X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 98

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 98 เป็นตาย

อวี๋ชิงหย่าขยับริมฝีปาก กลับเพียงอ้าปากไม่ยอมพูดจา

นางสามารถยินยอมที่จะขายความสามารถในการ ‘รัก’ อย่างไม่ลังเล แต่เมื่อเบี้ยต่อรองเปลี่ยนเป็นเด็ก อวี๋ชิงหย่าก็ปฏิเสธตามจิตใต้สำนึก

มโนธรรมขัดขวางไม่ให้นางคิดต่อไป แม้ว่าความเสี่ยงที่จะถูกลบล้างนั้นสูง แต่นางสามารถชดเชยได้ด้วยการทำภารกิจ การทำเช่นนี้แม้จะเหนื่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้ทางเลือกจริงๆ อย่างไรก็ตามเมื่อสมดุลอีกด้านหนึ่งเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์แล้ว อวี๋ชิงหย่ายังคงต้องการปฏิเสธ แต่น้ำเสียงก็อ่อนลงมาก

ระบบสัมผัสได้ถึงความลังเลของอวี๋ชิงหย่า มันเกลี้ยกล่อมต่อ ‘โฮสต์ลองคิดดู โอกาสเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากพลาดครั้งนี้ไป ท่านก็จะไม่พบโอกาสดีที่พระเจ้ามอบให้อีก ตอนนี้ท่านตัดสินใจไม่ได้ เพียงเพราะถูกจำกัดโดยความคิดโบราณที่ต้องสืบทอดตระกูลและมีทายาท ทำให้ท่านไม่สามารถมีชีวิตเพื่อตนเองได้ แต่ท่านลองคิดดู หากพลาดโอกาสครั้งนี้ ปล่อยให้นางเอกมีชีวิตรอด จากนั้นรอให้นางกลายเป็นพระชายาหลางหยาอ๋องหรือแม้กระทั่งฮองเฮา นางจะไว้ไมตรีท่านหรือ ถึงแม้ว่าให้กำเนิดลูก วันหน้าเขาก็จะมีชีวิตที่ลำบากและไม่แน่นอน แต่หากท่านทิ้งลูกคนแรกไป ลองพยายามดูสักครั้ง วันหน้าลูกของท่านก็คือองค์ชายทายาทมังกร ส่วนได้ส่วนเสียนี้ ท่านลองพิจารณาเอง’

ลำคอของอวี๋ชิงหย่าราวกับถูกบางสิ่งกั้นขวางอยู่ นางถามด้วยอารมณ์อันห่อเหี่ยว ‘เจ้าจะทำอะไรกับเขา’

‘ข้าจะทำอะไรได้’ ระบบกล่าว ‘โฮสต์ ท่านมองระบบในแง่ร้ายเกินไป ข้าปรากฏขึ้นในยุคโบราณด้วยช่องทางกฎหมายที่จัดตั้งโดยสนธิสัญญาระหว่างดวงดาว ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านจินตนาการไว้ ส่วนสัญญาที่ทางระบบกับท่านลงนามนั้นมีความสมเหตุสมผล ท่านได้อ่านเงื่อนไขของสัญญาทั้งหมดก่อนที่จะลงนาม ข้อเสนอแนะของระบบปรับตามสถานการณ์ของท่าน หากท่านต้องการก็สามารถยุติได้ทุกเมื่อ’

อวี๋ชิงหย่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ‘จริงหรือ’

‘จริง’ ระบบกล่าว ‘โลกอนาคตการแพทย์ก้าวหน้า แต่เนื่องจากอัตราการแต่งงานและอัตราการเกิดต่ำเป็นประวัติการณ์กว่าทุกปี ทารกแรกเกิดจึงกลายเป็นปัญหา เนื่องจากอัตราการเกิดของทารกต่ำ ข้อมูลวิจัยทางด้านนี้จึงมีน้อยมากมาโดยตลอด ดังนั้นความก้าวหน้าของการวิจัยจึงหยุดอยู่กับที่ หากโฮสต์ยินยอมให้ระบบรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ของการพัฒนาตัวอ่อน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ระบบจะแลกคะแนนจำนวนมากให้ท่าน เมื่อมีคะแนนส่วนนี้แล้วโฮสต์สามารถแก้ไขวิกฤตลบล้างได้ทันที และยังซื้อยาเสริมชนิดต่างๆ ได้ เช่น เพิ่มสติปัญญา เสริมความงามรักษาความเยาว์ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เป็นต้น ด้วยความช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้ โฮสต์สามารถทำให้ตนเองงดงามขึ้นจนสามารถจัดการนางเอกได้และแต่งเข้าจวนอ๋องแทนที่นาง ฮองเฮาผู้สถาปนาแคว้นนั้นหายากมาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ความสำเร็จเช่นนี้ แค่เด็กคนเดียวจะเทียบได้อย่างไร’

อวี๋ชิงหย่าใจเต้นตึกตัก นางครุ่นคิดในใจหลายครั้ง สุดท้ายก็เอ่ยอย่างยากลำบาก ‘แค่รวบรวมข้อมูลใช่หรือไม่ หลังจากที่เจ้ารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้วเขาจะเป็นอย่างไร’

‘เนื่องจากบุคคลมีความแตกต่าง จึงต้องพิจารณาตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล’ ระบบกล่าว ‘ในกรณีส่วนใหญ่กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเก็บตัวอย่างจะไม่ส่งผลกระทบต่อทารก น้อยมากที่อาจทำให้ทารกแท้งได้’ อาจเป็นเพราะมองเห็นความลังเลของอวี๋ชิงหย่า ระบบจึงกล่าวเสริมอีก ‘อีกอย่างท่านไม่ได้มีแค่ลูกคนนี้เสียหน่อย ก่อนที่ทารกจะเกิด สารอาหารทั้งหมดของเขาล้วนมาจากตัวท่าน ท่านมีฐานะเป็นแม่ของเขา ไม่มีคุณสมบัติกำหนดว่าเขาจะเกิดเมื่อใดอีกหรือ’

แค่แท้งบุตรเท่านั้น จิตใจของอวี๋ชิงหย่าพลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เดิมทีนางคิดว่าตนจะให้กำเนิดสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างผิดปกติ การแท้งบุตรนั้นดีกว่าที่นางคาดไว้มาก ถึงอย่างไรวันหน้านางก็จะไม่ได้มีแค่ลูกคนนี้ ชีวิตของลูกนั้นนางเป็นผู้มอบ ให้เขาเสี่ยงอันตรายสักหน่อยเพื่อแลกกับสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมารดาและน้องๆ เหตุใดจะไม่ได้

ในที่สุดอวี๋ชิงหย่าก็ถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ หลังจากที่นางพยักหน้าก็รีบกล่าวเสริมหนึ่งประโยค ‘ตกลงกันก่อน เฉพาะลูกคนแรกเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้’

‘แน่นอน’ ระบบเรียกสัญญายาวเหยียดออกมาฉบับหนึ่ง จนกระทั่งเลื่อนมาถึงบรรทัดสุดท้ายจึงค่อยกล่าวขึ้น ‘โฮสต์ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดแล้ว ก็ลงนามได้เลย’

นับตั้งแต่ที่ย้ายบ้านมา อวี๋ชิงจยาก็ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างหาได้ยาก เวลานี้นางนั่งเขียนหนังสืออยู่หน้าโต๊ะ จู่ๆ ก็มีลมพัดแรงมาจากข้างนอก กระดาษแผ่นบนปลิวพะเยิบขึ้นส่งเสียงดังพึ่บพั่บ อวี๋ชิงจยารีบกดขอบกระดาษไว้ ก่อนลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างที่ข้างเตียง

นางจับไม้ฉลุลายหน้าต่างด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยื่นไปรองน้ำฝนนอกหน้าต่างพลางกล่าวพึมพำ “ลมพัดแล้ว”

อิ๋นจูวิ่งกลับมาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งไปถึงใต้ชายคาก็สะบัดคราบน้ำบนร่างกายออกพลางกล่าว “อากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมาเสียแล้ว”

ไป๋จื่อยกชาร้อนเข้ามา นางเห็นอวี๋ชิงจยายืนอยู่ริมหน้าต่างและกำลังยื่นมือไปรับน้ำฝนที่นอกห้องจึงรีบเรียก “คุณหนู ฝนตกอากาศเย็น ระวังท่านจะเป็นหวัดเอานะเจ้าคะ”

อวี๋ชิงจยาดึงมือกลับมา ไป๋จื่อรีบปิดหน้าต่าง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดนิ้วมือให้ผู้เป็นนาย “อากาศวันนี้หนาวจริงๆ พอลมพัดฝนก็ตามมา ตำราของคุณหนูไม่ได้เปียกน้ำใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อวี๋ชิงจยาส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

ข้างนอกฝนตกหนักและมีลมแรง เหล่าสาวใช้ออกไปทำงานไม่ได้ ทำได้เพียงยกเทียนเข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องของอวี๋ชิงจยาเพื่อทำงานเย็บปักถักร้อยพลางพูดคุยกัน ไป๋จื่อพันด้ายในมือพลางกล่าว “ใกล้จะถึงเทศกาลอวี๋หลันเผินแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าปีนี้นายท่านวางแผนไว้อย่างไร”

อวี๋ชิงจยากล่าว “ปีที่แล้วพวกเราอยู่ที่ชิงโจว โลงศพของท่านแม่ไม่ได้อยู่ข้างตัวจึงได้แต่เผาใบส่งวิญญาณอย่างลวกๆ ปีนี้พวกเรากลับมาถึงบ้านเกิด ไม่มีทางทำลวกๆ เหมือนปีที่แล้วแน่”

“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อกล่าว “อีกอย่างปีนี้นายท่านพาคุณหนูย้ายออกจากสกุลอวี๋ เรื่องดีเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกฮูหยิน ฮูหยินจะได้สบายใจเจ้าค่ะ”

ไป๋จีครุ่นคิดบางอย่างแล้วกล่าวขึ้น “เขาเซียงจีจะจัดชุมนุมพระธรรมขึ้นในเทศกาลอวี๋หลันเผิน ดำเนินต่อเนื่องเจ็ดวัน มิสู้คุณหนูขึ้นเขาไปเติมน้ำมันตะเกียงให้ฮูหยิน แล้วถวายตะเกียงดวงใหม่ดีหรือไม่เจ้าคะ”

ศาสนาพุทธได้รับความนิยมในราชวงศ์เหนือ เทศกาลอวี๋หลันเผินเป็นวันสำคัญในการไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ วัดหลายแห่งจะจัดชุมนุมพระธรรมอวี๋หลันเผิน ขจัดเคราะห์ภัยให้ผู้วายชนม์ ช่วยให้พ้นทุกข์จากภพภูมิทั้งหกพิธีกรรมที่เขาเซียงจีนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด อวี๋ชิงจยาหารือในรายละเอียดบางส่วนกับพวกไป๋จื่อและกล่าวว่า “วันที่สิบห้าจะต้องมีคนบนเขาเซียงจีมากแน่ พวกเราไม่จำเป็นต้องไปเบียดเสียดกับพวกเขา มิสู้ขึ้นเขาไปเร็วหน่อย ถวายตะเกียงนิรันดร์ให้ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ พวกเราจะออกเดินทางกันในวันที่สิบเอ็ด”

พวกไป๋จื่อต่างก็ขานรับ อวี๋เหวินจวิ้นก็คิดถึงอวี๋ซื่อเช่นกัน แต่วันที่สิบเอ็ดเขาไม่อาจปลีกตัวไปที่ใดได้ จำต้องให้อวี๋ชิงจยาพาคนไปมากหน่อย แล้วกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้นางเดินทางระมัดระวัง อวี๋ชิงจยามักออกไปข้างนอกคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการไปไหว้พระที่เขาเซียงจีในครั้งนี้มีผู้คนสัญจรไปมาในแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ ไม่มีอะไรให้น่ากังวลจริงๆ

นางออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ พาสาวใช้นั่งรถม้าไปที่เขาเซียงจี

เดือนเจ็ดเป็นเดือนผี ทุกคนจะไหว้บรรพบุรุษในวันที่สิบห้า มู่หรงเหยียนบิดามารดาตายไปแล้วทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่มีอยู่ในข้อยกเว้น ก่อนที่อวี๋ชิงจยาจะออกไปได้ถามมู่หรงเหยียนหลายครั้งว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็ยอมแพ้ไป

ไม่รู้ว่าอวี๋เหวินจวิ้นพูดอะไรกับมู่หรงเหยียน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจู่ๆ มู่หรงเหยียนก็ห่างเหินกับนาง แน่นอนว่าพวกไป๋จื่อบอกว่าอวี๋เหวินจวิ้นเชิญอาจารย์มาให้มู่หรงเหยียน หลายวันมานี้เขายุ่งอยู่กับการเรียนจึงไม่มีเวลาออกไปข้างนอก แต่อวี๋ชิงจยารู้ว่าไม่ได้เป็นเพราะเขายุ่งหรอก…มู่หรงเหยียนเจตนาห่างเหินนางเอง

อวี๋ชิงจยาคุกเข่าอยู่บนที่นั่ง นางเงยหน้ามองพระพุทธรูปที่หน้าตาดูเคร่งขรึม สายตาเศร้าโศก และอธิษฐานในใจเงียบๆ ท่านแม่ ปีนี้ในที่สุดพวกเราก็ย้ายออกจากสกุลอวี๋แล้วเจ้าค่ะ แม้ว่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะไม่เคยพูด แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบสถานที่แห่งนั้นมาก ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ห่างไกลจากผู้คนและเรื่องราวเหล่านั้นเสียที แต่ท่านกลับไม่อยู่แล้ว…

ท่านแม่ ปีนี้ข้าอายุสิบห้าปีแล้ว ท่านไปจากข้าได้ห้าปีเต็ม ตอนเด็กท่านมักจะหวีผมให้ข้าไปพลางคาดเดารูปร่างหน้าตาตอนโตของข้าไปพลาง ตอนนี้ในที่สุดข้าก็โตแล้ว หลายคนบอกว่าข้าเหมือนท่าน แต่ข้าจำไม่ได้กระทั่งหน้าตาของท่านแล้ว ในดวงตาของอวี๋ชิงจยาเผยความโศกเศร้าออกมา นางกราบพระพุทธรูปอย่างลึกซึ้ง หน้าผากแตะพื้นพลางกล่าวเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านอยู่ยมโลกคนเดียวต้องรักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ ชาติหน้าขอให้ท่านมีชีวิตสงบสุข ไม่ต้องทุกข์เพราะการแต่งงานอีก ข้ารับปากท่านว่าจะดูแลตนเองให้ดี อากาศหนาวก็จะสวมเสื้อผ้า ฝนตกก็จะกางร่ม ข้าพบคนคนหนึ่ง เขา…”

อวี๋ชิงจยาขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม กล่าวต่อว่า “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าพูดถึง ไม่พูดให้ท่านแม่หัวเราะแล้ว”

นางกราบอย่างจริงใจสามครั้งแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น มองพระพุทธรูปอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะออกจากอุโบสถ

เมื่อเดินออกจากอุโบสถ แสงแดดพลันส่องลงบนร่าง อวี๋ชิงจยายกมือขึ้นมาบังดวงตาตามสัญชาตญาณ ภายในอุโบสถอบอวลไปด้วยควันธูป ดูสง่าและเคร่งขรึม ส่วนภายนอกมีแสงแดดสดใส ผู้คนสัญจรไปมา ฉับพลันอวี๋ชิงจยาก็เกิดความรู้สึกขัดแย้งภายในใจเล็กน้อย

นางยืนอยู่ตรงประตูอุโบสถอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าวันนี้คือวันใดไปชั่วขณะ มีเณรรูปหนึ่งเดินมาจากด้านข้าง ประนมมือให้อวี๋ชิงจยา “สีกา ท่านตามหาสาวใช้ของท่านอยู่ใช่หรือไม่”

อวี๋ชิงจยาได้สติกลับมา นางกล่าวว่า “ใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ของข้าควรจะรอข้าอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว”

เณรกล่าว “สีกาเหล่านั้นนั่งอยู่ที่อุโบสถข้างชั่วคราว เพียงแต่เมื่อครู่ท่านจดจ่ออยู่กับการไหว้พระจึงไม่ได้อยู่รบกวน เชิญสีกาตามอาตมามา”

อวี๋ชิงจยาขมวดคิ้ว นางสงสัยคำพูดของเณร แต่เณรรูปนี้มีรอยธูปจี้หกจุดบนศีรษะ เห็นได้ว่าเป็นเณรที่บวชจริงๆ และมีประสบการณ์หลายปีในวัดพุทธ ถึงอย่างนั้นนางยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พยักหน้าขอบคุณเณร แล้วเดินตามเขาออกไปข้างนอก

อวี๋ชิงจยาระมัดระวังตัวตลอดทางที่เดินมา แต่เมื่อเดินไปถึงประตูของอุโบสถข้างก็ได้ยินเสียงของไป๋จื่อดังมาจากข้างในดังคาด อวี๋ชิงจยาตกตะลึงพร้อมกับคิดในใจ หรือว่าข้าจะเอาใจคนพาลมาตัดสินคนดี เข้าใจเณรรูปนี้ผิดไป

เณรประนมมือพลางกล่าวกับอวี๋ชิงจยา “สีกา สาวใช้ของสีกาอยู่ที่นี่”

ไป๋จื่อได้ยินเสียงก็เดินออกมาหาอวี๋ชิงจยา “คุณหนู ท่านออกมาแล้ว”

“เหตุใดพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่” อวี๋ชิงจยาถามด้วยความประหลาดใจ

ไป๋จื่อกล่าว “เมื่อครู่คุณหนูจดจ่ออยู่กับการไหว้พระ พวกบ่าวยืนรอข้างนอกสะดุดตาเกินไป เณรน้อยรูปนี้ให้พวกบ่าวมารอที่อุโบสถข้าง ยังบอกว่ารอคุณหนูออกมาแล้วเขาจะพาคุณหนูมาหาด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

อวี๋ชิงจยาฟังถึงตรงนี้ก็รู้ว่าตนอาจจะเข้าใจผิด จึงรีบกล่าวขอบคุณเณร “ขอบคุณเณรน้อย”

เณรกล่าว “ไม่เป็นไรเลย สีกา วัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารเจอย่างมาก สีกาอยากจะลองกินหรือไม่”

อวี๋ชิงจยาเดิมตั้งใจว่ามาไหว้อวี๋ซื่อแล้วจะลงเขา ยิ่งกว่านั้นอาหารเจที่เขาเซียงจีก็มีชื่อเสียงมาก ขุนนางชั้นสูงและผู้สูงศักดิ์มาต่อแถวโดยเฉพาะก็ใช่ว่าจะได้กิน ดังนั้นในแผนเดิมของนางจึงไม่ได้คิดจะอยู่กินอาหารมื้อนี้ อวี๋ชิงจยารู้สึกประหลาดใจและถามขึ้น “ได้ยินว่าอาหารเจมีน้อย พวกเราไม่ได้บอกเอาไว้ล่วงหน้า เหตุใดถึงรั้งให้พวกเรากินอาหารล่ะเจ้าคะ”

เณรกล่าว “ศาสนาพุทธพิถีพิถันเรื่องโชคชะตา เดิมทีอาหารเจนั้นเตรียมไว้ให้ผู้มีวาสนา วันนี้อาตมากับสีกามีวาสนาต่อกัน จึงเสียมารยาทรั้งสีกาอยู่กินอาหาร หากสีกาไม่เชื่อใจ อาตมาก็มิกล้าบังคับ”

อีกฝ่ายพูดถึงเพียงนี้ อวี๋ชิงจยาจะปฏิเสธอีกก็ดูจะไม่รู้จักดีชั่ว นางคิดว่ากินอาหารเสร็จแล้วก็คงไม่สายนัก ยังลงเขาได้ทันเวลา จึงได้แต่พยักหน้าและกล่าว “ตกลง รบกวนเณรแล้วเจ้าค่ะ”

อาหารเจของเขาเซียงจีชื่อเสียงสมคำเล่าลือจริงๆ ทีแรกอวี๋ชิงจยายังระวังว่าในอาหารจะมีบางอย่างใส่ลงไปจึงทดลองกับนกดูทีละอย่าง ก่อนพบว่าตนแค่ระแวงไปเอง อวี๋ชิงจยาวางใจ ในที่สุดก็สามารถจดจ่อกับการกินอาหาร จนกระทั่งกินอาหารเจเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็มาถึงช่วงบ่ายแล้ว อวี๋ชิงจยาเช็ดหน้า แล้วสั่งให้คนเตรียมรถม้าเพื่อลงเขา

เขาเซียงจีไม่นับว่าสูง ลงจากเขาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว กลับถึงบ้านก่อนฟ้ามืดได้ อวี๋ชิงจยานั่งบนรถม้า เห็นพู่ที่ด้านหน้าหน้าต่างรถแกว่งเบาๆ ขณะวิ่งไปตามเส้นทางภูเขา เวลานี้ในที่สุดนางก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้คือความจริง

ดูท่าวันนี้นางคงคิดมากไปเอง เณรจัดแจงที่ทางให้สาวใช้และรั้งให้พวกนางอยู่กินอาหารล้วนเป็นความหวังดี หรืออย่างที่เขาบอกว่ามีวาสนา ไม่ได้มีแผนใดๆ สุดท้ายตอนนี้นางก็นั่งบนรถม้าของตนอย่างปลอดภัย ไม่มีการสูญเสียใดๆ ซ้ำยังได้กินอาหารหนึ่งมื้อ

อวี๋ชิงจยาค่อยๆ วางใจลง พิงรถม้าแล้วหลับตาผ่อนคลาย วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น รถม้าแล่นไม่มั่นคง จู่ๆ ม้าก็ส่งเสียงร้อง หลุดจากการควบคุมและวิ่งไปที่ข้างทางอย่างรวดเร็ว

อวี๋ชิงจยานั่งอยู่ในรถม้าถูกเขย่าอย่างรุนแรง เพื่อรักษาการทรงตัวเอาไว้ นางใช้สองมือยันผนังรถม้าตามสัญชาตญาณ ในเวลานี้นางรู้สึกว่ารถม้าสั่นไปทั้งคัน

อวี๋ชิงจยาเบิกตาโต มีเสียงตะโกนด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 67 

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: