บทที่สอง
ยามบ่ายในวันหนึ่ง หลังจากเฟิงจงตื่นนอน ในถ้ำก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเกรียมของเนื้อย่าง
นางลุกขึ้นนั่ง เห็นกองไฟเหลือเพียงควันลอยวนอ้อยอิ่ง ชิ้นเนื้อที่วางพาดอยู่ด้านบนมีน้ำมันไหลเยิ้มน่ากิน เจ้าหนูนั่นนั่งพิงผนังถ้ำอยู่ ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ มือซึ่งวางอยู่บนหัวเข่าเดิมทีมีแผลเก่าที่ยังไม่หายดี ยามนี้ยังมีแผลใหม่สีแดงฉานเพิ่มมาอีก คาดว่าคงเกิดจากถูกไฟลวกตอนย่างเนื้อในช่วงหลายวันมานี้
เฟิงจงหยิบชิ้นเนื้อมากิน ขณะเคี้ยวไปทีละคำ ดวงตาก็เหลือบมองมือที่บาดเจ็บของเขาเป็นพักๆ
เนื้อเถาอู้ไม่นับว่าเอร็ดอร่อยนัก ทว่าสัตว์อสูรชนิดนี้เป็นถึงหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล ที่มีระดับสติปัญญาไม่เบา การกินเนื้อของมันช่วยในการเพิ่มพูนปราณวิเศษได้ เมื่อกินมากเข้าก็ทำให้นางรู้สึกหายใจคล่อง และมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม
นางเช็ดๆ มือแล้วเดินไปหาเซวียนชิง จากนั้นก็คว้ามือที่บาดเจ็บของเขามาเลียหนึ่งที
เซวียนชิงพลันสะดุ้งตื่น นางจึงสะบัดมือของเขาทิ้งไปทันใด “ข้าแค่ทดสอบพลังวิเศษดูว่าเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่ก็เท่านั้น”
เซวียนชิงก้มหน้าลงพลิกฝ่ามือดู เขาเห็นว่าบาดแผลเริ่มสมานตัวแล้ว
“ดูเหมือนจะได้ผลนะ” เฟิงจงชำเลืองไปเบื้องนอกก่อนเอ่ยต่อ “วันนี้นับว่าอากาศดี เจ้าก็ช่วยข้าออกไปหาของมาสักหน่อยแล้วกัน”
เห็นนางจะใช้วิชาหุ่นเวทอีกแล้ว เซวียนชิงจึงทอดถอนใจ รีบเอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้า…ข้าไปเองก็ได้”
สิ่งที่เฟิงจงจะให้เขาไปหาก็คือเถาวัลย์ แม้ในถ้ำจะมีอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว แต่ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ เถาวัลย์ชนิดนี้มีพลังชีวิตอันกล้าแข็ง เติบโตอยู่ในสถานที่ซึ่งมนุษย์น้อยคนจะไปถึง ยิ่งเถาวัลย์มีอายุเก่าแก่ก็จะยิ่งมีความเหนียวทนทานเพิ่มมากขึ้น ทว่าสถานที่อันตรายเหล่านั้นนางไม่อาจไปถึงเองได้ จึงมีแต่ต้องอาศัยพลังของเทพเซียนแล้ว
เซวียนชิงร่ายอาคมขนย้ายเถาวัลย์ชนิดนั้นมาได้กองโต ทว่าในถ้ำไม่พอวางจึงได้แต่สุมไว้ในหุบเขาเบื้องล่างแทน นับแต่นั้นมาทุกวันนอกจากกินดื่มกับนอนพักแล้ว เฟิงจงก็มีเรื่องให้ทำเพิ่มมาอีกอย่าง นั่นคือลงไปในหุบเขาเพื่อจัดการกับเถาวัลย์
พูดให้ตรงยิ่งขึ้นก็คือ…เซวียนชิงต่างหากที่เป็นคนจัดการ ส่วนนางเพียงแค่ออกคำสั่ง
สุดท้ายเถาวัลย์เหล่านี้ก็ถูกพลังอาคมสานขึ้นเป็นกรงทรงกระบอกขนาดใหญ่ยาวใบแล้วใบเล่า กรงเหล่านี้ด้านหน้ามีปากกว้าง ด้านหลังปากแคบ ตรงปากขอบทั้งหน้าและหลังล้วนรวบปิดได้เช่นเดียวกับที่ดักปลา
“เจ้าจะจับปลาหรือ” เซวียนชิงรู้สึกว่ากรงเถาวัลย์ที่ใหญ่โตปานนี้เอาไปใช้จับคุน ได้ด้วยซ้ำ
“ข้าก็อยากใช้จับปลาอยู่หรอกนะ แต่ก็ต้องมีปลาให้ข้าจับด้วยสิ” พอเฟิงจงทำมุทรา เซวียนชิงก็พานางทะยานร่างขึ้นไปทันที
คราวนี้ถึงกับเหาะไปยังจุดที่พบกับเถาอู้ในวันนั้นอีกครั้ง
ขณะตัดผ่านแอ่งลาดต่ำแห่งนั้น เฟิงจงก็พบว่าที่ก้นแอ่งยังคงมีน้ำอยู่ นางจึงมุ่งหน้าต่อไปทางด้านหลังของต้นไม้ที่มีสภาพร่อแร่ไม่กี่ต้นนั้น ยิ่งนางเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นได้ว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้ามีความชุ่มชื้น บางจุดถึงกับมีผืนหญ้าขึ้นอยู่เล็กน้อย
คราก่อนที่เจ้าหนูหุ่นเวทชักนำสัตว์อสูรมาที่นี่ นางก็เดาว่าละแวกนี้คือถิ่นของพวกมัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าข้างหน้าจะต้องมีต้นน้ำอยู่แน่นอน ขอเพียงฆ่าสัตว์อสูรที่นี่ไปให้หมด นางก็จะชิงเอาต้นน้ำกับไม้ผลในละแวกใกล้เคียงนี้กลับคืนมาได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฝึกพลังเทพของนางด้วย เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
เฟิงจงสั่งการให้เซวียนชิงนำกรงไปวางเรียงชิดกันในละแวกใกล้ๆ นี้ ส่วนนางก็วนเวียนอยู่แถวๆ กรงเหล่านั้น
เมื่อก่อนไม่ว่านางพำนักอยู่ที่ใด เพียงไม่นานก็จะมีสัตว์อสูรมาหาเสมอ นางนึกมาตลอดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ จวบจนเห็นสายตาของเถาอู้ตัวนั้นเอาแต่จับจ้องนาง ถึงค่อยตระหนักได้ว่าปราณวิเศษในเลือดของนางอาจดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรให้เข้ามาก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้จริง อีกไม่นานก็คงมีสัตว์อสูรถูกดึงดูดมาตรงนี้อีก
ในที่สุดเซวียนชิงก็มองเป้าหมายของนางออกกระจ่างแจ้ง “อยู่ดีๆ เจ้าจะดักสังหารสัตว์อสูรเหล่านี้ไปทำอะไร”
หรือว่าเสพติดเนื้อเถาอู้แล้ว?
เฟิงจงเอ่ย “นี่เป็นขั้นแรกในการฟื้นฟูพลังเทพของข้า เจ้าแค่คอยทำตามก็พอ”
วิธีบำเพ็ญตนของมหาเทพบรรพกาลอาจค่อนข้างแปลกพิสดารกระมัง เซวียนชิงถอนหายใจ “เกรงว่าสัตว์อสูรละแวกนี้คงจะมีไม่น้อย” ความนัยที่จะสื่อก็คือเขาคงต้องเหนื่อยแรงมากทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรามีกรงตั้งหลายกรง”
เซวียนชิงพูดไม่ออก
เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานก็มีสัตว์อสูรปรากฏตัวขึ้น…นั่นคือโห่ว* ตัวหนึ่งซึ่งเดินอ้อมมาจากด้านข้างด้วยท่าทางเย็นชาเปี่ยมด้วยความน่าสะพรึงกลัว ตัวของมันคล้ายอาชาทว่ามีเกล็ดสีขาวหิมะตลอดทั้งร่าง
นี่ก็เป็นสัตว์อสูรที่กินมนุษย์เช่นกัน เฟิงจงสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางขยับฝีเท้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พลันมุดพรวดเข้ากรงไป
พอเห็นนางขยับเท้า โห่วก็ไล่กวดมา พุ่งศีรษะเข้ากรงตามนางมาติดๆ
เซวียนชิงรีบร่ายอาคมสกัดทางด้านหน้าและหลังของมันไว้ โห่วที่ติดอยู่ในกรงไม่ว่าจะรุกหรือถอยล้วนยากลำบาก ขณะที่มันแผดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เฟิงจงก็ฉวยจังหวะนี้มุดออกมาทางช่องเล็ก เซวียนชิงจึงร่ายอาคมรวบปากทางทั้งสองด้านของกรงให้ปิดสนิททันที
เฟิงจงเพิ่งจะโล่งอกก็พลันได้ยินเสียงคล้ายทารกร่ำไห้ดังขึ้นเหนือศีรษะ พอช้อนตาขึ้นมอง สาวน้อยก็เห็นกู่เตียว ตัวหนึ่งกำลังยื่นกรงเล็บอันแหลมคมโฉบลงมาหานาง เกรงว่ามันคงจ้องรอจะซ้ำเติมอยู่นานแล้ว
สัตว์อสูรเขาเดียวที่มีจะงอยปากยาวตัวนี้จะเป็นวิหคก็มิใช่ จะเป็นเสือดาวก็ไม่เชิง ยามอยู่บนฟ้าเป็นสัตว์ปีกนักล่า ครั้นร่อนลงพื้นก็กลายเป็นสัตว์บกที่ดุร้าย
เฟิงจงเพียงขยับฝ่าเท้าเล็กน้อยก็มุดเข้าไปในกรงอีกใบ กู่เตียวถลาไล่มาอย่างรีบร้อน มันไม่ทันหุบสองปีกทำให้ไม่อาจตามเข้าไปได้ ทำได้แต่ยื่นจะงอยปากอันคมกริบพยายามไล่จิกตาม แต่ก็ถูกเซวียนชิงที่รุดมาถึงใช้หนึ่งกระบี่ฟันปีกขาดไปครึ่งซีก ตามด้วยถีบอีกหนึ่งเท้าส่งมันเข้ากรงไป เฟิงจงจึงรีบทำตามวิธีเดิม มุดออกมาทางช่องเล็กแล้วสั่งให้เซวียนชิงรวบปิดผนึกปากทางทั้งสองด้าน
ไม่ว่าเป็นสัตว์อสูรแบบใด ขอเพียงติดอยู่ในกรงแล้วก็รับมือได้ง่ายดายยิ่ง หากจะกำจัดก็ยิ่งง่ายประดุจพลิกฝ่ามือ
เมื่อประเดิมศึกแรกด้วยชัยชนะ เฟิงจงก็ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ระหว่างทางที่ขี่หลังเซวียนชิงกลับ นางจึงเกาะเกี่ยวลำคอของเขาพลางคลี่ยิ้มหน้าบานอย่างหาได้ยาก “เจ้าดูสิ เจ้ากับข้าร่วมมือกันได้ดีแค่ไหน เจ้ายังจะเป็นจะตายให้ได้ไปทำไมกัน”
เซวียนชิงจนปัญญายิ่งนัก…แม้ในใจขมขื่นเพียงใดก็ไม่อาจพูดออกมาได้
วิธีการพวกนี้ทำออกมาได้ง่ายไม่ซับซ้อนเลย โดยเฉพาะใช้รับมือกับสัตว์อสูรเหล่านั้น เรียกได้ว่าจู่โจมร้อยครั้งก็เข้าเป้าร้อยครั้ง เพื่อการนี้เฟิงจงถึงขั้นคิดค้นเครื่องมือขึ้นมาอีกสารพัดอย่าง โดยพุ่งเป้าไปที่สัตว์ปีกกับสัตว์บก
จากนั้นมา ทุกวันของเซวียนชิงก็เปลี่ยนเป็นปรนนิบัติเฟิงจงกินดื่มนอนพัก…ทำกรงเถาวัลย์…และล่าสัตว์อสูร
ส่วนเรื่องที่เฟิงจงต้องทำกลับมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นก็คือ…สั่งการเซวียนชิง
จนกระทั่งต่อมาสัตว์อสูรที่ล่ามาได้นั้นมีจำนวนมากจนไม่มีที่ให้เก็บแล้ว เฟิงจงก็ยังอุตส่าห์เสาะหาถ้ำภูเขาเย็นๆ นำพวกมันไปเก็บตุนไว้เป็นเสบียงสำรองอีก
“ถ้าอย่างไรวันพรุ่งนี้ลองผัดดูบ้างดีหรือไม่ เอาไปนึ่งก็เข้าทีเหมือนกันนะ!” เย็นนี้นางถึงกับเริ่มสั่งอาหารล่วงหน้า ทั้งที่ในมือยังชูเนื้อที่เพิ่งย่างเสร็จอยู่แท้ๆ
“ข้าทำไม่เป็นหรอก”
เฟิงจงถอนหายใจ “เรื่องแค่นี้บรรดาเทพเซียนน้อยอย่างพวกเจ้าก็ทำกันไม่เป็นแล้วหรือ”
เซวียนชิงถูกต่อว่าเสียจนผุดสีหน้ากระดากอาย ในใจยิ่งขมขื่นเป็นเท่าทวี
ผ่านไปสิบกว่าวัน บริเวณนั้นก็ไม่พบเจอสัตว์อสูรให้ล่าอีก เฟิงจงคาดเดาว่าพวกมันคงถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว จึงเรียกเซวียนชิงไปสำรวจหาต้นน้ำด้วยกัน
เซวียนชิงโอบนางเหาะมองจากที่สูง ทุกสิ่งเบื้องล่างล้วนเห็นชัดถนัดตา เลยจากแอ่งลาดต่ำแห่งนั้นไป รอยแตกระแหงของพื้นดินที่แห้งผากก็ค่อยๆ จางหาย เริ่มมีแต้มสีเขียวขจีกระจายอยู่บ้างประปราย ถัดจากนั้นก็เห็นต้นไม้ทีละสองสามต้น ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำแว่วมาเข้าหู
ทั้งสองมุ่งไปตามเสียงของน้ำแล้วร่อนลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง รอบด้านมีต้นไม้ที่เรียกชื่อไม่ถูกขึ้นอยู่หลายต้น ใต้ฝ่าเท้ามีหญ้าสีเขียวที่แผ่ขยายออกไปกอแล้วกอเล่า บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามเป็นธารน้ำตกที่ไหลลงมาประหนึ่งแถบผ้าไหมสีขาว แม้ไม่เชี่ยวกรากแต่ก็รินไหลลงสู่เบื้องล่างไม่ขาดสายจนกลายเป็นบึงลึกแห่งหนึ่ง
เฟิงจงซอยเท้าวิ่งตรงไป แล้วย่อกายลงวักน้ำขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียว พาให้นางรู้สึกแสนจะชุ่มฉ่ำชื่นใจ “ที่นี่ดียิ่งนัก พวกเราสร้างเรือนลงหลักปักฐานกันที่นี่เลยดีกว่า!”
หัวไหล่ของเซวียนชิงลู่ตกลงทันใด…นี่ข้าต้องตัดไม้มาสร้างเรือนด้วย?!
เฟิงจงไม่ได้เห็นน้ำมากเช่นนี้มานานแล้ว สาวน้อยจึงนั่งยองเล่นน้ำอยู่ที่ริมบึง ครึ่งวันก็ยังไม่อาจตัดใจย้ายร่างไปที่อื่นได้ กระทั่งชายเสื้อถูกน้ำกระเซ็นจนชุ่มแล้วก็ยังไม่ใส่ใจ นางยังเอ่ยกับเซวียนชิงว่า “เจ้าขึ้นไปดูบนยอดเขาทีนะว่าปลอดภัยหรือไม่”
เมื่อได้รับคำสั่งจากนาง ร่างกายของเซวียนชิงก็ทะยานสวนทางกับน้ำตกขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง ทว่าขณะจะร่อนลงบนยอดเขาแล้วนั้น จู่ๆ พลังเทพก็ใช้หมดไปเฉยๆ เขารีบถลาลงบนยอดเขาอย่างลนลาน หวุดหวิดจะล้มคะมำ
เฟิงจงที่อยู่ด้านล่างไม่ทันเห็นความผิดปกตินี้เลยสักนิด ขณะที่เซวียนชิงตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬโซมกาย เขาก็ต้องรีบเพ่งฌานสำรวจอาการของตนเองทันที
การรุกทำลายดวงจิตของตะปูตรึงวิญญาณไม่เคยหยุดยั้งสักชั่วขณะเดียว แม้จะอาศัยโลหิตของเฟิงจงต่อชีวิตไปได้เรื่อยๆ ทว่านานวันเข้าก็มีแต่จะเป็นภาระของกันและกันเสียมากกว่า เขาเองก็ใกล้จะประคองร่างนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
ในสายลมอบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวาน เซวียนชิงเงยหน้ามองไปก็พบว่าบนยอดเขาแห่งนี้มีหญ้าสีเขียวกับพุ่มไม้เตี้ยๆ จำนวนหนึ่ง ใจกลางมีสายธารตัดผ่าน ทอดยาวต่อเนื่องจนจรดขอบผาแล้วไหลลงไปเป็นน้ำตก ต้นไม้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวบนยอดเขานี้ก็เติบโตอยู่ริมธารน้ำนี่เอง ลักษณะของมันแปลกอัศจรรย์ยิ่ง ถึงกับเป็นสีแดงเพลิงทั้งต้น บนยอดกิ่งออกผลอยู่หลายพวง
รอจนเดินไปพิจารณาดูใกล้ๆ ก็พบว่าน้ำที่รินไหลอย่างสงบพลันปรากฏฟองอากาศพ่นขึ้นมาเป็นพรวนยาวสายหนึ่ง ผิวน้ำก็สั่นกระเพื่อมนิดๆ คล้ายมีตัวอะไรบางอย่างกำลังขู่คำรามอยู่ข้างใต้
เซวียนชิงถอยหลังไปสองก้าว ครั้นดูต้นไม้ต้นนั้นอย่างละเอียดอีกครั้งก็พลันตระหนักได้…นี่ถึงกับเป็นต้นฉยงซัง!
ในใจเขากระตุกวูบ ฉับพลันก็คิดวิธีที่จะกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดได้แล้ว
ยามที่เซวียนชิงกระโดดลงมาในหุบเขา เฟิงจงก็กำลังเด็ดผักป่าอยู่ที่ริมบึง เด็ดอยู่พักใหญ่แล้วกลับได้มาแค่หยิบมือเล็กๆ เท่านั้น ทว่าหากเปรียบกับพื้นที่รกร้างแห่งอื่นแล้ว ที่นี่ก็เรียกว่าแปลงผักได้เลยทีเดียว
พอเห็นเซวียนชิงกลับลงมา นางก็ยื่นผักป่าขยุ้มนั้นส่งให้เขา “กลับไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ ข้าหิวแล้ว”
เซวียนชิงกำลังอารมณ์ดี เขาจึงโอบเฟิงจงทะยานฝ่าสายลมกลับไปโดยไม่ต้องให้นางสั่งด้วยวิชาหุ่นเวท
เฟิงจงประหลาดใจที่เขาดูว่าง่ายถึงเพียงนี้ จึงจงใจเกาะแขนเขาไว้แล้วค่อยๆ ไถตัวขึ้นไปบนหลังของเขา “รอก่อน ข้าจะเปลี่ยนท่าหน่อย”
เซวียนชิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงกับยังช่วยหนุนส่งนางอีกแรง เรือนร่างของสาวน้อยช่างนิ่มนุ่มยิ่งนัก แม้กางกั้นด้วยอาภรณ์สวรรค์อยู่หนึ่งชั้นก็คล้ายกับยังสัมผัสได้ถึงความนวลเนียนของผิวกาย
เฟิงจงฟุบอยู่บนแผ่นหลังของเขาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสยิ่ง ช่วงนี้เจ้าหนูนี่ไม่ได้คิดอยากตายอีก ยามนี้ยังให้ความร่วมมืออย่างดีเช่นนี้ คาดว่าต่อไปจะต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวเป็นแน่แท้
ยามเย็นหลังกินอาหารเสร็จ ขณะที่นางกำลังเก็บข้าวของในถ้ำเพื่อเตรียมตัวย้ายบ้าน นางก็สอบถามเซวียนชิงถึงสภาพบนยอดเขา
เซวียนชิงนั่งขัดสมาธิบอกนางว่า “วันนี้ข้าเห็นต้นฉยงซังอยู่บนยอดเขา ทั้งยังออกผลแล้วด้วย”
สองตาของเฟิงจงเบิกกว้างทันใด “จริงหรือ!”
เซวียนชิงผงกศีรษะ “ขอเพียงมนุษย์ได้กินผลของต้นฉยงซังก็จะมีอายุขัยเสมอฟ้า พลังเทพของเจ้ามิใช่จะฟื้นฟูสำเร็จได้ในวันเดียว หากปล่อยเวลาไปยาวนาน อายุขัยของมนุษย์ก็ยากที่จะรอคอยได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับเจ้าพยายามมาอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ”
เฟิงจงเริ่มรู้สึกหวั่นไหวจึงไม่มีแก่ใจมาเก็บข้าวของอีก นางถามย้ำอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “นั่นใช่ต้นฉยงซังแน่หรือ เจ้าไม่ได้ดูผิดไปกระมัง”
เซวียนชิงหยิบใบไม้ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เพียงสะบัดมือเบาๆ ใบไม้ก็ลอยละลิ่วมาถึงตรงหน้าเฟิงจง “หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูใบไม้นี้ได้ว่าใช่ใบของต้นฉยงซังหรือไม่”
เฟิงจงรับใบไม้มาพลิกกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ…เป็นใบของต้นฉยงซังจริงเสียด้วย!
เซวียนชิงโน้มกายมาเบื้องหน้าเล็กน้อย “วันพรุ่งนี้พวกเราไปเด็ดผลฉยงซังมาสักหน่อยดีหรือไม่”
เฟิงจงขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่ดีหรอก สถานที่ที่มีต้นฉยงซังเติบโตอยู่จะต้องมีฉยงฉี เฝ้าพิทักษ์อยู่แน่นอน ฉยงฉีเป็นถึงหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล แม้แต่พลังของเถาอู้ยังเทียบไม่ได้กับฉยงฉี และที่ยุ่งยากที่สุดก็คือมันชอบกินดวงจิตของเทพเซียน หากถูกมันโจมตี ดวงจิตจะหลุดออกจากร่างได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นก็จะถูกมันฉวยโอกาสเขมือบกลืนลงท้องไป ต่อให้คิดช่วยก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นมนุษย์ที่มีแค่สามวิญญาณเจ็ดจิต ผิดกับเจ้าที่มีดวงจิตของเทพ มันย่อมจะพุ่งเป้าโจมตีเจ้าเป็นหลัก เพิ่งจะเก็บชีวิตน้อยๆ ของเจ้ากลับมาได้ อย่าไปเสี่ยงเลยดีกว่า”
เซวียนชิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าเพิ่งตื่นจากนิทราได้ไม่นาน คงยังไม่รู้ว่าฉยงฉีถูกสังหารไปนานแล้ว ฉยงฉีในยามนี้เป็นเพียงดวงวิญญาณที่ได้แต่สิงสู่อยู่ในน้ำ พลังฤทธิ์น้อยกว่ากาลก่อนมากนัก นี่จึงเป็นโอกาสงามที่หาได้ยากในรอบพันปี”
เฟิงจงหลุบคิ้วครุ่นคิด นางยังลังเลใจอยู่บ้าง ช้อนตาขึ้นเพ่งมองเขา “เหตุใดเจ้าคิดอ่านเพื่อข้าถึงเพียงนี้เล่า”
เซวียนชิงรู้อยู่แล้วว่าเฟิงจงจะไม่ถูกตบตาง่ายดายปานนั้น เขาจึงนั่งชี้แจงอย่างสงบเสงี่ยม “แน่นอนว่าข้าเองก็มีเงื่อนไข หากข้าช่วยให้เจ้าได้ผลฉยงซัง วันหน้าเมื่อเจ้าฟื้นฟูพลังเทพแล้วก็ต้องช่วยให้ข้าคืนสู่สภาพเดิมด้วย” เขากวาดตาชำเลืองใต้เอวของตนเองปราดหนึ่ง ในใจแสนจะกระอักกระอ่วนจนใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลังครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เฟิงจงก็พลันขยำใบไม้นั้นจนเป็นก้อนพลางเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นแค้น “เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็ไปลองดูกันเถอะ!”
สถานที่ดีๆ ที่นางอุตส่าห์ลงแรงไปมากมาย ทว่าสุดท้ายกลับไปอยู่อาศัยไม่ได้เช่นนี้ จะไม่ให้นางรู้สึกโมโหได้อย่างไรกัน
วันรุ่งขึ้นทั้งสองออกเดินทางแต่เช้ามืด ผืนฟ้ายังคงไร้แสงสว่าง นับแต่สัตว์อสูรลดน้อยลง รอบด้านก็สงบเงียบขึ้นมาก เหลือเพียงเสียงสายลมไล้ผ่านต้นไม้ดังซ่าๆ เท่านั้น
เมื่อเฟิงจงร่อนลงบนยอดเขาก็เห็นต้นฉยงซังสีแดงเพลิงต้นนั้นในปราดเดียว กลิ่นหอมของมันกำจายไปทั่วทิศ แทบทำให้หัวใจของนางเร่าร้อนดั่งอัคคีแล้ว
ถึงกับให้ข้ามาพบต้นฉยงซังซึ่งหมื่นปีจะออกผลสักครั้งเช่นนี้ นี่ต้องเป็นลิขิตของมหาเทพหนี่ว์วาเป็นแน่! ขอบคุณมหาเทพหนี่ว์วา! ขอสรรเสริญมหาเทพหนี่ว์วา! เฟิงจงเกือบจะหลุดเสียงโห่ร้องยินดีออกมาอยู่แล้ว
เซวียนชิงออกนำไปก่อน เขาบุกไปถึงใต้ต้นฉยงซังแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังคงไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
เฟิงจงจึงวางใจเดินตามไปยืนอยู่ริมธารน้ำที่ไหลระเรื่อย บนผิวน้ำซึ่งกว้างไม่ถึงหนึ่งจั้งนี้มีฟองอากาศผุดขึ้นมาเป็นระยะ คล้ายมีบางสิ่งเคลื่อนไหวเบาๆ อยู่ในน้ำ จึงก่อเกิดเป็นวงกระเพื่อมแผ่ออกไปวงแล้ววงเล่า ชั่วครู่ให้หลังก็ปรากฏบัวสีแดงดอกหนึ่งลอยขึ้นจากน้ำช้าๆ ดูงามละลานตายิ่งนัก
สาวน้อยประหลาดใจยิ่ง จึงโน้มร่างลงไปใกล้โดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นแขนของนางก็ถูกกระตุกรั้งไว้อย่างแรง นางพลันสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ครั้นมองไปที่ผิวน้ำอีกครา ยังจะมีบัวแดงอันใดอยู่อีก เห็นชัดว่านั่นคือปากสีโลหิตที่กำลังอ้ากว้าง มิหนำซ้ำขาดอีกเพียงไม่กี่ชุ่นก็จะงับศีรษะของนางอยู่แล้ว
ทันทีที่เซวียนชิงดึงเฟิงจงถอยปราดไปโดยเร็ว สิ่งที่อยู่ในน้ำก็โผล่พรวดออกมา มันมีสีดำทะมึนราวกลุ่มหมอกกลางอากาศ จากนั้นก็แปรสภาพเป็นสัตว์ร่างใหญ่ในพริบตา กางสองปีกบินฉวัดเฉวียนวนอยู่สองรอบ รูปกายที่แลคล้ายโคถึกนั้นปกคลุมด้วยขนที่มีลักษณะดั่งคมเข็ม ตลอดร่างเป็นสีแดงเพลิง สองตาเป็นประกายสีแดง เพียงสิ้นเสียงคำรามแหลมหนึ่งหน มันก็โฉบพุ่งลงมาหาผู้บุกรุกทั้งสอง นี่ต้องเป็นดวงวิญญาณของฉยงฉีอย่างไม่ต้องสงสัย
เซวียนชิงรีบผลักเฟิงจงออกห่างแล้วเสกกระบี่ออกไปต้านขวางไว้ แต่จู่ๆ พลังเทพพลันขาดหายไปอีกแล้ว ตัวกระบี่สลายวับไปทันตา เขาพลาดเป้า หน้าอกจึงถูกหนึ่งกรงเล็บตะปบเข้าตรงๆ เนื้อพลันเหวอะหวะ เลือดนองผสมเคล้ากัน ร่างปลิวกระเด็นไปไกลลิบ ดวงจิตแทบจะถูกฟาดหลุดออกมา อึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าเขาจะได้สติขึ้นมา ในหูได้ยินเฟิงจงร้องเรียกเขาอยู่ข้างๆ เสียงนั้นค่อยๆ เปลี่ยนจากแผ่วเบาเป็นดังก้องชัดเจน ทว่าเขากลับไม่อาจขยับตัวได้เลย
ขณะที่ฉยงฉีพุ่งเข้ามารอบสอง ร่างกายของเซวียนชิงก็พลันเคลื่อนไหวได้เอง เขากระโจนหลบไปด้านข้างแล้วเอามือหยัดพื้นหอบฮัก รอดพ้นหนึ่งกรงเล็บนั้นไปได้อย่างฉิวเฉียด
เฟิงจงโล่งอก ยังดีที่นางใช้วิชาหุ่นเวทกระตุ้นได้ทันท่วงที หากดวงจิตของเขาถูกฟาดออกมา เป็นได้ถูกฉยงฉีเขมือบกลืนในคำเดียวแน่ เช่นนั้นชีวิตเขาก็จบสิ้นแล้ว
“เจ้าเป็นอะไรไป หากไม่ไหว วันนี้ก็พอแค่นี้เถอะ” นางได้เห็นสถานการณ์เมื่อครู่นี้แล้ว จึงออกความเห็นพลางวิ่งห่างออกมา
“ข้าไม่เป็นไรหรอก” เซวียนชิงหยัดกายยืนขึ้นแล้วถอยหลังตามไปช้าๆ
พอเห็นเขามีท่าทีจะล่าถอยแล้ว ฉยงฉีจึงบินวนหนึ่งรอบก่อนจะผลุบลงน้ำไปตามเดิม มีเพียงแค่ศีรษะโผล่อยู่เหนือน้ำ ทั้งยังแผดเสียงคำรามลั่น ขู่ขวัญไม่ให้คนแปลกหน้าย่างกรายเข้ามาใกล้
ต้นฉยงซังที่อยู่ด้านข้างถูกพลังคำรามของมันสะเทือนจนสั่นไหวอย่างรุนแรงหลายครั้ง ทว่าผลบนต้นกลับมั่นคงไม่ร่วงหล่นเลยสักนิด เฟิงจงมองดูจนว้าวุ่นใจ ข้าต้องการแค่ผลเดียวเท่านั้น แค่ผลเดียวก็เพียงพอแล้ว จำเป็นต้องหวงถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
“นี่!” นางเรียกความสนใจของเซวียนชิง พอส่งสายตาให้เขาเสร็จ ตนเองก็หลบเลี่ยงไปไกลๆ หมายจะตีวงอ้อมหลังฉยงฉีไปทางต้นฉยงซัง
ถึงอย่างไรฉยงฉีก็เป็นดวงวิญญาณ ไม่เหมือนกับเถาอู้ มันจึงหลบเลี่ยงพลังวิเศษที่เปี่ยมล้นด้วยปราณชีวิตบนร่างของเฟิงจงอย่างเต็มที่ และด้วยเหตุนี้เองสายตาของมันจึงจ้องเขม็งไปยังเซวียนชิงที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ฟันอันคมกริบถึงกับมีน้ำลายยืดย้อยกว่าสามฉื่อทีเดียว
พลังเทพของเซวียนชิงฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว ในมือจึงเสกกระบี่ออกมาอีกครา เขาเดินวนเวียนไปมาช้าๆ คุมเชิงกับมัน ขณะที่สายตาก็เหลือบมองท้องฟ้าเป็นระยะ
เหตุที่ฉยงฉีหลบซ่อนอยู่ในน้ำเป็นเพราะหวาดกลัวแสงแดด อย่างช้าอีกหนึ่งเค่อ ดวงตะวันก็จะเผยออกมา เขารู้เรื่องนี้กระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้านี่เหลือแค่ดวงวิญญาณแล้วก็ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หรือในน้ำจะมีอะไรเสริมพลังมันอยู่?
ตอนนี้ทางด้านเฟิงจงได้เดินอ้อมวงใหญ่ไปอยู่ด้านหลังของฉยงฉีแล้ว นางเดินเลียบไปตามเส้นทางน้ำไหลจนเข้าไปใกล้ต้นฉยงซังอย่างช้าๆ ขณะที่เห็นว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว ฉยงฉีซึ่งจับจ้องเบื้องหน้าอยู่ตลอดพลันหันขวับกลับมา มันกระโจนขึ้นจากผิวน้ำพุ่งปรี่มาทันทีด้วยอาการเดือดดาลอย่างยากระงับ
เฟิงจงรีบตั้งสติ นางกัดนิ้วมือให้เป็นแผลแล้วสะบัดไปข้างหน้าโดยไม่รั้งรอ พอหยดโลหิตร่วงหล่นอยู่เบื้องหน้าสายตา ปราณชีวิตก็แผ่กำจายออกไปรอบด้าน ฉยงฉีที่ถูกคุกคามต้องถอยออกไปเล็กน้อย มันเปล่งเสียงคำรามต่ำพลางเดินวนไปเวียนมาไม่หยุดอย่างแสนจะหงุดหงิด
ขาดอีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เฟิงจงยังไม่ยอมถอดใจ นางขยับเท้าหมายจะฉวยช่องว่างนี้ประชิดไปที่ข้างต้นไม้ให้ได้ ฉยงฉีเห็นเช่นนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงกับพุ่งเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก ท่าทางของมันราวกับเสียสติคิดแลกชีวิตให้ตายตกกันไปข้างหนึ่ง
เฟิงจงไม่ได้ใช้วิชาหุ่นเวทแต่อย่างใด ทว่าเบื้องหน้าสายตากลับเห็นเงาร่างสีขาวปรากฏวาบขึ้น หุ่นเวทได้มาขวางอยู่เบื้องหน้านางแล้ว และเขาก็ถูกโจมตีในทันที เสียงครางแผ่วในลำคอเกิดขึ้นเพียงหนเดียว ก่อนที่ร่างของเขาจะกระเด็นออกไปอย่างแรง
ฉยงฉียังไม่คลายโทสะ แยกเขี้ยวคมหมายจะขย้ำใส่เฟิงจงต่อ ทว่าทันใดนั้นเสียงครืนครั่นก็ดังขึ้นบนฟ้า คล้ายกับมีรถม้าห้อตะบึงผ่านมา จากนั้นชั้นเมฆก็แหวกออก เปิดทางให้ดวงตะวันฉายรัศมีลงมาในทันที
พอฉยงฉีถูกแสงแดดสาดส่องก็แผดเสียงร้องต่อเนื่องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายบิดงอเต้นเร่าๆ พลางลนลานหนีไปทางริมน้ำ กระนั้นมันก็ยังไม่วายอ้าปากสีโลหิตขนาดมหึมาเขมือบกลืนต้นฉยงซังลงไปทั้งต้น ก่อนที่จะกระโจนลงน้ำหายไปไม่เห็นตัวอีก
เฟิงจงรีบคลานลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ข้างกายเซวียนชิง นางป้อนเลือดให้เขาก่อนหนึ่งคำ ครั้นเห็นเลือดบนร่างเขาค่อยๆ หยุดไหล ปากแผลเริ่มสมานตัวแล้ว นางถึงค่อยวางใจลงได้บ้าง ตบเบาๆ ไปที่ใบหน้าของเขาก่อนเอ่ยถาม “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
ทว่านางไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
เฟิงจงรู้สึกได้แล้วว่ามีความผิดปกติ สองตาของเขาแม้ยังเปิดอยู่ ทว่ากลับเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวา นางรีบยื่นมือโบกไปมาเบื้องหน้าดวงตาของเขา แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดเลยสักนิด หัวใจของนางพลันเย็นเฉียบไปแล้วครึ่งดวง นางยื่นนิ้วมือไปตรวจสอบบนกะโหลกศีรษะของเขา
เขา…ได้กลายเป็นสังขารที่กลวงเปล่าแล้วดังคาด
เรื่องที่นางเป็นกังวลยังคงเกิดขึ้นจนได้ ฉยงฉีฟาดดวงจิตของเขาหลุดออกไปแล้วจริงๆ ทว่าดวงจิตของเทพเซียนหาใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถมองเห็นได้ ดังนั้นฉยงฉีกลืนกินดวงจิตเขาลงไปเมื่อไรนางก็ไม่รู้แน่ชัด
ดวงจิตหาใช่สิ่งที่มนุษย์จะมองเห็นได้ เพราะขณะนี้เหนือศีรษะของนางก็ยังมีดวงจิตสายหนึ่งวนเวียนอยู่ ก่อนจะลอยขึ้นไปถึงชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ลักษณะที่บิดโค้งดุจร่ายรำนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์อันตื่นเต้นยินดีมิใช่น้อย
ข้าทำสำเร็จแล้ว ทุกอย่างล้วนคำนวณได้แม่นยำยิ่ง ในที่สุดก็กลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดได้เสียที!
ภายใต้แสงตะวันแรงกล้า รอบด้านเงียบเหงาวังเวง น้ำตกยังคงไหลรินลงไปดังซ่าๆ นอกจากไม่มีต้นฉยงซังแล้ว ทุกสิ่งบนยอดเขาล้วนเป็นเช่นก่อนหน้านี้
เฟิงจงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม จวบจนดวงตะวันคล้อยสู่ทางตะวันตกแล้วก็ยังคงไม่ไหวติง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่แยแสต้นฉยงซังที่หายไปแต่อย่างใด
หุ่นเวทนั่งอยู่ข้างกายนางนี่เอง ดูแล้วไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด เพียงแต่สองตาไร้ประกาย ทั้งไม่อาจพูดจาและจะไม่คิดอ่านอีกต่อไปแล้ว
แม้นี่ยังคงเป็นร่างของเทพ แต่เมื่อปราศจากดวงจิตก็ไร้ซึ่งพลังเทพแล้ว นับแต่นี้กระทั่งพูดคุยนางก็ไม่อาจทำได้ พูดสั้นๆ ก็คือ…เขาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว
ในที่สุดเฟิงจงก็ยืนขึ้น เดินมุ่งหน้าลงเขาไปโดยไม่คิดจะเหลียวหลัง ทว่ายังไม่ทันจะถึงห้าก้าวนางก็ชะงักฝีเท้า
หุ่นเวทยังคงนั่งสงบอยู่ตรงนั้น เสียงคำรามของฉยงฉีที่จนตรอกเพราะแสงตะวันก็ยังดังมาจากในน้ำเป็นระยะ ขอเพียงนางจากไป ยามฟ้ามืดก็เป็นเวลาที่ร่างเขาต้องสูญสิ้นจริงๆ แล้ว
ทว่าเรื่องแรกที่เฟิงจงจำได้นับแต่วันที่นางถือกำเนิดก็คือการนำพาชีวิตมาให้แก่สรรพสิ่งในพิภพมนุษย์ มิใช่ความตาย
สุดท้ายนางก็ทำมุทรา หุ่นเวทลุกขึ้นเดินมาหานางทันที อาภรณ์พัดพลิ้วล้อลมประหนึ่งกับวันวาน
เฟิงจงจับจูงเขาเดินไปเบื้องหน้า ดวงตานางหลุบลงพลางทอดถอนใจเบาๆ “กระทั่งเจ้าชื่ออะไรข้าก็ยังไม่รู้เลย”
แสงอัสดงโอบล้อมมารอบด้าน พิภพมนุษย์อันไพศาลบัดนี้เหลือนางเดียวดายเพียงลำพังอีกครั้ง
พิภพสวรรค์ต่างจากพิภพมนุษย์ ที่นี่มีเมฆาสีม่วง* ปกคลุมตลอดปี สี่ฤดูกาลล้วนเป็นเช่นวสันต์ มีแต่ความรุ่งโรจน์มงคลอยู่เป็นนิจ
สุดเขตบูรพาของพิภพสวรรค์มีบรรพตเซียนอยู่แห่งหนึ่ง เล่าขานกันว่าภายหลังที่มหาเทพหนี่ว์วาอุดรูรั่วบนฟ้าในครั้งนั้นก็ได้ทุ่มเทพลังใจกายไปจนสิ้น นางจึงเลือกที่จะนิทรายังสถานที่แห่งนี้ แต่เพื่อเป็นการปกปักรักษาความเจริญแห่งพิภพมนุษย์เอาไว้ ก่อนหน้านั้นนางจึงทำให้จ่งเสินถือกำเนิดขึ้น
ท่ามกลางทิวเขาอันสูงชันสลับซับซ้อนนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกที่มีแสงสีอันเรืองรอง ทันทีที่วิหคครามตัวหนึ่งทะลวงผ่านม่านเมฆร่อนลงบนยอดเขาที่สูงที่สุด มันก็กลายร่างเป็นบุรุษที่อาภรณ์ช่วงบนเป็นสีครามช่วงล่างเป็นสีขาว บนมวยผมครอบเกี้ยวสีทองอร่าม สายตากวาดมองไปรอบด้านไม่หยุดนิ่ง
“โอ๊ะ นี่เทพชิงหลีมิใช่หรือ”
พอเทพชุดครามผู้นั้นหันขวับไป เซียนหนุ่มผู้หนึ่งก็ฝ่าเงาไม้ที่อยู่ด้านหลังออกมามองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาจึงกระแอมแห้งๆ ก่อนย้อนถาม “ที่แท้ก็เซียนฉีอวิ๋นนี่เอง ไม่รู้ลมอะไรพัดเจ้ามาถึงทิวเขาสุดเขตบูรพานี่ได้”
“ยังจะเป็นเพราะเหตุใดได้เล่า” ฉีอวิ๋นซึ่งเป็นเซียนระดับสูงมีคิ้วเข้มตาโต ทว่าเมื่อยิ้มกลับมีใบหน้าเฉกเช่นโจรมากเล่ห์ เขาเดินตรงมาแล้วชนไหล่กับชิงหลีซึ่งเป็นเทพระดับสูงหนึ่งที “เจ้าก็มาตามหาจ่งเสินเช่นกันกระมัง”
ชิงหลีกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ข้าไม่ทำเรื่องน่าเบื่อเช่นนั้นหรอก ก็แค่บังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น”
“อ้อ…” เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้หรือ สีหน้าของฉีอวิ๋นเผยความรู้สึกนี้ออกมาอย่างชัดเจน “ข้าค่อยวางใจได้เสียที ไม่เช่นนั้นหากพบจ่งเสินเข้าจริงๆ ต้องมายื้อแย่งกับเจ้าอีกคงจะไม่ดีนัก”
ชิงหลีแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เชิญเจ้าตามสบายเถอะ” ทว่าขณะที่เขาทะยานร่างจากไปนั้น กลับเห็นฉีอวิ๋นชี้มือไปข้างหน้าพร้อมกับตะโกนก้องว่า “จ่งเสิน!”
ชิงหลีไม่ทันได้คิดมากก็เปลี่ยนทิศทางของก้อนเมฆ พุ่งปราดไปทางที่ฉีอวิ๋นชี้ทันที
“ฮ่าๆๆ” ฉีอวิ๋นกุมท้องหัวเราะร่วน “ยังจะพูดว่าเจ้าไม่ได้มาตามหาจ่งเสินอีกหรือ เอาสิ เจ้าเสแสร้งต่อไปอีกสิ!”
ชิงหลีรั้งเท้ากลับมา ใบหน้าสลับสีประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่งหรอก!”
ฉีอวิ๋นโบกมือเอ่ย “อะไรกันเล่า ตอนนี้ก็มีเรื่องจื่ออินให้เห็นแล้ว ผู้ตามหาจ่งเสินก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
ชิงหลีตะลึงงัน “จื่ออินเป็นอะไร”
“เอ๋? นี่เจ้าไม่รู้หรือ เขาถูกส่งไปแดนฮุ่นตุ้น แล้ว”
“เพราะเหตุใด”
“ก็เพราะเคียดแค้นเรื่องสูญเสียทายาทจนตกสู่วิถีมารน่ะสิ ว่ากันว่าเขายังสังหารเซวียนชิงด้วย”
ชิงหลีขมวดคิ้ว “เซวียนชิง? เซวียนชิงคนไหนกัน”
ฉีอวิ๋นผายสองมือออก “จะว่าไปข้าเองก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นนักหรอก เจ้าหนูนี่มีที่มาพิกลยิ่ง ราวกับโผล่ออกมาจากอากาศอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็เห็นเขามีท่าทางสุภาพเป็นมิตรกับทุกคนดี ถูกสังหารไปเช่นนี้ช่างน่าเสียดายโดยแท้ เหตุใดไปตอแยจื่ออินจอมอารมณ์ร้ายนั่นเข้าได้นะ”
ชิงหลีมีท่าทีครุ่นคิด “ไม่มีทางที่ผู้ใดจะกลายเป็นเทพเซียนได้โดยไร้ที่มา เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นร่างแบ่งภาคของเทพเซียนท่านใด”
ฉีอวิ๋นหัวเราะ “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า มหาเทพผู้มีร่างพหุภาค เท่านั้นถึงจะใช้ร่างแบ่งภาคได้ นับแต่โบราณมาข้าก็เคยได้ยินว่ามีแต่มหาเทพฝูซี ที่มีร่างพหุภาค แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งหลายพันปีก่อนแล้ว พิภพสวรรค์ในตอนนี้ใครยังจะมีความสามารถพิเศษนี้กันเล่า”
ชิงหลีเม้มปาก “ก็จริงของเจ้า”
ฉีอวิ๋นโอบบ่าอีกฝ่ายไว้ “เจ้าลองคิดดูนะ เหตุที่จื่ออินต้องลงเอยในสภาพนี้ก็เพราะสูญสิ้นทายาท ตัวเจ้าเองก็คงไม่อยากกลายเป็นอย่างเขาหรอกกระมัง ไม่สู้ร่วมทางกับข้าไปตามหาจ่งเสินด้วยกันเป็นอย่างไร”
ชิงหลีปัดมือของฉีอวิ๋นออกอย่างเฉยเมย “ข้าจะไปหาของข้าเอง ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกัน” จบคำชิงหลีก็เหยียบขึ้นก้อนเมฆจากไปทันที
ฉีอวิ๋นยังไม่ถอดใจ ขี่เมฆไล่ตามชิงหลีไปโดยไม่รอช้า จวบจนเข้าเขตภูเขาฝูเฟิงถึงได้ไล่ตามอีกฝ่ายทัน ก่อนจะเริ่มเอ่ยโน้มน้าวต่อ ฉีอวิ๋นพลันเหลือบไปเห็นรถเทียมมังกรคู่จอดอยู่บนยอดเขาฝูเฟิง บนรถคันนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ทั้งอาภรณ์และเรือนผมเป็นสีดำกำลังเอนหลังนอนสบายทีเดียว
ตำหนักตงจวินตั้งอยู่บนภูเขาฝูเฟิงแห่งนี้ และนี่ก็คือรถเชิญตะวันของตงจวิน
ชิงหลีมองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “เจ้าซีกวงนั่นเกียจคร้านเช่นนี้อยู่เสมอ ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าความสามารถพื้นๆ ก็ยังได้นั่งตำแหน่งตงจวิน แค่อาศัยว่าเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลเท่านั้นเอง”
ฉีอวิ๋นรู้ว่าชิงหลีเห็นซีกวงขัดตามาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดปลอบอย่างนึกขัน “ตงจวินก็แค่มีหน้าที่ดูแลดวงตะวันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ตอนนี้พิภพมนุษย์ไม่มีผู้คนแล้ว ดวงตะวันจะขึ้นหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไร งานที่มีแค่ตำแหน่งลอยๆ เช่นนี้ก็ต้องมอบหมายให้พวกที่มีฝีมือพื้นๆ ไปทำเป็นธรรมดา”
ชิงหลีสบายใจขึ้นไม่น้อย “จริงของเจ้า ข้ากับเขาเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลเหมือนๆ กัน แต่เขายังสู้ข้าไม่ได้สักนิด”
“นั่นสิ ตำแหน่งตงจวินควรจะให้เจ้ามาเป็นมากกว่า”
ชิงหลีขึงตาใส่อีกฝ่าย “ข้าไม่เห็นอยากได้!”
ฉีอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ แล้วจงใจเหาะเหินไปทางยอดเขาฝูเฟิง “ในเมื่อเจ้าไม่อยากไปตามหาจ่งเสิน เช่นนั้นข้าไปเรียกท่านเทพซีกวงมาร่วมทางกับข้าก็แล้วกัน”
ชิงหลีมีสีหน้าอึมครึมทันตาเห็น “เรียกเขา? อาศัยเขาที่มีฝีมือเพียงน้อยนิดแค่นั้น เจ้าไม่กลัวหรือว่าเขาจะทำเรื่องดีของเจ้าเสียการ”
ฉีอวิ๋นขานอ้อเสียงหนึ่งก่อนจะพูด “ก็เพราะข้าเห็นว่าเขารูปงามสง่าผ่าเผย บางทีอาจทำให้จ่งเสินพึงพอใจก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นจ่งเสินอาจจะตามพวกเรากลับมาทันที!”
อารมณ์ดูแคลนเกลื่อนใบหน้าของชิงหลี “เขาก็มีแค่รูปโฉมเท่านั้นที่พอจะใช้งานได้” ชิงหลีพูดพลางสะบัดหน้าไป “เอาเถอะ เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารอยู่เหมือนกัน ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงก็ได้ ทิวเขาสุดเขตบูรพานี้น่าจะไม่เจออะไรแล้ว พวกเราไปดูที่อื่นเถอะ”
เหตุที่ฉีอวิ๋นเพียรชักจูงชิงหลีให้มาร่วมมือด้วยกันอย่างสุดชีวิตนั้น เป็นเพราะเขารู้ว่าวิหคครามสันทัดด้านการสำรวจค้นหา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมเข้าร่วมด้วยแล้วเขาจึงแอบดีใจ รีบติดตามไปทันที “ไปดูที่ไหนกันดีเล่า”
ชิงหลีเอ่ยตอบ “ระยะนี้เหมือนปราณขุ่นมัวในพิภพมนุษย์จะถูกขจัดไปไม่น้อย ไม่สู้พวกเราไปดูที่พิภพมนุษย์สักหน่อยแล้วกัน” เขาพูดพลางเหาะมุ่งหน้าไปโดยไม่เหลียวหลัง ทั้งจงใจอ้อมเลี่ยงภูเขาฝูเฟิงไปเป็นพิเศษ
รอจนบุรุษทั้งสองขี่เมฆไปไกลแล้ว มังกรเขียวสองตัวที่ขดหมอบอยู่หน้ารถเชิญตะวันบนยอดเขาฝูเฟิงก็เคลื่อนตัวมากระหนาบซ้ายขวาที่ข้างตัวรถ พวกมันแหงนศีรษะขึ้นมองเจ้านายผู้กำลังนอนก่อน จากนั้นจึงวางกรงเล็บมังกรบนตัวรถแล้วพร้อมใจกันเขย่าอย่างแรง
ซีกวงลืมตาขึ้นช้าๆ “เขย่าหาอะไรของพวกเจ้ากัน ข้าตื่นตั้งนานแล้ว เสียงสนทนาของพวกเขาดังออกปานนั้น ต่อให้อยากจะนอนก็นอนไม่หลับอยู่ดี”
มังกรทั้งสองคลายกรงเล็บจากตัวรถ พร้อมใจกันเหลือกตาใส่เขา แล้วสะบัดศีรษะเคลื่อนตัวกลับไปอยู่ด้านหน้าตัวรถตามเดิม
ซีกวงเหยียดแขนขายืดออกด้วยอิริยาบถอันเกียจคร้าน ความรู้สึกที่ดวงจิตได้กลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดช่างยอดเยี่ยมเกินบรรยาย ไม่ต้องทนถูกพันธนาการจากฤทธิ์ของตะปูตรึงวิญญาณอีกต่อไปแล้ว
เขาเดินลงจากตัวรถแล้วเหลือบมองไปยังทางที่พวกชิงหลีหายลับไป นิ่งคิดเพียงชั่วครู่ก็หันหน้าไปกำชับมังกรทั้งสองหนึ่งประโยค “เฝ้าบ้านให้ดีๆ เล่า”
มังกรทั้งสองรีบเปล่งเสียงโอดครวญ เห็นแค่ผู้เป็นนายเหินร่างกระโดดลงสู่พิภพเบื้องล่างแล้ว
เดิมทีซีกวงไม่ใช่พวกที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง ในขณะที่การเสาะหาจ่งเสินทั้งในที่ลับและที่แจ้งทั่วทั้งสามพิภพเป็นไปอย่างครึกโครม เขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าร่วมมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสืบทอดสายโลหิต แต่เป็นเพราะเขารำคาญความยุ่งยากทั้งหลายที่จะตามมา
หากไม่ใช่เพราะรำคาญความยุ่งยาก มีหรือเขาจะหักใจปล่อยให้เซวียนชิงร่างแบ่งภาคที่ดีเพียงนั้นถูกจื่ออินเฒ่าสารเลวนั่นหยามศักดิ์ศรีเอาได้
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ในเมื่อจ่งเสินถึงกับโผล่มาให้เขาพบเจอด้วยตัวเอง มีเหตุผลใดกันที่เขาจะปล่อยให้ผู้อื่นชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง หาไม่ก็จะผิดต่อความเหนื่อยยากที่เขาสู้เป็นวัวเป็นม้าให้นางมาตั้งนานสิ!
ขณะทะลุผ่านม่านเมฆลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า สภาพอันรกร้างของพิภพมนุษย์เบื้องล่างก็เริ่มปรากฏให้เห็นได้รำไร ทว่าปราณขุ่นมัวที่เคยเห็นเป็นชั้นหนาทึบปกคลุมอยู่กลางอากาศนั้น บัดนี้ได้จางลงไปบ้างแล้ว คาดว่านี่อาจเป็นคุณงามความดีที่เขากับเฟิงจงปราบสังหารสัตว์อสูรก็เป็นได้
หลังจากเลือกจุดลงพื้นอย่างลวกๆ ซีกวงก็เหลียวมองรอบด้านเป็นอย่างแรก ครั้นไม่พบเห็นร่องรอยของชิงหลีกับฉีอวิ๋น เขาถึงค่อยเดินหน้าต่อ
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็หยุดยืนอยู่ในหุบเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นน้ำนั้นแล้ว
วันนั้นเขาให้แสงตะวันฉายอยู่นานเป็นพิเศษ เพียงพอที่เฟิงจงจะจากไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจจะมาตรวจดูที่นี่ก่อน
ซีกวงเหินร่างขึ้นไปบนยอดเขา พบว่าความเขียวชอุ่มเพิ่มพูนมาไม่น้อย หญ้าคาที่แต่เดิมมีอยู่หร็อมแหร็มยามนี้กลับงอกเพิ่มและต้นสูงขึ้นมาก ทั้งยังมีไม้พุ่มที่เติบโตขึ้นพุ่มแล้วพุ่มเล่า เพียงแต่บริเวณที่เคยมีต้นฉยงซังเติบโตอยู่กลับเหลือแค่หลุมลึกที่เกิดจากการถูกขุดรากถอนโคน
เสียงรินไหลของสายน้ำดังมาไม่ขาดหู ซีกวงเดินเข้าไปใกล้ ลูบคางพลางเดินเตร่อยู่รอบหลุมนั้น ในใจยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดฉยงฉีที่เหลือเพียงดวงวิญญาณถึงดื้อดึงไม่ยอมปล่อยวางต้นฉยงซังเช่นนี้…เจ้าก็แค่ให้ผลไม้แม่นางน้อยไปสักผลจะเป็นไรเล่า
ใต้ฝ่าเท้าคล้ายมีบางสิ่งกำลังสั่นสะเทือนเป็นระลอก ธารน้ำที่อยู่ด้านข้างพลันปรากฏฟองอากาศพ่นออกมายาว ผิวน้ำกระเพื่อมไหว เสียงแผดคำรามอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เห็นทีฉยงฉียังคงไม่ยอมง่ายๆ แม้ที่นี่จะไม่มีต้นฉยงซังแล้ว มันก็ยังไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้อยู่ดี
ซีกวงหัวเราะออกมา “ข้าคงไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าแล้วกระมัง”
ไม่ทันขาดคำ ริ้วคลื่นบนผิวน้ำก็กลายเป็นวังน้ำวนที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ฉยงฉีพุ่งขึ้นมาจากน้ำวนพร้อมกับปากสีโลหิตที่อ้ากว้าง
ซีกวงมองด้วยหางตาก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งลงบนผิวน้ำ เพียงเท่านี้ฉยงฉีที่กำลังจะโผล่พ้นน้ำก็กรีดร้องเสียงแหลมราวกับถูกสิ่งใดทำให้หวาดผวา มันรีบร้อนหันศีรษะมุดกลับลงน้ำไปโดยไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาอีก
ซีกวงชักเท้าคืนมา ขณะปัดชายเสื้อเตรียมจะจากไปก็พลันรู้สึกได้ว่ารอบด้านมีกลิ่นอายอันคุ้นเคย พอเขาหันขวับไปมอง ความตื่นเต้นยินดีก็ผุดขึ้นทันใด
เซวียนชิงยืนอยู่ริมหน้าผา ท่าทางเหมือนเพิ่งจะปีนขึ้นเขามาหมาดๆ บนชายเสื้อยังเปรอะเศษดินกับหญ้าแห้งอยู่เลย ในมือของเขากำท่อนกระดูกสีขาวเรียวยาวหนึ่งท่อน บนหลังสะพายหลัวที่สานจากเถาวัลย์หนึ่งใบ รูปโฉมยังคงหมดจดกระจ่างตาเช่นวันวาน เพียงแต่สีหน้าดูว่างเปล่าเลื่อนลอย
ซีกวงรู้ว่าบัดนี้อีกฝ่ายคือร่างที่กลวงเปล่า แต่อย่างไรนี่ก็เป็นร่างแบ่งภาคที่เขาสร้างขึ้นมากับมือ เฉกเช่นส่วนหนึ่งของตนเอง สนิทสนมกันยิ่งยวด เขาจึงกวักมือเรียกอีกฝ่ายทันที “มานี่สิ”
จะอย่างไรก็เป็นเจ้าของร่างนี้มาก่อน เซวียนชิงเดินมาหาซีกวงอย่างเชื่อฟังดังคาด ทว่าเพิ่งจะมาถึงตรงหน้า เซวียนชิงกลับเงื้อท่อนกระดูกสีขาวในมือแทงใส่เขาเสียนี่
ซีกวงตระหนกตกใจยิ่ง เบี่ยงกายหลบทันควันแล้วกระโดดไปอีกด้านหนึ่ง
ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ จะอย่างไรนี่ก็เป็นร่างที่ข้าสร้างขึ้น เซวียนชิงจะหันคมอาวุธเข้าหาข้าได้อย่างไรกัน
หัวใจพลันกระตุกวูบ สายตาของซีกวงสอดส่ายค้นหาทันทีที่ฉุกคิดได้…เฟิงจงจะต้องอยู่แถวนี้แน่นอน
“เป็นหัวขโมยจากที่ใด กล้าบังอาจหมายตาหุ่นเวทของข้า!” เสียงของเฟิงจงดังขึ้นตามมา แต่กลับไม่เห็นเงาคน
ซีกวงนึกขันอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของนางด้วย หนึ่งวันบนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีบนพิภพเบื้องล่าง เขาจากไปเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พิภพมนุษย์อย่างมากก็ผ่านไปไม่กี่เดือน ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนนี้ กระทั่งร่างกลวงที่ไร้จิตวิญญาณ นางก็สามารถควบคุมได้แล้ว ช่างสมเป็นจ่งเสินจริงๆ
ซีกวงย้อนถามเสียงกังวาน “ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเป็นหัวขโมยจากที่ใด ถึงกับกล้าบังอาจใช้เทพเป็นหุ่นเวท”
เฟิงจงหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็ทายดูสิ”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของสาวน้อยแฝงด้วยอารมณ์ขันซุกซนอยู่หลายส่วน
ซีกวงวางแผนในใจอย่างว่องไวก่อนเอ่ยปากตอบ “ข้าว่าน่าจะเป็นจ่งเสินเฟิงจงกระมัง”
“เอ๋?” เสียงของเฟิงจงชะงักไปเล็กน้อย “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ”
ซีกวงกล่าว “ในห้วงฝันคืนก่อนข้าได้รับบัญชาจากมหาเทพหนี่ว์วา ให้วันนี้ในยามนี้มาพบกับจ่งเสินที่นี่ ดังนั้นข้าจึงทายออกไปเช่นนี้”
“หืม เช่นนั้นไหนเจ้าลองว่ามา มหาเทพหนี่ว์วามีรูปโฉมเช่นไร”
ซีกวงปรายตามองเฟิงจง “ก็งดงามกว่าเจ้าน่ะสิ”
“โอ๊ะ เจ้าเคยพบนางจริงเสียด้วย!” เฟิงจงเทิดทูนมหาเทพหนี่ว์วาเป็นอย่างยิ่ง นางจึงเห็นพ้องกับคำกล่าวนี้ของเขาอย่างเต็มเปี่ยม “มิผิดๆ มหาเทพหนี่ว์วางดงามที่สุดแล้ว”
ซีกวงพลันรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นอัจฉริยะโดยแท้!
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงซ่าดังขึ้นบนผิวน้ำ จู่ๆ ฉยงฉีซึ่งเดิมทีดำดิ่งอยู่ข้างใต้ก็พุ่งขึ้นจากผิวน้ำมาอีกครา
เมื่อครู่ซีกวงถอยห่างจากริมน้ำเพื่อหลบหลีกการโจมตีของเซวียนชิง ทว่าเซวียนชิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ฉยงฉีจึงแผดคำรามลั่นพลางกระโจนตรงเข้าใส่เซวียนชิงทันที
เซวียนชิงซึ่งแต่เดิมยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวพลันตวัดกระดูกสีขาวท่อนนั้นขึ้นต้านรับแล้วถอยปราดติดๆ กันหลายก้าว จวบจนถึงริมขอบผาจึงได้หยุด เบื้องหลังของเซวียนชิงยามนี้คือเส้นทางขึ้นเขาอันแคบคดเคี้ยว แม้เขารับมือฉยงฉีได้อย่างรวดเร็ว ทว่าชายเสื้อของเขาก็ยังถูกฉีกขาดไปส่วนหนึ่ง
ฉยงฉีจู่โจมไม่สำเร็จในครั้งเดียว ทั้งติดขัดที่ซีกวงอยู่ใกล้ๆ มันจึงคำรามเสียงต่ำพลางวนเวียนอยู่ริมน้ำโดยไม่ได้ตามโจมตีต่อ
เฟิงจงเบี่ยงกายเดินออกมาจากเบื้องหลังของเซวียนชิง นางมุ่นคิ้วจับจ้องฉยงฉีพลางกวาดมองซีกวงด้วยแวบหนึ่ง ซีกวงก็มองเห็นนางแล้วเช่นกัน
สาวน้อยผู้มีอาภรณ์สวรรค์พันกายแลดูอ่อนช้อยพลิ้วไหว บัดนี้นางมีเรือนผมยาวจรดเอวแล้ว สองแก้มที่เคยอวบอิ่มตอบลงไปมาก แต่ก็ยังขับเน้นให้ดวงตาซึ่งมีนัยน์ตาสีดำชัดเจนคู่นั้นยิ่งโดดเด่นสะดุดตา หากมิใช่รู้จักนางมาก่อน จากรูปโฉมภายนอกเช่นนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรในสายตาของซีกวงก็ล้วนเป็นสาวน้อยผู้งามบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ซีกวงโบกมือเสกแส้ยาวเส้นหนึ่งขึ้นมาพลางหวดใส่ฉยงฉีประดุจงูปราดเปรียว สิ้นเสียงขวับก็กวาดส่งมันจากธารน้ำฟากนี้ไปยังฝั่งตรงข้ามโน่นแล้ว
ฉยงฉีร้องครางด้วยความเจ็บปวด หมายจะผลุบกลับลงน้ำไป แต่ก็ถูกอีกหนึ่งแส้หวดจนร่างกระเด็นออกห่างจากริมน้ำเสียก่อน
เฟิงจงเห็นเช่นนั้นจึงรีบสั่งการเซวียนชิงให้ขึ้นหน้าไปร่วมโจมตีฉยงฉี อันที่จริงก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรนักหรอก นางหวังเพียงจะหน่วงเหนี่ยวฉยงฉีไม่ให้มันหนีลงน้ำไปก่อนเท่านั้น จะได้ให้ชายหนุ่มชุดสีดำผู้นี้กำจัดมันเสีย
ซีกวงหันไปมองนาง “ใต้น้ำนี้ต้องมีอะไรบางอย่างผลักดันดวงวิญญาณของมันอยู่เป็นแน่ หากคิดจะกำจัดมันก็ต้องกระชากสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นออกมาก่อน”
เฟิงจงคลี่ยิ้มอันอ่อนโยนดุจสายลมวสันต์ “ที่มหาเทพหนี่ว์วาให้เจ้ามาพบข้า ก็เพื่อให้เจ้าช่วยข้ากำราบสัตว์อสูรตัวนี้เป็นแน่แท้ เช่นนี้ก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ซีกวงเลิกคิ้ว…เจ้าก็ช่างไหลตามน้ำได้เก่งเสียจริง
แท้จริงแล้วช่วงที่ผ่านมาเฟิงจงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากทีเดียว หุ่นเวทที่ปราศจากสติรับรู้นี้อาจประสบเภทภัยได้ทุกเมื่อ นางจึงต้องให้เขาคอยอยู่ข้างกายแทบจะทุกที่ทุกเวลา
แรกเริ่มนางประคบประหงมหุ่นเวททุกอย่าง ถึงอย่างไรที่เขาต้องมาลงเอยในสภาพนี้ก็เพื่อจะช่วยชีวิตนาง นางไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายอีกจึงไม่เคยสั่งงานเขาอีกเลย ทุกครั้งไม่ว่าไปที่ใด หรือขณะที่นางกำลังยุ่งอยู่กับงาน เขาก็เพียงแต่ยืนทึ่มทื่ออยู่ด้านข้างเฉกเช่นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
ทว่าเช่นนี้กลับทำให้ใจนางยิ่งทนรับไม่ไหว ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มให้เขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็ให้ตามนางไปขุดหาผักป่าเก็บผลไม้ บ้างก็พาเขาไปล่าสัตว์อสูรตัวย่อมๆ
แม้บางครั้งจะอันตรายยิ่ง แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางรู้สึกว่าหุ่นเวทยังคงไว้ซึ่งชีวิตชีวา เป็นคู่หูของนางเหมือนวันวาน หาใช่สังขารที่เดินได้เท่านั้น
บางคราวเว้นไปสักสามวันห้าวัน นางก็จะพาหุ่นเวทมาขุดหาผักป่าที่หุบเขาแห่งนี้ เสร็จเมื่อไรก็จะขึ้นมาดูสถานการณ์บนยอดเขาเป็นประจำ
แม้ต้นฉยงซังหายไปแล้วก็จริง แต่หลังจากฉยงฉีกลืนต้นฉยงซังลงไป ดวงวิญญาณก็ย่อมผนวกเอาเมล็ดของผลฉยงซังเข้าไปด้วย หากกำจัดมันแล้วชิงเมล็ดฉยงซังคืนมาได้ พอนางกินเมล็ดฉยงซังเข้าไปแล้วก็จะมีอายุขัยเสมอฟ้าได้เช่นกัน ในใจนางยามนี้ทั้งขุ่นแค้นที่ฉยงฉีทำร้ายหุ่นเวท ทั้งปรารถนาจะช่วงชิงเมล็ดฉยงซัง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้ฉยงฉีถูกผู้อื่นพบเห็น
ทว่าวันนี้บนยอดเขากลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาผู้หนึ่ง
แขกผู้นั้นยืนอยู่ริมธารน้ำ อาภรณ์และเรือนผมสีดำ มองแต่ไกลประหนึ่งภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว เป็นบุรุษรูปงามโดยแท้ ทว่าน่าเสียดายที่หน้าตาชวนมองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี เขาถึงกับคิดจะหลอกพาหุ่นเวทของนางไปเชียวหรือนี่
ตอนนั้นเฟิงจงจึงถอยกลับไปที่ทางขึ้นเขาอันคดเคี้ยวเพื่อลอบจับตาดูเขา ด้วยกลัวว่าเขาจะฉกชิงเมล็ดฉยงซังไป นางจึงพูดข่มขวัญหมายจะไล่เขาไปเสียให้พ้น ทว่าเจ้าหนูนี่ถึงกับประกาศว่ามหาเทพหนี่ว์วาเป็นผู้ชี้แนะให้เขามาที่นี่ ซ้ำฉยงฉีก็ครั่นคร้ามต่อเขายิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงใช้แผนซ้อนแผนเสียเลย
ตอนนี้ฉยงฉีที่ถูกหวดไปสองแส้แล้วกำลังครางเสียงแผ่วเดินวนเวียนอยู่ฟากตรงข้าม พลางแลบลิ้นเลียบาดแผลเป็นระยะ เห็นชัดว่ามันบาดเจ็บมิใช่เบา เฟิงจงจึงคาดเดาว่าชายหนุ่มชุดสีดำผู้นี้คงมีที่มาไม่ธรรมดา
ฉวยโอกาสที่สองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ สาวน้อยก็แอบย่องไปถึงข้างกายเขาแล้วประชิดเข้าไปดมเบาๆ บนหลังคอของเขา
ซีกวงพลันหันหน้ามาโดยไม่ให้ตั้งตัว จนใบหน้าเขาเฉียดถูกดวงหน้านาง ก่อนจะยิ้มตาหยีเอ่ยถามอีกว่า “เป็นอย่างไร ดมออกหรือไม่ว่าข้าเป็นเซียนหรือปีศาจ”
เฟิงจงคาดไม่ถึงว่าเขาจะล่วงรู้ความคิดของนาง นางจึงได้แต่ยืดกายตรงก่อนตอบ “ไม่ใช่ทั้งเซียนและปีศาจ เจ้าเป็นเทพโดยกำเนิด น่าจะเป็นทายาทของมหาเทพบรรพกาลด้วย”
“ช่างสมกับเป็นจ่งเสิน” ซีกวงยิ้มมองนางพลางขยับมือสะบัดแส้ออกไปอีกครั้ง ฉยงฉีที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ เตรียมจะลงน้ำจึงถูกหวดจนหงายท้องขาชี้ฟ้าในทันที
คาดว่าฉยงฉีคงโกรธจัดจนเลือดเข้าตาแล้ว ประกอบกับคงจำเฟิงจงได้ ทันทีที่มันตะกายลุกขึ้นจึงเปลี่ยนทิศทางโถมตรงเข้าใส่เฟิงจงแทน
สาวน้อยรีบถอยปราดพลางเรียกหุ่นเวทกลับมา
ซีกวงร้องชิ บ่นพึมพำหนึ่งประโยคว่า “ไร้มโนธรรม” ก่อนจะตรงขึ้นไปรับมือฉยงฉีเพียงลำพัง
หน้าที่ของตงจวินคือควบคุมอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก นานวันเข้าบนร่างเขาจึงแทรกซึมด้วยแสงตะวัน กระทั่งแส้ที่หวดออกไปก็ราวกับมีเปลวสุริยะลุกไหม้อยู่ ดวงวิญญาณของฉยงฉีไหนเลยจะทนรับได้ไหว แม้ในใจแสนจะขยาดกลัว แต่ก็เดือดดาลจนยากระงับ มันจึงตะกุยกรงเล็บคมกับพื้น ขยายท้องและหน้าอกอย่างต่อเนื่อง ฉับพลันก็อ้าปากพ่นหมอกหนาทึบออกมา
เฟิงจงฉุดดึงหุ่นเวทถอยหนีไปไกลลิบทันใด ซีกวงเองก็ยกแขนเสื้อขึ้นบังไว้ ชั่วพริบตาเดียวนี้ฉยงฉีจึงสบช่องมุดลงน้ำหายวับไปทันที
ผิวน้ำสั่นสะเทือนนิดๆ เสียงคำรามด้วยโทสะดังมาจากข้างใต้ไม่ขาดหู แต่ละเสียงล้วนร้อนรุ่มกราดเกรี้ยวขึ้นทุกขณะ ซึ่งมีเพียงยามที่สัตว์อสูรต่อต้านการเข้าใกล้ของคนนอกอย่างยิ่งยวดจึงจะมีท่าทีเช่นนี้ อาการของมันช่างชวนให้ผู้อื่นรู้สึกว่าที่ใต้น้ำคล้ายกับมีบางสิ่งที่มันเฝ้ารักษาอยู่
เฟิงจงโบกมือกวาดไอหมอกที่หลงเหลืออยู่เบื้องหน้าสายตาออกแล้วมองไปทางซีกวง “ต้องทำอย่างไรจึงจะล่อสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นออกมาได้เล่า”
ซีกวงกุมด้ามแส้เคาะกับฝ่ามือพลางครุ่นคิดแผนรับมือ ทว่าจู่ๆ ใบหูของเขาพลันกระดิก มือเขาก็รีบเอื้อมไปคว้าร่างนางไว้พลางกล่าว “ลงน้ำไปดูกัน!” จบคำซีกวงก็ตวัดแส้รัดเซวียนชิง ก่อนจะพากระโดดลงน้ำไปด้วยกันทั้งหมด
ไม่นานนักเหนือยอดเขาก็ปรากฏเมฆลอยมา ชิงหลียืนอยู่บนเมฆก้มศีรษะมองสำรวจไปรอบด้าน…นอกจากธารน้ำที่ไหลตัดผ่านยอดเขากับต้นไม้ใบหญ้าแล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ขณะเตรียมจะลงไปตรวจสอบที่ริมธารน้ำโดยละเอียด ดวงตะวันก็เผยออกมาจากชั้นเมฆ แสงที่สาดฉายพลันทวีความร้อนแรงจนแยงตายากทานทน ชิงหลีสองตาปวดแปลบ เขารีบยกมือขึ้นป้องดวงตาจนเสียหลักหวิดจะพลัดตกจากก้อนเมฆเลยทีเดียว เคราะห์ดีที่ได้ฉีอวิ๋นรุดมาพยุงเขาไว้ทันท่วงที
“เจ้าซีกวงนั่นบกพร่องในหน้าที่อีกแล้ว แม้แต่ดวงตะวันก็ยังอยู่กับร่องกับรอยไม่ได้เลย!”
ฉีอวิ๋นจับปลายแขนเสื้อจะมาเช็ดตาให้ “โอ๊ะ ดวงตาคงไม่บาดเจ็บกระมัง”
ชิงหลีตีมืออีกฝ่ายออกไป นวดคลึงสองตาเล็กน้อยก่อนจะมองไปเบื้องล่างอีกครั้ง “เดิมทียังพอรู้สึกว่าที่นี่มีปราณชีวิตอยู่บ้าง ที่แท้ก็ไม่มีอะไรเลย ช่างเถอะ ไปที่อื่นต่อแล้วกัน”
ฉีอวิ๋นกวาดตาไปเบื้องล่างอย่างไม่ถอดใจ กระทั่งพบว่าไม่มีอะไรจริงๆ เขาจึงขี่เมฆตามชิงหลีจากไป ทว่ามุ่งหน้าไปได้ไม่นานเท่าไรนัก ฉีอวิ๋นก็พูดพลางชี้มือไปยังทิวเขารกร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “นี่ๆ ข้าได้ยินว่าเซวียนชิงถูกจื่ออินสังหารตรงนั้น”
ชิงหลีคร้านจะมอง “ตายไปแล้วก็ยิ่งดีมิใช่หรือ คนที่จะมาแย่งชิงจ่งเสินก็จะได้น้อยลงไปอีกราย”
ฉีอวิ๋นร้องลั่น “ให้ตายเถอะ ที่เจ้าพูดนี่ยังใช่ภาษาคนอยู่อีกหรือ”
สีหน้าของชิงหลีฉาบไปด้วยความเย็นชา “ข้าเป็นวิหค”
อย่างไรเสียก็เป็นหนึ่งเทพกับหนึ่งเซียน จึงมีเพียงซีกวงที่สัมผัสได้ถึงร่องรอยของชิงหลีกับฉีอวิ๋น ส่วนเฟิงจงที่ขณะนี้จมอยู่ในห้วงน้ำมีแต่ความฉงนสงสัยประดังขึ้นในใจ
กระแสน้ำใต้ฝ่าเท้าไหลแรงเชี่ยวกราก คล้ายจะลึกเสียจนไม่เห็นก้นบึ้ง ฉยงฉีพยายามโจมตีขึ้นมาข้างบน แต่ก็ถูกซีกวงถีบส่งกลับไปในเท้าเดียว ชั่วครู่ให้หลังฉยงฉีที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ก็กระโจนขึ้นมาอีก และก็ลงเอยด้วยการถูกถีบลงไปเช่นเคย เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครา
เซวียนชิงมีร่างเป็นเทพ ย่อมอยู่ในน้ำได้ไม่เป็นปัญหา ทว่าเฟิงจงมีร่างเป็นมนุษย์ ไหนเลยจะต้านทานการเคี่ยวกรำของการอยู่ใต้น้ำเช่นนี้ได้ไหว นางจวนจะกลั้นลมหายใจไม่อยู่แล้ว จึงผลักไสมือที่รวบอยู่บนเอวของนางออก หมายจะแหวกว่ายขึ้นไปสู่เบื้องบน
หลังจากเตะส่งฉยงฉีลงไปอีกหนึ่งเท้า ซีกวงก็หันมาเห็นสีหน้าของเฟิงจง เขาจึงพลิกกายมาถ่ายเทลมหายใจให้กับนาง
ช่วงที่ผ่านมานี้นางต้องสิ้นเปลืองโลหิตไปช่วยเซวียนชิงอีกเป็นแน่ ริมฝีปากทั้งคู่ถึงได้เย็นเฉียบ แต่ก็ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มยิ่งนัก ซีกวงผละจากริมฝีปากคู่นั้นแล้วฟังเสียงอย่างตั้งใจ ทางด้านบนไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ตอนนี้เขาถึงได้ผลักส่งนางขึ้นไป และเพื่อชักจูงให้ฉยงฉีเผยตัวออกมา ดวงตะวันจึงถูกเขาซ่อนเร้นไว้อีกครั้ง
พอเฟิงจงปีนขึ้นฝั่งก็เช็ดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าลงน้ำไปเพราะมีแผนการสูงส่งอะไร แต่ทางที่ดีเจ้าควรจะกระชาก ‘ตัว’ ที่อยู่ในนั้นออกมาให้ได้ด้วย” นางพูดจบก็ทำมุทราท่องคาถา เซวียนชิงพลันกระโดดขึ้นมาจากน้ำ
เสียงหัวเราะของซีกวงดังมาจากใต้น้ำ คละเคล้าด้วยเสียงแผดคำรามของฉยงฉี เสียงนั้นห่างไกลออกไปทุกที เกรงว่าคงมุ่งลงไปยังส่วนลึกแล้ว
เฟิงจงยืนขึ้นบิดชายเสื้อก่อนจะสังเกตดูผิวน้ำ…มีแต่ความสงบราบเรียบ กระทั่งเสียงก็ไม่มีแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น เทพหนุ่มผู้นี้คงไม่ได้ถูกฉยงฉีตะปบแล้วกินดวงจิตไปเหมือนกันหรอกนะ
เนิ่นนานผ่านไปผิวน้ำถึงค่อยๆ ปรากฏริ้วคลื่นกระเพื่อมออกวงแล้ววงเล่าจากเล็กไปใหญ่ ตามติดด้วยเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังขึ้นทุกที จากนั้นบนผิวน้ำก็เกิดเสียงดังซ่า ซีกวงกระโดดออกมาจนได้ อาภรณ์ดำที่สะบัดต้องลมเต็มไปด้วยหยดน้ำ เขาลากแส้ยาวขึ้นมายืนหอบอยู่ริมธารน้ำ เห็นทีคงเปลืองแรงไปไม่น้อยทีเดียว
“ให้เขามาเป็นเหยื่อล่อที่ริมน้ำเถอะ สิ่งนั้นจวนจะออกมาแล้ว” ซีกวงชี้มือไปที่เซวียนชิง ส่วนเขาก็ถอยห่างไปหลายก้าว
เฟิงจงกลอกลูกตาเบาๆ ก่อนผงกศีรษะรับ ทำมุทราเรียกเซวียนชิงไปยืนนิ่งชิดติดริมน้ำโดยไม่รอช้า
ใต้น้ำสั่นสะเทือนในทันใด ซีกวงเพ่งสมาธิทั้งหมดจับจ้องไปที่ผิวน้ำ
ทว่าเฟิงจงกลับเพ่งสมาธิทั้งหมดจับจ้องไปที่ซีกวง มือนางซึ่งไพล่ไว้ด้านหลังทำมุทราจรดนิ้วไม่กี่หน เซวียนชิงก็หันขวับกลับมากอดซีกวงไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ซีกวงตะลึงงัน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฟิงจงกำลังวิ่งตรงมาหาเขาแล้ว
เฟิงจงมีหรือจะโง่งมจนถึงขั้นเชื่อถือวาจาปากเปล่าไร้หลักฐานของบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง เทพหนุ่มผู้นี้มีเจตนาไม่แน่ชัด พฤติกรรมก็ไม่ชอบมาพากล นางจะไปวางใจได้อย่างไรกัน ที่กล่าวเออออไปตามคำพูดของเขาก็เพื่อจะรับมือฉยงฉีเท่านั้นเอง
มิสู้ใช้วิชาหุ่นเวทพันธนาการเขาไว้ก่อน ถึงตอนนั้นต่อให้เขามีเจตนาชั่วร้ายก็ยากที่จะประสบผลได้ หากไม่มีจิตคิดชั่วก็ดีไป เพียงแค่เชิญเขากลับพิภพสวรรค์ไปได้ตามสบาย หลังจากนี้ต่างฝ่ายต่างเป็นเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง*
ขณะที่ปลายนิ้วซึ่งมีโลหิตไหลออกมากำลังจะสัมผัสถูกหว่างคิ้วของซีกวงแล้วนั้น ในน้ำก็บังเกิดเสียงดังเลื่อนลั่น ฉยงฉีกระโจนออกมาในยามนี้พอดี พร้อมกับหอบเอาสายลมเย็นเยียบระลอกหนึ่งจู่โจมตรงเข้าใส่แผ่นหลังของเฟิงจง
นางกลิ้งไปกับพื้นหนึ่งตลบจนหลบพ้นไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนรีบสะบัดโลหิตที่ปลายนิ้วออกไป ส่งผลให้ฉยงฉีต้องถอยร่นไปหลายก้าว ซีกวงที่สลัดหลุดจากเซวียนชิงได้แล้วก็ตวัดแส้รุกไล่ฉยงฉี ทำเหมือนมองเจตนาของนางไม่ออกแต่อย่างใด
ใต้น้ำพลันสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงดังเลื่อนลั่นขึ้นอีกครา คล้ายเป็นสัญญาณลับที่ทำให้ฉยงฉีไร้ซึ่งความหวาดกลัว สองตาของมันพลันทอประกายสีแดงจนชวนหนาวยะเยือก เส้นขนทั่วร่างชี้ชันดั่งเข็มแหลม เขี้ยวคมในปากงอกยาวขึ้นชุ่นเศษ จากนั้นมันก็โถมเข้ากัดซีกวงโดยไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย
ซีกวงสะบัดแส้ออกไปทันที ครานี้ถึงกับถูกมันแยกเขี้ยวงับเอาไว้ได้ เขาเองก็ถูกแรงกระชากจนล้มลงกับพื้น ต้องรีบยกมือกระตุกแส้ให้ขึงตรง ทำให้พอจะต้านขวางกรงเล็บอันคมกริบที่มันตวัดลงมาได้
เฟิงจงรีบคลานลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังพื้นที่การต่อสู้ ทว่าในสายตากลับจับจ้องแต่ซีกวง พอไปถึงใกล้ๆ สาวน้อยก็ยื่นนิ้วมือไปวาดยันต์หุ่นเวทบนท่อนแขนที่เปิดเปลือยอยู่ของเขาอย่างว่องไว
รอจนรอยเลือดซึมแทรกเข้าไปในร่างของเขาแล้ว นางถึงค่อยสะบัดหยดเลือดใส่ฉยงฉี
ฉยงฉีถอยหลบอย่างลนลาน เฟิงจงจึงฉวยโอกาสนี้ทำมุทราสั่งการหุ่นเวทคนใหม่ แต่กลับเห็นซีกวงอยู่นอกเหนือคำสั่ง เขาดีดร่างขึ้นจากพื้นมาเอ่ยถาม “เอ๋? นี่เจ้าใช้วิชาอะไรหรือ ทำให้เรี่ยวแรงของข้าฟื้นฟูมาไม่น้อยทีเดียว”
เฟิงจงตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะรีบทำมุทราท่องคาถาซ้ำอีกครา ทว่าเขากลับยืนนิ่งได้เช่นเดิม ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะถูกสั่งการเลยแม้แต่น้อย
ซีกวงยืดเส้นยืดสาย รู้สึกสบายไปทั้งร่างจริงๆ
วิชาหุ่นเวทที่มีมาแต่บรรพกาลนี้มีพลานุภาพรุนแรงยิ่ง ถึงขั้นกักกันร่างกายกับดวงจิตของอีกฝ่ายให้อยู่ภายใต้คำสั่ง แต่กลับไม่อาจใช้ซ้ำกับเป้าหมายเดิมได้ เดิมทีดวงจิตของเซวียนชิงก็มาจากเขาอยู่แล้ว พวกเขานับว่าเป็นคนเดียวกัน ในเมื่อถูกกักกันไปแล้วหนหนึ่ง ไหนเลยจะยังถูกกักกันซ้ำสองได้อีก
แม้หลังจากดวงจิตของเซวียนชิงกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดจะนำพาฤทธิ์กักกันมาด้วย ทว่าดวงจิตอันน้อยนิดนี้ก็อ่อนแรงเกินกว่าจะกดข่มดวงจิตอันกล้าแข็งของร่างต้นกำเนิดได้ ประกอบกับโลหิตของนายผู้เลี้ยงหุ่นเวทกับดวงจิตของหุ่นเวทจะผสานเข้ากันมากยิ่งขึ้นตามการใช้วิชา เมื่อร่างต้นกำเนิดรับดวงจิตของเซวียนชิงเข้ามาแล้ว ความเข้ากันได้กับโลหิตของนางจึงอยู่เหนือพลังกักกันในส่วนนั้นไป ดังนั้นซีกวงจึงไม่เพียงไม่ตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์กักกัน เลือดของเขายังผสานเข้ากับเลือดของนางได้เป็นอย่างดี อีกทั้งปราณชีวิตในเลือดของนางก็มีสรรพคุณในการรักษาด้วย
“มิน่าเล่ามหาเทพหนี่ว์วาถึงชี้แนะให้ข้ามาหาเจ้า ที่แท้เราสองต่างก็ส่งเสริมเกื้อหนุนกันนี่เอง” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะตวัดแส้ไปรับมือกับฉยงฉี
เฟิงจงมองเขาอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ หลายเดือนมานี้พลังวิเศษของนางเพิ่มพูนขึ้นมาก เหตุใดวิชาหุ่นเวทของนางจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า
กลางน้ำพลันบังเกิดเสียงประหลาดดังขึ้น ความสนใจของนางถูกดึงดูดไปทันที ก่อนจะเห็นกลางน้ำปรากฏบัวสีแดงดอกหนึ่งลอยขึ้นมาช้าๆ แรกเห็นยังนึกว่าเป็นภาพลวงตาเช่นคราก่อน ทว่ากะพริบตาซ้ำแล้วก็พบว่านั่นคือบัวสีแดงดอกหนึ่งจริงๆ ใจกลางกลีบบัวยังคล้ายห่อหุ้มอะไรเอาไว้ ทั้งส่งเสียงแปลกประหลาดมาเป็นระลอก นี่ก็คือเสียงที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินหลายหนแล้วนั่นเอง
นี่ต้องเป็นสิ่งที่คอยผลักดันดวงวิญญาณของฉยงฉีอยู่ในน้ำนั้นเป็นแน่ เฟิงจงลุกขึ้นยืน สีหน้าของซีกวงก็เคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน
ฉยงฉีซึ่งเดิมทีมีเพลิงโทสะท่วมฟ้าพลันสงบลง มันหอบแผ่วพลางถอยไปที่ริมน้ำ ขวางอยู่เบื้องหน้าบัวสีแดงอย่างระแวดระวัง จู่ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้น บัวสีแดงแย้มออกแล้ว ฉยงฉีพลันแปรสภาพเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งมุดเข้าสู่ใจกลางกลีบบัว พอมันถูกเงาสีขาวอีกกลุ่มห่อหุ้มไว้เป็นชั้นๆ กลีบบัวก็หุบปิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจมสู่ใต้น้ำไป
เฟิงจงไม่อยากให้เซวียนชิงต้องเป็นเหยื่อล่ออีก จึงบังเขาไว้ด้านหลังก่อนเอ่ยถามซีกวง “ถัดจากนี้เล่า”
ซีกวงสะบัดแส้ไล่ตามไปถึงริมน้ำแล้วยิ้มตอบ “มีหยดโลหิตของเจ้ามาช่วยข้าทั้งที ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องกระชากตัวมันออกมาให้จงได้”
ขณะที่เฟิงจงลอบหงุดหงิดจนลมหายใจติดขัดอยู่นั้น นางก็เห็นเขาสะบัดแส้ออกไปอีกหนแล้ว ครานี้ธารน้ำราวกับถูกผ่าแยกออก เสียงโหยหวนแปลกหูที่ดังออกมาเขย่าขวัญเสียยิ่งกว่าเสียงคำรามของฉยงฉี กลีบบัวสีแดงที่แหลกเป็นชิ้นๆ พลันลอยขึ้นกลางน้ำ ภายในนั้นมีเงาสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาด้วย
แส้ของซีกวงประหนึ่งลมสลาตันแหวกพุ่งออกไปกระหวัดรัดเงาสีขาวนั้นไว้อย่างแน่นหนา ทันทีที่รวบกลับมาถึงเบื้องหน้าสายตา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น “นี่มันตัวอะไรกัน”
(ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้)
Comments
comments
No tags for this post.