X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 128-129

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 128 พบหน้า

ราวกับฟ้าร้องดังกระหึ่มบนพื้นราบ ผู้คนภายในตำหนักแตกตื่นทันที กองทัพกบฏทางตอนเหนือได้เคลื่อนทัพลงใต้เมื่อสามวันก่อน ตอนนี้มาถึงนอกเมืองแล้ว เหล่าชนชั้นสูง ฮูหยิน และคุณหนูที่กำลังสนุกสนานก็อยู่เฉยไม่ไหวในทันที กองทัพกบฏบุกประชิดเมืองหลวง พวกเขาคิดจะทำการใดล้วนเปิดเผยออกมาทั้งหมด ใครก็ตามที่อยู่ในวังหลวงเวลานี้ก็จะกลายเป็นเป้าเคลื่อนไหว มีหลายคนอาศัยจังหวะชุลมุนวิ่งออกไปนอกตำหนัก ทั้งผลักทั้งดันเพื่อที่จะวิ่งออกไปข้างนอก

เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ไป๋หรงก็เข้ามายืนปกป้องอวี๋ชิงจยาที่ด้านหน้าทันที ฝูงชนด้านนอกเบียดเสียดแออัด ทว่ารอบข้างอวี๋ชิงจยายังคงปลอดภัย ไป๋หรงสังเกตฝูงชนอย่างใกล้ชิดพลางกล่าวกับอวี๋ชิงจยา “คุณหนู กองทัพมาถึงด้านล่างประตูเมืองแล้วเจ้าค่ะ เกรงว่าในวังจะเกิดเหตุวุ่นวายในไม่ช้า บ่าวจะส่งคุณหนูกลับเรือนเดี๋ยวนี้”

“ได้” อวี๋ชิงจยาพยักหน้า ไป๋หรงมีประสบการณ์ในด้านนี้มาก นางแยกผู้คนให้อวี๋ชิงจยาอย่างช่ำชองและพาอวี๋ชิงจยาไปยังที่ปลอดภัย ไป๋จื่ออายุมากกว่าไป๋หรง แต่ในเรื่องนี้ด้อยกว่าไป๋หรงมาก ด้วยการคุ้มครองของไป๋หรง ทำให้อวี๋ชิงจยาหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้หลายครั้ง และเดินไปถึงสถานที่จอดรถม้าได้อย่างปลอดภัย

ปกติแล้วการเข้าออกประตูวังไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายยิ่ง มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเมืองเยี่ยเฉิงถูกกองทัพกบฏโจมตี ภายในวังยังไม่มีการถ่ายทอดคำสั่งลงมาเสียที ทหารเฝ้าประตูวังก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะต้านทานรถม้าของขุนนางและญาติทั้งหลายที่ออกจากวังด้วยความเร่งรีบได้อย่างไร ไป๋หรงคุ้มกันอวี๋ชิงจยาขึ้นรถม้า ส่วนตนเฝ้าอยู่ที่ประตูรถอย่างระมัดระวัง สารถีก็มีท่าทางสงบนิ่งผิดปกติเช่นกัน แววตาของเขาคอยสอดส่องระแวดระวัง สังเกตถนนรอบด้านไปพลางออกแรงคุมม้าไปพลาง บังคับรถม้าออกไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋จื่อตกใจจนสติไม่อยู่กับตัว นางจับมือของอวี๋ชิงจยาแน่น รถม้าวิ่งกุบกับออกนอกประตูวัง หลังจากข้ามสะพานแม่น้ำจาง ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ถนนเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทุกคนบนรถอดถอนหายใจเฮือกไม่ได้ ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในความสับสนอลหม่าน ประตูวังอาจถูกลงกลอนเมื่อใดก็ได้ หากไม่สามารถหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย เกรงว่าหลังจากนี้จะถูกขังอยู่ในวังหลวง ซึ่งจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตราบใดที่หนีออกจากวังหลวงและไปถึงถนนใหญ่ด้านนอก แม้จะต้องเดินทางอ้อมมากเพียงใด อย่างน้อยก็สามารถกลับถึงเรือนของตนเองได้เสมอ

ตั้งแต่ที่ขึ้นรถม้า ไป๋หรงก็จับแขนเสื้อไว้แน่นราวกับว่ามีอะไรอย่างอื่นอยู่ในแขนเสื้อ เวลานี้มือของไป๋หรงที่อยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะกล่าวกับอวี๋ชิงจยา “คุณหนู พวกเราออกมาแล้วเจ้าค่ะ เหล่าอู๋ อย่ามัวชักช้าอยู่ข้างนอก ใช้ทางลัดแล้วรีบส่งคุณหนูกลับเรือน”

สารถีขานรับเสียงดังผ่านประตู “ข้าทราบแล้ว”

ไป๋หรงกำชับสารถีแล้วหันกลับมาพูดกับอวี๋ชิงจยาอีกครั้ง “คุณหนูไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถึงกองทัพกบฏเข้ามาในเมืองก็จะไม่ทำร้ายผู้คน ท่านอยู่ในเรือนอย่างสบายใจได้เลยเจ้าค่ะ”

อวี๋ชิงจยาพยักหน้า นางมีสีหน้าจริงจัง อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเบื้องนอกรถม้าอย่างเงียบๆ ผ่านม่าน ไป๋จื่อมองไปที่อวี๋ชิงจยา แล้วหันไปมองไป๋หรง นางรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าไป๋หรงกลัวที่คุณหนูยังอยู่ข้างนอกเช่นนี้ ราวกับจะถูกใครบางคนมาลักพาตัวอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋จื่อส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดที่อธิบายไม่ได้นี้ออกไป สารถีมีฝีมือการบังคับรถม้าอันยอดเยี่ยม เขาบังคับรถม้าได้รวดเร็วและมั่นคง เพียงชั่วพริบตาก็วิ่งผ่านถนนหลายสาย ขอแค่ผ่านถนนอีกสองสายก็จะถึงเขตถนนที่เรือนสกุลอวี๋ตั้งอยู่แล้ว ทว่าถนนทางแถบนี้คือตลาดของเมืองเยี่ยเฉิง ในยามปกติก็ครึกครื้นอย่างยิ่ง เวลานี้ราษฎรได้ยินข่าวว่าเมืองถูกโจมตีก็ยิ่งวิ่งพล่านไปทั่ว การสัญจรเป็นไปอย่างลำบากมาก สารถีบังคับรถม้าหลบหลีกผู้คนไปหลายกลุ่ม จนสุดท้ายรถม้าไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกต่อไปจึงกล่าวกับอวี๋ชิงจยาอย่างตัดสินใจไม่ได้ว่า “คุณหนูหก ถนนข้างหน้าถูกปิดทางไปทั้งหมดเลยขอรับ พวกเราจะกัดฟันลุยไปข้างหน้าต่อ หรือให้อ้อมเส้นทางนี้ไปใช้เส้นทางที่ไกลกว่าดีขอรับ”

ทะลุผ่านตลาดคือเส้นทางที่สั้นที่สุด แต่ที่นี่ก็มีคนเบียดเสียดเกินไป และมีรถม้าจอดขวางอยู่บนถนนก่อนหน้าหลายคัน ทว่าหากคิดจะอ้อมที่นี่ไปก็ต้องเดินทางอ้อมไปไกลมาก

ไป๋หรงมองไปข้างนอกแล้วขมวดคิ้ว “หากจะอ้อมเส้นทางนี้ไปก็ต้องผ่านอีกหลายเส้นทาง อีกทั้งเส้นทางที่อ้อมไปนั้นก็อยู่ใกล้กับกำแพงเมือง หากเผชิญหน้ากับกองทัพกบฏขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ตั้งแต่ที่คุณชายกลับกองทัพไป การติดต่อระหว่างไป๋หรงกับทางฝั่งนั้นก็กลายเป็นรอรับข่าวจากทางนั้นอย่างเดียว กล่าวคือไป๋หรงไม่รู้ว่ามู่หรงเหยียนวางแผนจะยกทัพมาเมื่อใด โจมตีเมืองเมื่อใด มิเช่นนั้นนางคงไม่ปล่อยให้อวี๋ชิงจยาอยู่ข้างนอกในวันที่ตีเมืองแน่ สารถีเข้าใจเหตุผลนี้ดี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ พวกเขาไม่กล้าปล่อยให้อวี๋ชิงจยาเกิดเหตุไม่คาดฝันแม้แต่น้อย หากมีผู้ทรยศในตำหนักบูรพาเดิมปล่อยข่าวรั่วไหลออกไป หรือถูกผู้รู้ล่วงหน้ารับรู้การมีอยู่ของคุณหนูหก หรือเพียงแค่เผชิญหน้ากับโจรที่ฉวยโอกาสชุลมุนและจับตัวอวี๋ชิงจยาไว้ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็สุดจะคาดคิด

ไป๋หรงตัดสินใจไม่ได้ อวี๋ชิงจยามองผ่านช่องว่างในม่านรถแล้วกล่าว “กลับรถ แล้วไปทางอ้อม”

“คุณหนู…”

“ถนนข้างหน้าแออัด กว่าจะออกไปจากตรงนี้ได้ไม่รู้ต้องรออีกนานเพียงใด แล้วถ้าติดอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก มิสู้อ้อมไปอีกทางหนึ่ง แม้จะต้องอ้อมไกลสักหน่อย แต่อย่างไรทางก็โล่ง”

เสียงของอวี๋ชิงจยาหนักแน่นและเด็ดขาด ไป๋หรงกับสารถีเชื่อฟังคำสั่งของอวี๋ชิงจยาโดยไม่รู้ตัว สารถีเฆี่ยนม้าอย่างแรง เลี้ยวไปอีกเส้นทางหนึ่ง

บนถนนสายนี้มีผู้คนบางตากว่ามากดังคาด บนถนนไร้รถม้าคันอื่น แต่ที่นี่อยู่ใกล้กับกำแพงเมืองจึงมองเห็นทหารหนีทัพเป็นกลุ่มๆ ได้ สารถีไม่กล้าประมาท เขาใช้แส้เฆี่ยนม้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้รถม้าเคลื่อนไปเร็วที่สุด

ทว่าเหมือนสวรรค์ไม่เป็นใจ ตอนที่รถม้าเตรียมข้ามถนนอีกสายหนึ่งซึ่งจวนจะถึงที่หมายแล้วนั้น จู่ๆ ก็มีทหารกลุ่มใหญ่ถือดาบวิ่งผ่านถนนทางแยกตรงหน้าไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของพวกเขาที่เหยียบย่ำบนถนนดังทึบหนักๆ และเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ บนตัวสวมชุดเกราะเต็มตัว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นทหารชั้นยอด

ไป๋จื่อตกใจจนมือเย็นเฉียบ นางหลบอยู่ในตัวรถแล้วกระซิบถามอวี๋ชิงจยา “คุณหนู คนพวกนี้มาจากที่ใดเจ้าคะ”

“กองทหารที่ประจำการอยู่ตำหนักถงเชวี่ย หรือก็คือทหารส่วนพระองค์ที่ขึ้นตรงกับฝ่าบาท” อวี๋ชิงจยามองผ่านผ้าม่านรถที่สั่นไหวพลางกล่าวเสียงเบา “ดูเหมือนฮ่องเต้กับอิ่นอี้คุนจะเตรียมการไว้แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็สามารถย้ายกองกำลังของตำหนักถงเชวี่ยออกมาได้ ที่แท้ข้าก็สบประมาทพวกเขาเกินไป”

สารถีถามจากข้างนอก “คุณหนูหก ด้านหน้ามีทหารผ่านเช่นนี้ พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”

“หันหัวม้าหลบไป อย่าได้บุ่มบ่าม แล้วก็ไม่ต้องไปยั่วยุ แค่รออยู่เงียบๆ ให้พวกเขาผ่านไป”

สารถีดึงบังเหียนให้ม้าเลี้ยวรถตามคำแนะนำของอวี๋ชิงจยา แล้วหันรถเข้าหากำแพงอย่างเงียบๆ โดยไม่ฟัง ไม่พูด และไม่มอง ต้องขอบคุณอวี๋ชิงจยาที่หาทางเลี่ยงได้เร็ว ทหารส่วนพระองค์ของฮ่องเต้กวาดตามองผ่านนอกกำแพงสองสามครั้ง เห็นว่าพวกเขาเก็บตัวอย่างสงบเงียบจึงจากไปโดยไม่สนใจ

จนกระทั่งทหารรักษาพระองค์จากไปแล้ว สารถีก็รีบบังคับรถม้าผ่านทางนั้น พวกเขาเพิ่งไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากบริเวณไม่ไกล ฟังจากเสียงนั้นกองทัพกบฏน่าจะบุกเข้ามาแล้ว สามารถเข้ามาในเมืองได้รวดเร็วเช่นนี้ คาดว่าคงมีการติดต่อกับคนภายในเมืองเยี่ยเฉิงเพื่อเปิดประตูเมืองให้พวกเขาแน่

กองทัพกบฏจัดตั้งทัพขนาดใหญ่ที่ประตูหลัก และกองรักษาการณ์ของเมืองเยี่ยเฉิงก็ถูกดึงดูดไปที่นั่นทั้งหมด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายจะเป็นประตูข้างที่ดูไม่สะดุดตาแทน กองทัพกบฏใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม กองรักษาการณ์เมืองเยี่ยเฉิงก็หลงกลไปด้วยความประมาท ส่วนคนภายในเมืองก็ฉวยโอกาสตอนที่กองรักษาการณ์ไม่ทันระวังเปิดฉากสังหารทหารเฝ้าประตูอย่างรวดเร็วและเปิดประตูเมือง รอให้กองทหารชั้นยอดที่รออยู่ข้างนอกนานแล้วเคลื่อนทัพเข้าเมือง

เมื่อช่องโหว่ถูกเปิดขึ้นในเมืองเยี่ยเฉิงก็เป็นดั่งน้ำหลากที่ทะลุผ่านแนวเขื่อน เพียงไม่นานสถานที่อื่นๆ ก็มีรายงานด่วนเข้ามาไม่หยุด กองกำลังใหญ่ดาหน้าเข้าสู่เมืองหลวงด้วยพละกำลังในการทำลายล้าง ทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ที่ผ่านรถม้าของอวี๋ชิงจยาไปเมื่อครู่นี้ได้เผชิญหน้ากับทัพหน้าของกองทัพกบฏที่โจมตีเมืองเป็นกลุ่มแรก กองทัพทั้งสองคุมเชิงกันบนถนนแคบ สองฝ่ายพลันชักดาบดังชิ้ง คมดาบปะทะเข้าหากัน

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ชักดาบชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าพวกเหิมเกริม! พวกเจ้าจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!”

การก่อกบฏถือเป็นโทษประหารในทุกยุคทุกสมัย และโทษยังลามไปถึงสตรี เด็กเล็ก และทายาทในตระกูลด้วย ถือเป็นโทษร้ายแรงมหันต์ อวี๋ชิงจยาย่อมคิดไม่ถึงว่าการกลับบ้านของนางกลายเป็นต้องมาพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี นางลดเสียงลง แล้วเอ่ยเร่งสารถีอย่างสั้นกระชับ “ไม่ต้องหันหัวม้ากลับไป ไม่ต้องเพิ่มความเร็วกะทันหัน เพียงเลี่ยงออกมาไม่ให้คนพวกนี้รู้ตัว แค่ไปเร็วๆ เช่นนี้ก็พอ”

สารถีเข้าใจเหตุผลดี ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหลังทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ หากเกิดอะไรขึ้น ทหารรักษาพระองค์จับอวี๋ชิงจยาเป็นตัวประกันก็จะยุ่งไปกันใหญ่ สารถีพยายามบังคับรถม้าให้เคลื่อนไปเงียบๆ และเร็ว ขณะที่ข้ามถนน ล้อรถทับหินก้อนหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แรงสะเทือนทำให้ม่านรถเปิดแง้ม อวี๋ชิงจยาหันกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และบังเอิญเห็นกองทัพกบฏแยกออกเป็นสองฝั่งเพื่อเปิดเส้นทาง มีม้าสีดำตัวหนึ่งเดินออกมาช้าๆ จากด้านหลังโล่

ม้าตัวนี้สีดำปลอด ตลอดทั้งตัวไม่มีขนยุ่งแม้แต่เส้นเดียว มีเพียงขนสีขาวสองสามกระจุกบนกีบม้า ดุจดั่งเมฆดำย่ำหิมะ ฟ้าผ่ากลางนภาค่ำคืน เป็นม้าที่มีสายพันธุ์เลื่องชื่อ บนหลังม้ามีบุรุษสวมชุดเกราะสีเงินตลอดทั้งร่าง ชุดเกราะส่วนใหญ่ในกองทัพทำจากเหล็ก เนื่องจากผ่านการใช้งานเป็นเวลานานและเปื้อนเลือดจึงทำให้ชุดเกราะเปลี่ยนเป็นสีดำแฝงกลิ่นอายอำมหิตอันหนาแน่น อย่างไรก็ตามคนผู้นี้เป็นคนเดียวที่สวมชุดเกราะที่ทำจากเงิน เมื่ออยู่ท่ามกลางทหารดำทะมึนแล้วเป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง การเป็นที่สะดุดตาในสนามรบไม่ใช่เรื่องดี ถึงกระนั้นพอเกราะเงินถูกสวมอยู่บนร่างคนผู้นี้แล้วกลับเข้ากันได้อย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นเช่นนี้ โดดเด่น เปล่งประกายเจิดจ้า บัญชาทัพคนนับหมื่น แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

บนใบหน้าเจ้าของร่างชุดเกราะสีเงินสวมหน้ากากหน้าตาดุร้าย หูยาว และแยกเขี้ยวสะท้อนแสงเป็นประกายวาว

ทันทีที่อวี๋ชิงจยาเห็นหน้ากาก ร่างนางก็สั่นเทิ้มอย่างแรง เลือดในกายของนางราวกับหยุดไหลเวียน แขนขาเย็นเฉียบราวกับแช่อยู่ในน้ำแข็ง อวี๋ชิงจยาแง้มม่านรถอย่างเชื่องช้าด้วยนิ้วมือสั่นเทา จ้องมองไปที่คนผู้นั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

เขาพกดาบที่ข้างเอว มือหนึ่งถือแส้ม้า อีกมือหนึ่งจับบังเหียนไว้อย่างหลวมๆ ปรากฏตัวต่อหน้ากองทัพทั้งสองฝ่ายราวกับกำลังขี่ม้าเล่นบนทุ่งหญ้า

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัว มือของเขาจับด้ามดาบแน่น มีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นที่หลังมือ “เจ้าพวกกบฏ! พวกเจ้ากำลังทำการก่อกบฏอย่างเปิดเผยนะ!”

“ก่อกบฏ?” เสียงของเขาเมื่อดังผ่านหน้ากากจึงต่างจากเสียงจริงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังฟังไพเราะเสนาะหู “ฮ่องเต้ประพฤติตนขัดแย้งหลักคุณธรรม หลงเชื่อขุนนางโฉด แล้วจะเรียกว่าก่อกบฏได้อย่างไร”

แม้สิ่งที่กล่าวมาจะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อพูดต่อหน้ากองทัพทั้งสองฝ่ายแล้วก็ยังดูโอหังเกินไป ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนทหารรักษาพระองค์ได้ยินคำพูดนี้แล้วเหงื่อเย็นชุ่มศีรษะ เขากระทุ้งสีข้างม้าเดินขึ้นหน้า ตัดสินใจย้ายข้าง ชูดาบขึ้นแล้วตะโกน “คนโฉดใช้อำนาจบาตรใหญ่ปกปิดหลอกลวงเบื้องสูง เป็นเหตุให้ขุนนางภักดีได้รับความอัปยศ ปวงประชาตกอยู่ในความลำบาก พวกข้ามาเพื่อกำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท!”

กองทัพเกราะเหล็กที่ติดตามพวกเขาตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าร้องมาจากด้านหลัง “สังหารขุนนางโฉด กำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท!”

แม้เป็นการก่อกบฏจริงๆ แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนคำเรียกใหม่ให้ดูน่าฟัง ตัวอย่างเช่น สังหารขุนนางโฉดข้างพระวรกายฮ่องเต้ คืนความบริสุทธิ์แก่ฝ่าบาท นี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่ดีในการยกทัพ ทหารที่ประจำการในตำหนักถงเชวี่ยถูกสยบด้วยความฮึกเหิมของอีกฝ่าย ทหารทัพหน้าจำต้องถอยหลังสองก้าวอย่างช่วยไม่ได้

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตะโกนเสียงดัง สุดท้ายก็ชักดาบออกมาพร้อมกับตะโกนว่า “เผชิญศึกแต่กลับหนี จะถือว่าเป็นทัพกบฏเช่นเดียวกัน ผู้ใดที่ยังถอยอีก ให้ฆ่าเสีย!”

ด้วยการป้องปรามจากคำสั่งทหาร ทำให้การล่าถอยของทหารรักษาการณ์หยุดลงในที่สุด เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ฝ่ายตน ผู้เป็นหัวหน้าจึงตะโกนท้าทาย “ในเมื่อเจ้ามาเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่กล้าแสดงใบหน้าที่แท้จริงเล่า เจ้าสวมหน้ากากอยู่เช่นนี้ พวกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นคนหรือผี ทำตัวปิดบังอำพราง จะต้องเป็นพวกชั่วร้ายแน่”

คำพูดของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ได้ยั่วโทสะคนฝั่งตรงข้าม มีหลายคนจ้องมองมาด้วยความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่าในด้านพละกำลังหรือความสมัครสมานสามัคคี กองทหารของราชสำนักล้วนด้อยกว่ากลุ่มคนที่พวกเขาเรียกว่า ‘กองทัพกบฏ’ มาก

ทว่าผู้ที่ถูกพาดพิงกลับหัวเราะหึ เขาจับบังเหียนไว้แน่น แล้วควบม้าออกจากการคุ้มกัน

คนที่อยู่ทางซ้ายขวาของเขารีบเข้ามาปราม เรียกเบาๆ ว่า “คุณชาย”

ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเงินชูมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ คนทั้งสองข้างจึงได้แต่หลบออกไป มองดูเขาค่อยๆ ออกจากการคุ้มกันของกองทัพไปต่อหน้าต่อตา

เขาหยุดอยู่ตรงพื้นที่โล่งระหว่างกองทัพทั้งสอง ไม่เพียงกองทัพด้านหลังเขาที่กำดาบไว้แน่นอย่างเงียบๆ แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ก็เป็นกังวลเช่นกัน พวกเขายกหอกยาวขึ้นสูงและตั้งโล่ จัดกระบวนทัพอย่างแน่นหนาเตรียมรับมือ

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเงินยกมือขึ้นช้าๆ มาจับหน้ากากของตนไว้ ขณะเดียวกันเสียงของเขาก็ดังลอดหน้ากากออกมาอย่างเย็นชา “ข้าเป็นบุตรชายสายตรงของรัชทายาทเฉิงเต๋อ หลางหยาอ๋องที่หมิงอู่ฮ่องเต้พระราชทานศักดินาพันครัวเรือนด้วยพระองค์เอง นามของข้าคือมู่หรงเหยียน…พวกเจ้าว่าข้าสามารถกำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาทเพื่อปรับความเข้าใจหรือไม่”

เมื่อสิ้นคำ ปุ่มลับที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากก็ถูกปลดออก หน้ากากเหล็กแยกเขี้ยวหลุดออกจากใบหน้าของเขา…

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์คิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง เช่นคนตรงหน้าผู้นี้แสร้งทำทีเป็นลึกลับ เจตนาใช้ท่าทางและน้ำเสียงข่มขู่คนให้กลัวเกรง หรือไม่ก็เป็นเพราะใบหน้าของคนผู้นี้เสียโฉมจึงต้องใช้หน้ากากปกปิดไว้ จนกระทั่งได้เห็นตัวจริงเบื้องหลังหน้ากาก หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง คนอื่นๆ พากันส่งเสียงร้องอุทาน กระบวนทัพพลันสับสนวุ่นวาย

ในเวลานี้มีใครไม่รู้ตะโกนออกมาจากกลุ่มทหารรักษาพระองค์ว่า “หลางหยาอ๋องมีน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูและหน้าตาที่งดงามยิ่ง นี่ก็คือหลางหยาอ๋อง หลางหยาอ๋องเสด็จกลับมาทวงความยุติธรรมให้รัชทายาทเฉิงเต๋อแล้ว!”

ประโยคนี้ราวกับก่อให้เกิดคลื่นลมบางอย่าง ทหารในราชสำนักดูกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เกิดจิตสังหารทันทีที่เห็นใบหน้าของมู่หรงเหยียน เขารู้เช่นกันว่ารูปลักษณ์ที่สะดุดตาเช่นนี้เป็นของหลางหยาอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหยิบธนูออกมาเล็งมู่หรงเหยียนในขณะที่ทุกคนยังไม่เตรียมพร้อม

ทว่ามู่หรงเหยียนราวกับรู้ล่วงหน้า โดยไม่รอให้หัวหน้าทหารปล่อยนิ้วมือจากลูกธนู ลูกดอกของมู่หรงเหยียนก็ยิงเข้าอกของเขาแล้ว เมื่อถูกยิง ร่างนั้นก็ร่วงลงมาจากหลังม้า มู่หรงเหยียนชูหน้าไม้ขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างออกแรงสะบัดอย่างรวดเร็ว จากนั้นขี่ม้านำหน้าไปที่วังหลวง ทหารใบหน้าดำเข้มรูปร่างกำยำด้านหลังเขาชูหอกขึ้นสูงแล้วพุ่งไปข้างหน้าตามผู้เป็นเจ้านาย พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “หลางหยาอ๋องกลับเมืองหลวง กำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท!”

มู่หรงเหยียนบุกลุยเดี่ยวเข้าไปกลางกองทัพศัตรู กวัดแกว่งดาบด้วยมือข้างเดียว ชั่วพริบตาก็ล้มคนรอบตัวได้หนึ่งแถว ฉางต้าพยายามไล่ตามสุดชีวิตเพื่อคุ้มครองมู่หรงเหยียน แต่หลังเขาเปลืองแรงมาครึ่งค่อนวันก็พบว่ากองทัพที่ฮ่องเต้ภาคภูมิใจ เมื่ออยู่เบื้องหน้ามู่หรงเหยียนล้วนพินาศย่อยยับอย่างง่ายดายราวกับหั่นผักกุยช่าย บุกทะลวงอย่างไร้ผู้ต้านทาน ฉางต้ากลัดกลุ้มใจนัก ให้บอกว่าเขาคอยปกป้องมู่หรงเหยียนอยู่ข้างๆ มิสู้บอกว่าเขาหลบอยู่ข้างหลังมู่หรงเหยียนเพื่อคอยอุดช่องโหว่เสียดีกว่า สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือการลงดาบย้ำใส่คนที่ถูกมู่หรงเหยียนฟันไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง

มู่หรงเหยียนเป็นดั่งใบมีดที่แหลมคม ไม่นานก็ตัดฝ่าทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ที่จัดวางกำลังอย่างแน่นหนาออกเป็นสองซีก ฉางต้ายกหอกยาวขึ้นมาขว้างใส่ลูกกระเดือกของทหารนายหนึ่ง จากนั้นดึงอาวุธออกมาแล้วไล่ตามมู่หรงเหยียนอย่างกระหืดกระหอบ “คุณชาย ท่านบุกเร็วเกินไปแล้วขอรับ เหตุใดท่านถึงล้มคนตั้งมากมายในครั้งเดียว ตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบจะไม่ชะลอความเร็วเลยขอรับ…”

มู่หรงเหยียนยื่นมือไปเช็ดเลือดตรงคาง เขารั้งบังเหียน แล้วเงยหน้ามองไปยังตำหนักถงเชวี่ยที่สูงตระหง่านเบื้องหน้า

ฉางต้าเพียงถามไปอย่างนั้นเอง เมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของมู่หรงเหยียนที่กำลังเช็ดเลือดบนใบหน้าของตนเองก็เผยสีหน้าเหม่อลอย ถึงกับลืมเอ่ยประโยคที่เหลือไปในทันที มู่หรงเหยียนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขากล่าว “ก็ไม่ยากเย็นอะไร เจ้าแค่ฝึกดาบในแบบที่ชอบก็ทำได้แล้ว”

หลังพูดจบ ฉางต้าที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้ตอบรับใดๆ มู่หรงเหยียนหยิบหน้ากากออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สวมหน้ากากดุร้ายแยกเขี้ยวที่น่ากลัวพอจะทำให้เด็กเล็กร้องไห้ลงบนหน้าของตนเองอีกครั้ง

คนเถื่อนอย่างฉางต้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ คิดไปเองว่าได้ฝึกฝนการต่อสู้ต่างๆ จนแตกฉาน คิดไม่ถึงว่าจะมีช่วงเวลาที่มองคุณชายแล้วเผลอเหม่อลอยไปได้ เขาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะกล่าวด้วยความกังวล “ไหนเลยข้าจะเทียบคุณชายได้ขอรับ คุณชายคือผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ สิบแปดศัสตราวุธ* แค่หยิบจับขึ้นมาก็เชี่ยวชาญ หลายวันก่อนเจิ้งเอ้อร์ยังระบายความทุกข์กับข้าว่าเขาแสดงวิชาทวนที่สืบทอดจากบรรพบุรุษตนเองต่อหน้าคุณชาย คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ต่อให้เขาเอาทวนหงอิง** ออกมาใช้ก็ยังสู้คุณชายไม่ได้ขอรับ” เขาเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้พวกเราบุกเข้าเมืองเยี่ยเฉิงแล้ว ทหารชั้นดีของฮ่องเต้ก็ถูกพวกเราจัดการไปครึ่งทาง เหลือแค่ตำหนักถงเชวี่ยกับสะพานแม่น้ำจาง จะมีฝีมือสักเท่าไรกันเชียว คุณชาย อีกไม่นานท่านก็จะได้แก้แค้นศัตรูตัวฉกาจแล้วขอรับ”

ประกาศนามอย่างเปิดเผย บุกโจมตีเมืองเยี่ยเฉิง ไม่รู้ว่าคนของตำหนักบูรพาเฝ้ารอวันนี้มานานเพียงใด แม้แต่คนหยาบกระด้างอย่างฉางต้าก็ยังตื่นเต้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แต่มู่หรงเหยียนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกลับสงบเยือกเย็นจนดูผิดปกติ เขาไม่มีความคิดที่จะแสดงความรู้สึกในใจหรือการทอดถอนใจแม้แต่น้อย เพียงควบม้าไปข้างหน้า “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รอให้ถึงตอนที่ยืนต่อหน้าฮ่องเต้แล้วค่อยพูดคำนี้”

แค่คลาดสายตาแวบเดียวมู่หรงเหยียนก็นำไปไกลแล้ว ฉางต้าจึงรีบควบม้าไล่ตามไป ขณะที่มาถึงตรอกแห่งหนึ่ง มู่หรงเหยียนที่กำลังควบม้าอย่างรีบร้อนกลับหยุดกะทันหัน ฉางต้ารีบรั้งบังเหียนม้า แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับมา “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นขอรับ”

มู่หรงเหยียนจ้องมองเข้าไปในตรอกอย่างลึกซึ้ง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้มีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมาจากทางนี้ หากช้าอีกเพียงนิดเดียว รถม้าคันนี้จะต้องเผชิญกับการรบราฆ่าฟันของกองทัพทั้งสอง มู่หรงเหยียนย่อมไม่ใส่ใจความเป็นความตายของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่ตอนที่ม่านรถม้าเผยอขึ้นเมื่อครู่นี้ เขามองเห็นอวี๋ชิงจยาอยู่รางๆ

เดิมทีเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างเพียงแวบเดียว กอปรกับมู่หรงเหยียนอยู่ห่างไกล การจะมองเห็นใบหน้าคนให้ชัดย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าเป็นนาง

ฉางต้าก็มองเข้าไปในตรอกเช่นกัน มองอยู่นานแล้วก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใด เขาฉงนสนเท่ห์จึงถามขึ้นอีกครั้ง “คุณชาย ท่านมองอะไรอยู่กันแน่ขอรับ ฮ่องเต้ยังมีชีวิตรอดอยู่ในวังหลวงนะขอรับ”

มู่หรงเหยียนถอนสายตากลับมากล่าว “ช่างเถอะ จะรู้ช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี ถึงอย่างไรก็หลอกนางมาตั้งหลายครั้งแล้ว มีเรื่องหนนี้อีกจะเป็นไรไป”

“อะไรนะขอรับ”

“ไม่มีอะไร” มู่หรงเหยียนพลันกระชากบังเหียนแล้วพุ่งออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสาย “ในการศึก ความเร็วคือสิ่งสำคัญ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย อีกเดี๋ยวข้ามีธุระต้องไปทำต่อ”

ฉางต้าสับสนขึ้นเรื่อยๆ เขาชะโงกหน้ามองเข้าไปในตรอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระทุ้งม้าไล่ตามมู่หรงเหยียน ขณะที่ฉางต้าไล่ตามไปนั้น ในใจก็บ่นไปด้วย อารมณ์ของคุณชายช่างคาดเดาไม่ถูกจริงๆ บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันที เห็นชัดๆ ว่าคุณชายเป็นฝ่ายหยุดอยู่ที่นั่นกะทันหัน มองอะไรอยู่ตั้งนานสองนานก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายคนที่ถูกด่ากลับเป็นข้าฉางต้าเสียอย่างนั้น ที่น่าแปลกกว่านั้นคือนอกจากล้อมโจมตีตำหนักถงเชวี่ยแล้วยังมีธุระอย่างอื่นอีกหรือ เหตุใดคุณชายจึงกล่าวเช่นนี้ ราวกับว่าเขาจะไปทำธุระที่สำคัญมากๆ หลังจากนี้ ส่วนการบุกตีวังหลวงเป็นเพียงเรื่องที่ต้องจัดการให้ผ่านไปเท่านั้น

ฉางต้าส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดอันประหลาดออกไป เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นอย่างที่กุนซือเหอกล่าวไว้ว่าผู้อยู่เบื้องบนไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือดีใจออกมาทางสีหน้า อยู่ข้างผู้เป็นใหญ่เหมือนอยู่ข้างพยัคฆ์กระมัง เห็นทีจะเป็นจริงดังคาด คุณชายของพวกข้าเกิดมาเพื่อเป็นเจ้านายคนโดยแท้

ทั่วทั้งเมืองเยี่ยเฉิงตกอยู่ท่ามกลางเสียงเข่นฆ่า เสียงร้องต่อสู้ ประตูข้างฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ถูกกองทัพกบฏ หรือเรียกอีกอย่างคือกองทัพของหลางหยาอ๋องร่วมประสานงานกันทำลายจากภายในและภายนอก จากนั้นหลางหยาอ๋องพาคนบุกวังหลวงด้วยตนเอง ส่วนคนอีกกลุ่มแยกออกไปสังหารกองทัพราชสำนักตามประตูเมืองแต่ละแห่ง เพื่อเปิดประตูเมืองให้คนของตนเองเข้ามาในเมือง

วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองหนังตากระตุกตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า นางยังคงสวดมนต์หน้าพระพุทธรูปตามปกติ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรจิตใจนางก็ไม่สงบลงเสียที ด้วยความกังวลนางจึงเรียกสาวใช้มาสอบถาม ทำให้รู้ว่าวันนี้คุณหนูหกเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง นายท่านอวี๋เหวินจวิ้นก็อยู่ในวังเช่นเดียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองกล่าวในใจ เข้าวังไปคงไม่มีเรื่องอะไรหรอกนะ คงเพราะข้านอนไม่หลับเมื่อคืนถึงได้เอาแต่คิดฟุ้งซ่าน

เวลาผ่านไปถึงตอนหลังเที่ยงวัน ทันใดนั้นฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองก็ได้ยินเสียงเอะอะจากนอกเรือนดังเข้ามา มีน้ำเสียงตื่นตระหนกของใครสักคนตะโกนขึ้นมาว่า “กองทัพกบฏบุกเมืองแล้ว!”

ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเมืองเยี่ยเฉิงก็ถูกคนล้อมไว้อย่างไร้สุ้มเสียง

เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ถูกคนบุกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว นี่คือสัญญาณของการล่มสลายของบ้านเมือง ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองก็รู้สาเหตุที่ตนตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก นางให้คนไปดูซ้ำๆ ว่าอวี๋ชิงจยากลับมาแล้วหรือยัง และสวดมนต์อธิษฐานให้พระพุทธองค์คุ้มครองครั้งแล้วครั้งเล่า

ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้วิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับมา และกล่าวขึ้นด้วยท่าทางตื่นตระหนกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ บริเวณที่อยู่ถัดจากจวนพวกเราไปหนึ่งถนน กองทัพกบฏกับกองทัพราชสำนักเปิดศึกกัน มีคนตายเป็นจำนวนมาก เลือดติดเต็มร่องอิฐเลยเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองได้ยินแล้วสะดุ้งตกใจ นางเอามือทาบตรงอกซ้ายที่เป็นตำแหน่งหัวใจ นิ้วมือจับลูกประคำอย่างสั่นเทา ในใจก็วอนขอว่าขอพระพุทธองค์ทรงคุ้มครอง ข้าอุทิศตนบูชาพระพุทธองค์มาทั้งชีวิต ไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อสวรรค์และมโนธรรม ขอพระพุทธองค์โปรดรับฟังข้าด้วย หากครั้งนี้หลานสาวของข้าสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ข้ายินดีลดอายุขัยสิบปี ชีวิตที่เหลือจะถือศีลกินเจและคัดพระคัมภีร์ทุกวันเจ้าค่ะ

ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองเพิ่งจะนึกในใจจบ จู่ๆ ก็ได้ยินสาวใช้ตะโกนเต็มเสียง “ฮูหยินผู้เฒ่า! คุณหนูกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองมือสั่น ลูกประคำในมือหล่นลงบนพื้นแตก นางโขกศีรษะอย่างแรงหนึ่งที น้ำเสียงสั่นเครืออย่างควบคุมไม่อยู่ “ขอบคุณพระพุทธองค์ ขอบคุณพระพุทธองค์ที่ช่วยคุ้มครองเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองไหว้พระเสร็จแล้วก็รีบออกไปหาอวี๋ชิงจยาที่ห้องโถงนอก

เมื่ออวี๋ชิงจยาเห็นฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองก็รีบเดินเข้าไปหา “ท่านย่า หลานอกตัญญู ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว ท่านอยู่ในบ้านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” จนถึงตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองก็ยังมือสั่นอยู่ นางจูงอวี๋ชิงจยามานั่ง แล้วให้อวี๋ชิงจยาเล่าตั้งแต่ต้นว่าพบเจออะไรระหว่างทางบ้าง อวี๋ชิงจยาเพียงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองฟัง โดยปกปิดช่วงที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตราย ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองฟังจนถึงช่วงท้ายก็ประนมมือแล้วพูดว่า “พระอมิตาภะพุทธะ ดูเหมือนจะอันตรายแต่ปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรก็ดี ดีจริงๆ” หลังจากนางพูดจบ พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “พ่อของเจ้าล่ะ เขาไม่ได้ไปด้วยกันกับเจ้าหรือ”

ไป๋จื่อเพิ่งจะสงบจิตใจลงได้ เมื่อได้ยินดังนี้ก็รีบกล่าวขึ้น “จริงด้วยเจ้าค่ะ นายท่านไปที่ใดแล้ว ด้านนอกเต็มไปด้วยกองทัพกบฏ นายท่านตัวคนเดียว ขออย่าให้ประสบกับอันตรายเลยนะเจ้าคะ”

อวี๋ชิงจยาได้ยินดังนี้ริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แลคล้ายจะเยาะหยันอย่างไรไม่รู้ กองทัพกบฏจะทำอันตรายกับเขา? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวท่านพ่อเองก็คือกองทัพกบฏ!

บทที่ 129 หลางหยา

ไป๋จื่อไม่รู้อะไรเลยสักนิด นางยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของอวี๋เหวินจวิ้น กังวลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นอวี๋ชิงจยาไม่พูดจา จึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงดูไม่มีความสุขเลย”

อวี๋ชิงจยาเม้มปากยิ้มกล่าว “อย่างนั้นหรือ ข้าคงจะเป็นห่วงท่านพ่อเกินไปกระมัง กองทัพกบฏบุกเมืองเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้พวกเรากลับไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างได้ยินว่ามีคนเปิดประตูเมืองให้กองทัพกบฏจากด้านใน ดูจากรูปการณ์ เห็นทีพวกเขาคงวางแผนกันมานานมากแล้วสินะ เฮ้อ พรรคพวกของหลางหยาอ๋องมีอยู่ทั่วทั้งภายในและนอกราชสำนักจริงๆ ช่างน่าเลื่อมใสเหลือเกิน”

ไป๋หรงได้ยินคำพูดนี้แล้วก้มหน้าลง ไม่กล้าตอบหรือมองอวี๋ชิงจยา นางรู้ว่าการปิดบังความจริงเช่นนี้ไม่ดีนัก คุณชายรู้ นางกับไป๋ลู่รู้ แม้แต่อวี๋เหวินจวิ้นก็รู้เช่นกัน แต่พวกเขายังคงปิดบังอวี๋ชิงจยาโดยมิได้นัดหมาย ก่อนหน้านี้อวี๋ชิงจยาไม่ทราบสาเหตุจึงเป็นห่วงมู่หรงเหยียนจากใจจริง ตอนนี้ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว อวี๋ชิงจยารู้ว่าตนเองถูกหลอกมานานถึงเพียงนี้ ไม่แปลกเลยที่จะโกรธ

แต่สาเหตุที่อวี๋ชิงจยาโกรธนั้นมีมากกว่าเพียงเพราะเรื่องที่ตนถูกหลอก นางสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองที่ห้องโถงหน้า จากนั้นส่งฮูหยินผู้เฒ่าบ้านรองกลับไปพักผ่อน จนกระทั่งนางกลับมาถึงเรือนของตนเอง สีหน้าของอวี๋ชิงจยาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว

“ออกไปให้หมด”

ไป๋จื่อไป๋จีตะลึงงัน พวกนางสองคนสบตากันด้วยความฉงนและไม่เข้าใจ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ สีหน้าท่านไม่ดีเลย ไม่สบายตรงที่ใดหรือเจ้าคะ”

“ข้าไม่เป็นไร” อวี๋ชิงจยาโบกมือไล่พลางกล่าว “ข้ารู้จักร่างกายของตนเองดี พวกเจ้าไม่ต้องคิดมาก ออกไปก่อน”

เมื่ออวี๋ชิงจยาพูดเช่นนี้ ไป๋จื่อกับไป๋จีก็ได้แต่ถอยออกไปก่อน อิ๋นจูยกถาดผลไม้กลับมา เพิ่งจะเข้าประตู ยังไม่ทันสังเกตเห็นอะไรก็ถูกไป๋จีลากตัวออกไปแล้ว จนกระทั่งคนออกไปหมด ไป๋หรงก็คุกเข่าตรงหน้าอวี๋ชิงจยาอย่างเงียบๆ เข่าแนบพื้น หลังเหยียดตรง หน้าผากแตะลงบนพื้นเย็นเฉียบ “คุณหนูหกโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”

“ให้อภัย?” อวี๋ชิงจยาหัวเราะเบาๆ แล้วถาม “เจ้ามีความผิดอะไรกัน”

ไป๋หรงถอนหายใจ ดูเหมือนว่าคุณหนูจะโกรธไม่น้อย นางจึงก้มศีรษะแนบชิดกับพื้นกว่าเดิมแล้วกล่าว “เรียนคุณหนู บ่าวมีฐานะเป็นหญิงรับใช้ของคุณหนู แต่กลับไม่บอกท่านในสิ่งที่รู้ หลอกลวงท่านมานาน วันนี้เกือบจะทำให้คุณหนูเจอกับการต่อสู้บนถนนและตกอยู่ในอันตราย นี่คือความบกพร่องในหน้าที่ของบ่าว ขอคุณหนูโปรดลงโทษ บ่าวจะไม่บ่นอย่างเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“ข้ามีตำแหน่งอะไรมาลงโทษเจ้าได้เล่า” อวี๋ชิงจยาสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง มองไม่ออกว่าโกรธหรือเสียใจอยู่ ทว่าความสงบนิ่งเช่นนี้กลับดูน่ากลัวยิ่งกว่าการแสดงออกว่าโกรธชัดเจน “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ด้วยความสามารถของเจ้าแล้วจะร่อนเร่ในหมู่คนธรรมดาได้อย่างไร แถมยังถูกอาสะใภ้ขายให้พ่อค้าทาสมาเป็นสาวใช้? ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้เป็นสาวใช้จริงๆ เจ้าไม่ได้เป็นหญิงชาวบ้านด้วยซ้ำ ผู้สอดแนมข้างกายหลางหยาอ๋องที่คัดจากหนึ่งในร้อย คิดไม่ถึงว่าจะลดเกียรติมาเป็นสาวใช้คุณหนูในห้องหออย่างข้าเช่นนี้ ข้าล่ะตกใจจริงๆ”

“คุณหนู” ไป๋หรงรู้ว่าตอนนี้ตนไม่อาจพูดอะไรได้ นางหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ก้มหัวลงแล้วยื่นให้ด้วยมือสองข้าง

“บ่าวรู้ว่าคุณหนูปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ หลายปีมานี้คุณหนูดีต่อบ่าวอย่างยิ่ง แต่บ่าวกลับปิดบังความจริงกับท่าน ความผิดนี้มิอาจให้อภัยได้ หากคุณหนูยังไม่หายโกรธ เชิญท่านลงโทษบ่าวได้เต็มที่เลยเจ้าค่ะ ต่อให้ต้องปลิดชีพตนเองบ่าวก็เต็มใจ…

แต่คุณชายไม่เหมือนกัน คุณชายกว่าจะเดินมาถึงขั้นนี้ไม่ง่ายเลย หลายปีมานี้ตำหนักบูรพามีผู้ทรยศไม่รู้ตั้งเท่าไร คุณชายไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยได้จริงๆ การที่คุณชายปิดบังตัวตนกับคุณหนูเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ไม่มีทางเลือกจริงๆ เจ้าค่ะ หากคุณหนูยังขุ่นเคือง บ่าวก็ไร้คำใดจะโต้แย้ง บ่าวยินดีตายเพื่อชดใช้ความผิด แต่คุณหนูจะโกรธคุณชายไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าคุณชายให้ความสำคัญกับท่านมากเพียงใด หากท่านไปจากเขา…บ่าวไม่กล้าคิดจริงๆ ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คุณชายผ่านการสูญเสียมามากเกินไปแล้ว แม้ว่าคุณชายไม่พูด แต่บ่าวทราบว่าเหตุนองเลือดที่ตำหนักบูรพาส่งผลกระทบต่อคุณชายหนักมาก โชคดีที่ภายหลังคุณหนูปรากฏตัว หากเรื่องในปีนั้นซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง บ่าวไม่กล้าคิดว่าคุณชายจะเปลี่ยนเป็นเช่นไรเจ้าค่ะ”

ไป๋หรงพูดพร้อมกับยืดตัวไปวางมีดสั้นไว้ข้างมืออวี๋ชิงจยา แล้วกลับมาคุกเข่าลงบนพื้น “คุณหนู การหลอกลวงบางอย่างอาจมาจากเจตนาไม่ดี ทว่าก็มีเหมือนกันที่การหลอกลวงบางเรื่องมาจากการกระทำที่ไร้ทางเลือก บ่าวแน่ใจว่าความรู้สึกที่คุณชายมีต่อคุณหนูไม่มีทางหลอกลวงเป็นอันขาด ขอให้คุณหนูโปรดทบทวนอีกครั้งด้วยเจ้าค่ะ”

ไป๋หรงที่คุกเข่าบนพื้นหมอบลง เผยคอตรงหน้าอวี๋ชิงจยา ขอเพียงอวี๋ชิงจยาหยิบมีดสั้นที่ข้างมือขึ้นมา ไม่รอให้นางลงมือเอง ไป๋หรงก็จะฆ่าตัวตาย อวี๋ชิงจยาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แค่มองเงียบๆ เป็นเวลานาน ไป๋หรงหมอบอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟังตลอด ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

อวี๋ชิงจยาพลันสะบัดแขนเสื้อปัดมีดสั้นไปที่พื้น หันหน้าหนีแล้วกล่าว “เจ้าเป็นคนของเขา พวกเจ้าคิดจะทำอะไร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ลุกขึ้นมาเสีย”

ไป๋หรงถอนหายใจ รู้ว่าโทสะเมื่อครู่ของอวี๋ชิงจยาหายไปแล้ว ก่อนจะยิ้มขมขื่นกับตนเอง อีกฝ่ายพูดอย่างตรงไปตรงมาว่านางคือคนของมู่หรงเหยียน ก็พอจะคาดเดาได้ว่าในใจอวี๋ชิงจยายังคงมีช่องว่างอยู่

ไป๋หรงเก็บมีดสั้นแล้วหลุบตานั่งลงหน้าตั่งของอวี๋ชิงจยา

อวี๋ชิงจยาจ้องเตากำยานบนโต๊ะเงียบๆ ควันสีเทาลอยอ้อยอิ่ง เมื่อมองนานเข้าจิตใจของคนก็สงบตามไปด้วย หลังจากนั่งอยู่สักพักหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อก็ร่วมมือกับพวกเจ้า?”

ไป๋หรงได้ยินคำถามนี้แล้วเสียวสันหลังวาบ นางไม่กล้าไม่ตอบ ได้แต่พูดกับอวี๋เหวินจวิ้นในใจเงียบๆ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ นายท่านมีคุณธรรมสูงส่ง ทุ่มเทเพื่อองค์ชายไม่น้อย ยืนหยัดอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้ององค์ชายโดยไม่กลัวว่าตนเองจะตกอยู่ในอันตราย ทุกคนในตำหนักบูรพาต่างเคารพนับถือในความมุ่งมั่นตั้งใจและคุณธรรมของนายท่านเจ้าค่ะ”

“มิน่าล่ะ ตอนที่อยู่ก่วงหลิงท่านพ่อถึงออกจากจวนไปนานโดยไม่ทิ้งคำพูดสักคำ ตอนกลับมาก็พาเขามาด้วย เดิมทีข้าก็นึกสงสัย ในเมื่อเป็นแค้นลึกราวกับทะเลเลือด จะถึงขั้นอยู่ห่างไกลบ้านเกิดได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังต้องปกปิดฐานะของตนเอง ที่แท้ ‘ท่านอา’ ที่เขาพูดถึงก็คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันนี่เอง” อวี๋ชิงจยาพูดพลางนึกถึงสิ่งต่างๆ มากขึ้น ราวกับช่องตาข่ายของแหปากหนึ่งเชื่อมต่อกับตาข่ายช่องแรก แล้วเบาะแสอื่นๆ ก็ทยอยปรากฏขึ้นมาทีละอย่าง

ไม่แปลกใจเลยที่ปีศาจจิ้งจอกวาจาไม่ธรรมดา พิณ หมาก อักษร ภาพวาด วิชาความรู้ รวมถึงการปกครองบ้านเมืองทั้งบุ๋นและบู๊ ซ้ำยังมีพรสวรรค์ทางดนตรีที่ไม่ธรรมดาอีก ความสามารถเช่นนี้ตระกูลแม่ทัพธรรมดาจะส่งเสริมได้รอบด้านหรือ ไม่แปลกที่หลังจากอวี๋ชิงจยาพบมู่หรงเหยียนแล้วจะช่วยเหลือและรับคนที่เพิ่งพบกันบนถนนได้ง่ายเป็นพิเศษ ไม่แปลกที่อวี๋ชิงหย่าจะจ้องมองนางด้วยแววตาอิจฉา ในโลกความฝัน อวี๋ชิงหย่าถึงกับวางยาพิษให้นางตายเพื่อตำแหน่งฮองเฮาตามที่ระบบกล่าว ไม่แปลกใจที่บิดารับมู่หรงเหยียนเข้าบ้านแล้วจะแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมต่อมู่หรงเหยียนอย่างสูง…

นางถึงกับคิดว่าอาจารย์ที่มีความสามารถไม่ธรรมดาเหล่านั้นในเมืองก่วงหลิง คงไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสือทั่วไปกระมัง อวี๋ชิงจยานึกถึงอวี๋เหวินจวิ้นที่ยัดเยียดให้นางเรียนขี่ม้ายิงธนูก็รู้สึกโกรธมาก ให้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนูอะไรกัน เกรงว่าคงเตรียมไว้ให้มู่หรงเหยียนเรียนมากกว่า อวี๋ชิงจยาก็คือผู้รับเคราะห์ที่มีคำว่า ‘ข้าโง่หลอกง่ายเป็นที่สุด’ เขียนตัวโตๆ อยู่บนหน้าผากนั่นเอง!

อวี๋ชิงจยายื่นมือไปกดหว่างคิ้ว ตอนนี้นางโกรธจนปวดศีรษะ นางสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วถาม “เจ้าบอกมาตามตรง ข้างกายข้ามีคนของเขากี่คนกันแน่ คนทำบัญชีที่ถูกอวี๋ชิงหย่าแย่งตัวไป รวมทั้งเจ้า ไป๋ลู่ อาจารย์สอนหนังสือ หรืออาจจะคนที่ท่านพ่ออ้างว่าเป็น ‘สหาย’ ที่พวกเราขออาศัยตอนอยู่เกาผิง นอกจากคนพวกนี้แล้วยังมีอีกกี่คน มีอยู่ในกลุ่มสาวใช้และบ่าวรับใช้ด้วยหรือไม่”

ไป๋หรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

อวี๋ชิงจยาเห็นการแสดงออกของไป๋หรงก็เข้าใจแล้ว “เจ้าไม่กล้าบอก แสดงว่ามีอีกสินะ และมีอยู่ไม่น้อยด้วย ดังนั้นตั้งแต่ตอนแรกๆ ทุกการกระทำของข้าจึงล้วนอยู่ภายใต้สายตาของเขา กระทั่งหลังจากที่เขาจากไปโดยไม่ลา ชีวิตความเป็นอยู่ของข้าเป็นอย่างไรสำหรับเขาคงรู้ได้ทะลุปรุโปร่ง ขอแค่เขาอยากรู้เสียอย่าง แค่ถามให้กระจ่างก็ได้แล้ว…ใช่หรือไม่”

ไป๋หรงถอนหายใจ แล้วโขกศีรษะให้อวี๋ชิงจยาเงียบๆ “คุณหนู ท่านอย่าถามเลยเจ้าค่ะ บ่าวพูดไปแล้ว องค์ชายก็คงไม่ละเว้นบ่าว หากบ่าวไม่พูด ท่านก็จะโกรธ องค์ชายก็ยิ่งไม่ละเว้นบ่าวแน่ ท่านโปรดให้บ่าวมีทางรอดด้วยเจ้าค่ะ”

อวี๋ชิงจยาใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มทีแล้ว นางกุมหน้าผากแล้วโบกมือเป็นเชิงไล่ไป๋หรงออกไป ไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไปแล้ว

ไป๋หรงเดินออกไปอย่างเงียบๆ และปิดประตูให้อวี๋ชิงจยาอย่างเบามือ หลังจากหมุนกาย นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเรียกองครักษ์เงาคนหนึ่งออกมาจากที่ลับตา “ถ่ายทอดข้อความถึงองค์ชาย บอกว่าคุณหนูหกโกรธแล้ว ไป๋หรงพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ ส่วนที่เหลือ…องค์ชายควรจัดการด้วยตนเอง”

 

อวี๋ชิงจยานั่งอยู่คนเดียวในห้องที่มืดทึม พอมองห้องแสนว่างเปล่าแล้วก็ให้โมโห ที่น่าโมโหกว่านั้นคือนางไม่รู้ว่าควรจะโกรธปีศาจจิ้งจอกหรือโกรธตัวนางเองดี ในอดีตนางฝันเห็นภาพในอีกหลายปีต่อมาจนเกิดความกลัวต่อหลางหยาอ๋องอย่างสุดซึ้ง กระทั่งตัวนางเองยังเคยบอกกับปีศาจจิ้งจอกว่าหลางหยาอ๋องเป็นคนโหดร้ายเย็นชา ที่สำคัญคือเขายังเห็นพ้องกับนางด้วย

นางนึกถึงคืนนั้นที่มู่หรงเหยียนเพิ่งมาที่จวนเจ้าเมือง ตอนที่พวกเขากินอาหารด้วยกัน อวี๋ชิงจยาหลุดปากว่า ‘สายเลือดของพวกเขามีปัญหาใช่หรือไม่’ ตอนนั้นนางประหลาดใจว่าเหตุใดอวี๋เหวินจวิ้นถึงได้ดูวิตกกังวลถึงเพียงนั้น แล้วจู่ๆ ไยถึงบอกนางว่า ‘คนโง่มีวาสนาของคนโง่’ ลองมาคิดดูตอนนี้ อวี๋ชิงจยาคือคนโง่ไม่ใช่หรือ นางถึงกับพูดต่อหน้าบุรุษที่ใจแคบที่สุดในราชวงศ์ว่าคนในตระกูลของพวกเขาเหมือนจะมีปัญหา

อวี๋ชิงจยารู้สึกว่าสมองของตนต่างหากที่มีปัญหา

คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งนางจะได้รู้ชื่อของปีศาจจิ้งจอกจากการต่อสู้กับทหารราชสำนัก ความจริงแล้วเขาไม่ใช่บุตรชายแม่ทัพที่ถูกผู้เป็นอาข่มเหง และไม่ใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ตระกูลตกต่ำ เขาคือหลางหยาอ๋อง บุตรชายคนเล็กสายตรงของรัชทายาทเฉิงเต๋อที่ฮ่องเต้ตามล่าสังหารทั้งในทางลับและทางแจ้งมาตลอดห้าปีก็ยังทำไม่สำเร็จ หลางหยาอ๋องมู่หรงเหยียนผู้ซึ่งจะรวมเหนือใต้เป็นหนึ่งเดียวในภายภาคหน้า กำจัดฮ่องเต้และสถาปนาตนขึ้นครองราชย์

เดิมทีอวี๋ชิงจยาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่ตอนเห็นฮองเฮาถูกวางยาพิษและสวรรคตไป ในที่สุดตอนนี้การคาดเดาอันเลือนรางในใจนางก็ได้รับการยืนยันในที่สุด อวี๋ชิงจยาทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ แต่ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย หากคนผู้นั้นคือปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นอวี๋ชิงจยาก็สามารถเข้าใจการกระทำอันโหดร้ายทั้งหมดที่หลางหยาอ๋องได้ทำหลังจากยึดอำนาจแล้ว

ถึงอย่างนั้นอวี๋ชิงจยาก็อดลอบขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ เหตุใดปีศาจจิ้งจอกต้องสังหารหมู่สกุลอวี๋ทั้งหมดด้วย ในครอบครัวมีเพียงอวี๋เหวินจวิ้นที่รอดชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะมองอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องปกติ อีกทั้งหลังจากที่เขากุมอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว ทั้งที่แก้ไขความอยุติธรรมและกุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือแล้วแท้ๆ ไฉนถึงกลายเป็นทรราชเผด็จการไปได้ แม้ว่ามู่หรงเหยียนจะเป็นคนไร้เมตตาและโหดเหี้ยมเพียงใด แต่เขาก็ไม่ใช่คนทำอะไรตามอำเภอใจ เขามักจะมีเหตุผลในการทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ แท้จริงแล้วในภาพฝันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ถึงสามารถทำให้เขาละทิ้งเหตุผลต่างๆ ถึงขั้นละทิ้งความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ และเลือกทำลายล้างชีวิตผู้คนตามอำเภอใจ

อวี๋ชิงจยาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นางถอนหายใจ เดิมคิดจะลุกขึ้นไปจุดตะเกียง แต่ขณะที่เดินไปถึงตรงหน้าต่าง นางกลับหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว และมองไปยังวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกคงกำลังล้อมตีวังหลวงอยู่สินะ ถึงรู้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาเล่า

สายตาของอวี๋ชิงจยามองไปที่ล่วมยา นับตั้งแต่ที่นางได้รู้จักกับมู่หรงเหยียน อวี๋ชิงจยาก็เรียนรู้วิธีพันแผลได้โดยไม่มีใครสอน ล่วมยากลายเป็นสิ่งจำเป็นในเรือนของนางไปแล้ว อวี๋ชิงจยามองดูมันครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงเบาๆ หันหน้าหนีแล้วเดินห่างออกมาอย่างไร้เยื่อใย

ตอนนี้เขาคือผู้นำกองทัพกบฏ คือหลางหยาอ๋องผู้ได้รับความจงรักภักดีจากคนนับหมื่น แค่เขาเป็นแผลที่มือหนึ่งรอยก็มีคนนับไม่ถ้วนคอยเป็นห่วงแล้ว ยังจะเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย

 

ภายในตำหนักหานหยวน ฮ่องเต้สวมชุดออกว่าราชการสีดำ นั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ คนผู้หนึ่งถูกโยนเข้ามาในตำหนักราวกับถุงกระสอบ ร่างไถลอยู่บนพื้นเป็นเวลานานจนกระทั่งกลิ้งมาถึงใจกลางตำหนักจึงค่อยหยุดลง เมื่อฮ่องเต้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แก้มก็กระตุกอย่างรุนแรง

“ขุนนางอิ่น!”

อิ่นอี้คุนจมูกเขียวหน้าบวม นอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตายตัวหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงของฮ่องเต้ก็ทั้งตกใจและหวาดกลัว ใช้ทั้งมือและเท้าคลานไปที่ฝ่าเท้าของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กองทัพกบฏบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้นำของพวกเขาคือ…คือ…”

“คือข้าเอง!”

ค่ำคืนอันมืดมิด คบเพลิงสว่างลุกโชน ส่องให้เห็นสีหน้าเย็นยะเยือกและท่าทีเคร่งขรึมชัดเจน เลือดและไฟส่องสะท้อนผสานกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด มู่หรงเหยียนค่อยๆ ก้าวเข้าตำหนักหานหยวนที่มีเลือดกระเซ็นอยู่ทั่วพื้น เรือนร่างจากที่มืดก้าวเดินเข้าสู่ที่สว่าง ปรากฏต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทีไม่รีบร้อน

มู่หรงเหยียนมองฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์แล้วหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง “ไม่ได้พบกันเสียนาน เสด็จอารอง”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: