X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 99

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 99 ตามความคาดหมาย

ไม่มีใครคาดคิดว่าแผ่นดินที่เมื่อครู่นี้ที่ยังหนาและแข็งแรงอยู่ดีๆ จะสั่นสะเทือนขึ้นมา ม้าสัมผัสได้ถึงอันตรายก่อนมนุษย์ มันจึงกระสับกระส่าย หลุดออกจากการควบคุมของเจ้านายและวิ่งไปที่ข้างทาง รถม้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน อวี๋ชิงจยานั่งอยู่ในรถม้าโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งร่างถูกแรงสั่นสะเทือนทำให้ร่างล้มลงไปบนพื้นในรถม้า อวี๋ชิงจยาข้อศอกกระแทกอย่างแรงตอนที่ล้ม นางไม่สนใจความเจ็บ พยายามจับรถม้าเพื่อรักษาการทรงตัวของร่างกาย

ไป๋จื่อตกใจกับเหตุการณ์นี้และล้มลงเช่นกัน สิ่งแรกที่นางทำหลังจากลุกขึ้นคือช่วยพยุงอวี๋ชิงจยา “คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

อวี๋ชิงจยาเมินเฉยความเจ็บรุนแรงที่ข้อศอกพลางส่ายหน้ากล่าว “ไม่เป็นไร พวกเรารีบลงจากรถม้าเถอะ อยู่บนรถม้าตอนแผ่นดินไหวจะเป็นอันตรายได้”

อวี๋ชิงจยาเคยประสบกับรถม้าที่สูญเสียการควบคุมมาแล้ว ดังนั้นนางจึงสงบนิ่งได้มากกว่าไป๋จื่อที่เวลานี้สติเตลิด

อวี๋ชิงจยาว่าอย่างไรไป๋จื่อก็ทำตามอย่างนั้น นางพยุงอวี๋ชิงจยาอย่างโซเซ มืออีกข้างหนึ่งออกแรงผลักประตูรถม้า คิดจะหาโอกาสกระโดดลงไป

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่ บนเส้นทางภูเขามีผู้มาสักการะมากมาย ตอนนี้ผู้คนตื่นกลัวแผ่นดินไหว ลนลานจนหลงทิศหลงทาง ต่างฝ่ายต่างผลักกัน แทบจะไปที่ใดไม่ได้ แม้ว่าม้าจะสูญเสียการควบคุม แต่ความเร็วเทียบกับครั้งที่แล้วไม่ได้อย่างสิ้นเชิง อวี๋ชิงจยาอุตส่าห์ผลักประตูรถม้าออก เมื่อเห็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายข้างนอกก็กลัวจนมือสั่น นางพลันนึกถึงคราวก่อนที่พวกนางพบมือสังหารบนเส้นทางภูเขา รถม้าในเวลานั้นวิ่งอย่างบ้าคลั่งตลอดทางจนใกล้จะตกจากหน้าผาอยู่รอมร่อ สถานการณ์อันตรายกว่าตอนนี้มาก แต่ในตอนนั้นนางมีจิ่งหวนอยู่ข้างกาย แม้ว่านางจะวิตกกังวล แต่ก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

แต่ยามนี้ข้างกายนางมีแค่ไป๋จื่อ ซึ่งไป๋จื่อกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปากบ่นพึมพำไม่หยุดว่าทำอย่างไรดี ในบรรดาคนทั้งสองอวี๋ชิงจยาคือคนที่ถูกพึ่งพา อวี๋ชิงจยาหยิกตนเองแรงๆ และปลอบตนเองในใจให้สงบสติอารมณ์ ตอนนี้นางทำได้เพียงพึ่งพาตนเองเท่านั้น

เส้นทางบนภูเขาเต็มไปด้วยความโกลาหล ทุกคนต่างวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก มีแม้กระทั่งเสียงเด็กร้องไห้เพราะถูกเหยียบ อวี๋ชิงจยากัดฟัน รู้ว่านางจะรอช้าอีกต่อไปไม่ได้ วัดพุทธสร้างขึ้นบนไหล่เขา สองข้างของเส้นทางภูเขาเต็มไปด้วยหิน ไม่แน่ว่าจะตกลงมาเมื่อไร หากนางหลบอยู่บนรถม้าต่อไปอีกเดี๋ยวจะหนีด้วยความตื่นตระหนกจนไม่สนทิศทาง กลายเป็นถูกฝังด้วยหินที่ตกลงมา เช่นนั้นก็จบสิ้นกันพอดี

อวี๋ชิงจยาได้แต่ตะโกนบอกไป๋จื่อด้วยเสียงอันดัง “ไป๋จื่อ! อย่าลนลาน อีกเดี๋ยวทำตามคำสั่งข้า ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม พวกเรากระโดดพร้อมกัน”

ไป๋จื่อพยักหน้าอย่างตื่นตระหนก

อวี๋ชิงจยาจับมือของไป๋จื่อไว้แน่น ไป๋จื่อก็ออกแรงจับคืนเช่นกัน ฝ่ามือของคนทั้งสองต่างมีเหงื่อเย็นซึมออกมา อวี๋ชิงจยามองเส้นทางข้างหน้าพลางตะโกนอย่างช้าๆ “หนึ่ง! สอง! สาม!”

เมื่อคำว่า ‘สาม’ ออกจากปาก อวี๋ชิงจยากับไป๋จื่อก็หลับตาลงตามสัญชาตญาณ ภายในหัวของอวี๋ชิงจยาพลันปรากฏใบหน้าของมู่หรงเหยียนขึ้นมา นางเรียก ปีศาจจิ้งจอก เงียบๆ ในใจแล้วกระโดดสุดตัว

พวกนางเป็นสตรีสองคนไม่มีวิชายุทธ์ใดๆ หลังจากกระโดดลงไปก็ล้มลงกับพื้นและเจ็บปวดแสบร้อนที่หัวเข่า โชคดีที่พวกนางนอกจากเข่าถลอกแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง อวี๋ชิงจยากับไป๋จื่อช่วยกันพยุงตัวยืนขึ้น แล้ววิ่งโซซัดโซเซตามฝูงชน

ฝูงชนสูญเสียสติอย่างสิ้นเชิง ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องดังมาจากพื้นดินอีกครั้ง พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนเซไปทางซ้ายทีขวาที แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ มีเสียงตะโกนในหมู่ฝูงชนว่า “มังกรธรณีพลิกตัวแล้ว! มังกรธรณีจะมาเก็บเครื่องบูชา! วันนี้ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น!”

ผู้คนยิ่งตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน อวี๋ชิงจยาจูงไป๋จื่อเดินลงเขาไปอย่างยากลำบาก อวี๋ชิงจยาวิ่งออกมาได้สองก้าว ทันใดนั้นก็เห็นเด็กคนหนึ่งตามฝีเท้าของมารดาไม่ทันและล้มลงบนพื้นดังตุบ ทุกคนต่างก็คิดที่จะวิ่งออกไปเป็นอันดับแรก ไม่มีใครสนใจคนบนถนน หากหกล้มแล้วยืนขึ้นไม่ทัน เกรงว่าจะถูกเท้าของฝูงชนเหยียบตายทั้งเป็น เด็กน้อยกลัวสถานการณ์เช่นนี้จนร้องไห้งอแง อวี๋ชิงจยากลัดกลุ้มใจ นางไม่ทันกล่าวอะไรกับไป๋จื่อ ได้แต่ปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วฝ่าฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว ดึงเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วลากไปชิดริมถนน

ท่ามกลางความโกลาหลมีเศษหินกลิ้งตกลงมาจากสองข้างทาง ในเวลานี้มีคนมองไปข้างบนและตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “หินหล่นลงมาแล้ว!”

อวี๋ชิงจยาถูกเศษดินกระเด็นเข้าตา นางออกแรงผลักเด็กออกไปเพื่อให้เขารีบวิ่งไปข้างหน้า ส่วนตนกลับติดอยู่ในฝูงชนที่กำลังตื่นตระหนกและไม่สามารถข้ามหินไปได้

เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง พื้นดินดูเหมือนจะสั่นไหวเพราะแรงสะเทือน เศษหินกองหนึ่งกลิ้งลงมาจากบนเขา ฝุ่นปกคลุมทั่วท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ หินก้อนเล็กกระเด็นกระดอนไปทั่ว คนที่อยู่ในนั้นไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ จนกระทั่งอวี๋ชิงจยามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในที่สุด ก็พบว่าเส้นทางภูเขาถูกขวางด้วยหินที่ตกลงมา

นางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนมึนงง มีกลุ่มคนที่ถูกขวางทางเช่นเดียวกันกำลังผลักหินอย่างไม่ยอมแพ้พลางร้องไห้ไปด้วย ผลคือไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แม้แต่น้อย มีเสียงตะโกนต่างๆ ดังมาจากด้านนอกก้อนหิน มีเสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก เสียงเรียกของมารดา และเสียงของไป๋จื่อที่กำลังตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกดังแว่วมา

อวี๋ชิงจยาได้แต่สงบสติอารมณ์ พยายามตะโกนสุดเสียง “ไป๋จื่อ! ข้าไม่เป็นไร ที่นี่ยังมีคนอยู่เยอะ เจ้ารีบลงไปหาท่านพ่อ ให้ท่านพ่อพาคนมาเปิดทางเถิด!”

ไป๋จื่อได้ยินเสียงของอวี๋ชิงจยา เมื่อครู่นี้นางตกใจแทบแย่ ตอนนี้อวี๋ชิงจยาไม่เป็นอะไรถือเป็นความโชคดีในความโชคร้ายมาก แผนในปัจจุบันมีแต่ทำตามที่อวี๋ชิงจยาบอกเท่านั้น ไป๋จื่อเช็ดน้ำตา ตะโกนไปยังฝั่งตรงข้ามสองสามประโยค ก่อนจะวิ่งลงเขาไปอย่างทุลักทุเล

แม้อวี๋เหวินจวิ้นจะให้อวี๋ชิงจยาพาคนไปจำนวนมาก แต่แผ่นดินไหวถือเป็นภัยธรรมชาติ องครักษ์และสาวใช้พลัดหลงกับอวี๋ชิงจยาท่ามกลางความชุลมุนไปตั้งนานแล้ว ตอนแรกจะดีหรือร้ายอย่างไรก็มีไป๋จื่ออยู่ แต่ตอนนี้ไป๋จื่อลงเขาไปขอกำลังเสริม ทั้งนางยังเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง เดินทางไปกลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ในช่วงเวลานี้จึงเหลืออวี๋ชิงจยาเพียงคนเดียว

อวี๋ชิงจยากดข่มความกลัวที่ถาโถมเข้าใส่ นางเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง จึงหาที่สะอาดๆ แล้วนั่งลง เวลานี้คนที่ดันหินก็ตระหนักได้ว่าอาศัยเพียงพละกำลังของตนเองไม่สามารถเปิดเส้นทางภูเขาได้ พวกเขามีสีหน้าห่อเหี่ยว และกลับไปนั่งข้างทางด้วยความหดหู่

เส้นทางภูเขาที่เมื่อครู่นี้ยังมีเสียงเอะอะของผู้คนและเต็มไปด้วยควันธูปกลายเป็นที่รกร้างและเต็มไปด้วยเศษหินในชั่วพริบตา อวี๋ชิงจยากอดเข่าและเอาหน้าผากพิงเข่าด้วยความเหนื่อยล้า สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้ดูเหมือนจะมีแค่การรอคอยเท่านั้น

 

ภายในเมืองเกาผิงก็รู้สึกถึงแผ่นดินไหวเช่นกัน บนถนนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะของผู้คน ราษฎรจิตใจตื่นตระหนก แต่โชคดีที่ไม่สะเทือนจนบ้านเรือนถล่มเสียหาย สถานการณ์บาดเจ็บล้มตายไม่นับว่าร้ายแรง คนที่ดูเหมือนที่ปรึกษาเดินมาจากข้างนอกอย่างรวดเร็วและกล่าวกับมู่หรงเหยียน “รายงานเจ้านาย เกิดแผ่นดินไหวที่เขาเซียงจีขอรับ”

มู่หรงเหยียนพยักหน้า ก่อนที่การกระทำของเขาจะหยุดลงอย่างกะทันหันและเงยหน้าขึ้น “เขาเซียงจี?”

 

หลังจากเกิดแผ่นดินไหว สภาพอากาศที่สุดขั้วก็ตามมา แม้จะเป็นเดือนหก แต่บนภูเขากลับมีลมแรง วันนี้ตอนอวี๋ชิงจยาออกมาข้างนอกสวมเพียงชุดท่อนบนสีขาวและกระโปรงยาวสีแดง ตอนกลางวันอยู่ในวัดยังไม่รู้สึก ยามนี้พอมีลมพัดจึงดูไม่ค่อยงามเท่าไร ตอนเที่ยงวันนอกจากอาหารเจแล้วนางก็ไม่ได้กินอย่างอื่น ไม่รู้ว่าคนที่มาช่วยจะมาถึงเมื่อไร อวี๋ชิงจยากอดอกแน่น พยายามเก็บเรี่ยวแรงของตนเองไว้

เพิ่งจะยามโหย่ว* ฟ้าก็มืดครึ้มแล้ว ลมพัดมุมกระโปรงของอวี๋ชิงจยาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ผมของนางค่อนข้างยุ่ง แม้ว่าตอนนี้สภาพจะดูสะบักสะบอมไปหน่อย ใบหน้าเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย แต่นางมีรูปโฉมงดงาม ผิวขาวนวลเปล่งปลั่ง สภาพผมยุ่งๆ ในตอนนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกตัดกัน

คนงามตกทุกข์ได้ยาก สิ่งล่อใจเช่นนี้ดึงดูดผู้คนโดยสัญชาตญาณ อวี๋ชิงจยาเพียงนั่งอยู่ตรงนี้อย่างเรียบง่าย นางไม่ต้องทำอะไรก็ดึงดูดสายตามากพอแล้ว ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็อดมองมาทางนางไม่ได้ อวี๋ชิงจยาปัดผมที่ยุ่งเล็กน้อย สีหน้าเย็นชา ท่าทางไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้น ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งมีคนอดใจไม่ไหว ชายไว้หนวดเคราร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินมาข้างหน้าอวี๋ชิงจยาแล้วเอ่ยถาม “แม่นางผู้นี้ เหตุใดเหลือแค่เจ้าคนเดียว สาวใช้ของเจ้าเล่า”

รูปร่างหน้าตาและบุคลิกของอวี๋ชิงจยาล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่านางมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดา เป็นไปได้มากว่าเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางที่พาสาวใช้มาไหว้พระ แต่มาประสบเหตุแผ่นดินไหวเข้า นี่คือบุตรสาวตระกูลขุนนาง ตระกูลขุนนางที่สูงส่ง ตลอดชีวิตอันยากจนของคนธรรมดาทำได้เพียงมองดูขบวนธงของตระกูลขุนนางที่ออกเดินทางอยู่ไกลๆ แม้แต่ชายเสื้อของอีกฝ่ายก็ไม่ได้สัมผัส ชายผู้นั้นนึกถึงเงื่อนไขที่ผู้ว่าจ้างเสนอให้ตนเมื่อหลายวันก่อน เลือดร้อนในใจก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เดิมเขาคิดว่าเป็นงานทั่วไป ใครจะคิดว่าเป้าหมายจะเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางที่หน้าตางดงามน่าตื่นตะลึงและดูเย็นชาสูงส่งราวกับเทพธิดา

อวี๋ชิงจยาสังเกตเห็นความไม่ประสงค์ดีของอีกฝ่าย นางนึกถึงตอนเที่ยงวันนี้ ภายในวัดพุทธจู่ๆ เณรก็รั้งให้พวกนางกินข้าวอย่างกระตือรือร้นมาก ตอนนั้นอวี๋ชิงจยาคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใด นางเตรียมพร้อมสำหรับหลายสถานการณ์ สิ่งเดียวที่ไม่ได้คาดคิดไม่ใช่ภัยมนุษย์ แต่เป็นภัยธรรมชาติ ที่แท้เณรรั้งให้พวกนางอยู่กินอาหารเจ ไม่ได้คิดจะเล่นเล่ห์กับอาหารเจ แต่ใช้อาหารเจมาถ่วงเวลา ถึงอย่างไรก็มีร่างกายเป็นคนธรรม ใครจะคาดคิดได้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดแผ่นดินไหว เกรงว่าเณรผู้นั้นก็ไม่รู้เช่นกัน

อวี๋ชิงจยาคาดเดาได้รางๆ ในใจ เมื่อครู่นี้ตอนที่ต้องแยกจากคนอื่นนางกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่ เวลานี้ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้มองอวี๋ชิงหย่าผิดสักนิด อวี๋ชิงหย่าทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะเล่นงานนางจริงๆ

อวี๋ชิงจยาไม่สนใจอีกฝ่าย นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ชายไว้เคราตะลึงงัน ก่อนจะรีบตามนางไป อวี๋ชิงจยาถูกแขนของอีกฝ่ายยกขวางไว้ นางปรายตามองอย่างเย็นชา ริมฝีปากแดงเปิดเล็กน้อย “หลีกไป”

ตอนที่อวี๋ชิงจยาไม่ยิ้มนั้นกิริยาท่าทางดูสูงส่งและเย็นชา นางมีหน้าตาที่งดงามบริสุทธิ์ แม้จะมีส่วนที่ดูอ่อนแอ แต่ก็เหมาะกับเสื้อผ้ากว้างๆ ที่พลิ้วไหว ดุจเทพฉางเอ๋อในดวงจันทร์ เทพธิดาในภาพผนัง งามจนมิอาจเอื้อม ชายไว้เคราถูกสยบ ถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว อวี๋ชิงจยาใช้โอกาสนี้เดินหนีไปอีกทาง แม้ว่าท่าทางของนางดูไม่รีบร้อน แต่ในใจนั้นกระวนกระวายอย่างยิ่ง

คนเดินเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า ตอนนี้นางอยู่คนเดียว นางยั่วโมโหพวกเดนตายเช่นนี้ไม่ได้ กระนั้นการวางท่าบุตรสาวตระกูลขุนนางของอวี๋ชิงจยาก็ข่มอีกฝ่ายได้ไม่นานนัก ชายไว้เคราตระหนักรู้ได้อย่างรวดเร็ว เขาคิดในใจ สตรีผู้นี้แม้จะสูงศักดิ์ ทว่าตอนนี้ไม่มีบ่าวอยู่ด้วย เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่รับนางเป็นสตรีอ่อนแอจะมีความสามารถอะไร อีกทั้งเมื่อหลายวันก่อนสตรีปิดหน้าผู้นั้นบอกว่าขอแค่ชายไว้เคราฉวยจังหวะชุลมุนลากอวี๋ชิงจยาเข้าไปในพุ่มไม้และทำให้มีมลทิน หลังจบเรื่องอีกฝ่ายจะมาหาเอง ชายไว้เคราคาดเดาอย่างไม่ได้ใส่ใจว่าสตรีผู้นี้คือใคร เขาไม่ได้สนใจกลอุบายสกปรกของตระกูลใหญ่เหล่านี้ ขอแค่ได้เงินก็พอแล้ว ทั้งยังมีหญิงงามให้เสพสุข ไยจะไม่ทำ

ชายไว้เคราเริ่มคิดแผนการชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ และเดินตามหลังอวี๋ชิงจยาไป เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แค่ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี คนรอบข้างแม้จะเห็นว่าเขามีเจตนาร้ายต่ออวี๋ชิงจยาแต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง อวี๋ชิงจยาได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลอบกล่าวในใจว่าแย่แล้ว! นางสาดโคลนในมือเข้าตาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งหนีทันทีโดยไม่หันไปมอง

ชายไว้เคราถูกอวี๋ชิงจยาสาดโคลนเข้าตาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจำต้องหยุดขยี้ตา จนกระทั่งขยี้โคลนออกได้ในที่สุด ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ ชายไว้เคราโกรธเกรี้ยว คร้านที่จะปิดบัง ไล่ตามอวี๋ชิงจยาด้วยรอยยิ้มอำมหิต

คนอื่นๆ เห็นฉากนี้ต่างก็ถอนหายใจแล้วหลุบตาลง การจะปกป้องตนเองในยุคโกลาหลนั้นไม่ง่าย ใครจะสนความเป็นความตายของผู้อื่น สตรีอ่อนแอถูกอันธพาลข่มเหงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน พวกเขาเห็นจนเคยชินแล้ว

อวี๋ชิงจยาวิ่งจนสุดกำลัง แต่ก็ยังถูกจับได้อย่างรวดเร็ว พฤติกรรมเมื่อครู่ของอวี๋ชิงจยาทำให้คนเลวผู้นั้นโกรธอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคว้าข้อมือของอวี๋ชิงจยา ปากก่นด่าพลางลากนางไปที่ข้างทาง อวี๋ชิงจยารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงที่ข้อมือ กระดูกแทบจะถูกบีบแตก นางทนต่อความเจ็บและตะโกนกล่าวกับผู้คนในบริเวณใกล้เคียง “ตอนนี้พวกเจ้านิ่งดูดาย ได้คิดหรือไม่ว่าอีกเดี๋ยวเขาจะทำอย่างไรกับพวกเจ้า เขามีเจตนาร้ายกับข้า ตอนนี้พวกเจ้าไม่ต่อต้าน อีกเดี๋ยวเขาเกิดคิดไม่ดีกับภรรยาและบุตรสาวของพวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอย่างไร ท่านพ่อของข้ามีตำแหน่งสูง ขอแค่พวกเจ้าช่วยเหลือข้า ข้าจะตอบแทนด้วยทรัพย์สินและที่ดิน หากพวกเจ้ายังนิ่งดูดาย อย่าว่าแต่คนร้ายผู้นี้จะไม่รามือ ท่านพ่อข้าก็ไม่เลิกราเช่นกัน”

คำพูดของอวี๋ชิงจยานั้นโน้มน้าวใจอย่างยิ่ง หลายคนต่างสั่นคลอนกับสิ่งที่นางพูด สิ่งที่อวี๋ชิงจยากล่าวนั้นเกินความคาดหมายของชายไว้เคราอย่างยิ่ง เขาคิดมาตลอดว่าคุณหนูตระกูลขุนนางเหล่านั้นคือคนโง่ที่ดูดเลือดของราษฎรและแสร้งทำตัวสูงส่ง คิดไม่ถึงว่าอวี๋ชิงจยาจะกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้ นางเริ่มจากขู่ก่อน และดึงทุกคนเข้ามาเป็นแนวร่วม จากนั้นเปิดเผยสถานะแล้วหลอกล่อด้วยทรัพย์สินเงินทองและที่ดิน ด้วยคำพูดเหล่านี้ ผู้คนที่อยู่ในยุคโกลาหลซึ่งเห็นคนตายจนเคยชินก็หวั่นไหว

ชายไว้เคราเห็นว่าถ้าปล่อยให้อวี๋ชิงจยาพูดต่อไป งานว่าจ้างของเขาวันนี้คงจะล้มเหลวแล้ว เขาปิดปากของอวี๋ชิงจยา แล้วหันกลับไปถลึงตาโหดเหี้ยมใส่ทุกคนที่คิดจะเข้ามา “ใครกล้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ข้าจะใช้กำปั้นซัดมันให้สมองแหลก”

ชายไว้เคราดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ความรู้สึกยุติธรรมที่เพิ่งมีของทุกคนถูกข่มด้วยความกลัวในทันที ชายคนหนึ่งคิดจะลุกขึ้นมา แต่ถูกภรรยาของเขารั้งไว้และส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

อวี๋ชิงจยาพยายามดิ้นรนสุดกำลัง สายตาจ้องมองคนข้างทางทีละคน คนที่ถูกนางมองต่างก็ก้มหน้าลง ไม่มีใครอยากมองนางสักนิด อวี๋ชิงจยาไม่เคยมีตอนใดที่ผิดหวังกับธรรมชาติของมนุษย์เช่นนี้มาก่อน นางรู้ว่าตนไม่สามารถหายไปจากสายตาของผู้คนได้จึงกัดมือของอีกฝ่ายอย่างแรงทันที แทบจะใช้แรงฉีกเนื้อของเขา ชายไว้เครารู้สึกเจ็บ สะบัดมือแรงๆ จนอวี๋ชิงจยาถูกเหวี่ยงออกไป

อวี๋ชิงจยาล้มลงบนพื้นและไอไม่หยุด ข้อศอกเจ็บอย่างสุดจะทน นางลุกขึ้นยืนไม่ไหว ชายไว้เคราก้มหน้ามองมือของตนเอง พบว่าฝ่ามือถูกอวี๋ชิงจยากัดเข้าเนื้อไปหนึ่งคำ เขาถูกสตรีที่คิดว่าตัวเล็กอ่อนแอทำให้อับอายครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจได้รับความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง โทสะพลันเดือดพล่าน ชายไว้เคราคำรามอย่างชั่วร้าย ก่นด่าพลางกระโจนใส่อวี๋ชิงจยา

อวี๋ชิงจยาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ต่างบอกกันว่าเมื่ออยู่ในห้วงเวลาที่กลัวสุดใจ คนที่คิดถึงจะเป็นคนที่ตนพึ่งพาและไว้วางใจมาก ในเวลานี้สิ่งที่โผล่วาบเข้ามาในหัวของนางไม่ใช่อวี๋เหวินจวิ้น แต่เป็นจิ่งหวน

อวี๋ชิงจยาสัมผัสได้ถึงลมที่พัดตอนมือของชายไว้เครายื่นเข้ามา หางตาของนางมีน้ำตาซึมและหลุดพูดออกมา “ปีศาจจิ้งจอก”

เพิ่งจะสิ้นคำ จู่ๆ ชายไว้เคราก็ส่งเสียงร้องลั่น สามารถฟังออกถึงความเจ็บปวดจากเสียงนั้น อวี๋ชิงจยารีบลืมตาขึ้น เห็นข้อมือของอีกฝ่ายถูกลูกดอกทะลุผ่านเนื้อไปอีกฝั่ง ขนนกท้ายลูกดอกที่ปักบนข้อมือยังคงสั่นสะเทือนเบาๆ

อวี๋ชิงจยาหันกลับไปอย่างตะลึงงัน กล่าวพึมพำตามจิตใต้สำนึก “ปีศาจจิ้งจอก?”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 2567)

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: