X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักต้อนรักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ต้อนรัก บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 3

 “อยู่ไหนตางค์ ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” เสียงเร่งเร้าทางโทรศัพท์ทำให้ลตางค์ที่กำลังซอยเท้าเดินไวจนเกือบกลายเป็นวิ่งหน้าเปลี่ยนสี

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้กรอบแว่นตาสีม่วงเข้มฉายแววหวาดเพราะกำลังนึกภาพใบหน้าของคนพูดไปพร้อมกันด้วย เธอพยายามเดินเลี่ยงผู้คนที่เดินประปรายอยู่ตรงหน้าด้วยจังหวะฝีเท้าที่ช้ากว่าอย่างรีบเร่ง แต่ดูเหมือนจะเร็วไม่ได้อย่างใจนัก

อาการกระหืดกระหอบ สองมือหอบกระเป๋าเอกสารพะรุงพะรัง และบนไหล่มีสายสะพายของกระเป๋าสำหรับใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ทำให้ลตางค์ที่ดูตัวเล็กอยู่แล้วเหมือนเด็กยิ่งขึ้นไปอีก

“กำลังลงรถไฟฟ้าค่ะคุณปาน อีกไม่เกินสิบนาทีน่าจะถึง”

“รถไฟฟ้า! ป่านนี้แล้วเนี่ยนะ เร็วหน่อยได้ไหม นี่มันประชุมกับผู้บริหารนะ ไม่ใช่นัดเดต”

“ขอโทษค่ะ” ลตางค์ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น แม้รู้ว่าการที่ปานทิพย์…หัวหน้าฝ่ายของเธอลืมเอกสารที่ต้องใช้ประชุมไว้ที่บ้านไม่ใช่ความผิดของตัวเอง

ที่รู้และทำให้ร้อนใจมีแค่การประชุมที่กำลังรอเอกสารทั้งหมดนี้สำคัญมาก แต่ที่พักของปานทิพย์ที่อยู่ไกลจนเกือบจะถึงชานเมืองทำให้เธอไปกลับไวกว่านี้ไม่ได้จริงๆ

“ให้อีกแค่ห้านาที รีบวิ่งเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า” กระแสหงุดหงิดในเนื้อเสียงของปานทิพย์ทำให้ลตางค์ต้องรีบรับคำ เร่งฝีเท้าไวขึ้นทั้งที่เหนื่อยเอาเรื่องอยู่แล้ว พลางนึกห่วงสถานภาพการทำงานของตัวเองในเวลานี้ที่ยังเป็นเพียงแค่พนักงานทดลองงานเท่านั้น

จะผ่านทดลองงานไปได้หรือเปล่า ทำไมมันถึงได้ดูเหมือนจะยากลำบากขึ้นทุกวันแบบนี้นะ

คิ้วเหนือขอบตาซึ่งคล้ำน้อยๆ ขมวดเข้าหากัน รู้ตัวว่าวันนี้หน้าตาตัวเองคงดูไม่ค่อยดีนัก หมู่นี้เธอยุ่งหลายอย่าง ทั้งงานประจำตอนกลางวันและงานส่วนตัวที่เธอรัก หลายคืนแล้วที่ลตางค์ได้นอนเกินสามชั่วโมงไปไม่กี่มากน้อยเพราะมัวเขียนนิยาย แม้จะเพลียเพราะพักผ่อนน้อย แต่ลตางค์ก็ไม่คิดใช้เป็นข้ออ้างอิดออดเวลาที่ต้องทำงานประจำ ตรงข้าม เธอกลับยิ่งพยายามให้หนักขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่าทำงานส่วนตัวจนพานเสียไปหมด

แม้วันนี้จะสามารถทำให้ความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนเกิดขึ้นได้จริงแล้ว แต่ลตางค์ก็ยังอยากทำงานประจำตามที่ร่ำเรียนมา และหวังว่าจะประคับประคองทั้งสองงานไปพร้อมกันให้ได้จนสุดความสามารถ

ลตางค์สาวเท้าไวไปตามทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าที่ทอดยาวไปสู่ศูนย์การค้าชื่อดัง ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่อาคารสำนักงานของบริษัทที่เธอเพิ่งได้เข้าเป็นลูกจ้างซึ่งเช่าพื้นที่อยู่ถึงสองชั้น เอกสารในมือที่ทำท่าจะเลื่อนหลุดทำให้ลตางค์ต้องเลื่อนปลายนิ้วไปประคอง แต่ก็พลาดทำร่วงเสียงดังจนได้

“โอ๊ย! ยิ่งรีบยิ่งช้า” ลตางค์ครางกับตัวเองพลางรีบก้มลงเก็บแฟ้มงาน พอเงยหน้าขึ้นมา สายตาก็ดันสะดุดเข้ากับร่างเล็กของเด็กหญิงที่น่าจะอายุไม่ถึงห้าขวบ กำลังทำท่าละล้าละลังเบะปากเตรียมจะร้องไห้รอมร่ออยู่ไม่ไกลนัก

เด็กหลงทางหรือเปล่า…พ่อแม่ไปไหนกัน

ผู้คนที่เดินไปมาบางตาและไม่มีทีท่าจะสนใจเด็กหญิงเลยสักนิด ทำให้ลตางค์รู้สึกไม่สบายใจจนเริ่มหันรีหันขวาง สงสารเด็กพอๆ กับที่นึกห่วงเจ้านายซึ่งกำลังรอเอกสารเข้าประชุม

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศูนย์การค้าอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้เธอนึกหวังว่าเดี๋ยวเขาคงจะเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือเด็กน้อย จึงตัดใจก้าวเท้าเดินต่อเพื่อไปทำธุระของตัวเอง แต่ก็ยังอดปรายหางตามองไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เธอแอบฝากความหวังไว้จะเข้าไปหาเด็กหญิงแล้วหรือยัง

“อ้าว!”

ร่างของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หายลับตรงซอกข้างร้านแห่งหนึ่งก่อนที่จะเดินมาถึงเด็กหญิงทำให้ลตางค์ร้องออกมา คราวนี้สองเท้าของเธอหยุดนิ่ง ลังเลทันที

เสียงร้องไห้กระซิกของเด็กน้อยดังขึ้น แม้จะไม่ถึงกับร้องจ้า แต่ก็ดังมากพอแล้วสำหรับลตางค์ที่ครางออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาเด็กหญิงเพราะตัดใจทิ้งไม่ลงเสียแล้ว

“น้องคะ ไม่ร้องนะ มากับใครเอ่ย คุณพ่อหรือว่าคุณแม่”

ลตางค์ย่อตัวลงให้ใบหน้าเสมอกับเด็กหญิง อาการยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ และดวงตาคลอหน่วยด้วยหยาดน้ำแดงก่ำที่ได้เห็นมีแต่จะย้ำว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองอาจต้องเดือดร้อนที่ไม่รีบไปให้ถึงออฟฟิศเสียทีก็เถอะ

“พี่จะพาไปหาคนช่วยตามหาคุณแม่นะ” ลตางค์บอกพลางรวบเอกสารทั้งหมดไปไว้ในมือข้างหนึ่ง เพื่อให้อีกข้างว่างพอที่จะจับจูงเด็กหญิง และนึกปลอบตัวเองไปด้วยเสร็จสรรพ

แป๊บเดียวน่า แค่พาไปส่งที่ประชาสัมพันธ์ประจำศูนย์การค้าเท่านั้นเอง ไม่นานหรอก

อารามมัวสนใจจะพาเด็กหญิงไปหาคนช่วยตามหาผู้ปกครองทำให้ลตางค์ไม่ทันได้เห็นสายตาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มองมาจากทางเชื่อมระหว่างอาคารศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานอย่างสนใจ มุมปากยกยิ้มแววตาอ่อนแสงละมุน พอใจกับภาพที่ได้เห็น

ตาณนั้นมองเด็กหญิงตัวเล็กที่ดูเหมือนจะพลัดหลงกับผู้ปกครองอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหา แต่เสียงแฟ้มเอกสารที่ตกลงพื้นเสียดังทำให้ชะงักเสียก่อน ความรู้สึกคุ้นตาในยามที่เธอเงยหน้าขึ้นมาทำให้อดไม่ได้ที่จะลองคิดว่าเคยเห็นที่ไหน กระทั่งจำได้ว่าเธอคือนักเขียนหน้าใหม่ที่เขาเคยพบที่งานสัปดาห์หนังสือเมื่อหลายวันก่อน แต่วันนี้แปลกตาเพราะแว่นสายตากรอบเข้ม

อาการละล้าละลังของเธอก่อนหมุนตัวกลับไปหาเด็กหญิงทำให้เขาเลือกที่จะยืนนิ่ง คิดว่าพอจะเห็นท่าทางรีบร้อนของเธอ ไม่นึกว่าสุดท้ายจะยอมเสียเวลาช่วยเด็ก

ลตางค์นามปากกาของเธอดังขึ้นในความคิด

นิยายของเธอเขาอ่านจบภายในเวลาชั่วข้ามคืน ฝีมืออาจไม่ถึงขั้นพอจะทำให้ซาบซึ้งจนเก็บไปเป็นความประทับใจให้หยิบขึ้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขายิ้ม และอ่านรวดเดียวถึงบรรทัดสุดท้ายได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน

การได้พบคนเขียนโดยบังเอิญอีกครั้งวันนี้ ได้เห็นน้ำใจของเธอที่มีให้เด็กน้อยแปลกหน้า ทำให้ตาณคิดว่าไม่เสียทีที่อุดหนุนนิยายของเธอ และจากนี้ไป…ถ้าเธอจะเดินต่อไปบนเส้นทางสายวรรณกรรม เขาก็คงจะต้องเสียทรัพย์อุดหนุนนิยายที่คนเขียนไม่ใช่แววบุหลันเป็นประจำเสียแล้ว

กาแฟร้อนหอมกรุ่นที่ถูกวางลงบนโต๊ะใกล้มือทำให้ตาณที่กำลังนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เงยหน้าไปมองพร้อมรอยยิ้ม

“ดีใจจังที่เข้าออฟฟิศวันนี้ เลยได้มีโอกาสดื่มกาแฟฝีมือพี่ขวัญ ขอบคุณครับ ไปเที่ยวเป็นไงมั่ง ตาณคิดถึงทุกวันเลยนะ”

“เอาคำหวานมากำนัลอีกแล้วนะคะ นี่ค่ะของฝาก กำลังคิดอยู่เชียวว่าเย็นนี้จะชวนคุณเป้ไปหาที่บ้าน โชคดี…คุณตาณเข้าออฟฟิศ”

ถัดจากกาแฟ ถุงกระดาษสีน้ำตาลก็ถูกวางลงตรงหน้า ตาณเลิกคิ้วน้อยๆ แต่ใบหน้ายังแต้มยิ้มละไม

“อะไรครับเนี่ย จริงๆ แล้วแค่พี่ขวัญกลับมาทำงานเสียทีก็เป็นของฝากอย่างดีของตาณแล้วนะ” ปากพูดอย่างนั้น แต่มือก็ขยับถุงมาเปิดดูของข้างในตาเป็นประกาย

“นี่ถ้าไม่มีคุณเป้นะ พี่ต้องหลงคุณตาณเข้าสักวัน เสื้อยืดค่ะ ยืนยันว่าไปอัมพวามาจริงๆ ส่วนผ้าทอของคุณอาบุหลันนะคะ พี่ขอถือโอกาสรบกวนฝากไปให้แทนตัวทีเถอะค่ะ”

หญิงสาวรุ่นพี่หัวเราะเบาๆ ตามองอาการคลี่เสื้อทาบตัวของชายหนุ่ม

“ใส่ได้ไหมคะ คุณเป้ยืนยันว่าขนาดน่าจะใช่ แต่พี่ไม่แน่ใจ”

“ถ้าเล็กกว่าไซส์หนึ่งล่ะก็ใช่แน่ครับ ตาณยังเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ไม่ยิ่งใหญ่เท่าคุณเป้เค้า” ตาณเอ่ยถึงญาติผู้พี่ซึ่งเป็นสามีของเพียงขวัญ โดยเลือกใส่คำนำหน้าเหมือนล้อเลียน ก่อนจะทำตาวิบวับราวเด็กซนยิ้มใส่ตาพี่สะใภ้

“ฮันนีมูนเป็นยังไงมั่งครับ พี่ขวัญเริ่มรู้ตัวบ้างหรือยังว่าคิดผิดที่เลือกพี่เป้มากกว่าตาณ”

เพียงขวัญมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกกึ่งอ่อนใจกึ่งชื่นชม ถ้าไม่ใช่เธอ…เป็นหญิงสาวคนอื่นก็คงยิ้มปลื้มและเผลอเข้าใจผิดว่าเขามีใจให้เกินมิตรภาพอย่างบริสุทธิ์ใจแน่ นิสัยของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างไรเธอรู้ดี คำพูดของตาณไม่มีความนัยซ่อนเร้นมากไปกว่าเย้าแหย่ แม้จะดูใจดีขี้เล่น แต่ตาณเป็นคนมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนเสมอ และจนป่านนี้เพียงขวัญก็ยังไม่เห็นว่าจะมีหญิงสาวคนไหนก้าวข้ามไปได้

“คุณตาณน่ะชอบให้ความหวังสาวๆ”

เพียงขวัญแกล้งค้อน ก่อนจะเอ่ยปากถามถึงธุระอีกอย่างหนึ่งที่ตั้งใจไว้

“เมื่อเช้าฝ่ายบุคคลแจ้งว่าคุณตาณยังไม่ได้เลขาฯ แถมยังบอกว่าไม่ต้องส่งใครมาทดลองงานแล้วด้วย ทำไมคะ คนที่พี่คัดให้ก่อนลา…ทำงานไม่ถูกใจเหรอคะ”

ก่อนหน้านี้ตำแหน่งเลขาฯ ของตาณนั้นเป็นหน้าที่ของเพียงขวัญ กระทั่งในที่สุดเธอได้เลื่อนตำแหน่งไปดูแลสำนักงานกรรมการผู้จัดการควบกับตำแหน่งภรรยาเจ้าของบริษัท ฝ่ายบุคคลจึงต้องรีบหาเลขาฯ คนใหม่ให้ตาณ แต่ไม่ว่าส่งมากี่คน สุดท้ายก็ไม่ผ่านเสียอย่างนั้น

จะว่าตาณเรื่องมากก็ไม่ใช่ ในบริษัทนี้ถ้าถามว่าใครดูเข้ากับพนักงานได้ง่ายที่สุด หากเป็นสาวๆ ก็จะตอบทันทีไม่รีรอว่า ‘คุณตาณ’ ผู้บริหารที่รับตำแหน่งหัวหน้าทีมซอฟต์แวร์ดีเวลลอปเปอร์กันทั้งนั้น หนุ่มๆ ด้วยก็เถอะ มีใครบ้างไม่รักเจ้านายใจดี เฮไหนเฮกัน ทั้งเรื่องงานเรื่องเที่ยว แต่เพียงขวัญก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสุดท้ายถึงได้ไม่มีใครผ่านทดลองงานเลขาฯ ของเขาเลยสักคนเดียว

“น้องเค้าบอกว่ากาแฟของตาณชงยาก”

เพียงขวัญเกือบนิ่วหน้ามอง อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าให้กับเหตุผลประหลาดที่ได้ยิน รู้ว่าเขาแกล้งหาเหตุ

นิสัยชอบทำงานอยู่กับบ้านอย่างคุณตาณ เข้าออฟฟิศมาดื่มกาแฟที่นี่บ่อยสักแค่ไหนเชียว

“เลขาฯ นะคะ ไม่ใช่เมด จะได้เช็กฝีมือการทำงานจากฝีมือชงกาแฟอย่างเดียว”

“ทำยังไงได้ล่ะครับ พี่ขวัญทำตาณติดรสมือแล้วมาทิ้งกัน ตาณน่ะสงสารตัวเองเป็นที่สุด” ตาณแกล้งทำเสียงเศร้า ช้อนตามอง

“เอาเถอะค่ะ กาแฟน่ะพี่ชงให้เหมือนเดิมก็ได้ แต่ลองให้ฝ่ายบุคคลส่งเด็กมาให้ทดลองงานอีกสักคนดีไหมคะ ไม่งั้นงานคุณตาณ…ใครจะช่วย” เพียงขวัญเป็นห่วง

ความที่เคยดูแลกันมาทำให้เธอรู้ ถ้าเป็นเรื่องงาน…ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนถ้าชายหนุ่มตรงหน้าตกปากรับคำก็เรียกว่าวางใจได้ เพราะจะไม่มีวันเกินความสามารถ

กี่งานแล้วที่ใครๆ ส่ายหน้าว่ายาก ทำไม่ไหว แต่ถ้าตาณบอกว่าได้ เขาจะทุ่มสุดตัวจนกว่าจะได้เห็นความสำเร็จของมันอย่างงดงาม ดังนั้นการไม่มีเลขาฯ ช่วยประสานงานและดูแลรายละเอียดจิปาถะ ทำให้เพียงขวัญเชื่อว่าเขาต้องลำบากเอาการอยู่

ตอนที่ได้รับการเสนอเลื่อนขั้นนั้นเพียงขวัญลังเลไม่ใช่น้อยด้วยลำบากใจที่จะต้องมองหาตัวแทนมาคอยดูแลเรื่องสัพเพเหระให้เขา ไม่ใช่ว่าคิดอะไรกับตาณเกินเลยจากหน้าที่และฐานะพี่สะใภ้ ความผูกพันทำให้เป็นห่วง รู้นิสัยเขาว่าเห็นท่าทางใจดีแบบนี้ แต่จะยอมรับใครเป็นเรื่องเป็นราวล่ะก็…ยากเย็นนัก ไม่อย่างนั้นจะยังเป็นพ่อพวงมาลัยโปรยเสน่ห์ทำร้ายจิตใจสาวๆ แบบนี้หรือ

“งานตาณไม่ค่อยมีอะไร ไม่จำเป็นต้องมีเลขาฯ หรอกครับ”

ตาณทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วตั้งแต่ไม่มีเลขาฯ เป็นตัวเป็นตน เขาต้องวิ่งวุ่นทำอะไรเองหลายอย่าง ทั้งเรื่องประสานงานและตามงานโปรแกรมเมอร์ในทีม จนกระทั่งทำงานอยู่ที่บ้านแล้วติดต่องานต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตเหมือนเคยอย่างที่ชอบไม่ได้ ต้องถ่อสังขารทิ้งบ้านเข้าออฟฟิศอย่างวันนี้ แต่เวลานี้เขาไม่อยากรับใครจริงๆ ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่คิดจะบอกใคร

ตั้งแต่ลองรับคนอื่นมาทำงานแทนเพียงขวัญ กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องรับโทรศัพท์ตอบคำถามไม่สำคัญอย่างไร้เหตุผล

‘จะเข้าออฟฟิศไหมคะ’

‘ส่งอีเมลไปให้คุณตาณแล้วนะคะ ได้รับไหมคะ’

‘งานที่คุณตาณสั่ง…ให้ทำเลยใช่ไหมคะ’

สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นเขาต้องรับโทรศัพท์จากคนที่มาเป็นเลขาฯ ถามโน่นนี่ทั้งวัน ตาณอาจจะเป็นคนอัธยาศัยดี ร่าเริง ยิ้มง่าย แต่ก็รำคาญง่ายเหมือนกัน เขารักความเป็นส่วนตัว และไม่ชอบความรู้สึกที่ว่ามีใครตามเป็นเงาราวกับจะมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชีวิตเขาแบบนั้น

…เขาชอบเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ถูกควบคุม…

“อืม…เอาไว้ก่อนเถอะครับ รอจนกว่าจะเจอคนที่ชงกาแฟอร่อยได้เหมือนพี่ขวัญค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า”

“ดื้อเหมือนเคยเลยนะคะคุณตาณเนี่ย ทำไมคะ กลัวสาวๆ เห็นคุณตาณมีหน้าห้องแล้วจะตัดรักหรือยังไง ไม่มั่นใจในเสน่ห์ตัวเอง?”

“แหม ไม่มั่นใจตั้งแต่พี่ขวัญเลือกพี่เป้มากกว่าตาณแล้วล่ะครับ” คราวนี้คำพูดของตาณเรียกเสียงหัวเราะปนเขินได้จากเพียงขวัญ

ท่าทางคุยกันถูกคอของทั้งคู่ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมาจากห้องประชุม และทอดสายตาผ่านผนังกระจกห้องทำงานของตาณเข้ามานิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้ามาผลักประตูห้อง โผล่หน้าเข้ามาทักบ้าง

“คุยอะไรกัน ท่าทางสนุก”

“ขวัญเอาเสื้อมาให้คุณตาณค่ะ คุณเป้ประชุมเสร็จแล้ว? ทำไมไวจัง”

เพียงขวัญหันไปถามผู้ที่เข้ามาใหม่และกำลังทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของตาณ

“ยังหรอก เบรกรอข้อมูลน่ะ โห…นี่กาแฟฝีมือขวัญใช่ไหมเนี่ย ลำเอียงนี่นา ทีของผมปล่อยให้แม่บ้านดูแล” เป้หรือปกรณ์หันไปประท้วงภรรยาตัวเอง

“แม่บ้านที่ไหนคะ ขวัญชงให้กับมือ แค่อาศัยแม่บ้านเข้าไปเสิร์ฟเท่านั้นเอง” เพียงขวัญเอ็ดสามี ในขณะที่ตาณหัวเราะตาพราว

“ทิ้งสามีให้แม่บ้านดูแล แต่ตัวเองมาคอยเอาใจเจ้านายเก่าเนี่ยนะ แล้ววันนี้เข้ามาทำไมเนี่ยเจ้าตาณ ไหนบอกว่าไม่ต้องเข้าออฟฟิศ…ทำงานที่ไหนก็ได้ไง”

ปกรณ์วกมาตะเพิดญาติผู้น้องเอาง่ายๆ ในบรรดาญาติพี่น้องทั้งหมดที่มี เขาสนิทกับตาณยิ่งกว่าใคร แทบจะเหมือนพี่น้องคลานตามกันมาก็ว่าได้

“คนแก่ขี้อิจฉา รำคาญจริง ประชุมอะไรกัน ทำไมเบรกได้ล่ะ แปลก”

ตาณปรายสายตามองไปที่ห้องประชุม ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อคิดว่าเห็นร่างหญิงสาวคุ้นตาก้าวไปหยุดยืนชะเง้อมองประตูห้องประชุมด้วยท่าทางละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจผลักเข้าไป

ลตางค์…มาทำอะไรที่บริษัทของเขาล่ะเนี่ย หมู่นี้ดูเหมือนดวงเขาจะสมพงศ์ให้ได้เจอเธอบ่อยเสียจริง

“พีอาร์น่ะสิ ข้อมูลไม่พร้อม” ปกรณ์บ่นน้ำเสียงระอาใจ

จริงๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องทิ้งห้องประชุมมาก็ได้ แต่ปกรณ์รำคาญอาการผลุบเข้าผลุบออกห้องประชุมเพื่อตามข้อมูลของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์เต็มที จึงตัดสินใจสั่งพัก

“คุณปานเหรอคะ”

“ก็รายนั้นน่ะแหละจะมีใคร นี่ถ้าไม่ติดว่าคอนเน็กชั่นดีนะ ผมคงให้พิจารณาตัวเองไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแล้ว” ปกรณ์บ่นอุบ ไม่ทันได้เห็นสายตาของตาณที่ยังคงมองประตูห้องประชุมเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งมันถูกเปิดอีกครั้ง

“นั่นใครครับพี่ขวัญ”

หญิงสาวที่ทำท่าจะเดินกลับไปทางเดิม ซึ่งไม่ผ่านหน้าห้องของเขาทำให้ตาณรีบเรียกเพียงขวัญเพราะอยากรู้

เพียงขวัญชะเง้อมองก่อนจะหันมาตอบ

“อ๋อ น้องตางค์…ลตางค์ พนักงานใหม่ของทางพีอาร์น่ะค่ะ ดูเหมือนจะยังอยู่ในช่วงทดลองงานนะคะ วันนี้ขึ้นมาถึงข้างบน คงเอาข้อมูลการประชุมมาให้คุณปานล่ะมั้ง” เพียงขวัญบอก

บริษัทนี้ฝ่ายบริหารกับฝ่ายอื่นๆ จะอยู่แยกชั้นกันอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ถ้าไม่มีประชุมก็จะต่างคนต่างทำงาน ไม่ปะปนวุ่นวายกัน เว้นก็แต่ฝ่ายสำนักงานกรรมการผู้จัดการที่บางครั้งต้องติดต่อกับหัวหน้าฝ่ายเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ ในฐานะตัวแทนของฝ่ายบริหาร จึงไม่แปลกที่เพียงขวัญจะรู้จักพนักงานในบริษัทมากกว่าตาณที่ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ

“เบ๊คุณปานน่ะสิ พีอาร์น่ะใช้เด็กทดลองงานเปลืองเป็นว่าเล่น ได้ยินว่าเด็กคนนี้ได้เกียรตินิยมด้วยนะ แต่เชื่อเถอะ สุดท้ายต้องไม่ผ่านทดลองงานแน่ๆ” ปกรณ์เปรย จะว่าสงสารเด็กก็คงมีส่วนอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะเริ่มเหนื่อยกับนิสัยของปานทิพย์มากกว่า

“ไปประชุมต่อเถอะค่ะ ขวัญว่าข้อมูลของทางพีอาร์น่าจะพร้อมแล้ว จะได้เลิกประชุมก่อนเที่ยง” เพียงขวัญเอาใจสามี ส่งมือรุนหลังให้เขาลุกจากเก้าอี้

“คุณพี่เป้เลิกหลังเที่ยงก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวตาณพาพี่ขวัญไปกินข้าวเอง อาหารญี่ปุ่นดีไหมครับ ตาณจำได้ว่าพี่ขวัญชอบ” ตาณเรียกพี่ชายด้วยคำนำหน้าแปลกๆ เป็นเชิงล้อเลียน พลางทำตาหวานมองเพียงขวัญ

“เชอะ! ฝันไปเถอะเจ้าตาณ เมียข้าใครอย่าแตะเฟ้ย แล้วนี่อย่าเพิ่งกลับบ้านนะ ไหนๆ ก็มาแล้ว อยู่คุยกันก่อน จะปรึกษาเรื่องโปรดักต์ใหม่หน่อย” ปกรณ์ขู่ทิ้งท้ายแต่ก็ไม่วายสั่งงาน ในขณะที่มือเลื่อนไปรั้งภรรยาให้ก้าวออกไปพร้อมกัน ทิ้งให้ตาณหัวเราะตาพราวที่ยั่วญาติผู้พี่ได้สำเร็จโดยไม่คิดจะสนใจอีก

พอได้อยู่ตามลำพัง ตาณก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงหญิงสาวที่ได้รู้ว่า ‘ลตางค์’ ไม่ได้เป็นเพียงนามปากกาของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นชื่อจริงอีกด้วย

ปลายนิ้วของเขาเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเหมือนเจ้าของกำลังใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนที่ตาณจะหยัดตัวลุกจากเก้าอี้ รอยยิ้มสนุกพรายอยู่บนแก้มในยามที่เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวเกือบค่อนแก้ว แล้วก้าวตัวปลิวออกไปจากห้องทำงานของตัวเอง ตรงไปหาเพียงขวัญที่กำลังรัวปลายนิ้วบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์

“พี่ขวัญว่างไหมครับ”

“คะ? คุณตาณอยากได้อะไรเหรอคะ” เพียงขวัญรามือจากงานมาถาม

“ไปดูใบสมัครตำแหน่งเลขาฯ ที่ฝ่ายบุคคลกับตาณหน่อยสิครับ”

“ให้คุณน้องเอาแฟ้มขึ้นมาให้ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องไปเองหรอก” เพียงขวัญยิ้ม นึกดีใจที่ตาณยอมเปลี่ยนใจ กลับมามองหาเลขาฯ อีกครั้งแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ตาณอยากไปเดินเล่น นะครับ ไปช่วยตาณดูหน่อยว่าคนไหนโหงวเฮ้งบอกว่ารสมือชงกาแฟเข้าท่ามั่ง”

“พูดเล่นอีกแล้วคุณตาณนี่”

เพียงขวัญเผลอค้อนเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากตาณอีกจนได้ก่อนจะรับคำ

“ก็ได้ค่ะ”

เพียงขวัญวางมือจากงานแล้วก้าวตามตาณที่รีรออย่างเป็นสุภาพบุรุษ เธอเองก็ไม่อยากให้ตาณลงไปชั้นล่างคนเดียวจนพนักงานตกใจที่จู่ๆ ก็มีผู้บริหารโผล่ไปเดินเล่นใกล้ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกัน

 

“หมดแรงมาเชียว เป็นไงมั่ง”

เสียงถามอย่างเป็นห่วงคุ้นหูทำให้ลตางค์ที่เพิ่งหย่อนตัวนั่งอย่างหมดแรงหันไปส่งยิ้ม แต่คงเป็นยิ้มที่ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไร เพราะยังไม่ทันตอบก็ได้ยินประโยคต่อมาทันที

“โดนดุอยู่ดีล่ะสิ”

“ตางค์ช้าเองล่ะค่ะ” ลตางค์ตอบเสียงอ่อย

เสียงเอ็ดของปานทิพย์ยังแว่วติดหู แต่จะโทษใครถ้าไม่ใช่ตัวเอง ถ้าเธอไม่เสียเวลาพาเด็กหญิงหลงทางไปส่งที่ประชาสัมพันธ์ของศูนย์การค้าก็คงจะมาได้ไวกว่านี้ การประชุมคงไม่ต้องพักคอย

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในเวลานั้นจะให้ลตางค์ทิ้งเด็กตัวเล็กๆ ให้หลงทางพลัดพ่อพลัดแม่อยู่ได้ยังไง เธอทำใจแข็งไม่ลงหรอก ไม่อยากอ่านข่าวทีหลังว่ามีพ่อแม่กำลังร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ตามหาลูกสาวพร้อมภาพเด็กคนนั้น จนตัวเองต้องนึกเสียใจไปตลอดชีวิตที่มองเมินได้ลงคอ

“ไม่ใช่ความผิดของตางค์สักหน่อยที่คุณปานลืมงานไว้ที่บ้านน่ะ แต่ก็นั่นแหละนะ ใครใช้ให้เป็นลูกน้องเค้าล่ะ” สินีบ่นเสียงจนใจ

พนักงานส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนที่เคยผ่านการทำงานในฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทนี้รู้นิสัยปานทิพย์ดีว่าชอบชี้นิ้วใช้งานลูกน้องแค่ไหน บางทีวันหยุดยังไม่เว้น โทรจิกให้เข้ามาทำงานอย่างไม่นึกเห็นใจ พอมีใครโวยขึ้นมาก็เก็บไปฟ้องฝ่ายบุคคลว่าเหยาะแหยะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมั่ง เกี่ยงงานมั่ง จนสุดท้ายก็กระเด็นไม่ผ่านทดลองงานเอาง่ายๆ เสียอย่างนั้น ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีใครกล้าหืออีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปงกๆ คิดถึงตัวเลขเงินเดือนที่จะได้รับปลายเดือนเป็นเครื่องปลอบใจ เพราะแม้จะงานหนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนที่บริษัทแห่งนี้มอบให้คุ้มค่าเหนื่อย

“ตางค์อาจได้เป็นลูกน้องคุณปานอีกไม่นานก็ได้ โดนดุบ่อยๆ แบบนี้…สงสัยจะไม่ได้ผ่านโปรแน่เลย” ลตางค์เสียงอ่อย เมื่อคิดถึงการทดลองงานหรือ Probation ของตัวเองที่คอยแต่จะทำท่าอับปางอยู่เรื่อย

สินีที่ไม่รู้จะปลอบเพื่อนรุ่นน้องอย่างไรวางมือบนหัวไหล่ บีบเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง นึกเสียดายลตางค์อยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง เพราะคนที่ประเมินผลการทำงานของลตางค์ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนที่หมั่นเอ็ดลตางค์อยู่ทุกวันนั่นต่างหาก

ตางค์เอ๊ย…ไม่น่าโชคร้ายมาลงที่แผนกนี้เลย

 

เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากทางเดินทำให้ลตางค์ละสายตาจากการร่างจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ไปมอง พอเห็นว่าเป็นพี่ขวัญคนสวยใจดีประจำสำนักงานกรรมการผู้จัดการก็ยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม นึกแปลกใจอยู่บ้างที่วันนี้ข้างกายพี่ขวัญไม่ใช่คุณเป้ แต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวคมสันที่เธอไม่เคยเห็น

แต่ลองเข้ามาได้ถึงภายในสำนักงานด้วยท่าทางสบายๆ แบบนี้ ลตางค์ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงจะเป็นคนสำคัญไม่น้อยแน่

“พี่ขวัญกลับมาทำงานแล้วเหรอคะ ได้เจ้าตัวเล็กสักคนมาเป็นของฝากไหมคะ”

สินีชะโงกหน้ามาทักเสียงใส แต่ลตางค์คิดว่าแนวสายตาของสินีไม่ได้อยู่ที่เพียงขวัญ กลับทอดไปยังชายหนุ่มที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร

“แซวพี่นะ เดี๋ยวเถอะ”

“ไม่ทักผมบ้างเหรอครับ แย่จัง ไม่ค่อยมาให้ใครเห็นหน้าจนคนที่นี่ลืมเสียแล้วมั้งเนี่ย” เสียงเปรยเหมือนน้อยใจแต่ติดแววขี้เล่นที่ได้ยินทำให้ลตางค์เลิกคิ้วมองน้อยๆ พลางนึกชมในใจ

ท่าทางขี้เล่นใจดีจัง

“แหม ใครจะกล้าลืมคุณตาณล่ะคะ มีแต่คุณตาณนั่นล่ะค่ะ ไม่ค่อยจะคิดถึงคนที่นี่ ปล่อยให้สาวๆ ชะเง้อคอคอย”

สินีค้อนน้อยๆ บอก ประโยคที่ได้ยินทำให้ลตางค์ที่เงียบมาตั้งแต่ต้นรู้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร

คุณตาณ…ผู้บริหารหนุ่มที่ยังโสด ขวัญใจสาวๆ ในออฟฟิศ

ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่ลตางค์ได้ยินชื่อของเขาหลายครั้งแต่ไม่เคยได้พบตัวจริงสักที เพราะนอกจากชั้นบนจะเป็นอาณาบริเวณสำหรับผู้บริหารที่พนักงานทดลองงานเล็กๆ อย่างเธอย่างกรายไปแทบจะนับครั้งได้แล้ว ลตางค์ยังได้ยินมาว่าเขาชอบทำงานที่บ้านมากกว่าเข้าบริษัทอีกด้วย

“สาวๆ แถวนี้หนีไปมีเจ้าของหัวใจแล้วทั้งนั้นนี่ครับ ผมมาบ่อยก็เท่านั้น อกหักเสียเปล่าๆ” เสียงนุ่มเคล้าหัวเราะที่ได้ยินแม้จะฟังเหมือนป้อคำหวาน แต่ลตางค์อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่มันไม่ทำให้เขาดูเป็นคนกรุ้มกริ่มรุ่มร่ามเลยสักนิด

เป็นเพราะคำว่าสุภาพบุรุษใจดีที่เธอมักจะได้ยินคู่กับชื่อของเขาเสมอหรือเปล่านะ

“แหม…นียังว่างค่ะ ไม่ค่อยจะเข้าออฟฟิศจนลืมว่านียังโสดจนได้เห็นไหมคะ คุณตาณน่ะทำพูดดีไปเถอะ นี่คุณปานขึ้นไปประชุมข้างบนไม่เห็นคุณตาณใช่ไหมคะ ถึงได้รอดลงมาทำปากหวานแถวนี้ได้” สินีเย้า

แม้ตาณจะมาให้พนักงานเห็นหน้าน้อยครั้ง แต่อัธยาศัยใจคอและความเป็นกันเองของเขาทำให้พนักงานทั้งหลายชื่นชอบและไม่รู้สึกห่างเหิน โดยเฉพาะปานทิพย์ที่แม้จะสวยเฉี่ยวตามประสานักประชาสัมพันธ์ที่ต้องออกสังคมเจอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ป้อเสมอ ก็ยังเป็นที่รู้กันว่าต้องตาต้องใจตาณไม่น้อย

เพียงขวัญส่ายหน้าให้กับคารมของสินีและตาณที่ไม่มีใครยอมใคร ก่อนจะหันไปหาลตางค์

“ตางค์ฟังเงียบเลย นี่คุณตาณ…ยังไม่เคยเจอใช่ไหมจ๊ะ คุณตาณคะ นี่น้องลตางค์…พนักงานใหม่ค่ะ” เพียงขวัญแนะนำทั้งคู่

บทสนทนาที่จู่ๆ เบนมาถึงตัวเองทำให้ลตางค์ที่กำลังฟังเพลินเกือบสะดุ้ง มือปัดร่างจดหมายที่เธอเขียนลงกระดาษด้วยดินสอปลิวจากโต๊ะจนต้องรีบย่อตัวลงไปยื่นมือตะครุบ พอจะขยับตัวขึ้นมายืนตรง ศีรษะก็โขกกับขอบโต๊ะเสียงดังโป๊กเข้าให้

“อู๊ย…” ลตางค์ครางพลางขยับตัว แต่ก็ไม่วายพลาดไปชนเก้าอี้ตัวเองจนกระเป๋าสะพายที่แขวนไว้ร่วงลงมา ข้าวของหล่นกระจายอีก

หายนะแท้ๆ วันนี้มันวันอะไรของเธอกันแน่เนี่ย

“ตายแล้วตางค์! เจ็บไหม” เพียงขวัญตกใจ ตามองหญิงสาวตัวเล็กที่ส่งยิ้มอายๆ ในขณะที่ตาณย่อตัวลงไปช่วยเก็บของ

เขาเกือบชะงักเมื่อเห็นว่าหนึ่งในข้าวของทั้งหลายนั้นมีหนังสือเล่มใหม่ของมารดาอยู่ด้วย และดูเหมือนเจ้าของจะหวงอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะมือบางยื่นมาคว้ารวดเร็วจนตาณไม่ทันได้แตะทั้งที่อยู่ใกล้กว่า

“ขอบคุณค่ะ” ลตางค์พึมพำบอกเสียงเบาพลางส่งมือไปรับของอื่นที่ชายหนุ่มช่วยเก็บให้คืนกลับมา แล้วรวบทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยกมือไหว้ตาณ

แววตาเป็นประกายคล้ายเจืออารมณ์ขันของเขาทำให้อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วมองเหมือนลืมตัว

เขาขำอะไร ขำเธอซุ่มซ่ามงั้นเหรอ

“ซุ่มซ่ามแบบนี้ล่ะค่ะ นี่ขนาดใส่แว่นตานะเนี่ย ไม่เป็นไรใช่ไหมตางค์” แม้จะบ่น แต่ประโยคลงท้ายของสินีก็ยังเต็มไปด้วยรอยห่วงใย

“ไม่เป็นไรค่ะ” ลตางค์ตอบเสียงอุบอิบ ความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าทำให้เธอรีบก้มหน้าลงไม่กล้าจะสบตาใคร จึงไม่ได้เห็นว่าสายตาอ่อนแสงของตาณที่ทอดมองอยู่นั้นไม่เคลื่อนไปจากตัวเธอเลยสักนิด

“แล้วนี่จะไปไหนกันคะ มาถึงชั้นล่างเป็นแพ็กคู่แบบนี้” สินีอยู่มานานพอจะกล้าตั้งคำถาม ซึ่งก็มีไม่กี่คนเหมือนกันที่เธอจะกล้าพูดด้วยอย่างนี้

“จะแวะไปหาคุณน้องหน่อยน่ะ ไปเถอะค่ะคุณตาณ” เพียงขวัญที่พอจะมองออกว่าลตางค์น่าจะทั้งเขินทั้งเกรงคนหน้าขาวตาพราวข้างตัวเธอตัดบทชวนชายหนุ่มเพราะนึกสงสารหญิงสาว

เพียงขวัญอาจจะรู้จักลตางค์ได้ไม่นานนัก แต่แววตาสดใสอย่างคนมองโลกในแง่ดี ขยันขันแข็งในการทำงาน ไม่เคยอิดออด ไม่เคยสร้างหรือมีปัญหาทั้งที่โดนฤทธิ์ปานทิพย์เข้าไปสารพัด ทำให้อดไม่ได้ที่จะเอ็นดู ไม่อยากให้ใครในบริษัทนี้แกล้งให้ลำบากใจอีก แม้แต่คุณตาณก็เถอะ

ตาณที่ยังยิ้มตาพราวพยักหน้ารับคำชวน และเสียงทุ้มนุ่มสุดท้ายที่ลตางค์ได้ยินก่อนที่เขาจะจากไปก็มีแค่การรับคำสั้นๆ เท่านั้นเอง

“ครับ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มี.ค. 64

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: