X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่แปด

ครั้งนี้เฟิงจงหลับลึกยิ่ง ยามที่รู้สึกตัวตื่นก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว เวิ้งฟ้าขมุกขมัวไปทั่ว ชั่วขณะหนึ่งนางถึงกับนึกไปว่าตนยังอยู่ในแดนฮุ่นตุ้นเสียด้วยซ้ำ รอจนลุกขึ้นนั่ง เฟิงจงถึงพบว่าตนนอนอยู่บนหญ้าคาที่อ่อนนุ่ม เบื้องหน้าจุดกองไฟไว้ด้วย เพลิงกสิณอันบริสุทธิ์กำลังลุกโชติช่วงอยู่ตรงนั้น ยังมีมังกรอีกสองตัวครอบครองพื้นที่ฝั่งตรงข้าม สายตาดุจพยัคฆ์ของพวกมันจ้องเขม็งไปยังฉยงฉีที่ก้มหน้าก้มตาแทะเนื้ออยู่ที่ข้างกองไฟ

ซีกวงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายนางนี่เอง ในมือยังผนึกไว้ซึ่งพลังปราณที่ยังไม่ทันสลายตัว ท่าทางของเขาดูโล่งใจขึ้นแล้ว “ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที หากยังไม่ตื่นอีก ข้าก็คงอับจนหนทางแล้ว”

เฟิงจงนวดคลึงขมับ “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”

“อยู่ระหว่างทางตามหาโอสถ”

“ตามหาโอสถ?”

ซีกวงถอนหายใจ “ก็ใครใช้ให้เจ้าทุ่มสุดชีวิตเช่นนั้นกันเล่า กว่าที่ฐานรากดวงจิตจะก่อตัวขึ้นง่ายเสียเมื่อไร ครั้งนี้เกือบจะถูกทำลายไปแล้ว หากตามหาโอสถวิเศษมารักษาฐานรากนี้ให้มั่นคงไม่ได้ เช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่าแล้ว”

เฟิงจงคลำหาคทาหม่อนมังกรแล้วกระทุ้งกับพื้นอย่างคับแค้น “เดิมทีพอได้ของวิเศษมาอยู่ในมือ ข้าก็สามารถเริ่มหยิบยืมวิสุทธิ์โลหิตมาสร้างร่างเซียนเพื่อฟื้นฟูความเป็นเทพได้แล้ว แต่มาถูกอวี้ถูก่อกวนเข้าเสียนี่ มนุษย์ต่อกรกับเทพสวรรค์ได้ยากจริงๆ เพียงแค่ญาณของเขาก็เกือบจะคร่าชีวิตของข้าไปแล้ว”

ซีกวงเอ่ยปนยิ้ม “ชีวิตของเจ้าก็ยังอยู่ดีมิใช่หรือ จ่งเสินผู้เกรียงไกรไหนเลยจะตายง่ายดายปานนั้น หากเป็นเช่นนั้นก็สิ้นเปลืองเมล็ดฉยงซังแย่แล้ว”

“พู!” ฉยงฉีที่นั่งเคี้ยวเนื้อหงุบหงับอยู่ด้านข้างส่งเสียงเห็นพ้องทันใด

เฟิงจงลูบท้อง “อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้นเลย หากยังไม่กินอาหารอีก ข้าคงได้หิวตายเดี๋ยวนี้แน่”

ซีกวงเก็บอาหารไว้ให้นางแต่แรกแล้ว เขายื่นมือไปหยิบเนื้อที่อยู่เหนือกองไฟมายื่นส่งให้นาง

เฟิงจงรับมากินไปได้สองคำ ในใจนึกถึงคำพูดของเขาก็อดกลัดกลุ้มไม่ได้ “โอสถวิเศษสำหรับรักษาฐานรากดวงจิตให้มั่นคงแม้มีอยู่มาก แต่พิภพมนุษย์ในปัจจุบันมีสภาพเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะไปหาได้จากที่ใดอีก”

“มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ไปดูที่บึงอสนีกัน” ซีกวงพูดพลางยักหัวคิ้ว “แต่อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ก็ได้ ด้วยฐานะของเจ้าแล้ว ทั่วทั้งสามพิภพมีแต่จะแย่งกันเอาใจ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ใครๆ ก็ต้องประคองมอบโอสถวิเศษมาให้เจ้าทั้งนั้น”

“หากทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าไม่ต้องสร้างทายาทให้พวกเขาทุกคนเลยหรือ” เฟิงจงกัดเนื้อคำหนึ่งอย่างเคียดแค้น ประหนึ่งว่าเนื้อที่กัดอยู่นี้คืออวี้ถู

ซีกวงขบขัน “เช่นนั้นก็ไปบึงอสนีกันดีกว่า”

เฟิงจงผงกศีรษะรับ นางวางเนื้อพักไว้แล้วหยิบถุงฟ้าดินออกมาจากอกเสื้อ รอจนนำเซวียนชิงกับแจกันหยกสีน้ำเงินออกมาแล้ว นางจึงยื่นถุงเปล่ารวมทั้งกล่องหุ้มแพรไปตรงหน้าเขาพร้อมกัน “ส่งสิ่งของคืนสู่นายเดิม”

ซีกวงรับถุงฟ้าดินมา แต่ไม่ยอมรับกล่องหุ้มแพร “เดิมทีนี่ก็เป็นของที่ข้าเตรียมมาให้เจ้าอยู่แล้ว เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ หลงต้าก็มาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงแล้ว มันรีบก้มศีรษะมังกรลงอย่างพินอบพิเทาพลางเอ่ยด้วยเสียงของมนุษย์ “ก่อนนี้เทพผู้เยาว์เช่นข้าน้อยมีตาแต่ไร้แวว กระทั่งวันนี้ถึงค่อยรู้ว่าจ่งเสินปรากฏกายขึ้นแล้ว ข้าน้อยยินดีมอบถุงฟ้าดินนี้แด่ท่านผู้เฒ่าเพื่อแสดงความเคารพขอรับ”

“แค่ก” เฟิงจงเพิ่งจะหยิบเนื้อใส่ปากก็สำลักทันที นางอดไม่ได้ต้องลูบใบหน้าตนเอง…ไฉนข้ากลายเป็นท่านผู้เฒ่าไปเสียแล้ว

ซีกวงกลั้นหัวเราะพลางยัดถุงฟ้าดินคืนใส่มือนาง “เช่นนี้ท่านผู้เฒ่าก็รับเอาไว้เถอะ”

เฟิงจงถลึงตาใส่เขา ก่อนจะชะงักกึก หันขวับไปมองเซวียนชิงที่นางเพิ่งนำออกมา

ซีกวงมีสีหน้าเคร่งขรึมทันตาเห็น นึกว่าอวี้ถูจะสถิตญาณไว้อีก “มีอะไรหรือ”

เฟิงจงรวบรวมสมาธิสูดดมกลิ่นอาย “แปลกแท้ ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าเขาดูต่างจากเดิมอยู่บ้าง แต่ข้าในตอนนี้สูญเสียพลังวิเศษไปมาก ไม่อาจตรวจสอบได้โดยละเอียด”

ซีกวงลุกขึ้นแล้วยื่นสองนิ้วไปแตะหว่างคิ้วของเซวียนชิง เมื่อตรวจสอบจนทั่วร่างรอบหนึ่งแล้ว เขาก็เก็บความประหลาดใจเอาไว้ หันหน้ามาถามเฟิงจง “เจ้ารู้จักตะปูตรึงวิญญาณหรือไม่”

เฟิงจงส่ายศีรษะ

ซีกวงเอ่ย “เจ้านิทราไปยาวนานเหลือเกิน หากไม่รู้ก็ไม่แปลก มหาเทพบรรพกาลส่วนมากล้วนถือกำเนิดจากสรรพสิ่งในธรรมชาติ โดยมากการสำแดงพลังเทพก็จะอาศัยสรรพสิ่งในธรรมชาติเช่นเดียวกัน ผิดกับเทพรุ่นหลังที่ส่วนมากจะอาศัยการฝึกดวงจิตมาเพิ่มพูนพลังเทพ ตะปูตรึงวิญญาณก็ถือเป็นวิชาฝึกดวงจิตเช่นกัน ผู้ใช้วิชานี้จะต้องบั่นทอนดวงจิตของตนเองเพื่อไปกักดวงจิตของอีกฝ่ายเอาไว้ ขอเพียงดวงจิตของตนกล้าแข็งกว่าก็จะสามารถกัดกินดวงจิตของอีกฝ่ายจนหมดสิ้นอย่างช้าๆ ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นร่างกลวงเปล่าได้ในที่สุด เพียงแต่วิชานี้เสี่ยงยิ่งนัก เป็นกระบวนท่าที่แม้ทำร้ายศัตรูได้หนึ่งพัน ตนเองก็ต้องสูญเสียไปแปดร้อย” ซีกวงชี้มือไปทางเซวียนชิง “วิชาที่เล่นงานเขาก็คือตะปูตรึงวิญญาณ แต่ตอนนี้ไม่อาจสัมผัสถึงการคงอยู่ของตะปูตรึงวิญญาณนั้นแล้ว”

เฟิงจงพลันตระหนักได้ “ข้าพบศัตรูของเขาที่แดนฮุ่นตุ้น ดูเหมือนจะเป็นเทพรุ่นหลังเทพบรรพกาลจริงๆ เหตุที่ในร่างของเซวียนชิงไม่มีตะปูตรึงวิญญาณแล้ว อาจเป็นเพราะศัตรูของเซวียนชิงตายไป?” ตอนนั้นนางถูกฟางจวินเยี่ยจับตัวไป จึงไม่รู้ว่าถูซานสือฟางได้จัดการจื่ออินผู้นั้นไปแล้วหรือไม่

ซีกวงพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้”

ตะปูตรึงวิญญาณในร่างเซวียนชิงนั้นเสกขึ้นมาจากดวงจิตของจื่ออิน เมื่อยามนี้จื่ออินถูกสังหารแล้ว ดวงจิตของผู้ใช้วิชาก็จะดับสูญลงไป ฤทธิ์ทำลายของตะปูตรึงวิญญาณย่อมหมดสิ้นลงด้วย ซีกวงเพิ่งจะเคยสัมผัสกับวิชาตะปูตรึงวิญญาณครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าวิธีแก้ต้องทำลายดวงจิตของผู้ใช้วิชา ครานี้นับว่าเป็นความบังเอิญโดยแท้

เฟิงจงไม่มีแก่ใจจะกินเนื้อต่ออีก หลังจากนั่งขบคิดอยู่นาน นางก็พลันถามขึ้น “ในเมื่อร่างเขาไม่มีฤทธิ์ทำลายของตะปูตรึงวิญญาณแล้ว เช่นนั้นจะสร้างฐานรากดวงจิตขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่”

ซีกวงตะลึงไปชั่วอึดใจ “เจ้าหวังให้เขาคืนชีพขึ้นมามากเลยหรือ”

“แน่นอน”

“เจ้าใส่ใจเขาถึงเพียงนี้?” ซีกวงขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว

เฟิงจงมองดูเซวียนชิง “ถึงอย่างไรเขาก็สูญเสียดวงจิตไปเพื่อช่วยเหลือข้า ข้าย่อมหวังว่าเขาจะคืนชีพได้ใหม่ ทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้อวี้ถูสถิตในร่างเขาซ้ำสองได้ด้วย”

ประกายตาของซีกวงพลันไหววูบ นิ้วมือซึ่งไพล่อยู่ด้านหลังถูกันไปมา เนิ่นนานเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบ

เหตุผลทั้งหมดข้าล้วนเข้าใจดี แต่ไฉนจึงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก

หลงต้ากับหลงเอ้อร์หมอบอยู่ข้างหลังเขาพอดี พวกมันมองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง จึงหันมาพูดคุยกันประสามังกร “ตงจวินต้องหึงหวงอยู่เป็นแน่”

“มิผิด เวลาตงจวินไม่ชอบใจอะไรก็จะเป็นเช่นนี้ล่ะ”

“ชิ! เจ้าเทพน้อยนั่นมีอะไรดี หน้าตาก็ไม่เห็นชวนมองเหมือนตงจวินของพวกเรา!”

“ก็นั่นน่ะสิ พลังตบะอย่างมากก็แค่ไม่กี่ร้อยปี ตงจวินของพวกเราเป็นถึงทายาทของมหาเทพบรรพกาล แต่จ่งเสินกลับดีต่อเทพน้อยนั่นยิ่งกว่าตงจวินของพวกเราเสียอีก”

ตั้งแต่เล็กซีกวงก็รู้ว่าไม่อาจบอกความจริงที่เขามีร่างพหุภาคต่อผู้อื่นได้ ความลับนี้นอกจากบิดามารดาของเขาแล้ว กระทั่งหลงต้ากับหลงเอ้อร์ก็ยังไม่รู้ ยามนี้พวกมันที่อยู่ด้านหลังจึงพูดโจมตีเซวียนชิงโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ทว่าเมื่อฟังเข้าหูซีกวงแล้ว นี่เป็นการบอกว่าเขากำลังหึงหวงตนเองอยู่ไม่ใช่หรือ

ซีกวงกำมือข้างหนึ่งวางไว้ที่ริมฝีปากแล้วกระแอมให้โล่งคอ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เฟิงจง “เอาเถอะ ข้าจะพาเขากลับภูเขาฝูเฟิง ลองดูว่าจะสร้างฐานรากดวงจิตได้หรือไม่”

สองตาของเฟิงจงพลันสว่างวาบ รีบใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายยืนขึ้น “ดียิ่ง เช่นนั้นข้าก็ขอมอบเขาให้เจ้าแล้ว”

สองมังกรเริ่มซุบซิบกันต่อ “ดูสิ ตงจวินยังทำเป็นใจกว้างอีก ทั้งที่ในใจขัดเคืองแทบแย่แล้ว”

“เฮ้อ ตงจวินช่างน่าสงสารจริงเชียว พอทีๆ อย่าพูดถึงอีกเลย”

ซีกวงหันหน้าบึ้งๆ มาทันใด “ฟ้าจวนจะมืดอยู่แล้ว”

สองมังกรสะท้านเฮือกโดยพร้อมเพรียง มองดูผืนฟ้าทันใด “โอ๊ะ จริงด้วย พวกเราควรไปรับดวงตะวันที่ยอดต้นฝูซังแล้ว” พวกมันพูดจบก็รีบเคลื่อนกายไปกล่าวอำลาเฟิงจง ก่อนจากไปหลงต้ายังไม่ลืมที่จะสะบัดหางซัดสัตว์อสูรตัวจ้อยนั่นหนึ่งทีด้วย

ฉยงฉีกำลังอุ้มเนื้อขึ้นแทะอย่างใจจดใจจ่อ จู่ๆ ก็ต้องถูกกวาดจนร่างซวนเซ เนื้อก็หลุดมือร่วงตกพื้นไป ทำเอามันควันออกหูไล่ตามไปร้องพูพูใส่ฟ้าอยู่เป็นนานสองนาน

ซีกวงวางข่ายอาคมหนึ่งชั้นไว้เบื้องหน้าเฟิงจง ก่อนจะพาเซวียนชิงย่างเท้าขึ้นไปบนก้อนเมฆ “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว เจ้ารอที่นี่สักครู่เถิด”

เฟิงจงผงกศีรษะรับ

ยามที่ก้อนเมฆลอยขึ้นไปแล้ว ซีกวงก็ก้มหน้าลงไป เขาเห็นนางยังคงมองส่งตนเองอยู่ตลอด ทว่าพอเอียงหน้าไปมองด้านข้าง เขากลับรู้สึกว่านางอาจจะกำลังมองส่งเซวียนชิงอยู่ต่างหาก

หัวใจเริ่มจะว้าวุ่นขึ้นมาอีกแล้ว

 

พิภพสวรรค์ยามนี้เงียบสงบเป็นพิเศษ เพราะเทพเซียนทั้งหลายล้วนหนีหายไปตามหาจ่งเสินกันที่พิภพเบื้องล่างแล้ว ซีกวงพาเซวียนชิงเข้าสู่ภูเขาฝูเฟิง ตลอดทางไม่พบเงาใครเลย

เขาไม่ได้เข้าไปที่ตำหนักตงจวิน ทว่ามุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางของภูเขา

เมื่อแรกเข้าไปเส้นทางยังคงเป็นทางสายเล็กที่คดเคี้ยว ทว่ายิ่งเดินเข้าไปเส้นทางก็ยิ่งขยายกว้างขึ้น ใจกลางภูเขาอุดมไปด้วยพลังวิเศษ แม้แต่บิดาของเขาก็ยังเลือกนิทราอยู่ข้างใต้นี้

จวบจนเดินเรื่อยไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด จึงพบถ้ำขนาดใหญ่อยู่หนึ่งแห่ง ซีกวงก้มศีรษะเดินเข้าไป ภายในนั้นมีแสงสว่างสลัวราง ร่างสามร่างถูกวางตั้งไว้ชิดผนังถ้ำ แต่ละร่างล้วนถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งวิญญาณ ไม่อาจมองรูปโฉมได้ชัดเจน นั่นก็คือร่างแบ่งภาคสามร่างแรกของเขา

ร่างพหุภาคถือเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิด ทว่าที่สุดแล้วจะควบคุมร่างแบ่งภาคได้จำนวนเท่าใดนั้น หาได้ถูกกำหนดไว้แต่แรกเกิดไม่ หากแต่สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้จากการเลื่อนขั้นตบะ บัดนี้ซีกวงควบคุมได้ห้าภาคแล้ว ร่างแบ่งภาคทั้งสี่นอกเหนือจากร่างต้นกำเนิดก็คือผลจากการค่อยๆ บำเพ็ญตบะจนได้มาทีละภาค ดังนั้นซีกวงจึงเคยชินที่จะสร้างร่างแบ่งภาคขึ้นหนึ่งร่างทุกครั้งที่เขามีพลังตบะเพิ่มขึ้น เพียงแต่ร่างแบ่งภาคส่วนใหญ่ถูกใช้งานน้อยครั้งยิ่ง

เซวียนชิงเป็นร่างที่ห้าของซีกวง ซึ่งก็คือร่างล่าสุดที่เขาสร้างขึ้นใหม่เมื่อประมาณสี่ร้อยกว่าปีก่อน ซีกวงใช้งานเซวียนชิงมากกว่าร่างอื่นๆ เพราะเทพน้อยที่ไม่สะดุดตาผู้หนึ่งจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายดายยิ่งนัก

เดิมทีร่างแบ่งภาคก็มิได้ถือกำเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อเคลื่อนไหวอยู่เบื้องนอกเป็นเวลานานโดยปราศจากดวงจิต ร่างย่อมจะสูญเสียปราณวิเศษไป มีเพียงต้องพักผ่อนถึงจะฟื้นฟูคืนมาได้ ซีกวงจึงผนึกเซวียนชิงเข้าสู่น้ำแข็งวิญญาณ สุดท้ายหลังพินิจใบหน้าที่หลับใหลนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซีกวงก็ลูบคางตนเองอย่างรู้สึกขบขัน “นี่ข้าจะเอาชนะตนเองให้ได้จริงๆ หรือ”

เมื่อออกจากใจกลางภูเขามาแล้ว หลงต้ากับหลงเอ้อร์ก็ยังไม่กลับมา ซีกวงรีบรุดกลับพิภพมนุษย์โดยไม่รั้งรอ ระหว่างทางที่ผ่านด้านนอกของประตูสวรรค์ทักษิณ เขาพบว่าเทพเซียนที่ไปยังพิภพเบื้องล่างกลุ่มนั้นล้วนกลับมากันแล้ว ทว่าไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ละคนถึงได้ชักอาวุธออกมาต่อสู้กันที่หน้าประตูใหญ่ ท่ามกลางเงากระบี่ประกายดาบ เจ้ารุกมาข้าโต้กลับ บังเกิดเป็นเสียงดังเอ็ดอึงไปทั่วบริเวณ

ขุนพลพิทักษ์ประตูเข้าไปห้ามปรามอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังถูกซัดจนต้องล้มลุกคลุกคลานหนีออกมาด้วย

ซีกวงยื่นมือไปพยุงขุนพลพิทักษ์ประตูขึ้นมา แล้วพาเขาถอยหลบมาจนถึงข้างเสาประตู “นี่มันอะไรกัน”

ด้วยเสียงที่อื้ออึงยิ่งนัก ขุนพลผู้นั้นจึงต้องตะเบ็งเสียงตอบซีกวง “ไม่รู้ว่าเป็นข่าวมาจากที่ใด บอกว่าบัดนี้จ่งเสินเป็นมนุษย์ธรรมดา ผู้ใดในพิภพสวรรค์มีพลังตบะสูงสุด ผู้นั้นก็สามารถใช้วิสุทธิ์โลหิตของตนช่วยจ่งเสินชะล้างความเป็นมนุษย์ฟื้นฟูความเป็นเทพได้ และยังจะได้สืบทอดทายาทของตนเองด้วย พวกเขาจึงต่อสู้เพื่อประลองฝีมือกันขอรับ!”

ซีกวงตะลึงงันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเฟิงจงต้องการยืมวิสุทธิ์โลหิตมาบำเพ็ญเซียน

 

สภาพอากาศในพิภพมนุษย์ยังคงปั่นป่วนยิ่ง ขณะที่เฟิงจงนั่งยองล้างหน้าล้างมืออยู่ที่ริมบึง จู่ๆ อากาศก็แปรปรวน ลมกระโชกม้วนเข้าสู่หุบเขา ส่งผลให้เศษหินถูกกวาดร่วงพรูลงมาจากบนหินผาทั้งสองฟากอย่างต่อเนื่อง นางเองก็ถูกพัดจนร่างโงนเงน ต้องรีบใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายเดินไปทางข่ายอาคม ภายในนั้นไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย กระทั่งเปลวไฟก็ยังไม่สั่นไหวสักวูบเดียว

ยามที่เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวเข้าไปในข่ายอาคม นางก็ได้ยินเสียงกึกก้องดังขึ้นบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม พริบตาต่อมาทั้งแผ่นดินและภูผาก็สั่นสะเทือน นางรีบแหงนหน้ามองไปก็พบเงาดำมหึมาร่างหนึ่งนั่งยองอยู่ตรงนั้น ในสายลมกำจายไปด้วยกลิ่นอายของวิญญาณร้ายที่แผ่ออกมาจากร่างของมัน

สิ่งนี้นางรู้จัก…มันคือภูตยักษ์ที่กลายร่างมาจากวิญญาณชั่วร้ายในขุนเขาจนมีขนาดที่ใหญ่โตมาก เป็นขุนพลภูตที่อวี้ถูไม่ค่อยส่งออกมาใช้งานง่ายๆ

ตัวบัดซบนี่ไม่ยอมให้นางได้ผ่อนคลายสักชั่วครู่จริงๆ นางเพิ่งจะย่างเท้ากลับถึงพิภพมนุษย์ มันก็แกะรอยตามมาติดๆ แล้ว

นางรีบหลบเข้ามาในข่ายอาคม ก่อนเตะหนึ่งเท้าใส่ฉยงฉีที่ยังเอาแต่กินอย่างบ้าคลั่ง

ภูตยักษ์กระโจนลงมาแล้ว มันใช้เท้าเพียงข้างเดียวก็เหยียบบึงน้ำได้ทั้งบึง และทำให้น้ำกระฉอกสูงขึ้นมาได้หลายจั้ง ฉยงฉีตกใจจนกระโดดโหยง เกร็งลำตัวอย่างระแวดระวัง แยกเขี้ยวที่ยังไม่นับว่าแหลมคมออกมา

ข่ายอาคมไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่ไม่ใช่กับดวงตาของวิญญาณร้ายนี้ ดังนั้นภูตยักษ์จึงพุ่งตรงมาทันที ก่อนกระแทกเข้ากับข่ายอาคมจนบังเกิดเสียงดังลั่นขึ้น บนตัวข่ายอาคมถูกแรงดีดสะท้อนจนปรากฏริ้วลายให้เห็นดุจวงน้ำ

กระแทกเข้าอย่างจังครานี้ทำให้ภูตยักษ์เซถอยไปหลายก้าวทีเดียว แม้แต่เฟิงจงกับฉยงฉีที่อยู่ด้านในยังล้มนั่งแปะลงกับพื้น

หลังจากเสียท่าไปหนหนึ่ง ภูตยักษ์ก็รอบคอบขึ้นมาก มันคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า ศีรษะอันใหญ่มหึมาที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟนั้นดำมะเมื่อมเสียจนชวนผวา ใบหน้าดูเลอะเลือนไม่ชัดเจน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดมีเพียงสองตากลวงเปล่าที่มีควันพวยพุ่งออกมาสองสาย

เฟิงจงคลานลุกขึ้น เห็นทีว่าเจ้าตัวนี้จะซ่อนกายอยู่ละแวกใกล้เคียงนานแล้ว อาจเพราะครั่นคร้ามต่อพลังเทพบนร่างของซีกวง กลิ่นอายของมันถึงไม่เคยเข้ามาใกล้ จวบจนบัดนี้พอซีกวงไม่อยู่ มันถึงได้ปรากฏตัวขึ้น

ภูตยักษ์พุ่งตัวมาอีกรอบแล้ว มันกำลังชนโจมตีข่ายอาคมหนแล้วหนเล่า แรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้หูของมนุษย์ปวดอื้อเลยทีเดียว เฟิงจงรีบฉวยยาลูกกลอนในกล่องหุ้มแพรเม็ดหนึ่งยัดเข้าปากฉยงฉี ทว่านางไม่มีพลังวิเศษมากพอที่จะใช้มุทราสั่งการมันได้ นางจึงจงใจมองเหยียดฉยงฉีด้วยหางตาพลางพูดยั่วยุมันเสียเลย “เห็นทีเจ้าคงไม่มีปัญญาจะทำอะไรเจ้าภูตยักษ์นี่ได้แน่ๆ”

สิ่งที่ฉยงฉีชิงชังเป็นที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นดูแคลน มันคือหนึ่งในสัตว์ร้ายบรรพกาลเชียวนะ ผู้ใดเห็นมันแล้วไม่เกรงกลัวบ้าง มีหรือที่มันจะทำอะไรภูตยักษ์แค่ตนเดียวไม่ได้ มันโกรธจนกระโดดสูงสามจั้งเลยทีเดียว

“พูพูชือชือชือพูพู! ชือชือพู!” วันนี้บิดาต้องดวลกับมันสักตั้งให้จงได้! เจ้าอย่าได้มาดึงตัวบิดาไว้เป็นอันขาด!

เปรี๊ยะ…ข่ายอาคมบังเกิดเสียงแผ่วเบา ในลายวงน้ำที่เกิดจากแรงดีดสะท้อนนั้นถึงกับมีรอยแตกร้าวให้เห็นแล้ว พร้อมกันนั้นการบุกโจมตีของภูตยักษ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย

ตอนนี้เองฉยงฉีก็ขยายร่างขึ้นในพริบตา มันพุ่งปราดออกจากข่ายอาคมแล้วโถมร่างเข้าใส่ภูตยักษ์ในทันที แม้มันจะขยายขนาดโดยอาศัยฤทธิ์ของยาลูกกลอน ทว่าเมื่อเปรียบกับภูตยักษ์แล้วมันก็ยังตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน การโถมเข้าใส่ครานี้จึงทำให้ภูตยักษ์ถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ก้าวเดียวเท่านั้น

ภูตยักษ์ไม่แม้แต่จะชายตาแลมันซ้ำสอง เพียงเงื้อมือตวัดมันออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะบุกกระแทกข่ายอาคมต่อ เสียงแตกร้าวดังชัดเจนขึ้นทุกขณะแล้ว

เฟิงจงนั่งลงขัดสมาธินิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว ต่อให้ฉยงฉีจะถ่วงเวลาได้แค่ช่วงหนึ่ง แต่อย่างน้อยนางก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้สั่งสมเรี่ยวแรงเอาไว้ได้ บางทีอาจเพียงพอให้นางเค้นพลังวิเศษออกมาได้บ้าง ดังนั้นหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ นางจะบุ่มบ่ามใช้พลังไม่ได้เด็ดขาด

เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะๆ เสียงแตกร้าวดังรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว เฟิงจงจับตาดูภูตยักษ์ด้วยสายตาเยือกเย็น มือกุมคทาหม่อนมังกรไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ ทว่าก่อนที่ข่ายอาคมจะแตก นางก็เห็นภูตยักษ์ชะงักไป สองตาดำมืดที่แนบชิดอยู่บนข่ายอาคมนั้นพลันผุดประกายสีฟ้าขึ้นท่ามกลางควันที่พวยพุ่ง

“อวี้ถู! เจ้าคนมากแผนการ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” นางมีโทสะขึ้นมาทันที

“เฟิงจง” เสียงที่ดังขึ้นเป็นอวี้ถูจริงๆ “ข้ารู้ว่าทันทีที่เจ้าได้ของวิเศษมาแล้ว เจ้าจะต้องยืมวิสุทธิ์โลหิตที่ได้มาจากเทพเซียนมาบำเพ็ญเซียนแน่ ในเมื่อไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของเจ้าได้ ข้าก็มีแต่ต้องรีบยับยั้งในตอนที่พลังของเจ้ายังบอบช้ำหนักอยู่”

“เจ้าพูดเองว่าพิภพมนุษย์หมดทางช่วยแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าต้องหวั่นเกรงที่ข้าจะฟื้นฟูพลังเทพถึงเพียงนี้ด้วย”

ภูตยักษ์วนเวียนอยู่นอกข่ายอาคม เสียงของอวี้ถูที่ส่งออกมาขาดเป็นห้วงๆ คาดว่าศึกที่ทะเลเขี้ยวพิโรธเขาคงได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน “เรื่องของพิภพมนุษย์ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เดิมทีข้าก็ไม่ปรารถนาให้เจ้าไปยืมวิสุทธิ์โลหิตของผู้อื่นอยู่แล้ว ข้ารู้ว่าการยืมวิสุทธิ์โลหิตนั้นเป็นเช่นไร เจ้าจำเป็นต้องใช้แจกันหยกสีน้ำเงิน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีทายาทตามมาด้วย ข้าไม่ต้องการให้พิภพสวรรค์ที่เสื่อมถอยลงทุกวันได้มีเทพเซียนใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีก”

เฟิงจงแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “สิ่งที่เจ้ารู้ออกจะมากไปสักหน่อยแล้ว”

ตอนนี้เองฉยงฉีพลันกระโจนเข้าใส่ด้านหลังของภูตยักษ์ แล้วตะปบหนึ่งอุ้งเท้าเข้าที่ต้นคอของมัน

อวี้ถูจึงควบคุมภูตยักษ์ให้หมุนกายขวับ พร้อมทั้งเงื้อแขนขึ้นสูงเตรียมจะฟาดลงไป ทันใดนั้นบนยอดเขาเบื้องหลังก็มีเงาดำอีกสายกระโดดลงมาแล้วพุ่งตรงไปหาฉยงฉี เงาดำที่มาใหม่ถึงกับสูงใหญ่เท่าภูตยักษ์ทีเดียว

นึกอย่างไรเฟิงจงก็นึกไม่ถึงว่าขุนพลภูตที่กลายร่างมาจากวิญญาณร้ายเช่นนี้จะโผล่มารวดเดียวถึงสองตนได้ นางจึงร้องเรียกฉยงฉีทันที “รีบหลบเร็วเข้า!”

พร้อมๆ กับเสียงร้องของนาง เงาดำใหญ่มหึมาที่เพิ่งมาใหม่สายนั้นก็ข้ามผ่านตัวฉยงฉีไป แล้วโถมกระแทกเข้าใส่ภูตยักษ์ตัวแรกจนอีกฝ่ายล้มคว่ำกับพื้นในคราวเดียว

เฟิงจงมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาอย่างตกตะลึง รอจนสูดดมกลิ่นอายแล้ว นางถึงพบว่าเงามหึมานั้นแม้จะเป็นวิญญาณเช่นเดียวกัน ทว่าไม่มีปราณอินจากตำหนักยมโลกแม้แต่น้อย คล้ายกับเป็นวิญญาณที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายนอก ไม่รู้เหตุใดเงามหึมานี้ถึงได้มาช่วยนาง

ภูตยักษ์กับเงามหึมานั้นโจมตีกันพัลวัน เงามหึมาเคลื่อนไหวปราดเปรียวยิ่ง สองแขนที่รัดภูตยักษ์ไว้กดร่างมันลงไปอย่างหนักหน่วง แทบจะบดขยี้อีกฝ่ายจนกลายเป็นก้อนทีเดียว ฝ่ายฉยงฉีเองก็รุกประชิดมาจากด้านหลัง มันขยายช่วงท้องให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก อ้าปากกว้างดูดกลืนวิญญาณของภูตยักษ์เข้าปากไปต่อหน้าต่อตาเฟิงจง

เพลิงภูตสีฟ้าสองกลุ่มมุดออกจากปากของฉยงฉีได้ทันพอดี เสียงของอวี้ถูกระจายอยู่ท่ามกลางสายลม “หรือผู้ช่วยของเจ้าก็คือวิญญาณร่อนเร่ตนนี้? เอาเถอะ วันนี้สังหารเจ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรพิภพสวรรค์ก็โกลาหลไปทั่วแล้ว”

พร้อมกับที่ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน ฉยงฉีก็ดูดกลืนภูตยักษ์เข้าสู่ท้องไปทั้งหมดแล้ว กระทั่งเงามหึมาตนนั้นก็ยังเกือบถูกมันดูดจนซวนเซไปเบื้องหน้าสองก้าว เงามหึมาจึงต้องรีบกลับหลังหันหลบหนี ทว่าเพิ่งจะออกวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็ชะงักฝีเท้า ใบหน้าหยุดไปทางเฟิงจงชั่วครู่ คล้ายกำลังมองนางอยู่ จากนั้นจึงขยับร่างวูบหนึ่ง พลันหายวับไปไม่เห็นร่องรอยอีก

เฟิงจงรีบวิ่งออกมาจากข่ายอาคมตามจิตใต้สำนึก ความรู้สึกชอบกลท่วมท้นจิตใจ…ไฉนจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายรู้จักข้าเล่า

“พู! เอิ๊ก…” พอเฟิงจงถูกเสียงร้องปนเสียงเรอของฉยงฉีดึงสติกลับมา นางเห็นร่างมันกลับไปเล็กลงแล้ว กระนั้นท้องมันก็ยังพองอยู่ มันนอนเป็นก้อนกลมๆ อยู่บนพื้น กระทั่งจะเดินก็ยังเดินไม่ไหว แม้สิ่งที่กินเข้าไปจะเป็นวิญญาณ ทว่าก็ใหญ่โตยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่ามันจะฝืนกลืนลงไปเช่นนั้นได้

ตอนนี้เองกลิ่นอายของเทพเซียนก็มาพร้อมกับสายลม เฟิงจงนึกว่าเป็นซีกวงกลับมาแล้ว ครั้นเงยหน้ามองไปก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังเหาะเหินมาจากขอบฟ้า แสงจากกองไฟก็สาดฉายให้เห็นอาภรณ์ช่วงบนเป็นสีคราม ช่วงล่างเป็นสีขาว อีกฝ่ายถึงกับเป็นชิงหลีที่เคยพบกันก่อนหน้านี้ เบื้องหลังของเขายังคงมีฉีอวิ๋นติดตามมาด้วย ท่าทางของทั้งสองดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางไม่น้อย

“เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้ว”

ชิงหลีถือกระบี่อยู่ในมือ เหลียวมองรอบด้านก่อนจะกระโดดลงจากก้อนเมฆ “ดูเหมือนเมื่อครู่ที่นี่จะมีวิญญาณร้ายโผล่ออกมา ไม่ทราบว่าจ่งเสินประสบอันตรายใดหรือไม่”

“พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว” เฟิงจงชี้มือไปทางฉยงฉี “อยู่ในท้องของมันเป็นที่เรียบร้อย”

เมื่อเห็นฉยงฉีที่ท้องโตกว่าที่พบเมื่อครั้งก่อนนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ชิงหลีพลันกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย “เป็นพวกเราที่มาช้าไป จ่งเสินไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

เฟิงจงเพียงรอคอยซีกวงกลับมา จะได้ออกเดินทางไปตามหาโอสถกัน นางไม่มีแก่ใจจะสนทนากับพวกเขาจึงโพล่งตอบไปว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก กลับกันไปได้แล้ว”

พอได้ยินนางเอ่ยปากไล่เช่นนี้ ฉีอวิ๋นก็รีบเบี่ยงกายออกมากล่าว “พวกเราเพิ่งออกจากแดนฮุ่นตุ้นมาก็ได้ยินข่าวแล้ว ยามนี้จ่งเสินเป็นมนุษย์ มีความจำเป็นต้องยืมวิสุทธิ์โลหิตของเทพเซียนมาบำเพ็ญเซียนอย่างเร่งด่วน…ใช่หรือไม่ขอรับ ข้าน้อยเซียนผู้ไร้ความสามารถยินดีที่จะรับใช้จ่งเสิน”

ชิงหลีย่อมจะมาด้วยเรื่องนี้เช่นกัน เขาย่อมไม่คิดว่าจะถูกฉีอวิ๋นชิงพูดออกจากปากก่อน จึงเชิดปลายคางเอ่ยแย้งในทันที “ข้าน้อยคือเทพผู้สืบเชื้อสายจากวิหคครามมาแต่บรรพกาล สายโลหิตบริสุทธิ์แท้ หากจ่งเสินไม่รังเกียจสามารถใช้วิสุทธิ์โลหิตของข้าน้อยได้”

ฉีอวิ๋นยิ้มเจื่อน ข้อนี้เขาเทียบกับชิงหลีไม่ได้จริงๆ ผู้ใดใช้ให้เขาเป็นมนุษย์ที่สำเร็จเป็นเซียนเล่า สายโลหิตที่มีมาแต่บรรพกาลย่อมจะสูงส่งกว่าเขาเป็นธรรมดา

สายตาของเฟิงจงกวาดไปมาบนร่างของทั้งสอง “พวกเจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด”

ฉีอวิ๋นยิ้มประจบ “ในพิภพสวรรค์ล้วนโจษขานกันทั่วแล้วขอรับ ว่ากันว่าผู้ใดมีพลังตบะสูงสุดก็จะได้รับความชื่นชมจากจ่งเสิน เขาผู้นั้นไม่เพียงช่วยให้ท่านได้พลังเทพคืนมา ยังจะได้สืบทอดทายาทของตนเองอีกด้วย”

เฟิงจงมุ่นคิ้ว กระทั่งซีกวงก็ยังไม่รู้ละเอียดเท่านี้ แล้วพวกเขาไปรู้มาได้อย่างไร นางคิดได้อย่างรวดเร็ว…จะต้องเป็นอวี้ถูแน่ๆ มิน่าเขาถึงได้บอกว่าพิภพสวรรค์โกลาหลไปทั่วแล้ว

อวี้ถูกับนางเป็นศิษย์ของมหาเทพหนี่ว์วาเช่นเดียวกัน จึงมีความเข้าใจต่อกันเป็นอย่างดี เทพสวรรค์เช่นนางซึ่งถือกำเนิดขึ้นโดยมีมหาเทพมอบวิสุทธิ์โลหิตให้ ย่อมมีเพียงการใช้วิสุทธิ์โลหิตของเทพเซียนเช่นเดิมเท่านั้น ร่างถึงจะชะล้างความเป็นมนุษย์ออกไปและคืนสู่ความเป็นเทพได้ อวี้ถูย่อมรู้เรื่องนี้กระจ่างชัดยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมด

“ข้าไม่เคยพูดสักนิดว่าต้องการผู้ที่มีพลังตบะสูงสุด” นางใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายเดินกลับเข้าข่ายอาคมไป “มหาเทพหนี่ว์วาเป็นถึงเทพผู้สร้างโลก เทพเซียนในพิภพสวรรค์ตอนนี้ต่อให้มีพลังตบะสูงสักเพียงใด แต่ไหนเลยจะเหนือไปกว่าพลังตบะของเทพผู้สร้างโลกได้”

ชิงหลีกับฉีอวิ๋นไร้คำพูดไปทันที เนิ่นนานผ่านไปฉีอวิ๋นถึงค่อยเอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นจ่งเสินต้องการเทพเซียนแบบใดเล่า”

“ข้าย่อมพิจารณาได้ด้วยตนเอง พวกเจ้าเพียงแสดงความสามารถของตนเองออกมาก็พอ”

วาจาของเฟิงจงเพิ่งจบคำ กองไฟเบื้องหน้าสายตาก็พลันดับมอด ลมพายุยิ่งโหมรุนแรงมากขึ้น กรวดทรายปลิวว่อน กระทั่งดวงตายังลืมไม่ขึ้น

“จ่งเสิน” ชิงหลีคลำหาในความมืดพลางร้องเรียก เหมือนเขาคิดจะมาช่วยยุดร่างนางขึ้น ทว่ากลับถูกกระแสลมหอบกระเด็นไปชนกับฉีอวิ๋นแทน ทำเอาฉีอวิ๋นต้องร้องโอดโอยออกมา

เฟิงจงที่อยู่ในข่ายอาคมนั้นปกติดีทุกอย่าง ก่อนที่จู่ๆ มือของนางจะถูกคนผู้หนึ่งดึงไป พร้อมกันนั้นฉยงฉีก็ถูกยัดเข้ามาในอ้อมอกของนางแล้ว ท้องอันกลมดิกของมันแข็งจนทิ่มตำมือได้ทีเดียว จากนั้นนางก็ลอยออกไปพร้อมกับคนผู้นั้น กระทั่งห่างออกไปไกลลิบแล้ว นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงชิงหลีกับฉีอวิ๋นที่กำลังตะโกนเรียกหานาง

ลมพายุโหมกระโชก เฟิงจงแทบไม่อาจลืมตาได้เลย ดวงหน้าครึ่งซีกต้องซุกอยู่ในอ้อมแขนของคนผู้นั้น แน่นอนว่านางย่อมสูดได้ถึงกลิ่นอายของแสงตะวันจากบนร่างเขา “เหตุใดเจ้ามาเอาป่านนี้”

ซีกวงถอนหายใจ “อย่าให้เอ่ยถึงเลย ในพิภพสวรรค์ต่างก็รู้เรื่องที่เจ้าจะยืมวิสุทธิ์โลหิตมาบำเพ็ญเซียนกันหมดแล้ว ตอนนี้ถึงกับต่อสู้กันชุลมุน บางทีอาจมีใครไปแพร่ข่าวหมายชักนำให้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในพิภพสวรรค์ก็เป็นได้”

“นอกจากอวี้ถูแล้วยังจะมีใครได้อีก!” เฟิงจงร้องเพ้ยเพื่อพ่นเอาทรายออกจากปาก ถูซานสือฟางพูดไม่ผิดเลย คราวนี้นางได้กลายเป็น ‘เจ้าหายนะ’ ไปจริงๆ แล้ว

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ต.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: