X
    Categories: ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืนทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 130-131

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 130 จวิ้นอ๋อง

แก้มของฮ่องเต้เกร็งและมีอาการกระตุกอยู่เป็นครั้งคราว เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์ ชี้ไปที่มู่หรงเหยียนแล้วกล่าว “เป็นเจ้านี่เอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่”

“ใช่ ข้ายังมีชีวิตอยู่” ใบหน้าด้านข้างของมู่หรงเหยียนมีเลือดเปื้อนอยู่จางๆ ชุดเกราะสีเงินยวงมีเลือดสีแดงเปื้อนไปกว่าครึ่ง เขาเดินเข้าไปในตำหนักอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถึงแม้เขาจะมีใบหน้าโดดเด่น ทว่ายามนี้ทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทุกการเยื้องย่างคล้ายแผ่จิตสังหารออกมา สายตาแฝงไว้ด้วยความไม่แยแสและความแน่วแน่อันบ้าคลั่งอยู่รางๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่สังหารบิดาแล้ว มู่หรงเหยียนยังคงรักษาความสงบสุขุมเอาไว้ได้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่างาม “เสด็จอารอง การที่ไม่ได้ข้าฆ่าให้ตายเมื่อห้าปีก่อนถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของท่าน”

ฮ่องเต้จ้องมองมู่หรงเหยียนเขม็ง และยกมุมปากอย่างเย็นชา “หลานชายคนดี เราคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมเรียกเราว่า ‘เสด็จอารอง’ แล้วเสียอีก”

“ข้าไม่อยากเรียกจริงๆ” มู่หรงเหยียนพูดอย่างสงบ น้ำเสียงราวกับกำลังบอกว่าพรุ่งนี้จะมีฝนตกอย่างไรอย่างนั้น “แต่เพราะท่านไม่มีบุตรชายเยาว์วัยพอให้ข้าควบคุม ข้าจึงต้องปล่อยให้ท่านมีชีวิตอยู่มาสักระยะ หากเรียกท่านด้วยคำที่ตรงไปตรงมาเกินไปจะไม่ส่งผลดีต่อการกระทำต่อจากนี้ของข้า ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คำเรียกที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ได้อำนาจมา จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว เสด็จอารองคิดอย่างไร”

มู่หรงเหยียนไม่ปิดบังแผนการของตนเองแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้โกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก และกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิต “เจ้าเด็กบ้าบิ่น! มีแต่พวกโง่เขลาถึงไร้ความกลัว คนที่เจ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของเราด้วยซ้ำ คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเล่นงานเราได้จริงๆ หรือ ตอนนี้เจ้าแค่ชนะเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็กล้าโอหังถึงเพียงนี้แล้ว? ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า เห็นทีคงยากจะทำการใหญ่สำเร็จได้”

วาจาของฮ่องเต้นั้นดูถูกเหยียดหยามมู่หรงเหยียนอย่างยิ่ง ทหารหลายนายที่ติดตามมาตีเมืองได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกโกรธแทน ทว่ามู่หรงเหยียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะออกมา “เสด็จอารองพูดไม่ผิด ข้าอายุไม่มากเท่าท่านจริงๆ โชคดีที่ยังเป็นคนหนุ่ม ข้าคงจะอยู่ได้นานกว่าเสด็จอารองหลายปี…แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อถูกพูดต่อหน้าว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ฮ่องเต้ก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ที่ข้างเท้าของเขาคืออิ่นอี้คุนที่หมอบคู้อยู่ ใบหน้าอีกฝ่ายบวมช้ำและมีน้ำตานอง ฮ่องเต้จ้องมองมู่หรงเหยียนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่พูดจา

มู่หรงเหยียนเดินวนในตำหนักอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปมองฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้พบกันตั้งหลายปี เสด็จอารองดูสุขุมขึ้นมาก ท่านเจตนายั่วโทสะข้า แต่พอข้าพูดแล้ว ท่านกลับไม่โต้แย้งอะไรเลย เห็นทีท่านคงมั่นใจในทัพเสริมที่จิ้นหยางมากกระมัง”

ฮ่องเต้ตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อวานนี้เขาส่งคำสั่งลับไปที่จิ้นหยางให้เคลื่อนย้ายกองทัพ เมื่อคำนวณเวลาดู ตอนนี้คำสั่งลับน่าจะใกล้ไปถึงแล้ว จิ้นหยางมีกำลังทหารอันแข็งแกร่งแปดหมื่นนาย เป็นไปไม่ได้ที่มู่หรงเหยียนจะต้านทานกองกำลังใหญ่นั้นด้วยไพร่พลแค่สามหมื่นนาย ดังนั้นฮ่องเต้จึงแสร้งพูดเรื่องอื่นเพื่อถ่วงเวลาไว้ นี่คือไพ่ตายของเขา แต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกมู่หรงเหยียนเปิดโปง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ข้าไม่ใช่แค่รู้…” มู่หรงเหยียนโบกมือ แล้วกล่าวกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า “ทหาร นำจดหมายลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทมา”

ฮ่องเต้มองดูคำสั่งลับของตนถูกส่งกลับมาในสภาพเดิม มุมปากของเขากระตุกริกๆ ก่อนจะข่มกลั้นความโกรธไม่ไหวอีกต่อไป “มู่หรงเหยียน! เจ้า…”

แค่เพียงชั่วพริบตาเดียวฮ่องเต้ก็ฉุกคิดถึงบางสิ่ง และกล่าวออกมาด้วยสีหน้ากระจ่างแจ้ง “ใช่แล้ว เกิ่งตี๋ มิน่าเจ้าถึงกล้าล้อมตีเมืองเยี่ยเฉิงด้วยกำลังสามหมื่นนาย ที่แท้ทัพใหญ่สิบหมื่นในแนวรบตะวันตกก็ถูกเจ้ายึดเอาไว้แล้ว”

จิ้นหยางเทียบเท่ากับเมืองหลวงรอง มีทหารรักษาการณ์ที่แข็งแกร่ง รับผิดชอบในการปกป้องเมืองหลวง เมื่อเกี่ยวโยงถึงกองทัพของเกิ่งตี๋ จิ้นหยางก็กล้าส่งกำลังพลไปรบโดยง่าย แต่จิ้นหยางถือเป็นภัยคุกคามในการยึดบัลลังก์มาโดยตลอด หากไม่สามารถกำจัดจิ้นหยางลงได้ ต่อให้ฝืนตีเมืองเยี่ยเฉิงไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นมู่หรงเหยียนจึงต้องมีข้ออ้างที่น่าฟัง เช่นกำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท

สีหน้าของฮ่องเต้ดูไม่ได้อย่างยิ่ง มู่หรงเหยียนมองแผนของฮ่องเต้ออกตั้งแต่แรก ซ้ำยังดักคำสั่งลับของเขาไว้ โอกาสที่จะพลิกกระดานของฮ่องเต้จึงหมดสิ้นโดยสมบูรณ์ เมื่อฮ่องเต้นึกถึงสิ่งนี้ก็ฉีกความสัมพันธ์อาหลานลงโดยสิ้นเชิง แล้วมองไปที่มู่หรงเหยียนอย่างชั่วร้าย “เราดูแคลนเจ้าเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนหักหลังเราในที่ลับอยู่ไม่น้อย ขุนนางจอมปลอมพวกนี้ เราควรฆ่าพวกเขาเสียให้หมดตั้งแต่แรก มู่หรงเหยียน เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป วันนี้พวกเขาหักหลังเราได้ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะหักหลังเจ้าหรือไม่ วันนี้คือตาเรา พรุ่งนี้คือตาเจ้า”

“ขอบคุณเสด็จอารองที่ตักเตือน” มู่หรงเหยียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เสด็จอารองเป็นกังวลหรอก ตั้งแต่ที่เสด็จอารองขึ้นครองราชย์ก็ประพฤติตนขัดกับหลักคุณธรรมเรื่อยมา ความไม่พอใจของราษฎรท่วมท้น คาดว่าคงถูกขุนนางโฉดและคนถ่อยหลอกลวง เสด็จอารองถึงได้กระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น ขุนนางหลายคนไหว้วานข้ามาบอกเสด็จอารองว่าวอนเสด็จอารองโปรดขุนนางปราชญ์ ห่างไกลคนถ่อย เพื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงด้วย”

ฮ่องเต้มองมายังมู่หรงเหยียนที่อยู่เบื้องล่างอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “เสแสร้ง! เจ้าวางยาพิษในสุราของเรา ตอนนี้ยังแสร้งทำตัวเป็นหลานชายผู้มีคุณธรรมและความกตัญญูอีก เจ้าก็เหมือนกับบิดาไร้ประโยชน์ของเจ้า ตนเองไร้ความสามารถ เอาแต่ใช้ชื่อเสียงดีงามมาอำพรางความอับอายของตนเอง ช่างน่าขันสิ้นดี!”

เมื่อเอ่ยถึงรัชทายาท รอยยิ้มของมู่หรงเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตากลับคมกริบขึ้นมาทันที สุราพิษจอกนั้นมีที่มาจากยาพิษของระบบ มู่หรงเหยียนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถนัดเรื่องพิษมาปรับปรุงตัวยาให้เป็นพิเศษ พิษของระบบนั้นไร้สีไร้กลิ่น เวลาตายจะทรมานน้อยหน่อย แต่มู่หรงเหยียนอยากให้คนรู้ว่าฮ่องเต้ตายเพราะเหตุใด ที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ฮ่องเต้ตายอย่างรวดเร็วนั้นถือเป็นการช่วยให้เขาสบายเกินไป เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะวางยาพิษฮ่องเต้ แต่คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะมอบสุราพิษให้ฮองเฮา ทว่านั่นก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ความตายของฮองเฮาสามารถบรรลุผลของการข่มขู่ได้เช่นเดียวกัน ภายหน้ามีฮ่องเต้อยู่ในกำมือ มู่หรงเหยียนก็สามารถออกคำสั่งในนามของฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

ข้างนอกยังมีอีกหลายสิ่งที่มู่หรงเหยียนต้องไปจัดการอีก เขาไม่มีอารมณ์จะมาพัวพันกับขุนพลของกองทัพที่พ่ายแพ้ เขากวาดตามองไปยังฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบน ก่อนจะถอนสายตาออกไปอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้น “ที่ฝ่าบาทต้องตกอยู่ในสถานการณ์วันนี้ล้วนเป็นเพราะถูกขุนนางโฉดหลอกลวง คาดไม่ถึงว่าขุนนางโฉดจะละโมบมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับกระทำความผิดมหันต์ คิดจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ตอนนี้ฮองเฮาทรงถูกปลงพระชนม์ด้วยสุราพิษของอัครมหาเสนาบดีอิ่น ฝ่าบาททรงโชคดีรอดมาได้ แต่ก็ถูกขุนนางโฉดทำร้ายจนถึงรากฐาน ขุนนางประจบที่เป็นภัยต่อราษฎรและคิดก่อกบฏเช่นนี้สมควรถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นจริงๆ” มู่หรงเหยียนหันไปสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “พวกเจ้ายังมัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ยังไม่ลากตัวคนผู้นี้ออกไปให้พ้นพระพักตร์ฝ่าบาทอีก”

อิ่นอี้คุนกลัวจนขาสองข้างสั่นพั่บๆ มือและเท้าใช้การไม่ได้ จึงคลานไปข้างหลังฮ่องเต้อย่างหมดสภาพ และกอดชายเสื้อฮ่องเต้ไว้แน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมจงรักภักดีต่อพระองค์ พระองค์ต้องช่วยกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้มีความลำเอียงเข้าข้างอิ่นอี้คุนเสมอจนขุนนางคนอื่นๆ เกลียดคนผู้นี้แทบแย่แล้ว พวกเขาเฝ้ารอวันนี้มานาน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ยินคำสั่งจากมู่หรงเหยียน หลายคนจึงก้าวมาข้างหน้าในทันที ดึงแขนและขาของอิ่นอี้คุนราวกับที่คีบเหล็ก แล้วยกเขาออกไปข้างนอกราวกับหมูประหนึ่งสุนัข

ฮ่องเต้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออิ่นอี้คุน เขาเห็นดังนี้ก็คิดจะออกหน้าปกป้องอิ่นอี้คุน แต่กลับถูกกลุ่มคนของมู่หรงเหยียนเข้ามาขวางไว้ให้อยู่ด้านหลังอย่างแน่นหนา

อิ่นอี้คุนกลัวจนปัสสาวะรดกางเกงเปียกชุ่ม ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด ฮ่องเต้ได้ยินแล้วเจ็บปวดใจดั่งถูกมีดกรีดคว้าน หลังจากที่อิ่นอี้คุนถูกโยนไปข้างนอกตำหนักแล้ว ทหารนายหนึ่งก็เข้ามาขอคำแนะนำจากมู่หรงเหยียน “องค์ชาย ควรจัดการคนถ่อยไร้ยางอายผู้นี้อย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่ทัพผู้เฒ่าเกิ่งเกือบถูกเขาใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย กองทัพสกุลเกิ่งต้องลำบากเพราะเขาไม่น้อย เรียกทหารประจำสกุลเกิ่งมาสองสามนาย แล้วรุมสับเขาจนตายเสีย”

ทหารนายนั้นได้ยินแล้วดีใจอย่างยิ่ง ยกกำปั้นคารวะพร้อมขานรับเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ!”

ก่อนหน้านี้อิ่นอี้คุนได้ทำร้ายพลทหารจำนวนมาก แม้แต่เกิ่งตี๋ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งมีผลงานการรบเป็นที่ประจักษ์ มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายก็ยังถูกอิ่นอี้คุนวางอุบายทำร้ายได้ พอจะนึกไปถึงขุนนางคนอื่นๆ ได้ว่าย่อมถูกอิ่นอี้คุนเล่นงานด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างก็กัดฟันเคียดแค้นอิ่นอี้คุนมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อสบโอกาสแล้วก็มีทหารหลายนายในกองทัพยินดีให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าฮ่องเต้จะสาปแช่งและขัดขวางอย่างไรก็ล้วนไร้ผล

ฮ่องเต้หันหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว เพียงไม่นานก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากนอกประตูตำหนัก เสียงนั้นยิ่งร้องยิ่งฟังดูเวทนาขึ้นทุกครั้ง หลังจากเปล่งเสียงแหลมสูงครั้งหนึ่งในตอนสุดท้ายแล้ว เสียงร้องก็หายไป เหลือไว้เพียงความเงียบงัน

มู่หรงเหยียนเห็นสีหน้าของฮ่องเต้แล้วหัวเราะเบาๆ “เสด็จอารองดูคนเป็นต่อสู้กับเสือ ดูญาติพี่น้องเข่นฆ่ากันก็ยังไม่เห็นแสดงความอ่อนแอเลย เหตุใดวันนี้แค่ได้ยินเสียงร้องของอิ่นอี้คุน เสด็จอารองก็ทนฟังไม่ได้แล้วเล่า หลานเคยคิดว่าเสด็จอารองจะโปรดปรานสิ่งเหล่านี้เสียอีก เวลาลงโทษใครถึงได้ตั้งใจไม่ให้พวกเขาออกไปไกลนัก ทำไมล่ะ เสด็จอารองไม่ชอบหรือ”

มือของฮ่องเต้เส้นเลือดปูดขึ้น ดวงตามีหยาดน้ำเอ่อคลอ แววตาทั้งโศกเศร้าและมืดมน จ้องมองมู่หรงเหยียนอย่างอำมหิตราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกาย “เจ้าทำกับเราถึงเพียงนี้ เราจะรอดูจุดจบของเจ้า เจ้าจะต้องถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ผู้คนลุกฮือต่อต้าน คนข้างกายทรยศ ไม่ได้ตายดี!”

คำสาปแช่งเช่นนี้ร้ายแรงพอสมควร พวกฉางต้าคิดจะเข้ามาโต้แย้งทันที แต่มู่หรงเหยียนโบกมือปรามไว้ เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย “ข้าก็รู้สึกว่าคนอย่างข้าหาจุดจบที่ดีได้ยาก แต่น่าเสียดาย เสด็จอารองคงไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”

มู่หรงเหยียนหมุนกายและเดินไปข้างนอก เดินไปพลางพูดไปพลาง “คนทรยศสร้างความวุ่นวาย จับโอรสสวรรค์เป็นตัวประกัน บัดนี้ถูกสังหารในที่เกิดเหตุแล้ว ทว่าพวกเรามาถึงช้าไปก้าวหนึ่ง ฝ่าบาทโชคร้ายถูกคนทรยศทำร้ายบาดเจ็บ”

ทันทีที่มู่หรงเหยียนจวนจะออกไป เสียงของฮ่องเต้ที่เจือด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งก็ดังมาจากบัลลังก์อันว่างเปล่า “หลายปีมานี้เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ ใครเป็นคนช่วยเหลือเจ้ากัน!”

มู่หรงเหยียนหยุดเดิน ริมฝีปากยิ้มอย่างเยาะหยันดูแคลน สุดท้ายก็เก็บความรู้สึกบนหน้าลงไปแล้วสาวเท้าออกจากตำหนักอย่างไม่ไยดี

หลังจากออกมา ผู้สอดแนมคนหนึ่งก็ตามมาอยู่ด้านหลังมู่หรงเหยียนแล้วกระซิบบอกว่า “องค์ชาย ไป๋หรงฝากข้อความมาพ่ะย่ะค่ะ”

“ไป๋หรง?” สีหน้าของมู่หรงเหยียนจริงจังขึ้นมาทันที เขาถาม “นางฝากข้อความอะไรมา”

“นางบอกว่า ‘คุณหนูหกโกรธแล้ว ไป๋หรงพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ ส่วนที่เหลือ…องค์ชายควรจัดการด้วยตนเอง’ พ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคนี้ไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่มู่หรงเหยียนเข้าใจในทันที ก่อนหน้านี้ถึงเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสื้อเกราะเปื้อนไปด้วยเลือด ใบหน้าก็ไม่เผยความเหนื่อยล้าออกมา ยังคงรักษาท่าทางสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ เลือดที่เต็มพื้นและศัตรูที่พ่ายแพ้ก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย ทว่าในยามนี้แค่ได้ฟังข้อความอันไร้ต้นสายปลายเหตุนี้แล้วกลับทำให้น้ำแข็งในใจของมู่หรงเหยียนละลาย รอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งปรากฏบนริมฝีปาก “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้”

ผู้สอดแนมเพิ่งจะเดินออกไปได้สองก้าว ก็ถูกมู่หรงเหยียนเรียกเอาไว้ทันที “กลับมา”

“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”

“นางส่งข้อความมาเมื่อไร”

“ยามซวีเมื่อคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ยามซวีเมื่อคืนนี้ นั่นก็แสดงว่านางโกรธมาทั้งคืนแล้ว มู่หรงเหยียนครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองผู้สอดแนมด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปได้แล้ว ต่อไปถ้ามีข่าวเช่นนี้ให้มารายงานทันที”

ผู้สอดแนมไม่กล้าหายใจแรง เขากลั้นหายใจกล่าว “น้อมรับพระบัญชา”

ชาวเมืองเยี่ยเฉิงผ่านค่ำคืนอันอกสั่นขวัญหายมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือชาวบ้านก็ล้วนจ้องประตูเรือนโดยไม่ละสายตา ไม่มีใครกล้านอนหลับสักเท่าไร

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น มีการแจ้งจากราชสำนักว่าจะมีการออกว่าราชการเช้าตามปกติ

ในช่วงออกว่าราชการเช้า เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊เงยหน้าขึ้นไปเห็นบัลลังก์ที่ว่างเปล่า บุรุษร่างสูงชะลูดผู้หนึ่งสวมชุดออกว่าราชการสีนิลประจำตำแหน่งจวิ้นอ๋องยืนอยู่เบื้องหน้าสุดของตำหนักหานหยวนด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่นานข่าวที่ว่าอัครมหาเสนาบดีกระทำความผิดถูกประหารชีวิต ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถปกครองได้ จึงมอบหมายให้หลางหยาอ๋องบุตรชายสายตรงของอดีตรัชทายาทออกว่าราชการแทน ก็กระจายไปทั่วเมืองหลวง

 

ภายในเรือนของอวี๋ชิงจยา เหล่าบ่าวรับใช้ได้ยินข่าวว่าหลางหยาอ๋องทำหน้าที่ปกครองแคว้นแทนฮ่องเต้ มีหลายคนตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องนี้ พูดคุยเกี่ยวกับข่าวของจวิ้นอ๋องหนุ่มผู้นี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

พวกหญิงสาวจับกลุ่มกันพูดคุย อวี๋ชิงจยาเพียงฟังอย่างเดียว ไม่ร่วมวงสนทนาด้วย ไป๋หรงแอบชำเลืองมองอวี๋ชิงจยา เห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของคุณหนูตนแล้ว ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกผิด นางไล่สาวใช้รุ่นเล็กที่ส่งเสียงดังออกไปแล้วยกน้ำชาถ้วยหนึ่งมาให้อวี๋ชิงจยาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะเจ้าคะ”

อวี๋ชิงจยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”

“ไม่มีอะไรจะพูดกับนาง เช่นนั้นคงมีอะไรจะพูดกับข้า” ประตูถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ เงาร่างสีดำยืนอยู่ตรงประตู เหลือบมองไป๋หรงอย่างเรียบเฉย “ออกไป”

บทที่ 131 นามของข้า

ครั้นเห็นผู้มาเยือน ไป๋หรงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ท่าทางคล้ายไม่รู้ว่าควรวางมือและเท้าไว้ที่ใด หลังจากที่ตั้งสติได้นางก็รีบรวบชายชุดและคุกเข่าลง “องค์ชาย”

ไป๋หรงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าสาวใช้ที่พูดคุยเล่นอยู่ตรงประตูเมื่อครู่นี้ถูกมู่หรงเหยียนไล่ตะเพิดออกไปตั้งแต่เมื่อไร ทันใดนั้นภายในห้องก็เหลือเพียงมู่หรงเหยียนและอวี๋ชิงจยายืนอยู่สองคน กระดิ่งลมที่มุมชายคาส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง คนทั้งสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ในห้อง อีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างเงียบๆ

มู่หรงเหยียนก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ดวงตาของเขาจ้องมองอวี๋ชิงจยาอยู่ตลอดราวกับบริเวณอื่นคือความว่างเปล่าสำหรับเขา มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าวกับไป๋หรงที่อยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง “ออกไป”

ไป๋หรงจับชายกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืนทันที นางย่อกายคารวะอวี๋ชิงจยาและมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นถอยออกไปด้วยก้าวเล็กๆ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็วราวกับฝึกฝนมาหลายครั้งหลายหน หลังจากที่ไป๋หรงจากไปแล้ว ประตูห้องก็ถูกปิดลง แสงสว่างในห้องจึงน้อยลงไปมากในทันที

มู่หรงเหยียนหยุดห่างจากอวี๋ชิงจยามาสองก้าว เขาเอื้อมมือไปวางลงบนแก้มของอวี๋ชิงจยา ดวงตาดำเข้มจับจ้องผิวหนังทุกส่วนของนาง “จยาจยา ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

นี่คือครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกันนับตั้งแต่ที่มู่หรงเหยียนจากไปโดยไม่บอกลาเมื่อเดือนแปดปีที่แล้ว เดิมอวี๋ชิงจยาไม่คิดจะให้อภัยเขาง่ายๆ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้ว น้ำตาของนางก็แทบรินไหลออกมา อวี๋ชิงจยาเม้มริมฝีปากไว้ แล้วเบี่ยงหน้าหลบมือของมู่หรงเหยียน แต่หลังจากหลบมือเขาอยู่หลายครั้งนางก็พบว่าสลัดออกไปไม่ได้เสียที นางจึงทำได้เพียงหันหลังให้มือของมู่หรงเหยียนแล้วพยายามจ้องมองพื้น “ไม่ได้เจอกันนานอะไรกัน หม่อมฉันไม่เคยรู้จักหลางหยาอ๋องมาก่อน หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านอ๋องตรัสถึงเรื่องใด”

อวี๋ชิงจยาหลบหน้า ไม่ยอมมองมู่หรงเหยียนอย่างแน่วแน่ เดิมนางคิดว่าน้ำเสียงและท่าทางของตนนั้นดูห่างเหินมากพอแล้ว แต่นางหารู้ไม่ แม้คำพูดนี้นางจะพยายามควบคุมน้ำเสียงอย่างเต็มที่เพียงใด แต่หางเสียงก็ยังมีความน้อยอกน้อยใจและเกี่ยงงอนออกมาอยู่ ซึ่งคล้ายมีมือเข้าไปสะกิดในหัวใจอีกฝ่าย

มู่หรงเหยียนมองใบหน้าด้านข้างของนางอยู่นาน ก่อนจะกางแขนสองข้างออก แล้วกอดนางไว้แนบแน่น “จยาจยา ข้าคิดอยู่หลายครั้งว่าข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”

อวี๋ชิงจยาตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขา นางรอคอยเขาอย่างอดทนได้ แต่ไม่อาจทนต่อการหลอกลวงได้แล้ว นางรู้ว่าเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเขาแตกต่างจากคำโกหกตอนพวกเขาเดินทางกลับเหยี่ยนโจวและตอนอยู่ที่จวนสกุลอวี๋อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่มู่หรงเหยียนรู้ดีว่านางหวาดกลัวหลางหยาอ๋องเพียงใด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับไม่ยอมบอกอะไรนางเลย ตรงส่วนนี้ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย

ในขณะที่มู่หรงเหยียนโอบกอดนาง พละกำลังที่แขนของเขาเยอะมากจนสัมผัสถึงอาการสั่นของเขาได้รางๆ ราวกับอยากออกแรงมากกว่านี้แต่ก็ไม่กล้าออกแรงจริงๆ พยายามควบคุมจนทำอะไรไม่ถูก เสื้อผ้าของเขาใหม่เอี่ยมทั้งหมด แต่บนตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่จางๆ แสดงว่าเขาไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตัวก็เปลี่ยนเสื้อมาหานางทันที เพราะรู้ว่านางไม่ชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน จึงตั้งใจเปลี่ยนเสื้อที่เปื้อนเลือดออก ทั้งที่อุตส่าห์เปลี่ยนเสื้อแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่ถือโอกาสอาบน้ำและพักผ่อนไปเสียเลย

อวี๋ชิงจยากัดริมฝีปากแล้วหันหน้าหลบไปทางขวาอย่างแรง เป็นเพราะนางออกแรงมากเกินไป ต้นคอจนถึงกระดูกไหปลาร้าของนางจึงยืดออกจนเผยให้เห็นเส้นโค้งอันงดงามและเรียวยาว มู่หรงเหยียนตัวสูงกว่านางมาก เขาเอาแขนโอบไหล่ของนาง ใบหน้าด้านข้างก็แนบชิดกับต้นคอของนาง เขาหลับตาแล้วโอบกอดนางอยู่เป็นเวลานาน

สุดท้ายอวี๋ชิงจยาก็ทนไม่ไหว นางขยับไหล่ดิ้นเล็กน้อย ทว่ากลับถูกมู่หรงเหยียนกอดกระชับแน่นในทันที อวี๋ชิงจยาทำได้เพียงผลักไหล่เขาอย่างเย็นชา “ถอยออกไป” หลังจากพูดจบ อวี๋ชิงจยาก็รู้สึกตัวว่าตนเป็นฝ่ายพูดก่อนเท่ากับแพ้ จึงตั้งใจกล่าวเสริมอีกประโยค “ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นใครกัน”

มู่หรงเหยียนเอาหน้าซุกคอของนางแล้วหัวเราะเบาๆ ลมหายใจรินรดปลายหูของอวี๋ชิงจยา ทำให้นางรู้สึกจักจี้ “เจ้าไม่รู้จักหรือ พระชายาของข้าดูท่าจะความจำไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่เป็นไร หลังพวกเรากลับบ้านแล้วยังมีเวลา ข้าจะเล่าเรื่องในอดีตของพวกเราซ้ำอีกรอบ ถ้าหนึ่งรอบไม่พอก็ซ้ำอีกสองรอบสามรอบ พระชายาก็จะจดจำทุกอย่างได้เองไม่ช้าก็เร็ว”

อวี๋ชิงจยาใบหูแดงก่ำ นางทุบหลังของเขาแรงๆ “ยืนดีๆ สิ ใครคือพระชายาของเจ้ากัน ไม่สิ ใครตกลงว่าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าจะไม่…”

อวี๋ชิงจยาพูดยังไม่ทันจบ ร่างก็เสียการทรงตัวกะทันหัน นางสะดุ้งตกใจและส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับโอบกอดคอของมู่หรงเหยียนไว้แน่นตามสัญชาตญาณ

มู่หรงเหยียนช้อนตัวอวี๋ชิงจยาขึ้นมาอุ้มแล้วนางวางลงบนโต๊ะข้างๆ พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อวี๋ชิงจยาเอามือยันโต๊ะไม้ไว้คิดจะลุกขึ้นมา แต่กลับถูกมู่หรงเหยียนขัดขวาง นางจำต้องเอนตัวไปข้างหลัง สันจมูกของเขาสัมผัสปลายจมูกอวี๋ชิงจยา ดวงตาดำสนิททำให้คนรู้สึกอันตรายอย่างอธิบายไม่ถูก “จะไม่อะไร”

เดิมอวี๋ชิงจยาต้องการพูดว่า ‘จะไม่แต่งงานกับคนที่หลอกลวงข้า’ แต่เมื่อนางมองเห็นดวงตาของมู่หรงเหยียนในเวลานี้ กลับไม่สามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ นางนึกถึงคำพูดของไป๋หรง เมื่อห้าปีก่อนตำหนักบูรพาหลั่งโลหิตดั่งสายธาร มู่หรงเหยียนสูญเสียญาติมิตรรวมทั้งฐานะภายในชั่วข้ามคืน ถึงแม้เขาจะไม่เคยพูดออกมาก่อน แต่ความจริงแล้วเขากลัวการสูญเสียมาก

เดิมทีเขาคือคนโปรดแห่งสวรรค์และเป็นจุดสนใจของฝูงชน ต่อมากลับต้องปกปิดตัวตนและลบร่องรอยการมีอยู่ของตนเอง เขาคือผู้ที่ได้รับความสูญเสียมากที่สุด ว่าไปแล้วการที่มู่หรงเหยียนปิดบังตัวตนของเขา ความผิดไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ฮ่องเต้

อวี๋ชิงจยาสบตากับเขาอยู่นาน สุดท้ายก็แค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง หันหน้าไปอีกด้านหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าจะสนใจว่าข้า ‘จะไม่อะไร’ ไปเพื่ออันใด”

อวี๋ชิงจยาดันหน้าอกของมู่หรงเหยียน ทว่าออกแรงดันอยู่หลายครั้งก็ผลักเขาไม่สำเร็จสักหน จึงถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง “ยังไม่ถอยออกไปอีก!”

มู่หรงเหยียนมองดูดวงตาที่เปียกชื้นของอวี๋ชิงจยา ขนตาเรียวยาว และสังเกตสีหน้าของนางขณะถลึงตาใส่เขาอย่างละเอียด ในที่สุดก็อดยิ้มไม่ได้ เขาช้อนหลังของอวี๋ชิงจยาแล้วอุ้มนางขึ้นมา แต่ไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมกอด ยังคงโอบนางไว้ในอ้อมแขนและกระชับแขนไว้แน่น “ขออภัยด้วยสำหรับเรื่องที่ผ่านมา ข้ารับปากว่าจะไม่หลอกเจ้าอีก เจ้าอยากรู้เรื่องของข้ามานานแล้ว แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าเองถึงไม่ยอมบอกเจ้าเสียที”

ร่างกายของอวี๋ชิงจยาค่อยๆ คลายจากท่าทีขืนตัว นางหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบา “แล้วตอนนี้เล่า ข้ารอถึงวันที่เจ้าจะเต็มใจบอกความจริงกับข้าแล้วหรือยัง”

ตอนยังอยู่ที่เหยี่ยนโจว เมื่ออวี๋ชิงจยาเพิ่งพบว่ามู่หรงเหยียนเป็นบุรุษ นางนั่งถักปมอยู่หน้าโต๊ะ เคยกล่าวพึมพำก่อนนอนโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ‘ข้ารอวันที่เจ้าเต็มใจบอกข้าอยู่’

พวกเขาสองคนทะเลาะกันมาโดยตลอด มู่หรงเหยียนเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ไม่ยอมพูดดีๆ เสียที อวี๋ชิงจยาก็อายเกินกว่าจะสารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปตรงๆ มู่หรงเหยียนพลันนึกถึงเรื่องราวในความฝันขึ้นมา ในความฝันนั้นเขาจากไปโดยไม่กล่าวลา มักจะคิดเสมอว่ารอให้เขาล้างแค้นศัตรูคู่อาฆาตและได้ทุกสิ่งกลับคืนมาแล้วค่อยบอกความจริงกับอวี๋ชิงจยา แต่จนกระทั่งเขากลับมา นางก็ไม่อยู่รอเขาแล้ว

การพลาดโอกาสเพียงชั่วครู่คือพลาดไปตลอดชีวิต หากเขาซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนเองได้มากกว่านี้ พวกเขาจะพลัดพรากจากกันได้หรือ ตอนที่อวี๋ชิงจยาตายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ทุกครั้งที่ตกอยู่ในความฝันนี้ มู่หรงเหยียนจะบังคับให้ตนเองตื่นขึ้นมาแล้วบอกกับตนเองว่านี่เป็นเพียงความฝัน แต่เขากลัวว่าจะสูญเสียอวี๋ชิงจยามากจริงๆ จึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยครั้ง ทว่าความเจ็บปวดในอกที่แทบจะชาหนึบไปถึงหัวใจบอกกับเขาว่าไม่ใช่…นี่ไม่ใช่ความฝัน

เขาเคยสูญเสียอวี๋ชิงจยามาก่อนจริงๆ

มู่หรงเหยียนกระชับอ้อมแขน มารดาของเขาคือพระชายารัชทายาท เช่นเดียวกับฮูหยินตระกูลสูงศักดิ์ทุกคน พระชายารัชทายาทนั้นงดงามและมีเกียรติ แต่ไม่เคยเอื้อมมือไปกอดบุตรชายของตนเองแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนรัชทายาทก็ต้องไปมาหาสู่กับขุนนาง ต้องคอยเป็นห่วงชีวิตราษฎร ต้องถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก คนผู้นั้นเป็นรัชทายาทที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับมู่หรงเหยียนแล้ว อีกฝ่ายไม่นับว่าเป็นบิดาที่ดีอย่างแน่นอน

มู่หรงเหยียนไร้ความห่วงใยมาตั้งแต่เกิด ซ้ำยังรู้สึกว่าพวกคนที่เจตนาสร้างความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบิดามารดาล้วนเป็นคนโง่เขลา เขาไม่ต้องการความรักจากบิดามารดา เวลาต่อมาเมื่อทั้งตำหนักบูรพามีเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงความรู้สึกระหว่างเครือญาติ บิดามารดาของเขาปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ เป็นรัชทายาทและพระชายารัชทายาทที่ทุกคนคาดหวัง แต่ไม่ใช่สามีภรรยา มู่หรงเหยียนไม่เคยเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างใกล้ชิดจากบิดามารดา การทรยศจากคนใกล้ชิดในเวลาต่อมายิ่งกลายเป็นมีดคมที่ทิ่มแทงชีวิตเขา ดังนั้นเมื่อมู่หรงเหยียนได้พบกับสิ่งที่งดงาม อาการตอบสนองแรกคือการสงสัย การหยั่งเชิง และลงเอยด้วยการทำลายอยู่เสมอ

มู่หรงเหยียนคิดอยู่เสมอว่าความจริงพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่อวี๋ชิงจยายังอยู่เคียงข้างเขา เขาก็มีเวลามากพอให้พิสูจน์ตนเอง แต่การสูญเสียอันเจ็บปวดรวดร้าวในความฝันได้บอกเขาทุกอย่าง ความปากไม่ตรงกับใจของเขาทำให้ต้องสูญเสียอวี๋ชิงจยาไปตลอดกาล

มู่หรงเหยียนกระชับวงแขนโดยไม่รู้ตัว เขารู้ว่าเป็นเช่นนี้อาจจะทำให้อวี๋ชิงจยาเจ็บ แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขากอดนางแน่น พยายามควบคุมแรงตนเองอย่างสุดกำลัง “จยาจยา ตราบใดที่เป็นเจ้า ข้าก็ยินดีทำทุกอย่าง ข้าเต็มใจที่จะบอกเจ้าเสมอ เพียงแต่ครั้งที่แล้วเจ้าหลับไป ตอนนี้ข้าจะบอกให้เจ้าฟังใหม่อีกครั้ง รุ่นของพวกข้าคือตัวอักษรธาตุไม้ ข้าบรรดาศักดิ์หลางหยา นามคำเดียวว่า ‘เหยียน’ ”

อวี๋ชิงจยาดวงตาชุ่มชื้นโดยไม่รู้ตัว นางรีบกะพริบตาเพื่อให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป “ได้สิ มู่หรงเหยียน ข้าจำไว้แล้ว ข้าเคยบอกว่าหลางหยาอ๋องรูปโฉมงดงาม ตอนนั้นเจ้ายังหัวเราะเยาะข้าอยู่เลย”

มู่หรงเหยียนยิ้มตาม อุ้มนางขึ้นมาทั้งตัวแล้วพาหมุนวนบนพื้นอย่างช้าๆ “หากเจ้าอยากจะมองข้า ไม่จำเป็นต้องแอบมองในงานเลี้ยงหรอก”

ร่างของอวี๋ชิงจยาลอยอยู่กลางอากาศ นางโอบกอดมู่หรงเหยียนไว้แน่น ชายกระโปรงของนางบานออกเป็นชั้นๆ กลางอากาศราวกับกลีบดอกไม้ อวี๋ชิงจยาทั้งโกรธทั้งขบขัน จึงอดทุบแผ่นอกของมู่หรงเหยียนไม่ได้ “ปล่อยข้าลงก่อน ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

เขาจะยินยอมได้อย่างไร แต่ในเมื่ออวี๋ชิงจยายืนกรานแล้ว เขาจึงทำได้เพียงปล่อยนางลงบนตั่งอย่างตัดใจไม่ลง เมื่ออวี๋ชิงจยากลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง นางก็เขยิบตัวหนีทันที ให้อยู่ห่างจากมู่หรงเหยียนสักหน่อย

มู่หรงเหยียนนั่งลงบนตั่งอย่างไม่รีบร้อน เพียงยื่นแขนออกไปก็สามารถคว้าร่างอวี๋ชิงจยากลับมาได้แล้ว

อวี๋ชิงจยาถูกดึงกลับมาก็ให้รู้สึกจนใจ นางพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง พบว่านางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังต้านทานพละกำลังหนึ่งในสิบส่วนของมู่หรงเหยียนไม่ได้ อวี๋ชิงจยาจึงได้แต่ยอมแพ้ ปล่อยให้มู่หรงเหยียนกอดไว้ในอ้อมอกเช่นนั้น นางจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยแล้วถาม “หลังจากที่เจ้าจากไป เจ้าสบายดีหรือไม่”

มู่หรงเหยียนโอบอวี๋ชิงจยาด้วยมือข้างหนึ่งพลางใช้มืออีกข้างหนึ่งเล่นนิ้วมือของนางอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินคำถาม มู่หรงเหยียนก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ไม่ดีเลย”

“หืม?”

มู่หรงเหยียนกระชับนิ้วมือ กุมฝ่ามือของอวี๋ชิงจยาไว้แน่น “ทุกวันที่จากเจ้าไป สำหรับข้าแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง”

จู่ๆ ปีศาจจิ้งจอกก็เริ่มพูดจาหวานซึ้งขึ้นมา อวี๋ชิงจยารู้สึกไม่ค่อยคุ้นชิน นางขยับไหล่อย่างอึดอัดแล้วกล่าว “ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่ ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้วว่าข้าจะรอเจ้า”

เว้นเสียแต่นางจะตาย…

มือของมู่หรงเหยียนพลันกำแน่น เขาไม่กล้าจินตนาการว่าถ้าหากเรื่องราวในความฝันกลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาจะทำอะไร มู่หรงเหยียนกอดอวี๋ชิงจยาไว้แน่น วางคางลงบนศีรษะของนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับทอดถอนใจ “พวกเราตกลงกันไว้แล้ว เจ้าห้ามไปจากข้า แม้ว่าจะตายก็ตาม”

อวี๋ชิงจยากลอกตาใส่เขาอย่างรังเกียจ “อย่าพูดคำไม่เป็นมงคลเช่นนี้ คำพูดมีพลังนะ อย่าเอาแต่พูดคำว่า ‘ตาย’ อยู่บ่อยๆ”

“ได้” มู่หรงเหยียนเอาคางถูกับผมของนาง แล้วกล่าวเสียงเบา “อย่าขยับ ให้ข้ากอดเจ้าสักพักหนึ่งเถิด”

อวี๋ชิงจยารู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อของมู่หรงเหยียนก่อนหน้านี้ที่กำลังเกร็งเขม็ง จนถึงตอนนี้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว นางอดนึกถึงกลิ่นสนิมเหล็กบนตัวเขาไม่ได้ เมื่อวานนี้มีเสียงฆ่าฟันตลอดทั้งคืน เขาที่จัดการเรื่องภายในวังคงจะผจญอันตรายและเหน็ดเหนื่อยกายมากเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็มีฝนตกติดต่อกันครึ่งเดือน เขาใช้แผนซ้อนแผนจับกุมก่วงผิงอ๋องท่ามกลางสายฝน ทั้งยังนำทัพบุกโจมตีฝ่าฝน เกรงว่าไม่ได้พักผ่อนดีๆ อย่างน้อยครึ่งเดือน

อวี๋ชิงจยาค้นพบว่าคนผู้นี้มักมีวิธีที่ทำให้นางใจอ่อนยวบเสมอ ทั้งที่พูดไว้แล้วว่าจะไม่ให้อภัยเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามราวกับไม่มีอยู่จริงตรงหน้า อวี๋ชิงจยาก็โกรธไม่ลง แม้ว่านางยังนึกรังเกียจรังงอนอยู่ แต่ร่างกายไม่ขยับแม้แต่น้อย เพื่อให้เข้ากับความสูงของมู่หรงเหยียน นางยังแอบยืดเอวให้มู่หรงเหยียนเกยศีรษะของนางได้อย่างสบาย อวี๋ชิงจยาเอ่ยถาม “ในเมื่อเจ้าก็คือหลางหยาอ๋อง มีครั้งหนึ่งข้าเคยพูดถึงหลางหยาอ๋องกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงแสดงท่าทีแย่ถึงเพียงนั้น ยังหาว่าหลางหยาอ๋องเป็นคนแปลกหน้าด้วย”

จนถึงตอนนี้อวี๋ชิงจยายังจำได้ว่านางเคยพูดว่าหลางหยาอ๋องจะรวมเหนือใต้เป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต มู่หรงเหยียนดูแคลนอย่างยิ่ง ไปๆ มาๆ สรุปว่านั่นก็คือตัวเขาเอง

“ใครให้เจ้าพูดถึงชายอื่นต่อหน้าข้า”

อวี๋ชิงจยาตกตะลึงอย่างยิ่ง “อะไรนะ”

“ตอนนั้นเจ้าไม่รู้ว่าข้าคือหลางหยาอ๋อง เจ้าประเมินเขาต่อหน้าข้า เป็นการพูดเยินยอชายอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ”

อวี๋ชิงจยาเงียบขรึมไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “ความคิดของเจ้าไม่ถูกต้องนัก เจ้ายังจะแข่งขันกับตนเองอย่างหน้าตาเฉยได้อีก”

มู่หรงเหยียนหัวเราะเยาะเบาๆ ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง เขากอดนางเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วถามโพล่งขึ้นมา “พวกเราสัญญากันไว้แล้ว รอถึงวันที่ข้าบอกชื่อกับเจ้า เจ้าก็จะบอกความลับของเจ้ามา ตอนนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของข้าเล่า?”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: