บทที่ 126 ถงเชวี่ย
อวี๋ชิงจยาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดว่านางคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง หลังจากได้ยิน นางก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่มองพระชายาซ่งเงียบๆ
หลังจากที่พระชายาซ่งพูดจบก็ถามด้วยรอยยิ้มที่สง่างามเปี่ยมคุณธรรม “คุณหนูหกอวี๋คิดอย่างไร”
แม้ว่าพระชายาซ่งจะถามเช่นนี้ แต่นางมีท่าทางมั่นใจ ราวกับมอบความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ให้แก่อวี๋ชิงจยา มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องปฏิเสธไม่ลง พระชายาซ่งทำเช่นนี้ไม่ได้หมายสอบถามจริงๆ แต่คิดจะแสดงความใจกว้างของตนในฐานะภรรยาเอกเท่านั้น
“หม่อมฉันคิดอย่างไรน่ะหรือเพคะ” อวี๋ชิงจยาย้ำประโยคนี้อย่างช้าๆ ก่อนจะเก็บรอยยิ้มทั้งหมดอย่างฉับพลันแล้วกล่าว “ขอบพระทัยพระชายาและจวิ้นอ๋องที่เมตตาเพคะ อย่างไรก็ตามหม่อมฉันไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ ท่านพ่อได้ดูการแต่งงานให้หม่อมฉันไว้นานแล้ว ความหวังดีของพระชายา หม่อมฉันขอรับไว้ด้วยใจ แต่เสียดายที่หม่อมฉันมิอาจตอบรับได้เพคะ”
แรกเริ่มพระชายาซ่งกุมชัยชนะอยู่ในมือ จนเมื่อได้ยินคำตอบของอวี๋ชิงจยา รอยยิ้มที่ริมฝีปากของนางก็ค่อยๆ แข็งทื่อทีละน้อย นางสีหน้าเย็นชาและยิ้มฝืนๆ “คุณหนูหกอวี๋หมายความว่าอย่างไร”
“ความหมายตามที่พระชายาได้ยินเลยเพคะ” อวี๋ชิงจยากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันไม่ยินดี พระชายาโปรดปฏิเสธท่านอ๋องแทนหม่อมฉันด้วยเพคะ”
รอยยิ้มเสแสร้งสุดท้ายของพระชายาซ่งเลือนหายไป นางแค่นเสียงเย็นชากล่าว “คุณหนูหกอวี๋ จะเล่นตัวก็ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ท่านอ๋องถูกใจเจ้าอย่างหาได้ยาก เจ้าจะวางท่าหรือแสดงฐานะตามสมควรพอเป็นพิธีก็ช่างเถิด แต่หากเกินขอบเขต นั่นจะเป็นการไม่รู้จักหนักเบา ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้อีก ระวังจะยั่วโทสะท่านอ๋องเข้าจริงๆ ถึงเวลานั้นเจ้าจะเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรเพคะ” อวี๋ชิงจยานั่งตัวตรง มือทั้งสองวางไว้ตรงตัก แขนเสื้อกว้างบังฝ่ามือจนมิด ขอบล่างของแขนเสื้อและชายกระโปรงที่ซ้อนทับเป็นชั้นๆ กองอยู่บนตั่ง อวี๋ชิงจยาเบื้องหน้าดูมีกิริยาท่าทางอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วคือการเว้นระยะห่างตามมารยาท ไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงง่ายต่างหาก “หากพูดความจริงแล้วทำให้ท่านอ๋องกริ้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็จนปัญญาแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันควรจะพูดกับพระชายาให้ชัดเจน หม่อมฉันมีคู่แต่งงานอยู่แล้ว มิกล้าอาจเอื้อมท่านอ๋อง ขอพระชายาและท่านอ๋องโปรดเลือกสตรีที่ดีใหม่เพคะ”
พระชายาซ่งมองดูสีหน้าท่าทางของอวี๋ชิงจยาอย่างละเอียด นางพบว่าอวี๋ชิงจยามีสายตาสงบนิ่ง ท่าทางตรงไปตรงมา ดูมิใช่แสร้งปล่อยเพื่อจับ จะได้เรียกค่าตัวสูงขึ้น แต่นางปฏิเสธจริงๆ พระชายาซ่งคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่อยากแต่งงานกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นองค์ชายใหญ่และยังเป็นโอรสสายตรง วันหน้าก็จะกลายเป็นรัชทายาทเชียวนะ!”
“หม่อมฉันทราบเพคะ ดังนั้นจึงขอแสดงความยินดีกับพระชายาและพระชายารองอวี๋เพคะ หม่อมฉันไร้ปณิธานอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจอยู่ร่วมกับพระชายาและพระชายารองอวี๋เพคะ” อวี๋ชิงจยาพูดพลางลุกขึ้นยืน ประสานมือทั้งสอง แล้วทำความเคารพพระชายาซ่งอย่างเชื่องช้านุ่มนวล “พระชายาพักผ่อนให้สบายเถิด หม่อมฉันขอทูลลา”
พระชายาซ่งมองอวี๋ชิงจยาโดยไม่ละสายตา แม้จะเป็นการย่อเข่าทำความเคารพแสนธรรมดาที่สุด แต่อวี๋ชิงจยาทำได้น่ามองกว่าใคร นางเก็บคางเล็กน้อย ลดสายตาลงต่ำ แขนเสื้อกว้างทิ้งตัวลง กระโปรงยาวกองอยู่บนพื้นขณะนางย่อกายลง ทั้งงดงามและเลอค่า เพียงแค่สวมเสื้อผ้าสีจืดไว้อาลัยยังละสายตาไม่ได้ หากนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นเลิศมาร่วมงาน รวบผมยาวเป็นมวยสูงอย่างงดงามประณีต จะปรากฏภาพเช่นไรกัน
พระชายาซ่งยกมุมปากขึ้นเบาๆ และเลิกเสแสร้งในทันที นางกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าไม่ยินดี หมายความว่าไม่ยินดีเข้าวัง หรือไม่ยินดีเป็นชายารองกันแน่”
อวี๋ชิงจยายังยิ้มอย่างห่างเหิน และถามอย่างมารยาทไม่บกพร่อง “ที่นี่มีพวกเราแค่สองคน พระชายาสามารถพูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้เพคะ”
“ข้ามองเจ้าผิดไป ดูเหมือนเจ้าจะฉลาดกว่าพี่สาวของเจ้ามาก ในเมื่อเจ้าไม่ยินดีที่จะเข้าจวนอ๋องในฐานะชายารอง เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าสนใจตำแหน่งของข้าอยู่”
อวี๋ชิงจยาแววตาเปลี่ยนไป มองพระชายาซ่งอย่างประหลาดใจ พระชายาซ่งคิดง่ายเกินไปหรือไม่ ในใต้หล้าใช่ว่าจะไม่มีบุรุษเลยสักคน คิดจริงๆ หรือว่าสตรีทุกคนจะต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้แต่งงานกับสามีนาง
อวี๋ชิงจยาสุดจะทน ถอนหายใจคราหนึ่งแล้วกล่าว “พระชายาดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็จะไม่อ้อมค้อมเพื่อไว้หน้าอีกต่อไปแล้ว ขอพูดกับพระชายาตามตรงนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ชอบก่วงผิงอ๋อง ยิ่งไม่คิดที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นพระชายาไม่จำเป็นต้องเอาชนะใจหม่อมฉันไปพลางกดดันหม่อมฉันไปพลางหรอกเพคะ พระชายามีเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ มิสู้เอาไปใช้กับเหล่าสตรีในจวนอ๋องจะดีกว่า หม่อมฉันไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งเข้าราชวงศ์ ภายหน้าก็จะไม่สร้างภัยคุกคามให้พระชายา พระชายาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองสติปัญญาเลยเพคะ”
หลังจากที่อวี๋ชิงจยาพูดจบก็มองหน้าพระชายาซ่งเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีแล้วเดินออกไป พระชายาซ่งมองแผ่นหลังของอวี๋ชิงจยาอย่างตกตะลึงและไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นางเรียกอีกฝ่ายหลายครั้ง อวี๋ชิงจยาก็ทำเป็นไม่ได้ยินและก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออวี๋ชิงจยาเดินออกจากตำหนักข้าง นางกำนัลทั้งสองฝั่งที่เดินไปมาเห็นอวี๋ชิงจยาก็รีบทำความเคารพและหลีกทางอย่างรวดเร็ว วันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดี จัดงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางที่ตำหนักถงเชวี่ย เจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไปและคนในครอบครัวสามารถมาเข้าร่วมได้ทั้งหมด งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่านางกำนัลและขันทียุ่งวุ่นวายกันทุกที่ บ้างก็จัดจานบ้างก็วางภาชนะ ดูรีบเร่งจัดเตรียมข้าวของกัน
ขณะนี้งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เหล่าบุรุษรออยู่ในท้องพระโรง ส่วนญาติที่เป็นสตรีรออยู่ในห้องโถงกลางสวนดอกไม้ทางด้านหลัง อวี๋ชิงจยาที่ผละมาจากพระชายาซ่ง ภายในใจนางมีโทสะคุกรุ่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่อยากไปอยู่ในที่ที่คนเยอะเช่นห้องโถงกลางสวน จึงพาสาวใช้เดินบนสะพานเชื่อมทั้งสองด้านของตำหนักถงเชวี่ยอย่างไร้จุดหมาย
ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครอยู่ อวี๋ชิงจยาจึงบริภาษในใจ เสียสติกันหมดแล้ว พระชายาซ่งกับก่วงผิงอ๋องช่างหลงตนเองเสียเหลือเกิน ตอนนี้แค่มีข่าวลือว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ยังไม่ทันได้เป็นรัชทายาทด้วยซ้ำ ก็วางท่าเป็นพระชายารัชทายาทแล้ว น่าตลกจริงๆ พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นใคร หรือคิดว่าทุกคนต้องกระตือรือร้นที่จะลดตัวแต่งเข้าจวนก่วงผิงอ๋องในฐานะพระชายารอง
อวี๋ชิงจยาจับราวสะพานสีแดงแล้วถอนหายใจยาว ในที่สุดก็รู้สึกว่าความกลัดกลุ้มในใจได้คลี่คลายลงบ้าง ทว่าหลังจากคิดในใจจนจบแล้ว นางกลับตกอยู่ในความสับสนและความเศร้าใจ แม้ว่านางจะดูแคลนการวางท่าของพระชายาซ่ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระชายาซ่งมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นพระชายารัชทายาทในอนาคต ฮองเฮาในยามนี้ไม่แยกแยะถูกผิดและพูดคุยหยอกล้อกับขุนนางอย่างไม่เกรงข้อครหา กระทั่งพระชายารัชทายาทในวันข้างหน้าก็เป็นคนเจ้าแผนการและปากกับใจไม่ตรงกัน สตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดทั้งสองของเป่ยฉียังเป็นเช่นนี้ ภายภาคหน้าวังหลวงจะเป็นเช่นไร
อวี๋ชิงจยาพูดไม่ออกเป็นเวลานาน นางก้มหน้ามอง มีฐานรองสิ่งปลูกสร้างสูงจากพื้นดินหนึ่งจั้งและมีหอสูงห้าชั้นสร้างอยู่บนฐานนี้ รวมเป็นยี่สิบกว่าจั้ง หอสูงล้วนตกแต่งด้วยทองคำและทองแดง ยามแสงอรุโณทัยสาดส่องจะเปล่งประกายเรืองรองทั่วทุกสารทิศ ด้านหน้าและหลังฐานมีหอสูงทั้งหมดสามหลัง ซึ่งหอที่อวี๋ชิงจยาอยู่นั้นคือหอที่งดงามที่สุดในบรรดาหอสูงทั้งสาม หลังคาของหอเกยซ้อนทับกัน ระหว่างหอเชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่มีหลังคาราวกับวิมานสวรรค์ นอกจากนี้บนยอดหลังคายังหล่อรูปปั้นนกยูงทองแดงซึ่งดูสมจริงราวกับมีชีวิต อยู่ในท่ากางปีกพร้อมโบยบิน จึงมีชื่อเรียกว่าตำหนักถงเชวี่ย
อวี๋ชิงจยาจับราวสะพานสีแดงตรงตำหนักถงเชวี่ยแล้วกวาดตามองลงไป เห็นนางกำนัลบนพื้นดินมีขนาดเล็กราวกับมด ครั้นมองไปไกล ใต้ขั้นบันไดหินที่ทำจากหินอ่อนขาว น้ำจากแม่น้ำจางไหลผ่านทางช่องระบายน้ำที่ล้อมรอบตำหนักถงเชวี่ยก่อนมารวมกันที่สระเสวียนอู่ ใจกลางสุดมีเส้นทางทอดยาวสายหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างวังหลวงและโลกภายนอก เล่ากันว่าแม่น้ำจางในช่วงบ้านเมืองเฟื่องฟูสามารถฝึกฝนกองทัพเรือได้ พอจะจินตนาการได้ถึงเงินทองมหาศาลที่ใช้ไปกับสถานที่แห่งนี้ออก ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่วังหลวง ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังเป็นป้อมปราการทางการทหารที่มีประโยชน์รอบด้าน มีความสามารถในการรุกและป้องกัน
อวี๋ชิงจยามองดูวังหลวงอันโอ่อ่าตระการตาที่อยู่เบื้องล่าง และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ไป๋หรงยืนแขนแนบลำตัวมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้ามาเตือนเงียบๆ “คุณหนู ใกล้ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว”
“รู้แล้ว” อวี๋ชิงจยาพยักหน้า เหลือบมองภาพตระการตาที่อยู่เบื้องล่างเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันกลับมากล่าว “ไปกันเถอะ”
ภายในวัง เทียนถูกจุดทั้งสองฟาก นักดนตรีนั่งอยู่หลังม่าน กำลังบรรเลงพิณผีผา พิณฉิน และเป่าขลุ่ย อวี๋ชิงจยานั่งลงบนที่นั่งของตนเองเงียบๆ หลังจากนั่งรอเป็นเวลานาน ฮองเฮาก็เดินมาอย่างเชื่องช้า
หางตาของอวี๋ชิงจยาสังเกตเห็นว่าผมของฮองเฮาเหมือนจะหวีมาใหม่ อิ่นอี้คุนเดินเข้ามาในงานเลี้ยงพร้อมกันกับฮองเฮา อวี๋ชิงจยาเคลื่อนสายตาออก ทำเหมือนว่าตนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
อิ่นอี้คุนเพิ่งจะปรากฏตัว ขุนนางรอบด้านก็ลุกขึ้นยืนทั้งหมด พร้อมกับยกมือคำนับอิ่นอี้คุน พวกเขาต่างก็ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะราวกับมองไม่เห็นว่าอิ่นอี้คุนปรากฏตัวพร้อมฮองเฮา
ฮองเฮาส่งขันทีข้างกายไปเชิญฮ่องเต้ ไม่นานฮ่องเต้ก็มาถึง
เมื่อฮ่องเต้ปรากฏตัว ทั้งงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยคำถวายพระพรให้อายุยืนยาว ฮ่องเต้เดินสาวเท้าเข้ามา จนกระทั่งนั่งลงแล้ว ขันทีก็ตะโกนเสียงแหลม “เลิกเคารพ!”
ทุกคนยืนขึ้น เสียงแขนเสื้อเสียดสีดังพึ่บพั่บ คนสกุลมู่หรงล้วนรูปโฉมหล่อเหลา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เว้น เทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ฮ่องเต้ดูองอาจและผอมเพรียว แต่เมื่อดูใบหน้าของเขาอย่างละเอียด บนนั้นมีริ้วรอยแห่งวัยเป็นจำนวนมาก หางตาของเขายกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นี้ตามหลักแล้วควรจะดึงดูดดอกท้อ แต่ฮ่องเต้มีแววตาดุร้าย ทุกท่วงท่าแฝงไว้ซึ่งความอำมหิตและดื้อรั้น เห็นแล้วชวนให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสีคล้ำใต้ดวงตาของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากการลุ่มหลงมัวเมาในตัณหา ใช้ชีวิตโดยขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างยิ่ง
คนอื่นๆ ต่างก็ลุกขึ้นและกลับไปยังที่นั่งของตน มีเพียงอิ่นอี้คุนที่ยืนอยู่กับที่ หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว อิ่นอี้คุนก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งงานในทันที นี่ดูเหมือนจะเป็นผลลัพธ์ที่อิ่นอี้คุนต้องการ เขายิ้มอย่างพึงพอใจ ยกจอกสุราขึ้นกล่าวกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณ ได้รับชัยชนะในการรบอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วนี้ คาดว่าจะสามารถปราบปรามกองทัพกบฏได้ภายในครึ่งเดือน และจับเป็นผู้นำกองทัพกบฏได้สำเร็จ สถานการณ์การปกครองใต้หล้าในปัจจุบันล้วนพึ่งพาพระปรีชาญาณและการปกครองอย่างขยันขันแข็งของฝ่าบาท กระหม่อมประทับใจอย่างยิ่ง ขอดื่มให้ฝ่าบาทหนึ่งจอกพ่ะย่ะค่ะ”
อิ่นอี้คุนดื่มสุราในจอกจนหมด ฮ่องเต้ชอบใจในคำเยินยอจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางรักอิ่นใส่ใจอนาคตของใต้หล้าเช่นนี้ เราปลื้มใจยิ่ง เราขอดื่มจอกนี้ร่วมกับอัครมหาเสนาบดี”
ฮ่องเต้ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างคุกเข่าบนพื้น เติมสุราให้ฮ่องเต้อย่างนุ่มนวล สุราสีแดงไหลออกมาจากปากขวดเรียวยาว ขุนนางที่อยู่ด้านล่างเห็นแล้วต่างก็ลอบขมวดคิ้ว
นี่เป็นเรื่องที่ขุนนางต่างรู้กัน บุรุษสกุลมู่หรงจิตใจไม่ค่อยมั่นคง โดยเฉพาะเวลาที่ถูกกระตุ้นด้วยสุรานารี หลายปีมานี้ฮ่องเต้ปล่อยตัวไปกับตัณหา สุขภาพร่างกายย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สภาวะของจิตใจก็ไม่นับว่าดีเท่าไร เวลาที่ฮ่องเต้สูญเสียการควบคุมสติจะทำสิ่งเหลวแหลกมากมาย แต่เพื่อเอาใจฮ่องเต้แล้ว ขุนนางคนโปรดและเหล่าขันทีข้างกายมักชักนำให้ฮ่องเต้ดื่มสุราเพื่อหาความสำราญ
โดยเฉพาะอิ่นอี้คุนที่เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในกลุ่มนั้น พอรู้ว่าฮ่องเต้ประพฤติตนเหลวไหล เขาก็จงใจใช้สิ่งแปลกใหม่หลอกล่อให้ฮ่องเต้ไปเล่นสนุก ไม่ว่าจะให้ปิดตาคนแล้วนำไปขังอยู่ในกรงสัตว์ร้าย ให้นางกำนัลเปลื้องผ้าแล้ววิ่งแข่ง นี่ล้วนเป็นความคิดของอิ่นอี้คุน เพราะพอฮ่องเต้หมกมุ่นในสุรานารี ไม่สามารถสนใจเรื่องงานบ้านเมือง เขาก็จะฉวยโอกาสยึดกุมอำนาจได้
เมื่อเห็นว่าคำพูดของฮ่องเต้และอิ่นอี้คุนเหลวไหลขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็ก้มหน้าด้วยความโกรธแต่ไม่กล้าพูด มีขุนนางอาวุโสที่ซื่อตรงไม่กี่คนที่รู้สึกทนดูไม่ไหวจริงๆ ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งยืนขึ้น และยกมือเหนือศีรษะพลางกล่าว “ฝ่าบาท ทางสำนักหมอหลวงบอกว่าอาการประชวรของพระองค์แย่ลงทุกวัน ให้งดเสวยสุรางดเว้นนารี ขอฝ่าบาททรงถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้น้อยลง อิ่นอี้คุนปรายตามองขุนนางเฒ่าแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “รองเสนาบดีสวีแก่แล้ว นอกจากจะสายตาไม่ดี แม้แต่การพูดก็ไม่รู้จักพูดด้วย ฝ่าบาททรงมีความสุขอย่างหาได้ยาก ต้องให้ท่านมาขัดอารมณ์ด้วยหรือ อีกอย่างฝ่าบาททรงมีพระวรกายที่แข็งแรงมาก ยามราตรีทรงร่วมอภิรมย์กับสตรีห้านางได้โดยไม่เป็นปัญหา สายตาของท่านเห็นว่าฝ่าบาททรงจำเป็นต้องถนอมพระวรกายอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ รองเสนาบดีสวีก็ถลึงตาด้วยความโกรธ โมโหจนแทบจะเป็นลม “ไร้มารยาทอย่างยิ่ง อยู่ในท้องพระโรงกล่าวคำหยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร”
“หยาบคายอย่างไรหรือ” อิ่นอี้คุนเหลือบมองรองเสนาบดีสวีด้วยแววตามุ่งร้ายพลางกล่าว “รองเสนาบดีสวีคงไม่ไหวแล้วกระมัง ถึงกับนำคำพูดที่ตนเองฟังไม่ออกมาตีความว่าหยาบคายเสียอย่างนั้น”
เหล่าพรรคพวกของอิ่นอี้คุนส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย แม้แต่ฮ่องเต้ก็หัวเราะดังลั่น รองเสนาบดีสวีถามกับตนเองว่าข้ารับใช้บ้านเมืองมาทั้งชีวิต เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร! เขาโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ชี้อิ่นอี้คุน กล่าวเสียงสั่นว่า “เจ้า! เจ้าคนถ่อยไร้ยางอาย!”
อิ่นอี้คุนทนฟังผู้อื่นต่อว่าตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย ดวงตาเขาฉายแววมืดหม่น จับจ้องรองเสนาบดีสวีราวกับแววตาของอสรพิษอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะอย่างฉับพลัน “รองเสนาบดีสวีแสดงท่าทีใหญ่โตเช่นนี้ หรือที่พูดมาจะไม่เป็นความจริง เช่นนั้นรองเสนาบดีสวีช่วยแสดงให้พวกเราดูหน่อยว่าสรุปแล้วทำได้หรือไม่ ใครก็ได้ ถอดเสื้อให้รองเสนาบดีสวีที”
“เจ้าคนถ่อย!” เหล่าบุตรชายและหลานชายของรองเสนาบดีสวีทนไม่ไหวอีกต่อไป พากันลุกขึ้นด่า
เดิมทีฮ่องเต้กำลังดูเหตุการณ์นี้อย่างสนอกสนใจ จวบจนได้ยินเหล่าลูกหลานสกุลสวีด่าว่าคนถ่อย ขุนนางโฉดชักนำฮ่องเต้ไปในทางผิด เป็นภัยต่อบ้านเมือง แว่นแคว้นมิอาจคงอยู่ออกมา สีหน้าก็มืดมนโดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้แค่นเสียงคราหนึ่งแล้วกล่าว “ชักนำฮ่องเต้ไปในทางผิดเป็นภัยต่อบ้านเมืองอะไรกัน ข้าว่าพวกเจ้านี่ล่ะคือหายนะที่ใหญ่ที่สุด! ใครก็ได้ เอากระบี่มา!”
บทที่ 127 เหตุพลิกผันอันน่าตกใจ
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ถ้าให้ฮ่องเต้จับกระบี่จริงๆ เกรงว่าวันนี้หากไม่เห็นเลือดก็คงไม่เลิกรา แม้แต่คนอื่นๆ ในงานเลี้ยงก็ยากจะรอดพ้น เหล่าขุนนางพากันคุกเข่าพูดเกลี้ยกล่อม ฮองเฮาก็หวาดกลัวเช่นกัน รีบยืนขึ้นและเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาท แค่ขุนนางที่คิดไปเองว่าความคิดของตนถูกต้องไม่กี่คนเองเพคะ ไม่คู่ควรให้พระองค์กริ้วสักนิด หากพระองค์ทรงทนไม่ไหว เพียงมีรับสั่งให้องครักษ์ลากพวกเขาเข้าคุกหลวงก็ได้แล้ว ไยต้องให้พระองค์ลงมือเองด้วยเพคะ”
หลายคนเข้ามาช่วยเอ่ยสนับสนุน ฮ่องเต้จึงฝืนควบคุมตนเองไว้แล้วกลับไปนั่งลงที่เดิม รองเสนาบดีสวีเห็นทั้งหมดนี้ เพียงรู้สึกว่าเหลวไหลอย่างยิ่ง เขาเตือนให้ฮ่องเต้งดสุราและนารีอย่างซื่อตรง ผลที่ได้กลับถูกคนถ่อยดูหมิ่นไม่ว่า แม้แต่ฮองเฮาก็ตัดสินพฤติกรรมของเขาอย่างพล่อยๆ ว่า ‘คิดไปเองว่าความคิดของตนถูกต้อง’
รองเสนาบดีสวีรู้สึกทั้งน่าหัวเราะและน่าเศร้าสลดในเวลาเดียวกัน นี่คือฮ่องเต้และฮองเฮาของเป่ยฉี? เห็นทีการสืบทอดบัลลังก์มาหลายชั่วอายุคนของสกุลมู่หรงคงต้องถูกทำลายลงเช่นนี้ รองเสนาบดีสวีรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เขากล่าวว่า “ไม่ต้องรบกวนทหารรักษาวัง ในเมื่อฮองเฮามองว่ากระหม่อมมีความผิด เช่นนั้นกระหม่อมก็จะปลิดชีพตนเองเดี๋ยวนี้เพื่อเป็นการขอพระราชทานอภัย เลี่ยงไม่ให้แปดเปื้อนสายพระเนตรของฮองเฮาและอัครมหาเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่รองเสนาบดีสวีพูดจบก็พุ่งชนเสาในตำหนักอย่างแรง อวี๋ชิงจยานั่งอยู่ไกลจึงได้ยินเสียงการโต้แย้งไม่ชัดเจน แต่ดูจากการกระทำของคนไม่กี่คนก็พอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางค่อนข้างกังวลว่ารองเสนาบดีสวีจะเสียเปรียบเพราะความยึดมั่นไม่รู้จักปรับตัว นางเพิ่งจะคิดเช่นนี้อยู่ ก็เห็นรองเสนาบดีสวีพุ่งไปที่เสาข้างๆ สิ้นเสียงกระแทกดังปังก็เห็นเขาล้มลงกับพื้นในสภาพศีรษะเต็มไปด้วยเลือด อวี๋ชิงจยาสะดุ้งและอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
ภายในตำหนักมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นต่อๆ กัน รองเสนาบดีสวีเอาศีรษะกระแทกเสาจนเลือดท่วม เหล่าลูกหลานสกุลสวีเข้ามาล้อมรอบตัวรองเสนาบดีสวีด้วยสีหน้าโศกเศร้า มีบางคนคิดจะเข้าไปถามหาเหตุผลกับอิ่นอี้คุน แต่ถูกคนใกล้ชิดรั้งตัวไว้
เดิมทีฮ่องเต้มีอารมณ์สุนทรีย์อย่างยิ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ทำให้เขาหมดสนุก เขาโบกมืออย่างทนรำคาญไม่ไหว ให้คนยกตัวรองเสนาบดีสวีออกไป เหล่าขันทีก็รีบเช็ดเลือดบนพื้นให้สะอาด จากนั้นเมื่อเสียงพิณผีผาดังขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของอวี๋ชิงจยากำแน่น แน่นอนว่านางโกรธ แต่ไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุง ฮ่องเต้ ฮองเฮา และอิ่นอี้คุนมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครออกหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็มีแต่เอาชีวิตไปทิ้ง และอาจชักนำภัยมาสู่ครอบครัว รองเสนาบดีสวีแม้จะกระแทกศีรษะกับเสาจนสลบไป แต่ก็ไม่ถึงตาย จากนี้ขอแค่รักษาดีๆ ก็สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ถ้าหากมีคนออกมาโต้แย้งถูกผิด เช่นนั้นรองเสนาบดีสวีและคนทั้งตระกูลจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ก็คือความจริง อวี๋ชิงจยาโกรธแต่ก็จนปัญญาจะทำอันใด คนอื่นๆ ก็ได้แต่ก้มหน้ามองดูอาหารบนโต๊ะของตนเองและฟังฮ่องเต้กับอิ่นอี้คุนพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน โดยมีฮองเฮาคอยแทรกเป็นบางครั้งด้วยรอยยิ้มดุจกิ่งบุปผาสั่นไหว อิ่นอี้คุนกล่าว “ก่วงผิงอ๋องได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ถือเป็นความโชคดีอันยิ่งใหญ่ของแคว้น กระหม่อมขออวยพรให้ฝ่าบาทได้ประหารเจ้ากบฏนั่นพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็รู้ดีว่า ‘เจ้ากบฏ’ ที่อิ่นอี้คุนกล่าวหมายถึงใคร ทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นแท้ๆ แต่ถูกเขาพูดเสียเหมือนเกิดขึ้นจริง ฮ่องเต้เบิกบานใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดเยินยอเช่นนี้ กล่าวว่า “ขุนนางรักอิ่นคิดคำนึงเพื่อเราอย่างแท้จริง ครั้งนี้ต้องขอบคุณฮองเฮามาก”
ฮองเฮาได้ยินแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสเพคะ หม่อมฉันไม่ได้รู้เรื่องการสู้รบ จะขอบคุณหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ”
“ขอบคุณเจ้าที่ให้กำเนิดโอรสดีๆ แก่เรา”
ฮองเฮาได้ยินแล้วยกมือขึ้นมาป้องปากยิ้ม เหลือบมองฮ่องเต้ผ่านแขนเสื้อด้วยสายตาเป็นประกาย
อิ่นอี้คุนยกจอกสุราขึ้นกล่าว “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง ชัยชนะของศึกนี้ล้วนขึ้นอยู่กับฮองเฮา กระหม่อมขอดื่มสุราจอกนี้แก่ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮายิ้มแล้วถลึงตาใส่อิ่นอี้คุน ฮ่องเต้ก็ร่วมความครึกครื้นด้วย โบกมือพลางกล่าว “ฮองเฮามีผลงานก็ควรได้รับรางวัล เราขอยกสุราจอกนี้ให้ฮองเฮา”
การได้รับสุราจากฮ่องเต้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ฮองเฮารับจอกสุราด้วยรอยยิ้มเพริศพริ้งพร้อมกับกล่าวลากเสียงยาว “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ขณะที่ฮ่องเต้และฮองเฮากำลังพูดคุยหัวเราะอย่างไร้กังวลอยู่ในงานเลี้ยง อวี๋ชิงจยาก็กำลังก้มหน้าและมองดูเงาสะท้อนของตนเองในจอกสุราเงียบๆ นางคิด บางทีการให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามความฝันคงจะดีกว่ามาก อย่างน้อยแม้หลางหยาอ๋องจะโหดเหี้ยมไร้เมตตา แต่ก็ไม่ได้เหลวแหลกไม่เอาไหนเหมือนกับทั้งสองคนตรงหน้าในตอนนี้
อวี๋ชิงจยานึกถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างหน้าชื่นอกตรม คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางถึงกับคิดว่าใต้หล้าถูกปกครองด้วยฮ่องเต้ที่เด็ดขาดก็ดี เมื่อมีตัวเลือกที่เลวร้ายกว่าให้เปรียบเทียบ มนุษย์ก็สามารถยอมรับทุกสิ่งได้จริงๆ
อวี๋ชิงจยามองดูต่างหูหยกครามของตนแกว่งไกวเบาๆ สะท้อนอยู่ในจอกสุรา จู่ๆ ก็เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อยบนผิวสุรา อวี๋ชิงจยาเงยหน้าขึ้น เห็นว่าฮองเฮากำลังปิดปากตนเองและมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากร่องนิ้วของนางไม่หยุด ฮองเฮาเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะล้มลงช้าๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของนางกำนัล
ทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันชั่วขณะ ก่อนเสียงโวยวายของเหล่าขุนนางจะตามมาในฉับพลัน
เมื่อครู่นี้อิ่นอี้คุนเจตนาทำให้รองเสนาบดีสวีอับอาย เดิมก็ไปกระตุ้นความโกรธเคืองของผู้คนอยู่แล้ว เมื่อขุนนางหลายคนเห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ มีคนชี้นิ้วด่าทออิ่นอี้คุนว่า “เจ้ากบฏช่างใจกล้านัก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลอบปลงพระชนม์ฮองเฮา!”
สีหน้าของอิ่นอี้คุนย่ำแย่จนถึงที่สุด เขารีบเดินเข้าไปตรวจดูอาการของฮองเฮาโดยไม่สนว่าใครจะเสียมารยาทกับเขา ข้างกายฮองเฮาถูกล้อมไปด้วยนางกำนัล ฮ่องเต้ปลีกตัวห่างตั้งแต่ตอนที่เกิดสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลแล้ว ตอนนี้ถูกคุ้มกันโดยองครักษ์และขันที ยืนอยู่ไกลๆ และขมวดคิ้วมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ฮ่องเต้มีท่าทางเย็นชา ไม่มีความคิดจะเข้าไปตรวจสอบแม้แต่น้อย คล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนกับที่พูดคุยหยอกล้อฮองเฮาต่อหน้าธารกำนัลเมื่อครู่นี้
หมอหลวงผลักฝูงชนออกและตั้งสมาธิตรวจจับชีพจรให้ฮองเฮา ผ่านไปครู่หนึ่งหมอหลวงก็ยืนขึ้น ยกมือคารวะฮ่องเต้ด้วยสีหน้าหนักใจแล้วกล่าว “ทูลฝ่าบาท เกรงว่าฮองเฮาจะถูกวางยาพิษพ่ะย่ะค่ะ”
ถูกวางยาพิษ?
คำพูดของหมอหลวงสร้างความโกลาหลในฝูงชนอีกครั้ง งานเลี้ยงภายในวัง อีกทั้งฮองเฮายังอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน ใครเป็นคนวางยาพิษ
ขุนนางในราชสำนักและญาติสตรีต่างก็หน้าซีดเผือด กระซิบกับคนรอบข้างอย่างกังวลและร้อนใจ ตอนที่ฮองเฮากระอักเลือดเมื่อครู่นี้ไป๋หรงกับไป๋จื่อก็ลุกขึ้นยืนข้างๆ อวี๋ชิงจยา ตอนนี้นางอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองเห็นฮองเฮาล้มลงบนแท่นสูงที่อยู่ไกลๆ จากตำหนักอันวิจิตรและลึกล้ำ
เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากของฮองเฮาไม่หยุด เสื้อและมือของนางเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน ไหนเลยจะหลงเหลือท่าทางของผู้สูงศักดิ์และหัวเราะอย่างอิสระเฉกเช่นเมื่อครู่นี้อีก ปากของฮองเฮาได้แต่ขยับขึ้นลง นอกจากเลือดที่กระอักออกมาเพิ่มแล้วก็ไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้อีก
ฮ่องเต้สีหน้ามืดมน และถามอย่างเย็นชา “พิษอะไร”
“พิษชนิดนี้ประหลาดมากพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อน ที่น่าแปลกกว่านั้นคือพิษชนิดนี้รุนแรงมาก คนร้ายผสมลงไปในสุรา ฮองเฮาเสวยไปโดยไม่ทันระวัง ในเวลานี้พิษได้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจและปอดของพระนางแล้ว เกรงว่าจะต้องสวรรคตโดยที่ไม่อาจช่วยเหลือได้พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าญาติสตรีได้ยินแล้วเป็นลมไปหลายคน ไป๋จื่อก็ขนลุกชูชันไปทั้งร่างเช่นกัน นางกุมมือของอวี๋ชิงจยาไว้แน่นและกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “คุณหนู”
อวี๋ชิงจยาตบที่หลังมือไป๋จื่อพร้อมกับปลอบใจว่านางไม่เป็นไร อวี๋ชิงจยาเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งพิษที่ผสมอยู่ในสุรา และฮองเฮาที่ดื่มต่อหน้าผู้คนโดยไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ขอเพียงคนผู้นั้นหมายลงมือจริงๆ ก็สามารถปลิดชีพของฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ
ไม่สิ! ทันใดนั้นอวี๋ชิงจยาก็ตระหนักได้ว่าสุราจอกนี้ควรจะดื่มโดยฮ่องเต้ ทว่าหลังอิ่นอี้คุนพูดยกย่องฮ่องเต้และก่วงผิงอ๋อง ฮ่องเต้จึงพระราชทานสุราจอกนี้และมอบความดีความชอบแก่ฮองเฮา กล่าวคือเดิมทีคนที่ควรจะล้มลงคือฮ่องเต้ ฮองเฮาเพียงแค่รับเคราะห์แทนเท่านั้น
ฮ่องเต้ก็คิดเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ฮองเฮายกมือขึ้น มองไปทางฮ่องเต้ด้วยสายตาจริงจังคล้ายกำลังจะบอกบางอย่างกับฮ่องเต้ ทว่าฮ่องเต้ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปหาแม้แต่น้อย อวัยวะภายในของฮองเฮาเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับหัวใจและปอดถูกบดขยี้ นางทนไม่ไหวอีกต่อไป มือตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง คอหงายไปข้างหลังในองศาแปลกประหลาด ก่อนจะสิ้นลมหายใจ
ฮองเฮาที่เกี้ยวพาราสีกับผู้อื่นอยู่เมื่อครู่นี้ก็สิ้นใจไปเช่นนี้เอง
ภาพตรงหน้านี้สร้างความตื่นตระหนกจริงๆ ฮองเฮาแห่งแคว้นสวรรคตต่อหน้าทุกคน ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกชาวาบที่แผ่นหลัง เหล่าขุนนางต่างก็เกิดความสะเทือนใจร่วมกัน ชี้นิ้วด่าอิ่นอี้คุน
“เจ้ากบฏ! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาวางยาฮ่องเต้กับฮองเฮา!”
“หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาทรงรับเคราะห์แทนฝ่าบาท ไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมาเลย”
“เจ้าเล่นพรรคเล่นพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน บีบคั้นผู้มีคุณธรรม คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังกล้าก่อความวุ่นวาย หมายจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทอีก!”
อิ่นอี้คุนสีหน้าคล้ำหม่นเคร่งเครียด เขาตะคอกเสียงดัง “เหลวไหลทั้งเพ! ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงไว้วางพระทัยข้า ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ต้องมีคนวางแผนปองร้ายอยู่แน่ คิดจะนำความผิดมาใส่ร้ายข้า” อิ่นอี้คุนพูดจบก็คุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าฮ่องเต้ เอ่ยด้วยความจริงใจ “ฝ่าบาท พระองค์ต้องวินิจฉัยให้กระจ่างนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แววตาโหดเหี้ยมดุดัน มองดูร่างของฮองเฮาอย่างเย็นชา พลันหัวเราะขึ้นมา “ผู้ที่วางยาพิษไม่ใช่ขุนนางรักอิ่นหรอก หากเป็นเขา เขาจะอาสาดื่มสุราอวยพรด้วยเหตุใด ดูเหมือนจะมีคนต้องการให้เราตาย”
อิ่นอี้คุนดีใจยิ่ง รีบกล่าวต่อว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา คนชั่วช้าเช่นนี้จะต้องสับมันเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น บดร่างให้แหลกเป็นหมื่นส่วนพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางคนอื่นๆ ไม่พอใจ ยังคงเดินออกมาแสดงความเห็นว่าอิ่นอี้คุนไม่น่าเชื่อถือ สุราที่อิ่นอี้คุนดื่มฉลองทำให้ฮองเฮาสวรรคตด้วยยาพิษ ไม่ว่าจะมองอย่างไรอิ่นอี้คุนก็เลี่ยงความสงสัยไม่พ้น อย่างไรก็ตามแม้ฮองเฮาจะเลือดกระเซ็นกลางงาน ฮ่องเต้ก็ยังไว้เนื้อเชื่อใจอิ่นอี้คุนและปกป้องเขามากอยู่ดี เหล่าขุนนางยิ่งพูดยิ่งโกรธแค้น ทั่วทั้งตำหนักจึงเต็มไปด้วยเสียงโวยวาย เหล่าญาติสตรีเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้เสียที่ใดกัน มีหลายคนตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเผือด พระชายาซ่งทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ถูกคนหามออกไปนานแล้ว
ความวุ่นวายรอบด้านราวกับไม่ส่งผลกระทบต่ออวี๋ชิงจยา นางมองดูผู้คนที่ยังสับสนวุ่นวายพลางขมวดคิ้ว
ไม่ถูกต้อง อวี๋ชิงจยาคิดในใจ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การวางยาพิษง่ายๆ เช่นนี้แน่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอิ่นอี้คุนจะทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีการที่ชัดเจนเช่นนี้หรือไม่ แค่พูดถึงพิษที่ฮองเฮากินเข้าไปก็ทำให้อวี๋ชิงจยารู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่งยวดแล้ว เป็นพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น ผสมอยู่ในสุราได้โดยไม่สามารถตรวจพบ อีกทั้งความเร็วในการกำเริบของพิษยังอยู่ในระดับที่แทบจะตายทันทีที่สัมผัส อวี๋ชิงจยาอดหันไปมองอวี๋ชิงหย่าไม่ได้ อาการเหล่านี้นางช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
อวี๋ชิงหย่าใบหน้าซีดเซียว มือข้างหนึ่งป้องหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว นางมองไปยังผู้คนที่อยู่ตรงแท่นสูงด้วยความไม่อยากเชื่อ ใบหน้ากระตุกเกร็งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังสื่อสารกับระบบ
นึกแล้วเชียว นี่คือพิษของระบบ
ถ้าเป็นพิษที่มาจากระบบ เช่นนั้นก็สามารถอธิบายสภาพอันน่าเวทนาของฮองเฮาขณะสวรรคตได้อย่างสมบูรณ์ และสิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามที่ชวนให้สันหลังเย็นวาบ ใครเป็นคนวางยาพิษ
การแสดงออกของอวี๋ชิงหย่าดูไม่เหมือนผู้บงการ อีกฝ่ายไม่มีแรงจูงใจเช่นนั้นเลย ฮองเฮาเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของก่วงผิงอ๋อง จวนก่วงผิงอ๋องในตอนนี้ล้วนขึ้นอยู่กับฮองเฮา ถ้ามีฮองเฮาออกหน้า การแต่งตั้งรัชทายาทย่อมง่ายขึ้นมาก พระชายาซ่งกับอวี๋ชิงหย่าต่างก็เค้นสมองเพื่อเอาอกเอาใจฮองเฮา อวี๋ชิงหย่ายังฝันว่ามารดาจะได้พึ่งพาบุตรเพื่อมีฐานะสูงส่ง เกรงว่าอวี๋ชิงหย่าจะเป็นคนที่อยากให้ฮองเฮามีอายุยืนยาวหลายปีมากที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะลงมือกับฮองเฮาแม้แต่น้อย
จู่ๆ หัวใจของอวี๋ชิงจยาก็เต้นแรง หากไม่ใช่อวี๋ชิงหย่า แล้วยังมีใครที่รู้จักระบบอีก
เรื่องของระบบกับอวี๋ชิงหย่า อวี๋ชิงจยาเคยบอกไว้แค่เพียงคนเดียว
ราวกับถูกเตือนสติอย่างแรง อวี๋ชิงจยาพลันนึกถึงเหตุการณ์ได้หลายอย่าง ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจ แม้จะมีจุดที่น่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอย่างละเอียด ทว่าในตอนนี้เมื่อร่องรอยทั้งหมดมาบรรจบกัน ก็พุ่งไปยังผลลัพธ์แบบเดียวกันแทบจะทั้งหมด
เวลานี้มีองครักษ์คนหนึ่งวิ่งมาจากนอกตำหนัก เขาคุกเข่าอยู่นอกประตูพร้อมกับรายงานเสียงดัง “รายงาน เจ้าเมืองติ้งโจวส่งสารมาว่าก่วงผิงอ๋องติดกับและถูกจับเป็นเชลย กองทหารกบฏทั้งหมดกำลังเคลื่อนพลลงใต้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!” ฮ่องเต้ผลักขันทีที่อยู่ข้างๆ กระเด็น ชักดาบขององครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ออกมาชี้ไปยังองครักษ์ที่อยู่นอกประตูแล้วตะโกน “กองทหารกบฏกำลังลงใต้? เมื่อไร!”
“สามวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“สามวันก่อน?” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ เค้นเสียงเอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ข่าวการทหารเร่งด่วนเมื่อสามวันก่อนเหตุใดเพิ่งจะส่งมาตอนนี้ จากติ้งโจวมาเมืองเยี่ยเฉิงเดินทางด้วยม้าเร็วแค่หนึ่งวันเท่านั้น”
องครักษ์ที่มารายงานก้มหน้ากล่าว “จดหมายของท่านเจ้าเมืองถูกคนสกัดไว้พ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้แล้วกองทัพกบฏอาศัยช่วงที่ฝนตกหนักเดินทางไม่สะดวกสังหารสายลับไปเป็นจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ จนกระทั่งฝนหยุดตก เมืองต่างๆ ถึงกลับมาติดต่อกันได้อีกครั้ง”
ข่าวด่วนทยอยส่งมาทีละข่าว ไม่ทันให้ทุกคนได้พักหายใจก็มีคำว่า “รายงาน!” ที่เสียงสูงแสบแก้วหูดังมาจากนอกตำหนักอีกครั้ง
“รายงานฝ่าบาท ข้างนอกเมืองมีกองทัพไม่ทราบชื่อบุกมา เข้าใกล้เมืองเยี่ยเฉิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.