X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่สี่

ในที่สุดเวลาหนึ่งวันในพิภพมนุษย์ก็ผ่านพ้นไป เฟิงจงนอนหลับอยู่ในเพิงพักข้างบึงน้ำเช่นนี้มาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว

ซีกวงนั่งเท้าคางอยู่ด้านข้าง ขณะมุ่นคิ้วคิดหาหนทางแก้ไข เขาพลันได้ยินฉยงฉีร้องพูชือพูชือ หันไปก็เห็นว่าฉยงฉีกำลังตะกุยเซวียนชิงระบายอารมณ์อีกแล้ว

เขาเป็นคนแบกเซวียนชิงกลับมาเอง เจ้าตัวจ้อยนี่ไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว ซีกวงคว้าตัวมันแล้วหิ้วมาตรงหน้า ชี้มือไปที่เฟิงจงพลางเอ่ย “เจ้าต้องรู้แน่ว่านี่เกิดจากสาเหตุอะไร รีบพูดมา”

ฉยงฉีร้องชือๆ สองหนแล้วสะบัดศีรษะเมินเขาไป

“ไม่รู้? เจ้าพิทักษ์ต้นฉยงซังมานานปี ไหนเลยจะไม่รู้ได้” ซีกวงยื่นมือเสกเนื้อสดใหม่หนึ่งชิ้นมาแกว่งไปมาตรงหน้ามัน “ไม่รู้จริงหรือ เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ นะ”

ฉยงฉีหิวโหยมานานแล้ว พอเห็นเนื้อก็น้ำลายสอทันที มันรีบวาดอุ้งเท้าไปหมายจะเอื้อมหยิบ ขณะที่ศีรษะก็ผงกแรงๆ

“พูพูชือชือ…” มันพูดออกมาจนหมดเปลือก กระทั่งเมล็ดฉยงซังมันยังคายออกมา แค่เรื่องความลับพวกนี้ก็ช่างปะไรแล้ว สิ่งสำคัญคือได้เนื้อมากินชิ้นหนึ่งต่างหาก

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซีกวงเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว…ที่แท้ผลฉยงซังไม่ใช่แค่กินลงไปก็ใช้ได้ ยังต้องมีขั้นตอนในการหลอมรวมกับกายเนื้อก่อน

ภายหลังมนุษย์กินผลฉยงซังเข้าไปแล้วจะไม่สบายกายนัก โดยปกติต้องนั่งบำเพ็ญสี่สิบเก้าวันผลฉยงซังถึงจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับกายเนื้อได้ โดยจะผลัดสิ่งหมักหมมในกายออกไปจนกระทั่งก่อเกิดเป็นร่างอายุวัฒนะ ทว่าสิ่งที่เฟิงจงกินเข้าไปคือเมล็ดฉยงซังซึ่งมีพลังมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวีของตัวผล ร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจึงยากที่จะแบกรับไว้ได้

ซีกวงโยนเนื้อให้ฉยงฉีก่อนประคองเฟิงจงลุกขึ้นนั่ง เขาใช้พลังเทพสำรวจในร่างกายนางอย่างละเอียด จริงดังคาด เมล็ดฉยงซังที่อยู่บริเวณท้องกลายเป็นอัคคีอันร้อนระอุที่กระจุกตัวไม่ยอมสลาย ทั่วกายของนางจึงร้อนลวกดุจน้ำที่ต้มจนเดือดพล่าน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางต้องไปเยือนตำหนักยมโลกจริงๆ เสียแล้ว

ทางเดียวคือต้องใช้พลังเทพบังคับเร่งให้เมล็ดฉยงซังหลอมรวมกับกายเนื้อ ซีกวงผนึกพลังไว้ที่ปลายนิ้ว กรุยเส้นชีพจรไปตลอดทางตั้งแต่หลังคอจรดปลายกระดูกสันหลังตรงช่วงเอว ยังดีที่ดวงจิตของเขากับกระแสโลหิตของนางเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างจึงราบรื่นยิ่ง อัคคีอันร้อนระอุในร่างนางนั้นเริ่มจะกระจายตัวแล้ว

เฟิงจงเผยอปากนิดๆ ระบายลมร้อนออกมา ทว่าดวงตายังปิดสนิทไม่ลืมขึ้นแม้แต่น้อย อัคคีอันร้อนระอุก็ยังไม่ลดความร้อนลงไป บนร่างจึงยังร้อนอยู่มาก

ซีกวงจัดท่าให้นางนอนราบ ส่วนตนเองลุกขึ้นมองฟ้า ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานถึงหยิบขลุ่ยสั้นเลาหนึ่งจากในอกเสื้อ วางขลุ่ยจรดกับริมฝีปากแล้วเป่าคาถาเรียกมังกร

เพียงชั่วพริบตาบนท้องฟ้าก็บังเกิดเสียงครืนครั่นปานอสนีฟาดอย่างต่อเนื่อง มังกรเขียวสองตัวกลางม่านเมฆเหาะไขว้สลับกันมา อึดใจต่อมาพวกมันก็ใกล้เบื้องหน้าซีกวงแล้ว ร่อนลงมาซ้ายขวาข้างละหนึ่งตัว

ซีกวงชี้มือไปยังหลังคาที่ทำขึ้นจากกิ่งไม้หลายกิ่งนั้นพลางกล่าว “พวกเจ้าจงกลั่นเมฆโปรยฝนอยู่ที่นี่ ชั่วเวลาเค่อเดียวก็หยุดได้แล้ว อย่าให้บนสวรรค์แตกตื่นเป็นอันขาด”

สองมังกรมองหน้ากันเลิ่กลั่ก การบันดาลฝนอยู่ในความรับผิดชอบของพญามังกรเจ้าสมุทร ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของพวกมันสักหน่อย

ซีกวงโบกมืออย่างหมดความอดทน “เร็วๆ เข้าเถอะ ฉวยโอกาสตอนที่ฟ้าจวนมืดนี่แหละ รีบเร่งมือเร็วเข้า”

ขณะที่สองมังกรเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้าอย่างอิดๆ ออดๆ อยู่นั้น พวกมันก็มองเห็นฉยงฉีที่นั่งยองๆ กำลังอุ้มเนื้อขึ้นแทะอย่างบ้าคลั่งพอดี ดวงตาของพวกมันพลันฉายโทสะ เชิดศีรษะขึ้นแผดคำรามใส่ทันที

ฉยงฉีตระหนกจนทำเนื้อร่วงหล่น พอเงยศีรษะขึ้นเห็นมังกรสองตัวหมอบขวางอยู่เบื้องหน้า เส้นขนทั่วร่างเล็กพลันชี้ชันทันใด มันเกร็งลำตัวแยกเขี้ยวขู่พูพูเสียงต่ำ

ซีกวงรีบรุดขึ้นหน้ามาขวางอยู่ตรงกลางแล้วเอ่ยโน้มน้าวมังกรของตน “เอาล่ะๆ ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ตอนนี้มันไม่มีปัญญาจะก่อเรื่องอะไรแล้ว รีบช่วยคนก่อนเร็วเข้า นั่นคือจ่งเสินเชียวนะ!”

สองมังกรเก็บสีหน้าดุร้ายกลับคืนมา ก่อนจะพร้อมใจกันชะโงกศีรษะเข้าไปยลโฉมของเฟิงจง ดวงหน้าแดงซ่านนั้นเยาว์วัยอ่อนต่อโลก เห็นชัดว่าเป็นดวงหน้าของสาวน้อยนางหนึ่ง ใช่จ่งเสินผู้งามอย่างมองมิรู้หน่ายตามคำเล่าลือที่ใดกัน

พวกมันแลกเปลี่ยนสายตากันแวบหนึ่งก็เหาะวนขึ้นไปเหนือหลังคาโดยไม่แสดงสีหน้าอาการ กลั่นเมฆโปรยฝนไปพลาง เอาหัวชนกันและสนทนาประสามังกรไปพลาง “ตงจวินของพวกเราอยากจะมีทายาทจนฟั่นเฟื่อนแล้วใช่หรือไม่ เจอมนุษย์คนหนึ่งยังเห็นเป็นจ่งเสินไปเสียได้”

“ก็นั่นน่ะสิ! ตงจวินต้องถูกพวกใจร้อนเหล่านั้นชักนำให้เสียคนเป็นแน่…หืม? ช้าก่อน มนุษย์หรือ!”

เสียงพูดของมังกรขาดหายไปทั้งอย่างนั้น มังกรตัวที่สำลักน้ำฝนพลันจามหนึ่งหน ทำเอาฉยงฉีที่อยู่เบื้องล่างสะดุ้งเฮือกทำเนื้อหล่นเป็นรอบที่สอง มันเต้นผางด้วยความขุ่นแค้น ซีกวงเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองปราดหนึ่ง “อย่ามัวแต่วิพากษ์วิจารณ์กัน เร่งมือทำงานไป!”

ยากนักที่สองมังกรจะได้เห็นตงจวินเคร่งขรึมจริงจังถึงเพียงนี้ พวกมันนึกว่าบทสนทนานี้ถูกได้ยินเข้าแล้วจึงรีบเงียบเสียง โปรยฝนไปโดยไม่สนทนากันอีก

แท้จริงแล้วที่ซีกวงทำเช่นนี้นับว่าเสี่ยงอยู่บ้าง ทว่านี่ก็เป็นเพราะเขาอับจนหนทางอื่นแล้วจริงๆ

มังกรเขียวสองตัวนี้ของเขามิใช่ธรรมดา ด้วยหน้าที่รับผิดชอบของตงจวิน มังกรเทียมรถจึงต้องไม่หวั่นเกรงต่อความร้อนของเปลวสุริยะ พวกมันสองตัวมีพลังธาตุน้ำโดยกำเนิดซึ่งเหนือกว่าพญามังกรเจ้าสมุทรเสียอีก ประกอบกับภายในกายของพวกมันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง น้ำฝนที่พวกมันโปรยปรายออกมาจึงมีความเย็นยิ่งกว่า ทั้งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายคน นี่จึงเป็นวิธีลดทอนอัคคีอันร้อนระอุในร่างของเฟิงจงได้รวดเร็วที่สุดในเวลานี้แล้ว

เห็นผืนฟ้าจวนจะมืดมิดลง ชั่วเวลาหนึ่งเค่อกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าตอนนี้เองซีกวงพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณของเทพเซียน หัวใจของเขาหดเกร็งในทันที ทว่ายามนี้ไม่อาจยุติการโปรยฝนนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ชวนให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก

ชิงหลีกับฉีอวิ๋นขี่เมฆจากพื้นที่ใกล้เคียงผ่านมาพอดี หลายวันมานี้พวกเขารุดเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ในพิภพมนุษย์ แต่ก็ยังไม่พบอะไรเช่นเดิม พวกเขาที่ไม่เหลือความหวังใดๆ แล้วจึงกำลังเตรียมจะกลับพิภพสวรรค์

ชิงหลีมีสายตาอันเฉียบคม มองเห็นแต่ไกลว่าบริเวณขอบฟ้าที่ปกคลุมด้วยสีแห่งสนธยานั้นมีเมฆฝนตั้งเค้าอยู่ และเมฆฝนเหล่านั้นคล้ายกำลังถูกบางสิ่งฉุดดึงลงไปเบื้องล่างเสียอย่างนั้น กระทั่งถูกดึงจนใกล้จรดยอดเขาแล้วก็ยังคงถูกดึงลงไปในหุบเขาต่ออีก

ฉีอวิ๋นสอดมือไว้ในแขนเสื้อ ยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ด้านข้างของชิงหลี “โอ๊ะ เรื่องใหญ่แล้ว คงไม่ใช่กำลังจะมีเทพเซียนถูกส่งเข้าแดนฮุ่นตุ้นไปอีกกระมัง”

ชิงหลีปรายตามองฉีอวิ๋นอย่างแสนจะรังเกียจเดียดฉันท์ ในใจคิดว่า เหตุใดเจ้ายังไม่ถูกส่งไปแดนฮุ่นตุ้นเสียบ้าง

“เอ๊ะ?” ฉีอวิ๋นราวกับพบอะไรบางอย่าง จึงกระทุ้งชิงหลีแรงๆ หนึ่งที “เจ้าดูยอดเขาที่อยู่ข้างหุบเขาแห่งนั้นสิ ใช่สถานที่ที่พวกเราไปตามหาจ่งเสินกันวันนั้นหรือไม่”

ชิงหลีหรี่ตาก่อนจะสะบัดแขนเสื้อกล่าว “ไปดูกัน”

เทพเซียนทั้งสองร่อนลงในหุบเขา ขณะที่พวกเขาเดินผ่านแนวต้นไม้ก็คอยแหวกปัดหญ้าคาที่ขึ้นตามรายทางไปด้วย หลังจากมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงซ่าๆ ของน้ำตกดังขึ้นที่ด้านหน้า ฝีเท้าของชิงหลีพลันหยุดชะงัก สีหน้าขรึมลงทันใด “ข้าคงมองไม่ผิดกระมัง นั่นคือซีกวง?”

ฉีอวิ๋นชะโงกศีรษะมองดูบ้าง “เอ๋? ใช่จริงเสียด้วย”

ซีกวงยืนอยู่ข้างเนินดินตรงริมบึงน้ำใต้ธารน้ำตก บนเนินดินนั้นมีต้นท้อแตกกิ่งใบสีเขียวสดอยู่ต้นหนึ่ง ด้านข้างที่หมอบขนอยู่คือมังกรสองตัวของเขา พวกมันกำลังดูดซับเมฆบนฟ้า ร่ายเวทโปรยฝนรดต้นท้อนั้นไม่ขาดสาย

“ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้านั่นนี่เอง” ชิงหลีเอ่ยเสียงเยาะ ก่อนจะเอามือไพล่หลังเดินขึ้นหน้าไป “ซีกวง เจ้าช่างขวัญกล้านัก ถึงกับกล้าลักลอบกลั่นเมฆโปรยฝนในพิภพมนุษย์”

เมื่อหันหน้าไปเห็นอีกฝ่าย ซีกวงก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพียงเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า “อ้อ เป็นชิงหลีนี่เอง บังเอิญจริงเชียว ข้าแค่แอบปลูกต้นไม้สักต้นก็ยังมาถูกเจ้าพบเห็นเข้าจนได้”

ฉีอวิ๋นกระวีกระวาดเดินเข้ามาคารวะซีกวงแล้วยิ้มถาม “อยู่ดีๆ เหตุใดท่านเทพซีกวงมาปลูกต้นท้ออยู่ที่นี่เล่า”

เห็นอีกฝ่ายเกรงอกเกรงใจซีกวงยิ่งนัก ชิงหลีก็ไม่ชอบใจ แค่นเสียงฮึเบาๆ อย่างดูแคลน

ซีกวงทำเป็นมองไม่เห็น เพียงเอ่ยกับฉีอวิ๋นว่า “หลงต้ากับหลงเอ้อร์มังกรที่ตำหนักข้าไม่มีความชอบอื่นใด มีก็แต่ชอบกินผลท้อที่ฉ่ำหวานของพิภพมนุษย์ ไม่ง่ายเลยกว่าที่ข้าจะเสาะหาต้นท้อในพิภพมนุษย์พบสักต้น วันนี้นำมาปลูกไว้ที่แหล่งน้ำแห่งนี้ วันหน้าพวกมันจะได้กินของโปรดกับเขาบ้าง ข้าก็ได้แต่หวังว่าปลูกแล้วจะอยู่รอด”

ชิงหลีชำเลืองมองมังกรทั้งสอง “พิกลแท้ อยู่ดีๆ มังกรไม่กินสัตว์อสูร กลับไปชอบกินผลท้อเสียได้”

คาดว่าวาจานี้คงไปกระตุ้นใจเจ้าตัวจ้อยบางตัวเข้า เสียงพูชือพูชือแผ่วเบาจึงดังขึ้นจากโคนต้นท้อ สองมังกรรีบพร้อมใจกันพยักหน้าไปทางชิงหลีทันใด พลางถือโอกาสตบหางลงไปแถวโคนต้นท้อเพื่อทำให้ความสงบคืนกลับมา

ด้วยมีเสียงฝนกับเสียงน้ำตกผสมกันอยู่ ชิงหลีจึงไม่ได้ติดใจว่าเมื่อครู่นี้จะมีเสียงอื่นดังขึ้น เขาเพียงเอ่ยประชดว่า “ช่างสมกับเป็นตงจวินยิ่งนัก กระทั่งสัตว์เทพก็ยังเอาใจใส่ปานนี้”

“แน่นอน ชั่วดีอย่างไรก็เป็นสัตว์เทพที่คอยทำหน้าที่แทนข้าอยู่ทุกวัน ย่อมต้องตกรางวัลให้พวกมันบ้าง”

ชิงหลีคิดในใจ…เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าตนเองเกียจคร้านบกพร่องต่อหน้าที่

ซีกวงเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง “แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่พิภพมนุษย์เล่า”

ชิงหลีปิดปากไม่ตอบคำ ผิดกับฉีอวิ๋นที่เอ่ยตามตรงโดยไม่หลบเลี่ยง “แน่นอนว่ามาเพื่อตามหาจ่งเสิน ไม่ทราบว่าท่านเทพซีกวงพบเบาะแสใดบ้างหรือไม่”

ซีกวงถามอย่างตกใจ “จ่งเสินอยู่ในพิภพมนุษย์หรือนี่!”

ดวงตาของชิงหลีพลันฉายโทสะ ยื่นมือไปหยิกแขนฉีอวิ๋นแล้วเค้นคำพูดจากไรฟันออกมาเบาๆ “เจ้า…โง่…นัก…หรือ!”

ฉีอวิ๋นร้องโอ๊ย นวดแขนพลางกล่าว “บอกท่านเทพซีกวงก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นอีกแรงก็มีความหวังเพิ่มขึ้นอีกส่วน พวกเราเองก็มืดแปดด้านแล้วนี่”

“จ่งเสินอยู่ในพิภพมนุษย์จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!” ซีกวงพูดพลางเรียกก้อนเมฆมา “หลงต้า หลงเอ้อร์ พวกเจ้าจงรดน้ำต่อไป ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับแล้ว!”

เห็นซีกวงขี่เมฆจากไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ชิงหลีก็ถลึงตาใส่ฉีอวิ๋นอย่างดุดัน รีบลากตัวอีกฝ่ายแล้วเหาะเหินตามซีกวงไป “ยังมายืนทึ่มทื่ออยู่ทำไม รีบไล่ตามเขาไปเร็วเข้า!”

ฉีอวิ๋นถูกกระชากขึ้นก้อนเมฆ ขณะที่ร่างยังคงโงนเงนเขาก็เอ่ยอย่างไม่เห็นพ้อง “มีอะไรน่าปิดบังเล่า ก็ให้เขาตามหาไปสิ จะหาพบหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากหาพบจริงก็ยิ่งดีเลย ถึงตอนนั้นพอพวกเราลงมือ เขาน่ะหรือจะมีปัญญามาแย่งชิงกับพวกเราได้”

ชิงหลีอยากใช้จะงอยปากจิกปลิดชีพฉีอวิ๋นเสียเดี๋ยวนี้เลย “ข้าไม่อยากให้เขาได้มีโอกาสเลยสักนิด! อีกอย่างนะ เขาไม่มีปัญญามาแย่งชิงกับข้า…ไม่ใช่กับพวกเรา”

ชิ สุภาพบุรุษย่อมไม่ต่อปากต่อคำกับนก ฉีอวิ๋นไม่เก็บวาจาของวิหคครามอย่างชิงหลีมาเป็นอารมณ์หรอก กระนั้นระหว่างทางที่ถูกอีกฝ่ายลากตัวเหาะเหินไปมา ฉีอวิ๋นก็ยังพูดแย้งอยู่ในใจ…อย่างไรเสียก่อนที่จะพบเจอจ่งเสิน ผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไรก็ยังไม่มีผู้ใดสรุปได้

ท้องนภามืดมิดแล้ว เมื่อไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกเขาอีก ซีกวงก็วกกลับมายังหุบเขาอีกครา สองมังกรซึ่งหยุดฝนสลายเมฆไปเรียบร้อยแล้วกำลังรอคอยผู้เป็นนายอยู่ที่ข้างเนินดิน นอกจากออกกระบวนท่ามังกรเทพสะบัดหางทันทีที่ได้ยินเสียงร้องพูชือแล้ว หลงต้ากับหลงเอ้อร์ก็นับว่าอยู่ในอาการที่สงบเสงี่ยมดีทีเดียว

ซีกวงร่ายอาคมทันใด เนินดินที่อยู่เบื้องหน้าสายตาพลันทลายออก เผยให้เห็นตัวเพิงหลังเดิม ส่วนต้นท้อต้นนั้นก็ยืดตัวคืนสภาพเป็นกิ่งไม้ที่พาดขึ้นเป็นหลังคาเพิง ที่แท้นี่ก็คือข่ายอาคมที่เขาวางไว้นั่นเอง

เซวียนชิงนั่งตัวเปียกปอนอยู่ด้านข้าง ส่วนฉยงฉีที่หน้าตามอมแมมกำลังจ้องเขม่นอยู่กับสองมังกร

ซีกวงค้อมกายเข้าไปในเพิงพัก พินิจร่างกายภายนอกของเฟิงจงโดยละเอียด ในที่สุดสีแดงซ่านบนพวงแก้มของนางก็จางหายไปเสียที ครั้นตรวจภายในร่างนางก็พบว่าอัคคีที่ร้อนระอุได้สลายตัวไปแล้วเช่นกัน

เขาโบกมือไปด้านหลัง ให้สองมังกรรู้ว่างานสำเร็จได้เวลากลับไปแล้ว ในที่สุดดวงตาคู่ใหญ่สองคู่ก็เลิกจ้องกับดวงตาคู่เล็กของฉยงฉี หลงต้ากับหลงเอ้อร์พากันเชิดศีรษะสะบัดหน้า ก่อนจะเหาะตามกันไป มุ่งหน้ากลับสู่ภูเขาฝูเฟิง

 

เฟิงจงกำลังอยู่ในห้วงฝัน นางฝันเห็นภาพเหตุการณ์ยามที่ตนเองเพิ่งจะตื่นขึ้นมาบนพิภพมนุษย์ ยามนั้นไม่มีควันธูปสักการะเทพ ยิ่งไม่มีระบำอธิษฐานใดๆ นางเพียงแค่ตื่นขึ้นจากการนอนตลอดหลายพันปีเช่นนี้โดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า

ยามที่อยู่ในช่วงของนิทรา…พิภพมนุษย์มีแต่ความรุ่งเรืองร่มเย็น ร่างของนางรายล้อมไปด้วยหญ้าหอมและกล้วยไม้ ทว่าภายหลังที่ตื่นขึ้นมา…กลับมีเพียงต้นหญ้าเหี่ยวเฉากับใบไม้แห้งเหี่ยวอยู่รอบตัว

นางออกค้นหาในหลายๆ สถานที่ แต่ไม่พบเจอมนุษย์เลยสักคนเดียว สิ่งที่เห็นมีเพียงสัตว์อสูรที่เตร็ดเตร่ไปทั่ว เมื่อเงยศีรษะขึ้น…ผืนฟ้าก็อยู่ไกลเกินกว่าที่นางจะไปได้ถึง ครั้นก้มหน้ามองผืนดิน…ทุกพื้นที่ก็ไม่ต่างไปจากขุมนรกอเวจี

พิภพสวรรค์คล้ายกับลืมเลือนพิภพมนุษย์แห่งนี้ไปแล้ว จนแล้วจนรอดบนแผ่นดินที่แตกระแหงจนเป็นร่องกว้างกว่าหนึ่งฉื่อนี้ก็ยังไม่เห็นสายฝนโปรยปรายลงมาเสียที แม้แต่ตัวนางก็รู้สึกร้อนเป็นไฟจนทั้งร่างคล้ายจะปริแยกแล้ว

หากมีฝนตกลงมาสักครั้งก็คงดีสิ…นางคิดเงียบๆ ขณะนั่งอยู่บนดินที่แตกระแหง

จากนั้นท้องฟ้าก็มีสายฝนโปรยปรายลงมาจริงๆ หยาดน้ำอันเย็นเฉียบแสนสบายนั้นพาให้เฟิงจงรู้สึกสดชื่น นางรู้สึกราวกับทุกส่วนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด กระทั่งสติรับรู้ก็แจ่มชัดขึ้นด้วย

ยามที่เฟิงจงตื่นจากห้วงฝัน แสงอรุโณทัยยังคงมีเพียงอ่อนๆ ท่ามกลางแสงสลัวนั้นนางมองเห็นใบหน้าของซีกวงได้ชัดเจน ดวงตาที่หลุบต่ำมองมาของเขาราวกับซึมซับความอบอุ่นกระจ่างตาของแสงแรกอรุณเอาไว้

“โอ๊ะ เมล็ดพันธุ์น้อย เจ้าตื่นแล้วหรือ ยินดีกับเจ้าด้วย อายุขัยของเจ้าจะไม่มีจุดสิ้นสุดอีก นับแต่นี้เจ้ามีอายุขัยเสมอฟ้าแล้ว”

เฟิงจงกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งทันที “จริงหรือ”

ซีกวงผงกศีรษะรับ

“แล้วเหตุใดข้ายังรู้สึกหิวอยู่เล่า”

“ก็เพราะเจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่น่ะสิ”

เฟิงจงคอตก ก่อนจะล้มตัวกลับลงไปนอนตามเดิม “ข้าหิวเหลือเกิน”

ซีกวงมองนางอย่างขบขันพลางหิ้วฉยงฉีโยนไปที่เบื้องหน้านาง “เฝ้าไว้ให้ดีล่ะ” จบคำกำชับเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไปไกล

ฉยงฉีร้องพูชือแล้วขยับอุ้งเท้าเจ้าเนื้อถอยห่างจากเฟิงจงไปสองก้าวเงียบๆ ทว่ากลับไปเหยียบถูกเท้าของเซวียนชิงที่อยู่ด้านหลังเข้าจนได้ มันเห็นเฟิงจงจ้องมาตาเขม็งจึงรีบหลบไปข้างหลังเซวียนชิงทันใด แต่ก่อนหน้านั้นมันก็ยังไม่ลืมที่จะยื่นอุ้งเท้าจ้ำม่ำของมันออกไปเช็ดบนหน้ารองเท้าของเซวียนชิงด้วยสองที

เฟิงจงหัวเราะขันอย่างอ่อนแรง “นับว่าเจ้ายังฉลาด แล้วก็น่าเอ็นดูไม่น้อย ต่อไปก็จงติดตามข้าอย่างเชื่อฟังเถอะ หากเจ้าริอ่านไปข้องเกี่ยวกับอวี้ถูอีก ข้าจะไม่ให้เจ้าได้กินเนื้อเลยสักคำเดียว!”

ฉยงฉีร้องพูชืออย่างเศร้าสร้อย ซ่อนกายอยู่ด้านหลังของเซวียนชิงโดยไม่ยอมออกมาอีก

 

ซีกวงเดินไปถึงข้างไม้ผลต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณบึงน้ำแล้ว เขาเด็ดผลไม้ป่าหนึ่งกองมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะปลิดหนึ่งผลยัดใส่เข้าปากเพื่อชิมดู ปรากฏว่ารสชาติของมันเปรี้ยวฝาดเกินทน เขาขมวดคิ้วขบคิด…มิสู้ลองไปดูที่อื่นว่ามีสัตว์อสูรบ้างหรือไม่ ถึงอย่างไรกินเนื้อก็ย่อมดีกว่ากินผลไม้ป่านี้แน่นอน

แต่เพิ่งจะขยับฝีเท้า เขาก็พลันชะงักไป เอ๊ะ นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดเพียงแค่เฟิงจงพูดว่าหิว ข้าก็ต้องวิ่งออกมาหาของกินให้นางในทันทีด้วย ข้าเป็นหุ่นเวทจนเคยชินแล้วหรือ!

ความคิดนี้ทำให้ซีกวงอารมณ์เสียยิ่ง เขาสะบัดมือโยนผลไม้ทั้งหมดทิ้งไป

หลังจากเอนร่างนอนจนกระทั่งตะวันสายโด่ง เฟิงจงก็รอต่อไปไม่ไหวแล้ว ทว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นนั่งก็เห็นซีกวงเดินเนิบนาบมาแต่ไกล มือข้างหนึ่งลากแส้ยาว มืออีกข้างไพล่หลัง รอจนเขาเดินเข้ามาใกล้ มือข้างนั้นก็โยน ‘ของ’ มาเบื้องหน้า สิ่งที่ถูกโยนมาถึงกับเป็นสัตว์อสูรมีปีกอ้วนพีตัวหนึ่ง

ฉยงฉีโผล่ร่างออกมาทันใด “พูพู” มันชูอุ้งเท้าพร้อมกับโห่ร้องเสียงดัง

เฟิงจงเองก็แสนจะตื่นเต้นยินดี “เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก รีบเอาไปย่างเร็วเข้าเถอะ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เอารสชาติที่ย่างด้วยเพลิงกสิณนะ!”

ซีกวงหันหลังขวับ ก่อนจะใช้ด้ามแส้เคาะบนหลังมืออีกข้างของตนโดยไม่ให้เกิดเสียง…ไฉนจึงควบคุมมือนี้ของตนเองไม่ได้อยู่เรื่อย!

 

หลังจากได้กินดื่มอย่างอิ่มหนำแล้ว เฟิงจงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก นางยิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน

เฟิงจงเดินไปที่ริมบึงแล้วนั่งเข้าฌาน หลังจากโคจรพลังวิเศษไปตามเส้นลมปราณเริ่นและตูหนึ่งรอบเล็ก จากนั้นค่อยโคจรหนึ่งรอบใหญ่* ฉับพลันรู้สึกว่าทั่วร่างเปี่ยมล้นด้วยพลัง ปลอดโปร่งเบาสบายตัวยิ่งนัก

“คาดว่าการฟื้นฟูพลังเทพของเจ้าคงใกล้สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว” ซีกวงใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ นอนตะแคงอยู่ในเพิงพัก พลางใช้มืออีกข้างปั่นหญ้าเย้าแหย่ฉยงฉี

ฉยงฉีกำลังอุ้มเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย พอถูกหญ้าเส้นนั้นเขี่ยรังควานก็รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก แต่ก็ติดตรงที่อีกฝ่ายเป็นผู้หาอาหารมาให้ มันจึงทำได้แค่มีโทสะแต่ไม่กล้าปริปาก ได้แต่หลบไปหลบมาเท่านั้น

เฟิงจงลืมตาขึ้นแล้ว “จริงทีเดียว พลังวิเศษที่เพิ่มพูนขึ้นในช่วงนี้ได้หลอมรวมเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วร่างข้าโดยสมบูรณ์แล้ว คาดว่าดวงจิตเทพก็คงก่อตัวขึ้นใหม่แล้วเช่นกัน”

ซีกวงคลี่ยิ้ม “เช่นนี้ก็สามารถเร่งฟื้นฟูความเป็นเทพผ่านการบำเพ็ญเซียนได้แล้วน่ะสิ ทว่าแต่ไรมาการบำเพ็ญของมนุษย์ก็มีอุปสรรคอยู่มากมาย ยิ่งตอนนี้พิภพมนุษย์เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่เอื้อต่อการบำเพ็ญเลย ต่อให้ร่างเจ้ามีอายุยืนยาว เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงหลายร้อยปี”

เฟิงจงกล่าว “สำหรับข้า วิธีบำเพ็ญของมนุษย์ทั่วไปล้วนแต่ไร้ผล เดิมทีข้าก็ถือกำเนิดขึ้นโดยอาศัยวิสุทธิ์โลหิตของมหาเทพ หากคิดจะกลับไปเป็นเทพจริงๆ ก็มีแต่ต้องยืมวิสุทธิ์โลหิตของมหาเทพอีกครั้งแล้ว”

ซีกวงตะลึงงัน เลิกเย้าแหย่ฉยงฉีทันที “มหาเทพหนี่ว์วานิทราไปชั่วนิรันดร์แล้ว เจ้าจะไปยืมวิสุทธิ์โลหิตของนางได้อย่างไร”

“ผู้ใดว่าข้าต้องการจะยืมวิสุทธิ์โลหิตของมหาเทพหนี่ว์วาเล่า” เฟิงจงคล้ายมีแผนการในใจอยู่แต่แรกแล้ว นางปัดแขนเสื้อก่อนลุกขึ้นยืน “สรุปคือข้าผู้สันโดษมีวิธีการอันยอดเยี่ยมของข้าเอง”

ซีกวงเลิกคิ้ว วิธีบำเพ็ญของมหาเทพบรรพกาลไม่ธรรมดาจริงเสียด้วย

เฟิงจงเดินมาถึงเบื้องหน้าของซีกวง นางใช้นิ้วมือดันมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะย่อกายลงมองเขา “ปกติหน้าที่บนสวรรค์ของเจ้ายุ่งหรือไม่”

ไฉนอยู่ดีๆ ก็มาเอาใจใส่?…ซีกวงมีท่าทีระแวดระวังขึ้นมาทันที “ก็พอควร แต่มังกรสองตัวที่ตำหนักข้างานยุ่งกว่า”

รอยยิ้มของเฟิงจงลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อเจ้างานไม่ยุ่ง เช่นนั้นจะช่วยทำงานเล็กๆ ของข้าสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

“เล็กเพียงใดเล่า”

เฟิงจงตอบ “ข้ามีของวิเศษอยู่สองชิ้น หนึ่งคือคทาหม่อนมังกร…มีพลังที่ทำให้สรรพสิ่งเจริญเติบโต อีกหนึ่งคือแจกันหยกสีน้ำเงิน…เปี่ยมด้วยพลังแห่งการฟูมฟักทายาท มีเพียงนำพวกมันกลับมา ข้าถึงจะอาศัยวิสุทธิ์โลหิตของบรรดาเทพเซียนมาบำเพ็ญเซียนได้อย่างราบรื่น”

สำหรับซีกวงแล้ว ของวิเศษสองชิ้นนี้ของนางไม่แปลกหูแต่อย่างใด อันที่จริงเหตุที่ในสามพิภพพูดกันว่าจ่งเสินสามารถสืบเชื้อสายของสรรพชีวิตได้นั้น เป็นเพราะนางมีแจกันหยกสีน้ำเงินนั่นเอง กล่าวกันว่าทายาทที่ฟูมฟักขึ้นมาจากแจกันหยกนี้จะได้รับการสืบทอดพลังอันบริสุทธิ์และล้ำเลิศที่สุดของบุพการี

แม้ยามปกติซีกวงจะรำคาญเรื่องยุ่งยากเพียงใด แต่พอเป็นสองสิ่งนี้ต่อให้ยุ่งยากเพียงใดก็ต้องไปนำกลับมาให้ได้

เขาผุดลุกขึ้นนั่ง “เจ้านำของวิเศษไปเก็บซ่อนไว้ที่ใดเล่า”

เฟิงจงนิทราไปยาวนานเหลือเกิน พอจู่ๆ ถูกถามขึ้นมา นางจึงต้องเท้าคางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะเป็นที่ทะเลเขี้ยวพิโรธ”

ซีกวงมุ่นคิ้วทันที “นั่นไม่เท่ากับอยู่ที่แดนฮุ่นตุ้นหรือ”

เฟิงจงผงกศีรษะรับ

แดนฮุ่นตุ้นตั้งอยู่ที่ชายขอบของสามพิภพ เป็นพื้นที่สีเทาซึ่งไม่แบ่งแยกฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของปีศาจมารกับนักโทษที่ถูกเนรเทศ ซีกวงกุมหน้าผาก “พูดมาตามตรงเถอะ ตอนที่ไปซ่อนของวิเศษ เจ้าดื่มสุราจนเมามายใช่หรือไม่”

ใบหน้าของเฟิงจงฉาบไปด้วยความมั่นใจ “ข้าซ่อนไว้ที่นั่นก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่มิอาจไม่ซ่อน เจ้านึกว่าข้าอยากทำเช่นนั้นหรือไร!”

ซีกวงทอดถอนใจ ของวิเศษจำเป็นต้องนำกลับมา การเดินทางครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเฟิงจงในร่างมนุษย์มุ่งหน้าไปเพียงลำพังย่อมจะเป็นอันตรายยิ่งยวด ยิ่งหากขาดความช่วยเหลือจากเขาไปก็ไม่มีทางจะเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นได้โดยราบรื่นเป็นอันขาด ทว่าจะให้เขาไปด้วยก็ถือเป็นความยุ่งยากเช่นกัน แดนฮุ่นตุ้นมีทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมผสมปนเป เป็นสถานที่ของผู้ถูกเนรเทศ หากมีเทพสวรรค์ผู้หนึ่งโผล่ไปในสถานที่เช่นนั้นย่อมสะกิดให้ผู้อื่นระแวงสงสัยได้ง่ายดายยิ่ง

เขามองดูฉยงฉีที่ยังคงอุ้มเนื้อขึ้นแทะอย่างไม่บันยะบันยัง ก่อนจะเบนสายตาไปมองเซวียนชิงผู้นั่งทึ่มทื่ออยู่ด้านข้าง “ยังต้องพาพวกเขาไปด้วย?”

“ข้อนั้นย่อมแน่นอน พวกเขาเป็นหุ่นเวทของข้า หากไม่ติดตามข้า แล้วจะให้ไปที่ใดได้อีก”

บนพิภพนี้ไม่มีสิ่งที่ได้มาโดยง่ายเลยจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนแต่ยุ่งยากยิ่งนัก ซีกวงนวดหว่างคิ้วก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากเพิงไป “ออกเดินทางเช่นนี้ไม่ไหวแน่ เจ้ารอสักพักแล้วกัน ข้าจะกลับไปหยิบของก่อน”

เฟิงจงลุกขึ้นส่งเขา “รีบไปรีบมานะ ข้าจะรอเจ้า”

ซีกวงโบกมือให้ จากนั้นร่างก็ไหววูบหายไป

เฟิงจงเองก็ไม่อยู่เฉย รีบลงมือเตรียมการโดยไม่รอช้า ทว่าพอหันหน้าไป นางก็เห็น ‘ผลงานชิ้นสำคัญ’ ของฉยงฉีเข้าเสียก่อน…แรกเริ่มนางในสภาพหิวจนอ่อนแรงไม่อาจกินได้สักเท่าไร นางย่อมไม่คาดคิดว่าสัตว์อสูรย่างที่แสนจะอ้วนพีเมื่อครู่จะถูกฉยงฉีกินไปกว่าครึ่งค่อนตัวแล้ว นางจึงปรี่เข้าไปช่วงชิงกลับมาทันที

“เห็นหรือไม่ นายพรานจากไปแล้ว กินให้น้อยหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นกินหมดมื้อนี้ก็ไม่มีมื้อหน้าแล้วนะ!”

ฉยงฉีที่คาบเนื้อคาอยู่ในปากชิ้นหนึ่งมองตาละห้อยไปยังจุดที่ซีกวงหายลับไป ก่อนจะวางชิ้นเนื้อในปาก อดใจยังไม่กินเนื้อชิ้นนั้นแล้วหันมาเลียอุ้งเท้าแทน

ตกค่ำเฟิงจงก็เตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไปพอสมควรแล้ว สัตว์อสูรย่างที่กินเหลือตัวนั้นถูกนางหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วห่อด้วยใบไม้สะอาด ก่อนบรรจงวางใส่ไว้ในหลัวสะพายหลังใบนั้น

ทว่าฉยงฉีกลับหิวขึ้นมาอีกแล้ว มันกระโดดเหยงๆ อยู่ด้านข้างไม่ยอมหยุด เอาแต่วนไปเวียนมาอยู่รอบๆ หลัวสะพายหลัง จนกระทั่งถูกนางหิ้วตัวมาอบรมหนึ่งรอบถึงสงบลงได้

ไม้ฟืนในกองไฟส่งเสียงดังเพียะพะ ฉยงฉีหมอบอยู่ด้านข้างแค่นเสียงดังพูพูด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ หูแหลมของมันก็พลันตั้งขึ้น เกร็งลำตัวขึ้น มองไปยังบริเวณที่อยู่ไกลออกไป ปากก็คำรามเสียงต่ำดังอูอู

เห็นฉยงฉีเป็นเช่นนั้นในใจเฟิงจงก็ตื่นตัวระวังภัยในทันที มองตามสายตาของมันไปได้ไม่นานนัก นางก็ได้ยินเสียงร้องฮุยเลฮุยดังมาระลอกหนึ่ง

เสียงที่ค่อนข้างคล้ายกับเสียงมนุษย์นี้ทำให้ใจเฟิงจงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง ทว่าสถานการณ์ยังไม่ชัดแจ้ง นางจึงยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ พลางคลำหาท่อนกระดูกสีขาวที่เรียวยาวท่อนนั้นมากำไว้ในมือ

เสียงเล็กแหลมและดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟที่สาดส่องค่อยๆ เผยให้เห็นลูกท้อทิพย์ลูกใหญ่ฉ่ำน้ำลูกหนึ่งกำลังลอยโคลงเคลงมาหานางอย่างช้าๆ

เฟิงจงประหลาดใจยิ่ง ก่อนจะเห็นว่าที่แท้ลูกท้อทิพย์นั้นวางอยู่บนกิ่งไม้สองกิ่ง กลุ่มคนร่างเล็กที่อยู่เบื้องล่างเสียแรงไปไม่น้อยในการหามมันเดินมุ่งหน้ามาพลางร้องฮุยเลฮุยตลอดทาง

แต่ละคนในกลุ่มนั้นมีส่วนสูงไม่ถึงสองฉื่อ ต่างสวมเอี๊ยมและมุ่นผมเป็นมวยบนศีรษะคนละสองลูก หน้าตาท่าทางยังดูเป็นเด็กน้อยทุกคน พวกเขาหามลูกท้อทิพย์ลูกนั้นมาจนถึงเบื้องหน้าเฟิงจง ทันทีที่วางลูกท้อทิพย์ลงก็เหน็ดเหนื่อยจนล้มกองบนพื้น

มีเพียงเด็กน้อยคนหน้าสุดนั้นที่ยังยืนอยู่ เขาคุกเข่าลงแล้วคารวะเฟิงจง “ยินดีกับท่านผู้มีอายุขัยเสมอฟ้า พวกข้าน้อยตั้งใจมามอบของกำนัลเพื่อแสดงความยินดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะโปรดรับไว้”

เฟิงจงสูดกลิ่นเบาๆ…ทั้งหมดล้วนเป็นวิญญาณร้าย!

นางกุมกระดูกสีขาวท่อนนั้นไว้ ทิ่มแรงๆ ไปบนลูกท้อแล้วยกมาดูเบื้องหน้าสายตา จากนั้นจึงยื่นคืนกลับไป “เจตนาดีของทุกท่าน ข้าจะรับไว้เพียงลำพังได้อย่างไรเล่า ลูกท้อนี้ก็มอบเป็นรางวัลแก่ทุกท่านแล้วกัน”

เด็กน้อยทั้งหลายรีบตะกายขึ้นมาคุกเข่ากับพื้นอย่างสำรวม “มิกล้าๆ” ท่อนกระดูกในมือของเฟิงจงได้มาจากร่างของสัตว์อสูร พวกเขาคล้ายดูหวั่นเกรงอยู่บ้าง ถึงได้หลบเลี่ยงไปซ้ายขวา

เฟิงจงเอ่ยอย่างเยาะหยัน “เป็นแค่วิญญาณพเนจรกลุ่มหนึ่งก็ยังกล้ามาตบตาข้า อยากวิญญาณแตกสลายนักใช่หรือไม่”

สีหน้าของเด็กน้อยคนหน้าสุดพลันเปลี่ยนไปทันใด รูปโฉมไม่เพียงดุร้ายน่าสะพรึงกลัว ปากยังเผยเขี้ยวยาวขณะโถมเข้าใส่เฟิงจงอย่างรวดเร็ว

เฟิงจงถือโอกาสสะบัดมือเหวี่ยงลูกท้อนั้นออกไป เมื่อลูกท้อกระแทกใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำก็ทะลุผ่านหน้าอกเขาไปราวกับชนถูกหมอกควันกลุ่มหนึ่ง เด็กน้อยที่เหลือเห็นเช่นนั้นก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง พากันพุ่งเข้ามาอย่างดุดันหมายจะฉีกกัดร่างนาง

เฟิงจงลุกขึ้นถอยร่นพลางปรายตามองฉยงฉีปราดหนึ่ง…มันกำลังชมความครึกครื้นอย่างตื่นตัวเท่านั้น

“จอมตะกละ เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!” นางด่ากราดหนึ่งประโยคก่อนจรดนิ้วทำมุทรา ฉยงฉีถึงได้รุดขึ้นหน้ามาขวางไว้พร้อมกับคำรามดังพูพูสองหน

กลิ่นอายของสัตว์อสูรข่มขวัญวิญญาณพเนจรกลุ่มนี้ได้ทันที ทว่าก็ได้แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรฉยงฉีก็ยังไม่เจริญวัย ดูไม่มีพลังอันน่าครั่นคร้ามเลยสักนิด วิญญาณพเนจรกลุ่มนั้นจึงลอยพลิ้วผ่านเลยมันไป มุ่งมาโจมตีเฟิงจงอีกครา

เห็นตนเองถูกมองข้ามไปเสียได้ ฉยงฉีพลันขัดเคืองใจยิ่งนัก จึงรีบกลับตัวแล้วไล่หลังมาทันใด พอตะปบคว้าวิญญาณร้ายได้ ฉยงฉีก็จับกลืนลงท้องในคำเดียว ทั้งยังส่งเสียงเรอออกมาด้วย

เฟิงจงใช้ท่อนกระดูกสีขาวทิ่มปลายนิ้วให้เลือดออก จากนั้นใช้ท่อนกระดูกเปื้อนเลือดวาดไปทางวิญญาณพเนจรที่ประชิดมาใกล้ตัว วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าถูกโจมตีในทันที มันแผดร้องโหยหวนก่อนจะแตกสลายไป

วิญญาณพเนจรตนอื่นเห็นเช่นนั้นก็หวาดผวา ประกอบกับเห็นเฟิงจงและฉยงฉีกระหนาบโจมตีมาทั้งหน้าหลัง พวกมันจึงแตกฮือหนีเตลิดเปิดเปิงไปทันที

ทว่ายังไม่ทันจะหนีไปไหนได้ไกล ลมสลาตันหอบหนึ่งก็กวาดมาถึงในฉับพลัน เหล่าวิญญาณพเนจรไม่ทันจะเปล่งเสียงร้องก็แหลกสลายเป็นผุยผงไปก่อนแล้ว

ซีกวงร่อนลงที่เบื้องหน้าเฟิงจง ก่อนรวบเก็บแส้อย่างเนิบช้า “หึๆ นี่มันผีทวงหนี้มิใช่หรือ”

เฟิงจงดูดปลายนิ้วเพื่อหยุดเลือดแล้วก็เอ่ยอย่างงุนงง “ข้าติดหนี้อะไรพวกมันเล่า”

ซีกวงตอบ “พวกมันล้วนกลายร่างมาจากผู้ที่ตายก่อนเวลาอันควร ย่อมรู้สึกว่าใครๆ ก็ติดค้างพวกมันทั้งสิ้น คาดว่าระหว่างที่ร่อนเร่คงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายร่างอายุวัฒนะของคนเป็น ในใจจึงบังเกิดความริษยา ถึงได้อยากมาทำร้ายเจ้า”

เฟิงจงพลันเข้าใจกระจ่าง เมื่อครั้งยังเป็นเทพ สิ่งที่มาจากพิภพวิญญาณเหล่านี้ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้นางแม้แต่น้อย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่ามีผีทวงหนี้พวกนี้อยู่ “เจ้ามาได้ถูกเวลานัก หากปล่อยให้พวกมันหนีกลับตำหนักยมโลกไปได้ อวี้ถูก็จะรู้เรื่องที่ข้ามีร่างอายุวัฒนะทันที”

“จุ๊ๆ คิดไม่ผิดเลยจริงๆ ยังคงต้องมีข้าอยู่ด้วยสินะ” ซีกวงนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบถุงแพรใบเล็กกะทัดรัดจากในแขนเสื้อยื่นส่งให้นาง “นี่คือถุงฟ้าดิน สามารถเก็บบรรจุได้ทุกสรรพสิ่ง พวกเราเดินทางกันทั้งอย่างนี้คงไม่สะดวก มิสู้เจ้าใส่หุ่นเวทไว้ในนี้แล้วพกติดตัวจะดีกว่า”

เฟิงจงเพิ่งจะรับถุงแพรใบนั้นมา เขาก็เอ่ยเสริมอีกประโยค “แค่ให้เจ้ายืมใช้ก่อนเท่านั้น วันหน้าต้องคืนข้าด้วย”

“ชิ! อย่างข้าหรือจะฮุบเอาไป”

ซีกวงแบสองมือออก “ช่วยไม่ได้นี่ ถุงใบนี้ข้าขอยืมจากหลงต้ามาอีกที ตอนนี้มันยังเคืองข้าอยู่เลย”

เฟิงจงงงงัน “หลงต้าเป็นผู้ใด”

ซีกวงจุปากพลางส่ายหน้า “หากไม่ใช่หลงต้ากับหลงเอ้อร์มังกรที่ตำหนักข้าช่วยโปรยฝนลดไอร้อนให้เจ้า เจ้านึกว่าตนเองยังจะเริงร่าอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ”

ตอนนี้เฟิงจงถึงได้เข้าใจว่าสายฝนในห้วงฝันนั้นมาจากที่ใด สาวน้อยจึงเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ”

“โอ๊ะ จ่งเสินถึงกับกล่าวขอบคุณข้าด้วย” ซีกวงยกมือทาบอก ทำทีเป็นตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันนี้

“ที่ข้าขอบคุณคือมังกรของเจ้าต่างหาก” เฟิงจงค้อนใส่ ก่อนจะเปิดถุงแพรให้ดูดเอาเซวียนชิงเข้าไปพร้อมกับหลัวสะพายหลังใบนั้น ส่วนฉยงฉีก็ปล่อยไว้ข้างนอกตามเดิม เจ้าตัวจ้อยนี่เหลี่ยมจัดยิ่งนัก เกิดทำหน้าไหว้หลังหลอก รังแกหุ่นเวทอยู่ในถุงฟ้าดินนางก็มองไม่เห็นน่ะสิ

เมื่อเตรียมการพร้อมสรรพก็เป็นเวลาครึ่งคืนหลังไปแล้ว กระแสลมมีท่าทีที่จะโหมแรงขึ้น เกรงว่านอกหุบเขาคงเกิดพายุทรายขึ้นแล้ว

เฟิงจงหลับไปได้เพียงครู่เดียว ทั้งหลับไม่สนิทเลยสักนิด ท้องนภาเพิ่งจะสว่างรำไรนางก็ตื่น ครั้นชะโงกศีรษะมองออกไปนอกหุบเขาก็พบว่าพายุทรายสงบลงแล้ว ทางหนึ่งนางจึงรีบไปล้างหน้าบ้วนปากที่ริมบึง อีกทางหนึ่งก็ร้องเรียกซีกวง “เร็วเข้า รีบออกเดินทางตอนที่อากาศยังดีอยู่เถอะ”

ซีกวงนั่งสมาธิอยู่ข้างกองไฟ เขาพูดโดยไม่แม้แต่จะลืมตา “เจ้าก็ช่างใจร้อนเกินไปแล้ว”

เฟิงจงไม่แยแส นางอยากรีบออกเดินทางประเดี๋ยวนี้เลย ฉยงฉีที่ยังหลับอุตุถูกนางตีไปครั้งหนึ่งจนสะดุ้งตื่น ตอนที่มันยืนขึ้น ตัวยังโงนเงน มีสภาพงัวเงียอยู่เลย

ซีกวงค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วค่อยเดินเนิบนาบตามเฟิงจงไป ก่อนจะจากไปเขายังสะบัดแขนเสื้อด้วยครั้งหนึ่ง เพิงพักที่สร้างอยู่แต่เดิมพลันหายไป กระทั่งร่องรอยของกองไฟที่เคยเผาไหม้บนพื้นทั้งหมดยังหายไปจนเกลี้ยง

ยามตะวันแรกเบิกฟ้า หลงต้ากับหลงเอ้อร์ที่เพิ่งส่งดวงตะวันขึ้นสู่ยอดต้นฝูซัง กำลังอยู่ระหว่างทางกลับภูเขาฝูเฟิง

ฉับพลันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้เป็นนาย หลงเอ้อร์จึงโผล่จากกลีบเมฆออกมามองหา เห็นตงจวินของพวกมันกำลังเดินทางอยู่ในพิภพเบื้องล่าง ด้านหน้าของตงจวินคือสาวน้อยมนุษย์เดินดินผู้นั้น ข้างเอวของนางเหน็บถุงฟ้าดินใบเล็กกะทัดรัดไว้ ข้างเท้ายังมีสัตว์อสูรที่ชวนรำคาญตัวนั้นติดตามมาด้วย

หลงต้ากลุ้มอกกลุ้มใจยิ่ง “หมู่นี้ตงจวินแปลกพิกลยิ่งนัก เหตุใดจึงใส่ใจมนุษย์ผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ พวกเราต้องเกลี้ยกล่อมตงจวินกันหน่อยหรือไม่”

หลงเอ้อร์ส่ายศีรษะ “เกลี้ยกล่อมไปก็สูญเปล่า มันถึงเวลาแล้วล่ะ ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่หรอก”

“เวลาอะไรของเจ้า”

“ก็เวลาที่จะถวิลหาทางโลกน่ะสิ”

หลงต้าพลันเข้าใจกระจ่าง ความกลัดกลุ้มยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทันใด ‘ถวิลหาทางโลก’ ถือเป็นการละเมิดกฎสวรรค์เชียวนะ! หากรู้แต่แรกข้าคงไม่ให้ตงจวินยืมถุงฟ้าดินไปหรอก ใครจะรู้ว่าตงจวินเอาไปเพื่อเกี้ยวมนุษย์เล่า นี่ไม่เท่ากับข้าทำร้ายตงจวินหรือ!

ขณะกำลังคิดเช่นนี้ พลันเห็นซีกวงที่อยู่เบื้องล่างเงยหน้ามองขึ้นมา หลงต้าจึงมองตอบกลับไปอย่างเศร้าระทมอยู่บ้าง

ซีกวงถ่ายทอดเสียงผ่านลมปราณไปถึงมังกรของตน หลงต้า นั่นมันแววตาอะไรของเจ้า ก็แค่ยืมใช้ของวิเศษของเจ้าชิ้นเดียวไม่ใช่หรือ ถึงขั้นต้องตัดพ้อกันเช่นนี้เชียว?’

เฮ้อ หมดทางเยียวยาแล้ว! หลงต้าสะบัดหน้าแล้วเหาะจากไป

หลงเอ้อร์มองดูพิภพเบื้องล่าง หนวดมังกรลู่ตกก่อนจะเหาะจากไปเช่นกัน

 

(ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: