรุนแรง คาดไม่ถึงว่าระบบจะอยากได้ลูกในอนาคตของนาง มันเห็นนางเป็นอะไร
‘โฮสต์ ตามกฎหมายในอนาคต ก่อนทารกในครรภ์จะกำเนิดไม่ถือเป็นมนุษย์ ไม่มีความสามารถในการคิดและไม่มีสิทธิมนุษยชน แต่ถ้าท่านไม่แลกคะแนน ฟังก์ชันระบบจะค่อยๆ ปิดตัวลง และสามเดือนให้หลังท่านจะถูกลบล้างอย่างแน่นอน ทารกที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นเพียงเนื้อเยื่อเซลล์กลุ่มหนึ่ง ยังเทียบกับชีวิตของตัวท่านไม่ได้อีกหรือ’
‘แต่ว่าข้ายังมีเวลาอีกสามเดือน ข้าสามารถทำภารกิจชดเชยคะแนนด้วยตนเองได้’
‘แก้ไขคำพูดใหม่ ตอนนี้ท่านมีระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น’ ระบบกล่าวอย่างช้าๆ ‘ท่านมีวิธีแก้ไขวิกฤตลบล้าง เปรียบเทียบกับชีวิตแล้วท่านไม่ยินดี แต่ถ้าเทียบกับความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ในอนาคตเล่า’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ส.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.