บทที่หนึ่ง
ในยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ปรากฏฝุ่นทรายสีเหลืองลอยกระจายฟุ้งริมสองข้างทาง หนึ่งคนหนึ่งม้าควบตะบึงมาอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันตลาดนัดของเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนแห่งนี้ เพราะใกล้สิ้นปีแล้ว ตลาดนัดจึงคึกคักกว่าที่ผ่านมา อานม้า บังเหียน เสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ นับได้ว่ามีทุกอย่างที่ควรมี เสียงกีบเท้าม้าที่ดังอย่างเร่งรีบดึงดูดสายตาผู้คนให้ทยอยมองไปตามๆ กัน ม้าตัวนั้นแข็งแรงกำยำ บนหลังม้าคือบุรุษอ่อนเยาว์สวมชุดสีเขียวผู้หนึ่ง มือซ้ายกดดาบ มือขวากุมบังเหียน บริเวณหว่างคิ้วดูเฉยชา คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ทุกคนต่างเบี่ยงตัวหลบทางให้เขา เพียงชั่วพริบตาม้าก็วิ่งผ่านเส้นทางคับแคบที่เรียงรายไปด้วยแผงสินค้า เหลือไว้เพียงฝุ่นฟุ้งลอยคละคลุ้ง
ผู้คนมองร่างที่ห่อหุ้มไปด้วยฝุ่นพร้อมส่ายหน้า ในเวลาสั้นๆ ตลาดนัดก็กลับมาอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลายท่ามกลางความวุ่นวายอีกครั้ง
ภายในร้านน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งริมถนน มีคนนั่งพักกระจัดกระจายอยู่ห้าหกคน บุรุษที่แต่งกายเป็นนายพรานเคาะกระบอกยาสูบ เอ่ยปากขอยืมที่จุดไฟจากชายชราซึ่งนั่งดื่มชาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ด้านข้าง ขณะสายตาพยักพเยิดไปทางแผ่นหลังของบุรุษอ่อนเยาว์บนหลังม้าผู้นั้น ชวนพูดคุย “ดูท่าจะเป็นคนจากเมืองหลวง”
“ใช่กระมัง องค์หญิงสิบสามกำลังเสด็จมาแล้ว เมื่อวานแม่ทัพจ้าวได้ถ่ายทอดคำสั่งให้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ต้องเพิ่มความเข้มงวดภายในเมือง ห้ามผู้คนออกมาเดินเล่นบนถนน เพราะองค์หญิงจะเสด็จออกนอกชายแดนจากที่นี่” ชายชราจิบชาไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเล่าเสียงราบเรื่อย
“โอ๊ะ! บอกตามตรงนะท่านปู่ ข้าโตมาจนอายุปูนนี้ยังไม่เคยเห็นขุนนางท้องถิ่นมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องสาวของฮ่องเต้ ได้ยินคนในเมืองหลวงเล่าลือกันว่าองค์หญิงพระองค์นี้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า…”
“เหอะ!” ชายชราส่ายหน้าอย่างไม่แยแส “แล้วจะอย่างไร ต่อให้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ถูกส่งไปแต่งเป็นชายาประมุขข่านของตาเฒ่าอายุห้าสิบสามอยู่ดี”
“ฮ่า ท่านปู่กำลังอิจฉาอยู่หรือนี่ อิจฉาอยู่ชัดๆ” เอ่ยจบก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ชายชราสำลักเบาๆ กระแอมไอพูดว่า “ตาเฒ่าหูตี๋รับมือยากยิ่งกว่าข้ามากนัก ข้าดูแล้ว ไม่เห็นนี่จะเหมือนการแต่งงานที่ตรงไหน ทหารมากมายถึงเพียงนี้ ต่อให้แต่งไปแล้วก็ใช่ว่าจะจบปัญหาได้ แค่กๆ”
นายพรานผู้นั้นตื่นตกใจ ถามเสียงเบาด้วยสีหน้าอมทุกข์ “อะไรกัน หรือว่าจะมีสงครามอีกแล้ว?”
“พูดยาก ตอนนี้ทหารม้าชาวหู หนึ่งแสนนายตั้งทัพอยู่ที่ชายแดนทางเหนือของเยี่ยนโจว ซิวถูอ๋องที่เป็นผู้นำทัพคือแม่ทัพอันดับหนึ่งของประมุขข่านหูตี๋ ปีนั้นที่เขายกทัพบุกเข้าโจมตีเมืองทางใต้ของเยี่ยนโจว เข่นฆ่าไปตั้งกี่คนกันเล่า” ชายชราลูบหน้าอก
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนที่นั่งฟังอยู่ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
บริเวณมุมร้านมีโต๊ะเก่าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำชาเป็นด่างดวงตัวหนึ่ง มันช่วยขับเน้นให้ชุดของเด็กสาวที่นั่งอยู่ดูสดใสมากขึ้น นางก้มหน้าฟังบทสนทนาสัพเพเหระเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางที่บุรุษอ่อนเยาว์ผู้นั้นรีบเร่งควบม้าผ่านไป แล้วหันหน้ากลับมาเอ่ยกับสหายร่วมโต๊ะผู้สวมชุดเนื้อหยาบสีน้ำเงิน “พี่ชาย องค์หญิงที่เสด็จมาแต่งงานผู้นั้น ได้ยินมาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
บุรุษชุดน้ำเงินแม้จะสวมผ้าเนื้อหยาบ ทว่าหน้าตาหล่อเหลาสุภาพ ดูอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี แต่แววตากลับมีความสงบเยือกเย็นที่ไม่เข้ากับใบหน้า แม้เขาจะแต่งกายคล้ายชาวนา แต่หน้าตาบุคลิกเสมือนบัณฑิต เขาไม่ได้สนใจเด็กสาว เพียงโยนกำก้านซือเฉ่า* ในมือลงบนโต๊ะ
“พี่ชาย ข้าอยากเห็นว่าหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าหน้าตาเป็นเช่นไร” เด็กสาวชุดแดงยิ้มสดใส
บุรุษสวมชุดเนื้อหยาบได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าถลึงตาใส่นาง ทว่าน้ำเสียงยังคงราบเรียบ “อย่าเหลวไหล” เขายื่นมือออกไปรวบก้านซือเฉ่าขึ้นมา หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
เด็กสาวมองดูกำก้านซือเฉ่าเหล่านั้น “ท่านกำลังเสี่ยงทายหรือ”
“อืม”
“เสี่ยงทายเรื่องใด”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่มองฝุ่นข้างทางที่ตกลงมาอย่างอ้อยอิ่ง เขาทอดสายตามองออกไปนอกชายคา ชาวบ้านยังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ แม้จะมีชีวิตชีวา แต่กลับเป็นเพียงภาพทิวทัศน์ที่นิ่งค้างของฟ้าดินอันกว้างใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับภาพสายลมสารทกลางทะเลทรายบนภาพวาดน้ำหมึก นับว่างดงาม ทว่างดงามไม่ผันแปรนับพันปี
“พี่ชาย!” เด็กสาวชุดแดงร้องเรียก บนดวงหน้างดงามสะท้อนความไม่พอใจต่ออาการใจลอยของอีกฝ่าย
บุรุษสวมชุดเนื้อหยาบลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตูร้านน้ำชา เงยหน้ามองก้อนเมฆสีเทาบนผืนฟ้า ก่อนริมฝีปากจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ไม่มีอะไร เจ้าสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยเถอะ ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว”
ค่ายทหารของแม่ทัพจ้าวสุ่นอยู่นอกเยี่ยนโจวไปสิบห้าหลี่ ทหารสามหมื่นนายที่ประจำการอยู่ที่นั่นล้วนเป็นผู้ชำนาญการรบที่สยบศัตรูไปทั่วมาหลายปี ยามนี้ภายในกระโจมของจ้าวสุ่นมีคนสองคนซึ่งต่างมีสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หนึ่งในนั้นยืนค่อนเข้าไปด้านในกระโจม รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ใบหน้าคมสัน ร่างกายที่สูงตระหง่านราวกับหอคอยทำให้กระโจมดูคับแคบลง เขาโค้งคำนับไปทางตั่ง เอ่ยว่า “กระหม่อมเพิ่งไปสืบข่าวมาจากในกองทัพ บรรดาแม่ทัพสายตรงของพวกเราต่างรับรู้แล้ว ทว่าไม่กล้ารบกวนแม่ทัพอาวุโสสกุลจ้าวกับสกุลหลี่”
ผู้ที่นั่งอยู่บนตั่งขยับตัวลุกขึ้นยืน คบเพลิงที่ส่องมาจากข้างหลังขับเน้นองคาพยพหล่อเหลา ชุดเข้ารูปสีดำทำให้รูปร่างของเขายิ่งดูสูงเพรียวมากขึ้น คนผู้นี้สะบัดชายเสื้อเดินไปที่ปากกระโจม เลิกม่านไปด้านข้าง มองความเคลื่อนไหวของภายนอก เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ตาเฒ่าเหล่านี้ล้วนมากประสบการณ์ กระทำการสุขุมหนักแน่น ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปบังคับเต็มที่ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เป็นการกระทำลับหลังราชสำนัก”
บุรุษร่างสูงใหญ่คล้ายลังเลอยู่บ้าง “พวกเราจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษชุดดำเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมกัน กลัวรึ”
บุรุษร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า “มิได้กลัวพ่ะย่ะค่ะ! แต่ฝ่าบาทไม่ได้มีพระราชโองการ…”
บุรุษชุดดำแค่นเสียงเบา ปล่อยม่านกระโจมลงพร้อมหันกลับมา “ตอนแรกที่มีการปรึกษากันเรื่องนี้ ข้าก็คัดค้านสุดกำลังแล้ว แต่สงครามที่หนานสวีเร่งด่วน ขุนนางในราชสำนักพวกนั้นหารือกันไปหารือกันมาก็คิดวิธีการเช่นนี้ออกมา ข้าเร่งรีบเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ตัวคนกลับถูกส่งไปแล้ว พระราชดำริของฝ่าบาทคือทรงต้องการปลอบให้พวกขนดกเหล่านั้นสงบลงก่อนสักสองวัน รอราชสำนักยื่นมือออกมาได้ค่อยจัดการพวกเขา ฝ่าบาททรงเป็นฝ่าบาท ทรงคิดคำนวณเพื่อบ้านเมือง ไม่ว่าอะไรก็ล้วนสละได้ แต่ข้ายอมไม่ได้”
บุรุษร่างสูงใหญ่ครุ่นคิด “พระราชดำริของฝ่าบาทก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล บ้านเมืองทำสงครามต่อเนื่องมาหลายปี กำลังแคว้นไม่เพียงพอ หากยังทำสงครามกับทางเหนือขึ้นมาอีก เกรงว่าจะแบกรับความเสียหายเช่นนี้ไม่ไหว”
บุรุษชุดดำส่ายหน้าน้อยๆ “เรื่องนั้นก็ต้องดูว่าจะสู้อย่างไร สู้ไม่ไหวก็จะขายน้องสาวอย่างนั้นหรือ! เช่นนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะทรงมีพระโอรสไปเพื่ออะไร หากต้องส่งเด็กสาวไปหยุดยั้งสงคราม ข้าเองก็ไม่มีหน้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทหารทั้งสามเหล่าทัพอีกต่อไปแล้ว”
ในระหว่างที่พูดคุยกัน ม่านกระโจมก็ขยับไหว ผู้ที่เดินเข้ามาคือจ้าวสุ่นที่สวมชุดเกราะครบชุด ภายในกระโจมที่ปิดมิดชิด แสงคบเพลิงส่องใบหน้าที่ตากแดดจนดำมะเมื่อมของเขาแลดูคล้ายสำริดที่แข็งกระด้าง แต่เมื่อเขาเลิกคิ้วขึ้นก็กลับมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เขากวาดตามองภายในกระโจม ก่อนก้มตัวค้อมคำนับให้บุรุษชุดดำ “กระหม่อมมาช้า ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
บุรุษชุดดำยิ้มน้อยๆ โบกมือเอ่ยว่า “ลุกขึ้น” เขาก็คือจิ้งหย่วนชินอ๋อง เฉิงตั๋วนั่นเอง
จ้าวสุ่นลุกขึ้นทันที “กระหม่อมเรียกตัวคนที่ท่านอ๋องทรงต้องการมาหมดแล้ว ล้วนกำลังรอฟังคำสั่งอยู่ที่กระโจมหลัก นอกจากนี้เจ๋อเหรินยังกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วสะบัดชายเสื้อนั่งลง ผงกศีรษะ “ให้เขาเข้ามา”
บุรุษอ่อนเยาว์ชุดเขียวผลุบเข้ามาในกระโจม คุกเข่าข้างหนึ่งคารวะ ก่อนจะกดดาบแล้วลุกขึ้นยืน
เฉิงตั๋วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
บุรุษอ่อนเยาว์ตอบกลับเสียงนอบน้อม “กระหม่อมตรวจตราด่านทั้งเก้าแห่งตลอดชายแดนเยี่ยนโจวตามที่พระองค์ทรงสั่ง พบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใด ระยะนี้ทหารม้าชาวหูอยู่ห่างจากแนวป้องกันไปห้าหลี่ เป็นเพราะเมื่อสองวันก่อนราชสำนักอนุมัติเรื่องการแต่งงาน พวกเขาคาดเดาว่าพวกเราไม่ต้องการทำสงครามแล้ว การป้องกันจึงหย่อนยานลง ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยของเยี่ยนโจวยังมีชาวบ้านจับจ่ายซื้อของวันปีใหม่อยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้จึงดี อย่าให้พวกเขารู้เรื่องที่ข้ามา” เฉิงตั๋วยิ้ม มือหนึ่งเคาะเบาๆ อยู่บนโต๊ะ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนร้องเรียกอย่างกะทันหัน “หยางโหย่วหลิน”
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษร่างสูงใหญ่ขานรับ
“ทางองค์หญิงสิบสามเตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“กระหม่อมสั่งให้เจ๋อซิวคุ้มกันกลับเมืองหลวงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จดหมายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของท่านอ๋องก็ได้ฝากองค์หญิงให้ทรงนำกลับไปถวายให้ฝ่าบาทแล้วเช่นกัน”
เฉิงตั๋วผงกศีรษะเอ่ย “อืม เฉิงจิ่นฉลาด เมื่อได้พบเสด็จพี่จะต้องอธิบายเจตนาของข้าได้อย่างดีเป็นแน่” เมื่อพูดจบก็เงยหน้ามองไป ทว่ากลับเห็นทั้งหยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นต่างมีสีหน้ากังวล เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวลขึ้น “ตอนที่ยังไม่ทำสงคราม เสียงถกเถียงในราชสำนักย่อมไม่หมดไม่สิ้น แต่พอทำสงคราม ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว ดังนั้นสู้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
หลังจากนั้นอีกสองวันในราตรีที่มืดมิดที่สุด หยางโหย่วหลินนำทหารอ้อมทัพหน้าของซิวถูอ๋อง ตลอดทั้งคืนทหารม้าเบา* วกอ้อมไปสองร้อยหลี่แล้วบุกเข้าโจมตีค่ายใหญ่ของซิวถูอ๋องตรงๆ ส่วนทหารของจ้าวสุ่นตีเข้าทางปีกซ้ายของทัพซิวถูอ๋อง ตัดขาดทัพทางซ้ายของซิวถูอ๋องออกจากทัพใหญ่ ไล่ต้อนอีกฝ่ายไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเยี่ยนโจว ซิวถูอ๋องไม่ทันรับมือจึงได้แต่หลบหนีขึ้นเหนืออย่างรีบร้อน ไม่อาจตั้งตัวรับศึกได้แต่แรก
ในชั่วขณะหนึ่ง เสียงกลองรบดังลั่นไปทั่วทุกสารทิศ บริเวณชายแดนพันหลี่ของเยี่ยนโจวกับอวิ๋นโจว ทัพทหารทั้งเหนือใต้ต่างเคลื่อนไหวตามเสียงกลอง ดูท่าปีใหม่ปีนี้คงไม่อาจผ่านไปอย่างสุขสงบ และในยามนี้แดนหูกลับมีหิมะตกหนักลงมาไม่หยุดนับเดือนอย่างคาดไม่ถึง คล้ายกับต้องการจะเปลี่ยนแปลงสีสันแต่เดิมของใต้หล้า
บนสันเขาที่อยู่ห่างออกไป เฉิงตั๋วขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า ชุดเกราะเงาวับเปล่งประกายระยิบระยับยามสะท้อนกับพื้นหิมะ ด้านหลังเขาคือผู้ติดตามกับแม่ทัพจ้าวสุ่นที่ขี่ม้าตามมาตลอดทาง จ้าวสุ่นตรากตรำสู้ศึกมาตลอดทั้งคืน เพิ่งจะกลับมาถึงที่ทัพหลักช่วงรุ่งสางนี่เอง ดังนั้นทั้งคนทั้งม้าจึงล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า แต่ดวงตายังคงทอประกายเจิดจ้า คอยติดตามเฉิงตั๋วเดินตรวจตรา
“อากาศที่นี่ยามจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกะทันหัน เมื่อวานกลิ้งอยู่ในพื้นหิมะทั้งคืน กีบม้าลื่นไปหมด ลำบากยากเย็นกว่าจะหาทางกลับมาได้ แต่พวกชาวหูก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีการลอบโจมตีในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ ยามนั้นแต่ละคนจึงซุกตัวดื่มสุรากินเนื้ออยู่ในกระโจม ตอนที่พวกเราอยู่ห่างจากค่ายใหญ่ออกไปไม่ถึงสามสิบจั้ง พวกทหารที่ป้อมปราการถึงเพิ่งรู้สึกตัว…” เดิมทีจ้าวสุ่นเป็นบุตรชายที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ติดตามเฉิงตั๋วก่อเรื่องไปทั่วด้วยกันตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาจึงทำตัวตามสบายอย่างมาก
หูเฉิงตั๋วรับฟังการเล่าเรื่องด้วยทีท่าคึกคักเกินไปของจ้าวสุ่น สายตากลับรั้งอยู่ที่ชาวบ้านจำนวนหนึ่งบริเวณชายแดนซึ่งกำลังเดินไปตามถนนอย่างทุลักทุเล ในความรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หัวใจเขากระตุก พลันหยุดม้าพร้อมร้องเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งที่แบกฟืนเดินอย่างไม่เร่งไม่ร้อน
“พวกเจ้าได้ยินเสียงสู้รบเมื่อคืนนี้กันหรือไม่”
“อะไรนะ” ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นเขาสวมชุดเกราะ บุคลิกไม่สามัญ จึงถามกลับอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เรื่องที่พวกเราทำสงครามกับชาวหู พวกเจ้ารู้หรือไม่ กลัวหรือไม่” เฉิงตั๋วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าเขาเป็นมิตร จึงเกาผ้าโพกหัวเอ่ยตอบ “อ้อ รู้ขอรับๆ เมื่อวานถึงได้ไม่ออกมา เพราะรู้ว่าเหล่าทหารจะมาเลยซื้อเสบียงมากักตุนไว้ที่บ้าน หลายคนยังเร่งเดินทางทั้งคืนไปบ้านญาติทางใต้แล้วด้วย”
เฉิงตั๋วยังคงถามอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ไปกัน”
“พ่อของข้าขาไม่ค่อยดี นี่ไง วันนี้ข้าออกมาหาฟืนสำหรับสองวัน อีกสองวันล้วนไม่ออกจากบ้านแล้ว นายท่านขอรับ สงครามครั้งนี้จะนานแค่ไหนกัน”
“อีกไม่นานแล้ว แต่พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทหารกำลังจะมา” เฉิงตั๋วยิ้มบาง
“ท่านตงฟางเป็นคนบอกขอรับ”
เฉิงตั๋วตวัดสายตามองจ้าวสุ่น จ้าวสุ่นเอ่ยรายงานทันที “คนผู้นั้นสกุลตงฟาง พำนักอยู่ในหุบเขาไร้นามทางตะวันตกของเมืองผิงเหยา เป็นชาวนาป่าเขาผู้หนึ่ง มักมาขายถั่วที่ปลูกเองในตลาดนัดทางด้านนี้บ่อยๆ เขาเอ่ยเรื่องสภาพอากาศ แนะนำชาวนาด้านการเพาะปลูกเป็นบางครั้ง ไม่เคยไม่แม่นยำ ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างศรัทธาเขา เรียกเขาว่าท่านตงฟาง”
สีหน้าเฉิงตั๋วเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ขณะเอ่ยอย่างไม่หนักไม่เบา “ชาวนาจะพูดเรื่องสภาพอากาศนับว่าถูกต้อง แต่หากสนใจเรื่องกิจการบ้านเมืองกองทัพนับเป็นการทำเกินหน้าที่” เอ่ยจบก็กลับตัวหันม้า มุ่งหน้าไปยังเนินเขาสูงซึ่งอยู่ตรงกับตีนเขาที่มีการต่อสู้ดุเดือดเมื่อคืน ค่ายของศัตรูที่สร้างขึ้นโดยอาศัยภูมิประเทศภูเขา ยามนี้ถูกเผาทำลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว ตรงหน้ามีหยางโหย่วหลินกำลังควบม้าลงเนินเขามา บนหลังม้าพาดของบางอย่างเอาไว้ เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นถึงมองออกว่าเป็นสตรีชุดขาวผมยาวผู้หนึ่ง
ทันทีที่จ้าวสุ่นเห็นชัดก็หลุดหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ได้ไล่ตามทหารแตกทัพที่เหลือของซิวถูอ๋องไปหรอกหรือ เหตุใดจึงไล่ตามจนได้สิ่งนี้มาเล่า”
หยางโหย่วหลินกระชากสตรีผู้นั้นลงจากหลังม้าด้วยมือเดียว หิ้วปกคอเสื้อชูขึ้นตรงหน้าเฉิงตั๋ว เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ตาเฒ่านั่นเจ้าเล่ห์เกินไป เอาสตรีผู้นี้มาเป็นเกราะกำบัง ส่วนตัวเองวิ่งหนีไปแล้ว ข้าไล่ตามไปห้าสิบหลี่ กระทั่งนึกเรื่องที่ท่านอ๋องทรงบอกว่าห้ามตามไปไกลจึงได้กลับมา ซิวถูอ๋องซ่อนตัวอยู่ที่ใด มิสู้ถามนางดู!”
จ้าวสุ่นหัวเราะ “ทัพทหารของซิวถูอ๋องมีแค่หกหมื่นนาย ฐานที่มั่นของเขาถูกบุกโจมตี ทหารรักษาการณ์ทั้งสี่ด้านต่างถูกจัดการหมดแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องทรงให้เจ้าไล่ตามไปไกลได้ เจ้าก็ไม่มีทางตามทัน คราวนี้ที่จับสตรีมาคงนำมาเป็นข้อแก้ตัวกระมัง”
หยางโหย่วหลินแค่นเสียง ในตอนที่กำลังจะเปิดปากก็ถูกเฉิงตั๋วโบกมือห้ามเสียก่อน เขาก้มหน้ามองประเมินสตรีผู้นั้น นางผมยาวมาก ทว่าเส้นผมไม่ใช่สีดำขลับ ภายใต้แสงหิมะส่องกระทบคล้ายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผมส่วนหนึ่งยุ่งเหยิงบดบังใบหน้า ชุดที่สวมใส่คล้ายจะสะอาดเกินไป เนื้อผ้าเป็นถึงผ้าไหมหิมะอันล้ำค่ายิ่ง
เฉิงตั๋วกระชากผมนางให้เงยหน้าขึ้น มือหนึ่งปัดผมที่ยุ่งเหยิงบังหน้านางออก ถึงได้พบว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้อายุมากนัก ราวสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ดูสะอาดบริสุทธิ์ คิ้วสีอ่อนจาง สีหน้าไร้ความหวาดกลัว ดูไม่ออกว่าเป็นความว่างเปล่าหรือเก็บงำล้ำลึก ขนตายาวปรกลงมาบดบังดวงตา
เขาถามเสียงเรียบ “เจ้าเป็นใคร” นางไม่เหมือนชาวหู ปลายคางของชาวหูกว้าง ไม่มีองศาน่ารื่นรมย์เช่นนาง ปีกจมูกของชาวหูหนา ไม่ได้เล็กจ้อยงดงามเฉกนาง ขนตายาวของนางราวกับแมลงปอบนยอดบัว เกาะอยู่ที่นั่นไม่ขยับไหว คล้ายไม่ได้ยินคำถามของเฉิงตั๋ว
เฉิงตั๋วปล่อยผมนาง ตะโกนเสียงดัง “อาซือไห่!” ทหารหาญชาวหูผู้หนึ่งที่แต่งกายแบบทหารทางใต้วิ่งมาอย่างรวดเร็ว เดิมอาซือไห่ผู้นี้เป็นชาวหู เมื่อสี่ปีก่อนถูกเฉิงตั๋วสยบ ปกติมักจะเดินสืบข่าวอยู่บริเวณทางเหนือ เรื่องการจัดทัพป้องกัน รวมไปถึงกิจวัตรประจำวันของบรรดาเชื้อพระวงศ์เขาล้วนรู้ ช่วงสองปีมานี้ถึงแม้ตัวเฉิงตั๋วจะไม่ได้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ แต่สายลับที่จัดวางไว้ยังคงอยู่ สงครามหนนี้ถึงได้ราบรื่นถึงเพียงนี้
ทันทีที่อาซือไห่เห็นสตรีผู้นี้ก็ตกใจจนหน้าเผือดสี เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องทรงเอาตัวนางมาได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ซิวถูอ๋องโยนทิ้งเอาไว้”
“เขาโปรดปรานสตรีผู้นี้มาก ตั้งแต่ได้ตัวนางมาเมื่อสองปีก่อนก็เก็บไว้ข้างกายเสมอ นาง…นางเป็น…”
“เป็นอะไร”
“เมื่อก่อนนางเป็นทาสอุ่นเตียงของซิวถูอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ทาสของชาวหูเหมือนเป็นหมูหมากาไก่ จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับเจ้านาย แต่ไหนแต่ไรมาพฤติกรรมบนเตียงอันเสื่อมทรามของซิวถูอ๋องก็ดังเข้าหูมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ได้ยินมาว่ามีชนชั้นสูงชาวหูบางส่วน เวลาจัดงานเลี้ยงมักจะรวมตัวกันเพื่อเสพกามา เรียกได้ว่ามีความสุขเพียงลำพังมิสู้มีความสุขกันทั่วหน้า ยามนี้เมื่อมองสีหน้าเช่นนั้นของอาซือไห่ก็รู้แล้วว่านางเป็นทาสประเภทใด
“เมื่อก่อน?” เฉิงตั๋วถามกลับ
อาซือไห่ผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ ช่วงหลังมานี้ถึงแม้นางจะยังอยู่ในจวนอ๋อง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากซิวถูอ๋องแล้ว หากจะพูดว่าเสียความโปรดปราน เขาก็ไม่เคยมอบนางให้ผู้ใด นางถูกซิวถูอ๋องเก็บเอาไว้ข้างกายตลอดเวลา”
ปลายนิ้วเฉิงตั๋วหยิบเนื้อผ้าที่อยู่บนหัวไหล่นางขึ้นมาลูบน้อยๆ ยืนยันว่าเป็นผ้าไหมหิมะจริงๆ ราคาผ้าชนิดนี้ในร้านผ้าที่เมืองหลวงหนึ่งฉื่อ* ต่อหนึ่งตำลึง แต่ผิวบริเวณคอเสื้อของนาง กระดูกไหปลาร้าที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นเนียนละเอียดยิ่งกว่าผ้าไหมหิมะ เขาเหลือบสายตาขึ้นมองสตรีผู้นั้น รู้สึกว่านางบอบบางเยือกเย็นเกินไป ราวกับหิมะในแดนหูที่ไม่มีวันละลาย ไม่อาจนำไปคิดเชื่อมโยงกับเรื่องมั่วโลกีย์ได้ ในตอนที่กำลังจะเปิดปากก็ได้ยินเสียงอาซือไห่พูดต่อ “นางเป็นใบ้ พูดไม่ได้ แต่คงเพราะหน้าตางดงาม ซิวถูอ๋องถึงได้ตัดใจโยนทิ้งไม่ได้มาโดยตลอดกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วเอ่ยเสียงเรียบ “งามหรือ ข้าเห็นว่าแค่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
นางพลันช้อนสายตาขึ้นมองเขา เฉิงตั๋วเห็นสีหน้าของนางไม่ชัด รู้สึกเพียงขนตายาวของนางขยับน้อยๆ คล้ายปัดผ่านผิวเขาไปเบาๆ
ทุกคนได้ยินน้ำเสียงของเขาจึงมองหน้ากันไปมา สีหน้าต่างแฝงแววกรุ้มกริ่ม กับสตรี เฉิงตั๋วไม่คิดสนใจลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่แตะต้อง นอกจากนี้เป็นเพราะยุ่งกับกิจทางทหาร จึงนิยมเก็บดอกไม้มาชื่นชมตามใจชอบแล้วโยนทิ้งไป ด้วยเหตุที่เขาไม่เคยทำร้ายบุตรสาวชาวบ้าน แล้วก็ไม่มีทางเสียการใหญ่ด้วยเรื่องนี้ ดังนั้นต่อให้ถูกคนตำหนิโจมตีอย่างไร อย่างมากก็แค่ด่าว่าเขามีพฤติกรรมส่วนตัวไม่เหมาะสม
จ้าวสุ่นจึงเอ่ยเปิดทางให้เขา “งามไม่งามเป็นอีกเรื่อง แค่เรื่องที่พูดไม่ได้ก็เหมาะกับท่านอ๋องมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นข้าจะฝืนใจรับนางเอาไว้ก็แล้วกัน” เฉิงตั๋วหันไปด้านข้าง “ข้าต้องการสตรีผู้นี้ เจ๋ออี้ พานางไปทำให้สะอาดสะอ้าน” เจ๋ออี้ผู้ติดตามของเขาขานรับพร้อมกับเดินเข้ามาแบกสตรีผู้นั้นลงไป
เมื่อกลับมาถึงกระโจมใหญ่ เจ๋อเหรินก็รอพบอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเห็นเฉิงตั๋วเดินเข้ามาก็รีบรายงาน “ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหยางได้โอบล้อมและกำจัดทหารทัพหน้าจำนวนหมื่นกว่านายที่จับมาได้เมื่อคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วเคาะโต๊ะเบาๆ “ดี”
“แม่ทัพหลี่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง นำทัพบุกไปทางปีกขวาของซิวถูอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เมื่อคืนตอนที่แม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหลี่เห็นป้ายคำสั่งของข้า พวกเขามีท่าทีเช่นไร”
เจ๋อเหรินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าวตกใจมาก บอกว่าทางราชสำนักไม่ได้มีคำสั่งให้ทำสงคราม ให้ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าผลีผลาม กระหม่อมบอกว่าท่านอ๋องทรงนำกำลังคนไปบุกโจมตีค่ายใหญ่ของซิวถูอ๋องแล้ว ท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าวฟังแล้วมีท่าทีค่อนข้างอัดอั้นใจ พูดว่า ‘ท่านอ๋องห้าพระองค์นี้ทรงกระชากผืนฟ้าลงมาอีกแล้ว’ จากนั้นก็พากำลังคนออกไปเสริมทัพทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเฉิงตั๋วนึกไปถึงสีหน้าที่ ‘ค่อนข้างอัดอั้นใจ’ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ในราตรีเดียว ค่ายใหญ่แนวหน้าทั้งหมดของเยี่ยนโจวต่างชูธงเหยี่ยวของแม่ทัพใหญ่เฉิงตั๋วขึ้นมา พายุหิมะที่เกิดขึ้นกะทันหันย้อมเมืองบริเวณชายแดนให้กลายเป็นสีขาวโพลนทั้งผืน ร่องรอยมนุษย์ยิ่งดูบางตาลง แต่ในกระโจมหลักของค่ายใหญ่เยี่ยนโจวยามนี้กลับอบอุ่นผ่อนคลาย บนโต๊ะหลักมีกระดาษ พู่กัน และน้ำหมึกกองระเกะระกะ กำแพงด้านหนึ่งแขวนแผนที่ผืนค่อนข้างใหญ่เอาไว้ บนแผนที่ทำสัญลักษณ์ของทหารรักษาชายแดนตั้งแต่เยี่ยนโจวถึงอวิ๋นโจวรวมสองร้อยหลี่ อีกด้านมีเตาเหล็กทรงเหลี่ยมขนาดยาวห้าฉื่อวางไว้อันหนึ่ง ภายในนั้นถ่านกำลังเผาไหม้จนแดงก่ำ บนเตาเหล็กย่างแพะอยู่ตัวหนึ่ง
กรรมวิธีปรุงแพะตัวนี้เริ่มจากใช้มีดพกชำแหละ จากนั้นทาน้ำมันงากับสุราปรุงรสหมักเอาไว้หนึ่งคืนเพื่อให้รสชาติซึมเข้าไป เวลาย่างก็ต้องใช้ไฟพอดี ห้ามให้มีควัน ก่อนจะทาน้ำมันเคลือบบางๆ ไปชั้นหนึ่ง หลังย่างจนร้อนแล้วค่อยทาซีอิ๊วลงไปอีกชั้น พลิกหมุนและทาเครื่องปรุงลงไปซ้ำๆ ในตอนที่ใกล้จะสุกให้โรยผงยี่หร่าลงไปเล็กน้อย ยามนั้นกลิ่นจะหอมอบอวลไปไกลสิบหลี่ บนตัวแพะมีน้ำมันซึมออกมาดังชี่ๆ หอมน่ากิน กรอบนอกนุ่มในพอดี
สามคนที่นั่งล้อมวงอยู่พับแขนเสื้อยกจานขึ้นมารอนานแล้ว เฉิงตั๋วหั่นเนื้อแพะอย่างตั้งใจบนจานทองแดง พอหั่นได้เป็นชิ้นเล็กๆ ก็ส่งเข้าปาก เอ่ยเนิบช้า “ข้าให้พวกเจ้าพัก วันนี้เลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อ หลังกินเสร็จก็รีบขึ้นม้าออกเดินทางไปกันได้แล้ว”
จ้าวสุ่นยกจานหันไปทางหยางโหย่วหลิน “ท่านอ๋องทรงอยากจะเลี้ยงพวกเราที่ใดกัน ทรงอยากเสวยเนื้อแพะเองชัดๆ”
เฉิงตั๋วไม่สนใจ เอ่ยต่อ “หลังหลี่เต๋อขุยบุกโจมตีปีกขวาของซิวถูอ๋องอย่างฟ้าแลบก็มุ่งหน้าไปทางเหนือหนึ่งร้อยหลี่ ตอนนี้กำลังซ่อนตัวพักผ่อนอยู่ ส่วนท่านแม่ทัพอาวุโสจ้าว หลังร่วมโจมตีทัพหน้าของซิวถูอ๋องเสร็จก็มุ่งหน้าไปทางซ้ายสามสิบหลี่ รอรับคำสั่งที่นั่น วันนี้พวกเจ้าพาทหารไปคนละห้าพันนาย แยกเป็นซ้ายขวา นำกำมะถันกับชนวนไฟไปด้วย พอเข้าใกล้ค่ายของซิวถูอ๋องก็วางเพลิงเสีย แม่ทัพอาวุโสจ้าวกับแม่ทัพหลี่จะใช้เปลวเพลิงแทนตัวสัญญาณ พวกเจ้าพยายามไปรวมตัวกับพวกเขา กดดันให้ศัตรูล่าถอยมาทางข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางโหย่วหลินก็วางจานลง ถามว่า “กองทัพของท่านอ๋องมีทหารเพียงแปดพันนาย ซ้ำยังโยกย้ายมากะทันหัน หากไล่ต้อนมาทางนี้ทั้งหมด จะทรงรับมือไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “วางใจได้ ถึงเวลานั้นชาวหูจะคิดแต่เรื่องหนีไปทางเหนือ ไฉนเลยจะกล้าคิดลงใต้ พวกเจ้าสี่คนรวมกำลังกัน ที่สำคัญที่สุดคือการตัดทางหนีของซิวถูอ๋องให้ข้า”
จ้าวสุ่นเอ่ยเนิบๆ “ถึงจะพูดว่าหนึ่งแสน แต่ส่วนหนึ่งแยกตัวตั้งทัพรออยู่ที่ละแวกอวิ๋นโจว ทหารคนสนิทของซิวถูอ๋องก็แค่เจ็ดแปดหมื่นนาย ทหารกองซ้ายถูกจัดการไปแล้วสามหมื่น หลังเตลิดหนีตลอดทั้งวันก็เหลือแค่ทหารที่เหนื่อยล้าจำนวนเพียงสองสามหมื่นนายแล้ว อาศัยกำลังทหารของพวกเรา การจะจัดการให้หมดน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”
เฉิงตั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อทำสงครามแล้วก็อย่าทำเล่นๆ การต่อสู้เต็มกำลังเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น บาดเจ็บสิบนิ้วมิสู้ตัดขาดหนึ่งนิ้ว บัดนี้ไม่อาจมอบโอกาสรอดให้ซิวถูอ๋องเด็ดขาด ดังนั้นสงครามครั้งนี้ต้องกำจัดทหารทั้งหมด!”
หยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
เฉิงตั๋วเงยหน้ามองพวกเขา ใช้มีดพกจิ้มเนื้อแพะชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “แต่เจ้าพูดถูก เนื้อแพะของทางตะวันตกเฉียงเหนืออร่อยจริงๆ แพะทางใต้ทั้งแก่ทั้งเหนียว ผู้คนก็ล้วนไม่เท่าไร มีแค่สตรีที่พอจะน่ามองหน่อย”
จ้าวสุ่นหลุดขำดังพรืด เอ่ยหยอกเย้า “จริงหรือ” ใบหน้าหันไปทางหยางโหย่วหลิน หยางโหย่วหลินถูกมองก็รู้สึกแปลกๆ ชั่วพริบตาต่อมาถึงเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เขาพลันปักมีดสั้นลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งทันควัน “เจ้ามองข้าทำไมกัน ข้าไม่รู้เสียหน่อย! ข้าอยู่ทางใต้เอาแต่ทำสงครามเท่านั้น จะไปสนแพะสนสตรีอันใดกัน”
เฉิงตั๋วกับจ้าวสุ่นหัวเราะร่วน
ตามแผนการเช่นนี้ของเฉิงตั๋ว ซิวถูอ๋องก็เป็นเหมือนปลาบนเขียง แค่รอดูว่าพ่อครัวจะลงมีดอย่างไรแล้ว
ราตรีนี้พายุหิมะถาโถมซัดกระหน่ำ กลิ่นอายอ้างว้างของฤดูหนาวอันหนาวจัดลอยอวล ทว่าบนผืนดินหลายร้อยหลี่แห่งนี้กลับไม่ได้เงียบเหงา ทหารชาวหูนับหมื่นนายมุ่งหน้าขึ้นเหนือจากทางใต้ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างยามโฉ่ว* กับยามอิ๋น** นั้นเอง สองฝั่งของค่ายใหญ่พลันเกิดเพลิงไหม้ ธนูเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงเข้ามา สองวันนี้ชาวหูที่หลบหนีมาไม่เคยคิดเลยว่ายังต้องหนีต่อไปอีก ขณะมุ่งออกมาได้ไม่กี่หลี่ ด้านหน้าก็มีทหารสองกองทัพต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ พอหันกลับวิ่งหนีต่อไปอีก ก็รู้สึกว่าทุกทิศทุกทางล้วนเป็นทหารฝ่ายศัตรู ชั่วขณะหนึ่งเสียงร้องหาบิดามารดา เสียงอาวุธปะทะกันผสมปนเป สายลมพัดแรงจนเปลวเพลิงผสานกลายเป็นผืนเดียว ทัพใหญ่ของเฉิงตั๋วอาศัยยามราตรีเข่นฆ่าล้างบางทหารทัพศัตรูจนหมดสิ้น
เฉิงตั๋วนำทัพฆ่าฟันไปตลอดเส้นทาง ตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งสาง รุ่งสางจนถึงพลบค่ำ ทหารบุกทะลวงไปถึงด้านหลังของทัพจ้าวสุ่นแล้วถึงหยุด เขาสะบัดแส้ควบม้าขึ้นไปมองสำรวจจากที่สูง หิมะกองทับถมหนาชั้นขึ้นเรื่อยๆ กีบม้าจมลงไปบนพื้นหิมะครึ่งหนึ่งแล้ว เฉิงตั๋ววางแผนการในใจสั้นๆ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว เขาถอดเกราะออก ใช้หิมะเช็ดคราบเลือดบนมือและใบหน้า เจ๋อเหรินควบม้าเข้ามาหา หลังลงจากหลังม้ามาแสดงความเคารพตามแบบทหารให้เฉิงตั๋วเสร็จก็รายงาน “ท่านอ๋อง ทหารฝ่ายศัตรูตกตายและได้รับบาดเจ็บไปเกินครึ่งแล้ว ทหารที่เหลือต่างยอมศิโรราบ แม่ทัพจำนวนหนึ่งกำลังไล่ตามพวกที่หนีไป สิ่งที่ต้องทำต่อไป ขอท่านอ๋องทรงออกคำสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วมองหิมะที่ยังตกลงมาไม่หยุด ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ให้ทหารผลัดเวรยามกันพักผ่อน ถ่ายทอดคำสั่งไปให้จ้าวติ้งอี ให้หลี่เต๋อขุยถอยทัพกลับมาทางฝั่งซ้ายและขวาของข้า ส่วนจ้าวติ้งอีไปทางตะวันตกห้าสิบหลี่เพื่อชดเชยทหารรักษาการณ์ที่อวิ๋นโจว หยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นรวมทัพกันแล้วถอนทัพกลับมาที่ด้านหน้าสามสิบหลี่ สิ่งของของพวกทหารชาวเหนือที่มีประโยชน์ให้เอาไปด้วย ที่ไม่มีประโยชน์ให้เผาทิ้งเสีย บรรดาทหารที่ยอมแพ้ให้ปล่อยพวกเขาไปทางเหนือทั้งหมด ข้าไม่ได้มีเสบียงมากพอจะเลี้ยงดูพวกขนดกเหล่านั้น ถ้าดวงแข็งก็กลับกันไปเองเถอะ”
เจ๋อเหรินขานรับแล้วถอยออกไป
เมื่อคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดลงมา แม่ทัพทุกฝ่ายล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะบัดนี้หิมะยังคงตกหนักไม่หยุด ซ้ำตอนนี้พวกเขายังบุกเข้ามาในถิ่นศัตรูหลายร้อยหลี่ เสบียงไม่อาจตามมาทัน ตอนนี้สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือชุดฤดูหนาว ดังนั้นทหารชาวหูจึงถูกเปลื้องชุดออก ส่วนตัวคนถูกไล่กลับไปในแดนหิมะ เรียกอย่างสวยงามว่าปล่อยกลับ เดิมทีมีคนยอมแพ้เยอะเกินไป ทำให้เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย ซ้ำยังสิ้นเปลืองเสบียง แต่หากสังหารก็ทำลายชื่อเสียงเกินไป ทว่าถ้าปล่อยกลับไปจริงๆ จะมิใช่เป็นการผิดต่อตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นคำสั่งนี้ของเฉิงตั๋วจึงนับได้ว่าตรงใจและอำมหิต การปล่อยเชลยทหารจำนวนสองหมื่นนายให้ไปแข็งตายกลางแดนหิมะทั้งเป็น หากผู้ใดกลับไปได้จริงๆ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทนต่ออากาศหนาวได้ดีที่สุดในใต้หล้าเป็นแน่
หลายวันต่อมาหิมะยังคงไม่หยุดตก เฉิงตั๋วค่อยๆ ถอยทัพลงใต้ และตั้งค่ายไว้ในจุดสำคัญ รายงานศึกจากฝ่ายต่างๆ ทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทหารที่เหลือของทัพซิวถูอ๋องที่จะไปเรียกกำลังเสริมจากอวิ๋นโจวถูกจ้าวติ้งอีสกัดขวางเอาไว้ ส่วนทหารของแม่ทัพหลี่ปะทะกับทหารม้ากองหลักของประมุขข่านหูตี๋ และตัวซิวถูอ๋องเองก็ถูกทัพทหารม้าของหยางโหย่วหลินไล่ตามไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน
บทที่สอง
ยามนี้เฉิงตั๋วถอยทัพกลับมาถึงค่ายใหญ่เยี่ยนโจวแล้ว ขณะเดียวกันศีรษะของซิวถูอ๋องก็ถูกห่อด้วยธงศึกนำมาวางบนโต๊ะเขา ในใจเฉิงตั๋วลอบชื่นชมแม่ทัพร่างสูงใหญ่ผู้นี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าวัน กองทัพหนึ่งแสนนายของซิวถูอ๋องก็พินาศย่อยยับ กระทั่งตัวซิวถูอ๋องเองยังศีรษะแยกจากร่าง พวกเขายกทัพบุกเข้าไปลึกห้าร้อยหลี่แล้ววกอ้อมกลับมาโจมตี ไม่ว่าศึกนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบอะไรตามมาก็เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งซึ่งผู้คนยากลืมเลือน นี่ทำให้เฉิงตั๋วอารมณ์ดีอย่างช่วยไม่ได้ เขายืนอยู่หน้าค่ายทหาร มองไปทางทิศเหนือ คิดในใจว่าตอนนี้พวกเราสามารถนั่งรอได้แล้ว กระทั่งหันหน้าไปก็เห็นมุมหนึ่งของคอกม้าที่อยู่ห่างออกไป มีสตรีกลุ่มหนึ่งนั่งเบียดเสียดตัวสั่นอยู่ด้วยกัน แต่ละคนผมเผ้ายุ่งเหยิง
เฉิงตั๋วเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ บนเสาไม้ต้นใหญ่ใกล้คอกม้าล่ามคนผู้หนึ่งเอาไว้ คนผู้นี้กึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น มือที่มัดติดกับเสายกขึ้นมาเหนือหน้าอก เชือกห้อยอยู่กลางอากาศทำให้นางนั่งไม่สบายนัก ท่าทางคล้ายจะหลับไปแล้ว ชุดสีขาวมีรอยเปื้อนเป็นด่างดวงจนมองไม่ออกว่าเป็นสีขาวอีกต่อไป เห็นเพียงใบหน้างดงามซีดขาว ขนตาหลุบต่ำ ดวงตาถูกบดบังอยู่ภายใต้เปลือกตา
เฉิงตั๋วโน้มตัวรั้งปลายคางนางขึ้น สตรีผู้นั้นลืมตาโดยพลัน ภายใต้สีท้องฟ้ามืดสลัว ในชั่วพริบตาแววตาของนางเหมือนมีรุ้งวาบผ่าน เฉิงตั๋วเหม่อลอยไปชั่วขณะ นางเองก็ตื่นตกใจอยู่บ้าง ต่อมาเขาก็กลับมามีทีท่าเย็นชา ส่วนสีหน้านางก็ว่างเปล่าอีกครั้ง เฉิงตั๋วพลันนึกขึ้นได้ สตรีผู้นี้ก็คือผู้ที่หยางโหย่วหลินจับกลับมาได้หลังการบุกโจมตีซิวถูอ๋องในคืนนั้น
เจ๋ออี้เห็นเฉิงตั๋วเดินมาทางนี้จึงเดินตามมาแต่แรกแล้ว ตอนนี้กำลังร้องเรียก “ท่านอ๋อง” อยู่ข้างๆ พร้อมก้มหน้ารอรับคำสั่ง
เฉิงตั๋วมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าพานางไปทำให้ตัวสะอาดหรอกหรือ”
อ๋องห้ามีนิสัยคลั่งไคล้ความสะอาด ทั้งยังคลั่งได้พิสดารมาก ความคลั่งไคล้ก็คือการชมชอบบางสิ่งอย่างมาก บางคนเป็นกับหนังสือภาพวาด บางคนเป็นกับสุราน้ำชา บางคนเป็นกับของเล่นโบราณ ศึกษาค้นคว้าไปตลอดชีวิต มีความสุขอยู่กับสิ่งนี้ ส่วนเฉิงตั๋วชมชอบความสะอาดจนติดเป็นนิสัย เดิมทีในบรรดาเชื้อพระวงศ์ กฎระเบียบย่อมมีมากอยู่แล้ว หนึ่งวันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสี่ห้าครั้ง อาบน้ำทั้งเช้าเย็น ขอแค่ไม่ขี้รำคาญก็ทำตามได้ไม่ยาก แต่บรรดาแม่ทัพที่ออกมาสู้รบภายนอก ปกติมักไม่มีความพิถีพิถันเช่นนี้ มีบางทีสิบวันครึ่งเดือนไม่ได้อาบน้ำก็เป็นเรื่องปกติ เฉิงตั๋วนับได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่สามารถทั้งวางกลศึกและจับดาบสู้รบ เขาออกไปนำทัพอยู่แนวหน้า ตวัดดาบดื่มโลหิต ร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่มีอยู่อย่างหนึ่งคือต่อให้ไม่เหลือเสบียง ไม่มีข้าวให้กิน ขอแค่มีน้ำ เช่นนั้นเขาก็ต้องอาบน้ำอย่างน้อยวันละครั้งเสมอ ทุกครั้งที่สู้รบโลหิตอาบร่างกลับมา เรื่องแรกที่จะทำคือถอดชุดเปื้อนเลือดออก อาบน้ำให้สะอาดไปถึงซอกเล็บ
แต่ก่อนยามอยู่เมืองหลวง เฉิงจิ่นเคยเอ่ยล้อเขาเล่นว่า ‘คนโบราณว่าไว้ มนุษย์ที่ไม่มีความคลั่งไคล้ไม่อาจคบหาได้ เพราะแสดงว่าไร้ความรู้สึกลึกซึ้ง ในเมื่อพี่ห้าคลั่งไคล้ความสะอาด บ่งบอกถึงความยึดติดในใจ แสดงว่าเป็นผู้ที่มีความรู้สึกลึกซึ้ง’ เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ไม่เพียงแต่ทุกคนได้รู้ว่าอ๋องห้ามีความคลั่งไคล้เล็กๆ ในบรรดาคุณชายทั้งหลายก็บังเกิดคนมีอาการคลั่งไคล้ออกมาจำนวนไม่น้อย เหมือนสายลมพัดผ่านวูบหนึ่ง เพื่อที่จะได้รับความสนใจจากองค์หญิงสิบสามสักครั้ง
ตามหลักนี้แล้ว สตรีของเฉิงตั๋วก็ควรขาวสะอาดไร้ตำหนิจึงจะถูก แต่เขากลับไม่คิดเช่นนี้ สิ่งของที่สะอาดบนโลกใบนี้มีไม่มาก สิ่งของที่อัปลักษณ์ก็มีไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเวลาเดินแล้วเท้าเปื้อนโคลน สามารถเช็ดออกได้ ฆ่าคนมือเปื้อนเลือด สามารถล้างออกได้ จากการแบ่งประเภทเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย ถ้าอย่างนั้นระหว่างเขากับสตรีจะเกี่ยวข้องอันใดกันเล่า ดังนั้นนิสัยคลั่งไคล้ความสะอาดของเขาจึงจำกัดเฉพาะกับตัวเองเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี ส่วนสตรีที่วางลงบนเตียงเขา สามารถบุบสลายมีมลทิน สามารถมีฐานะต้อยต่ำ สามารถหน้าตาไม่งดงาม แค่ไม่อาจตัวสกปรกมอมแมมเท่านั้น
เจ๋ออี้ได้ยินเขาถามก็รีบตอบกลับ “กระหม่อมส่งต่อให้บ่าวหญิงอาวุโสที่หลังค่ายจัดการไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ชุดเป็นของเก่าเท่านั้น” เมื่อเฉิงตั๋วแสดงสัญญาณมือ เจ๋ออี้ก็ปลดเชือกที่พันธนาการสตรีผู้นั้นออก นางล้มฟุบลงกับพื้นทันที เฉิงตั๋วตวัดแขน คว้านางขึ้นมาพาดไว้บนบ่า เดินตรงไปยังกระโจมใหญ่ของตน เหล่าสตรีคนอื่นๆ ที่มุมคอกม้ามองตามทิศทางที่เขาเดินไป เนื้อตัวสั่นเทา
ทันทีที่เข้าไปในกระโจม เฉิงตั๋วก็วางนางลง สตรีผู้นี้ถูกพันธนาการไว้กับเสาไม้เป็นเวลานาน จะนั่งจะนอนล้วนไม่สะดวก ดังนั้นทันทีที่ถูกปล่อยลงพื้นก็รู้สึกเพียงมือไม้เหน็บชาแข้งขาอ่อนแรง ร่างกายเอนโน้มไปข้างหน้า เฉิงตั๋วคว้านางเอาไว้ก่อนแล้วพาไปบนเตียง ทันทีที่เขาสะบัดมือ สายรัดชุดของนางก็ลอยออกไปกลางอากาศ เสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวตัวบางที่มีรอยด่างดวงและหลวมอยู่บ้างแล้วคลายตัวออก ร่วงหล่นลงไปบนพื้นทันที
ในเมื่อไม่ใช่ของขวัญที่ห่ออย่างประณีตงดงาม เขาเองก็ไม่เสียเวลากับการปลดอาภรณ์ของนาง สตรีผู้นี้ผอมมาก ทว่าไม่ได้ผอมจนเห็นกระดูก ยามนี้นางนั่งอยู่บนขอบเตียงเงียบๆ คราก่อนอาซือไห่บอกว่านางเป็นของเล่นของซิวถูอ๋อง ทันทีที่คิดถึงสถานะเช่นนี้ เส้นประสาทบางเส้นของบุรุษก็ถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ความประทับใจที่เขามีต่อนางถูกย้อมไปด้วยสีสันอันแพรวพราว อย่างไรก็ตามสีสันเหล่านี้ไม่เข้ากับตัวตนของนางอย่างมาก กระทั่งเขาเปลื้องผ้านางก็ยังคงไม่รู้สึกว่านางเป็นสตรีเช่นนั้น
เฉิงตั๋วมองประเมินนางลวกๆ ก่อนขยับมือถอดเสื้อผ้าตนออก กล้ามเนื้อตั้งแต่บ่าถึงเอวของเขากำยำยืดหยุ่น กล้ามเนื้อท่อนแขนปรากฏเส้นสายขึ้นมาตามการก้มตัวลงไปถอดรองเท้า ในตอนที่มือของเขาแตะถูกผิวกายนาง หัวไหล่นางหดเข้าหากันน้อยๆ สัมผัสยามโอบกอดนางราวกับกอดผ้าไหมชั้นเลิศพับหนึ่ง เย็นเยียบและประณีต ร่างนางสั่นน้อยๆ ในอากาศอันหนาวยะเยือก ทำให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เรือนผมดกนุ่ม ถึงแม้จะขาดประกายไปเพราะต้องฝุ่นลม แต่ในยามที่กอบกุมอยู่ในมือกลับนุ่มลื่นละเอียดอ่อน
เฉิงตั๋วรู้สึกโดยไร้ที่มาว่าดวงตาของนางเปรียบดั่งถ้อยคำอันไร้ที่สิ้นสุด ยามนี้นางกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างเงียบสงบดุจผืนสมุทรกลางดึก เขาอยากเห็นอะไรบางอย่างจากในนั้น ทว่ากลับมีแค่การมองตอบอันล้ำลึก เฉิงตั๋วบีบหัวไหล่นางด้วยความตั้งใจหยอกเย้าเล็กๆ ปลายนิ้วลูบไล้ผิวกาย แม้นางจะผอม แต่ทรวดทรงกลับประณีตงดงาม สัมผัสทางกายค่อยๆ แทนที่ความคิดจะสืบเสาะเข้าไปในดวงตานาง เขาผลักนางล้มลงไปบนเตียง แล้วทาบทับตามลงไปอย่างหยาบโลน
นางกอดเอวเขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง ในพริบตาเฉิงตั๋วถูกมืออันเย็นเฉียบคู่นั้นแช่แข็งความคิดทุกอย่าง เขายันกายขึ้นคว้ามือนางทันที แต่นางกลับไม่ได้มองเขา ดวงตาคู่งามกะพริบไหว มองไปยังความว่างเปล่า ณ ยอดกระโจม
เดิมทีเฉิงตั๋วไม่มีความรู้สึกเห็นใจแม้แต่น้อยอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อถูกการกระทำของนางขัดขวางเล็กๆ ก็ราวกับถูกกระตุ้นอารมณ์มากขึ้นกว่าเก่า เขากุมมือส่งมอบความอบอุ่นให้นาง ก่อนจะลูบไล้ไปบนผิวกายเย็นเฉียบ โอบทั้งร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอด
เจ๋อเหรินมาถึงข้างนอกกระโจมแล้วได้เจอกับเจ๋ออี้เข้าพอดี เมื่อเจ๋ออี้ส่ายหน้าน้อยๆ ก็เข้าใจทันใด หลังใคร่ครวญถึงรายงานที่อยู่ในมือก็รู้สึกว่าอย่าเพิ่งไปขัดความสนุกของท่านอ๋องจะดีกว่า กฎของเฉิงตั๋วคือสตรีไม่เคยอยู่ค้างคืนในกระโจมของเขา ดังนั้นในเวลาเช่นนี้เจ๋อเหรินและเจ๋ออี้มักจะยืนรอ ป้องกันไม่ให้ยามเขาเรียกหาคนจะไม่มีใครคอยอยู่รับใช้
ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป เสียงลมหายใจหอบกระสันแผ่วเบาดังมาจากภายใน เรื่องนี้พวกเขาเข้าใจได้เพราะหญิงผู้นั้นเป็นใบ้ แต่ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ท่านอ๋องกลับยังไม่ไล่คนออกมา พวกเขาจึงอดรู้สึกเห็นใจหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาไม่ได้
วันต่อมาตอนที่จ้าวสุ่นกลับมาพร้อมผลลัพธ์ของการเก็บกวาดสนามรบ เฉิงตั๋วกำลังอ่านรายงานฉบับหนึ่งอยู่ เมื่อเห็นเขาชะโงกหน้าเข้ามาในกระโจมใหญ่ เฉิงตั๋วก็ชูรายงานในมือขึ้น เอ่ยว่า “กู่หลีอ๋อง ผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขชาวหูที่อยู่ทางอวิ๋นโจวเริ่มลงมือเคลื่อนไหวแล้ว ข้าคาดว่าเขาเองก็รู้สถานการณ์ไม่ชัด แค่แกล้งเคลื่อนไหวเพื่อหลอกศัตรูเท่านั้น”
“ให้พวกเขาเดากันไป พวกเขายังเดาไม่ทันเสร็จ ซิวถูอ๋องก็ถูกพวกเราจัดการไปแล้ว” เห็นได้ชัดว่าจ้าวสุ่นเองก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน เขาชักดาบเล่มงามออกจากฝักแล้วตวัดไปข้างๆ ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม
เฉิงตั๋วมองออกไปนอกกระโจมอย่างครุ่นคิด “หิมะยังตกอยู่หรือไม่”
“ตกเบาลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วคิดๆ แล้วเอ่ย “เจ้าไปพักก่อน ประเดี๋ยวข้าจะออกไปตรวจตราค่าย หลังเสร็จเรื่องก็จะฝากที่นี่ไว้กับเจ้า หยางโหย่วหลินยังไม่กลับมา เจ้ารอรับด้วย” สั่งเสร็จก็ลุกขึ้นยืน
จ้าวสุ่นถามอย่างตกใจ “ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่อื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปไม่นานก็กลับ อย่างมากสามวัน อย่างน้อยสองวัน” ขณะที่พูดเฉิงตั๋วก็ก้าวออกนอกประตูกระโจมไปแล้ว
บนถนนหลักทางฝั่งตะวันตกเมืองผิงเหยาของเยี่ยนโจว ม้าสามตัวเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนหิมะ คนทั้งสามแต่งกายแบบพลทหาร บนม้าแต่ละตัวมีรองเท้าหนังมัดอยู่ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากในค่ายใหญ่เยี่ยนโจว หนึ่งในนั้นมีท่าทีเหมือนเป็นหัวหน้า แต่หน้าตากลับดูไม่ได้ เป็นหลุมเป็นบ่อทั้งหน้า ในตอนที่เดินผ่านทางแยกแห่งหนึ่ง เขาพลันเห็นจุดสีแดงสะท้อนกับพื้นหิมะแต่ไกลๆ
บุรุษหน้าหลุมบ่อหวดม้าเบาๆ ม้าควบทะยานไปบนพื้น กีบเท้าจมลงไปในหิมะ เพียงไม่นานก็เห็นชัดว่าจุดสีแดงนั่นเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง รูปร่างเล็ก มือถือร่มน้ำมันสีขาว เด็กสาวหันหน้ามองมาตามเสียง ดวงตานางใสกระจ่าง ชุดสีแดงสะท้อนหิมะ เป็นความงามที่ไม่อาจพรรณนา
ทั้งสามคนทยอยหยุดม้าพร้อมๆ กัน หันมองหน้ากันเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มแสดงท่าทีเกี้ยวสาวออกมา เด็กสาวเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว หนึ่งในสามคนเปิดปากเอ่ย “น้องสาว วันที่หิมะตกหนักเช่นนี้เจ้าจะไปที่ใดกันหรือ”
อีกคนหนึ่งยิ้ม พูดว่า “ให้พี่ชายไปส่งเจ้าดีหรือไม่” พูดจบก็พากันหัวเราะครื้นเครง
เด็กสาวแค่นเสียงดูแคลน “เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้ากัน!”
บุรุษหน้าหลุมบ่อยิ้มกระอักกระอ่วน “เพราะพวกเราชอบเจ้าถึงได้อยากช่วยเจ้าอย่างไรเล่า”
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “อันธพาล!”
บุรุษหน้าหลุมบ่อหันไปพูดกับลูกน้อง “โอ๊ะ! ไม่เบาเสียด้วย แต่พวกพี่ชายเกรงว่าน้องสาวจะยังไม่เคยเห็นมาก่อนน่ะสิ ว่าอะไรเรียกว่าอันธพาล”
ทั้งสามคนหัวเราะสัปดนมากกว่าเดิม เด็กสาวกลับตัวเดินจากไปทันที บุรุษหน้าหลุมบ่อสะบัดแส้ใส่ด้ามร่มของนาง ร่มคันนั้นหักเป็นสองท่อนดัง ‘กร๊อบ’ ขณะที่ตัวคนทำเอ่ยปากกลั้วหัวเราะ “อย่าเพิ่งรีบไปสิ…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ตัวร่มก็พลันหุบเข้าหากัน เด็กสาวผู้นั้นบิดเอว ใช้ร่มแทนกระบี่แทงเข้าใส่ บุรุษหน้าหลุมบ่อเบี่ยงตัวหลบ ครั้นเห็นท่วงท่าการแทงของนางฉับไว จึงกระโดดลงจากม้าตั้งใจจะจับตัวนางด้วยมือเปล่า อีกสองคนก็ลงจากหลังม้ามาร่วมชมความสนุก แม้เห็นว่าเด็กสาวผู้นี้พอจะเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง ทว่าพวกเขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตา แต่ผู้ใดจะคาดว่าหลังประมือกันไปสักพัก บุรุษหน้าหลุมบ่อกลับตกเป็นรอง ถูกเด็กสาวผู้นั้นใช้ปลายร่มสกัดจุดข้อพับจนขาชา ทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เด็กสาวยิ้ม กำลังเตรียมจะเปิดปากถากถาง สองคนที่อยู่ด้านข้างก็พลันกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยแล้ว เด็กสาวหันกลับไปรับมือ ปะทะกับสองคนนี้ต่อ บุรุษหน้าหลุมบ่อสบถคำหยาบ ลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปร่วมวง ทั้งสามคนร่วมมือกันต่อสู้
เดิมทีเด็กสาวต่อสู้หนึ่งต่อสามก็รู้สึกกินแรงอยู่แล้ว ทันใดนั้นปลายหางตายังเหลือบไปเห็นคนชุดดำสวมงอบผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง นางเห็นคนผู้นั้นยิ้มจางๆ ไพล่มืออยู่ด้านหลังก็พลันตื่นตระหนก คิดในใจว่า คนผู้นี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใดกัน
ยามนั้นนางจึงไม่กล้าย่ามใจอีก ทางหนึ่งคอยรับมือกับทหารเลวสามนายนั้น อีกทางยังต้องคอยระวังไม่ให้คนชุดดำเข้ามาร่วมสร้างความลำบาก ทันทีที่แบ่งแยกสมาธิเช่นนี้ก็ไม่อาจรับมืออย่างคล่องแคล่วได้อีก เริ่มพลาดท่าอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นบุรุษหน้าหลุมบ่อพลันยื่นมือหมายจะคว้าแขนนาง ทว่ากลับต้องร้อง ‘โอ๊ย’ พร้อมหดมือกลับไป เขาตะโกนห้ามลูกน้องเสียงดัง ก่อนจะก้มมองก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งกลิ้งไปอยู่ที่ข้างทาง ชัดเจนว่าตนถูกก้อนหินซัดเข้าใส่ ทั้งสามคนหันไปมองคนชุดดำพร้อมกัน
บุรุษหน้าหลุมบ่อตวาด “เจ้าเป็นใครกัน กล้ามายุ่งเรื่องของข้า!”
เด็กสาวยืนนิ่ง หอบหายใจน้อยๆ เงยหน้ามองประเมินบุรุษชุดดำ คนผู้นี้รูปร่างค่อนข้างสูง คิ้วคมริมฝีปากบาง แววตาเจิดจ้า หน้าตาหล่อเหลา แต่สีหน้าของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชวนให้โมโห เพราะบนริมฝีปากนั่นเป็นรอยยิ้มขบขันชัดๆ ด้านข้างเขายังมีม้าสีขาวหิมะตัวหนึ่งยืนอยู่ ลักษณะท่วงท่าสง่างาม แค่มองก็รู้ว่าเป็นอาชาชั้นยอด
บุรุษชุดดำปล่อยมือจากบังเหียน ก้มหน้านวดหัวคิ้วด้วยท่าทางคล้ายปวดหัว เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เหตุใดข้าต้องมาเห็นเหตุการณ์ทหารเลวข่มเหงชาวบ้านด้วยนะ” ก่อนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทหารเหล่านั้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งหลายเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพผู้ใดหรือ”
หนึ่งในนั้นเตรียมตอบกลับ บุรุษหน้าหลุมบ่อที่เป็นหัวหน้ากลับห้ามเขาไว้ มองประเมินบุรุษชุดดำแล้วเอ่ยว่า “แม่ทัพหยางโหย่วหลินแห่งค่ายทหารเยี่ยนโจวตะวันตก” ตอนนี้ค่ายตะวันตกมีหยางโหย่วหลินเป็นผู้นำ แต่หยางโหย่วหลินแค่ติดตามเฉิงตั๋วมาทางเหนือเพียงไม่กี่วัน ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นกองกำลังเสริมแนวหลัง วันนี้เพียงออกมาซ่อมรองเท้าหนัง บุรุษหน้าหลุมบ่อสงสัยว่าคนชุดดำผู้นี้คงพอมีที่มาที่ไปอยู่บ้าง แต่ในใจคิดว่า แม้แต่พวกตนยังไม่เคยพบหยางโหย่วหลินมาก่อน บุรุษชุดดำผู้นี้ย่อมยิ่งไม่รู้จัก จึงกล้ายกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาอ้าง
เมื่อบุรุษชุดดำได้ยิน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เด็กสาวมองแล้วรู้สึกว่าเขาคล้ายจะมีโทสะจางๆ แต่ทหารสามนายนั้นกลับเห็นว่าเขาหวาดกลัว จึงเอ่ยเสียงดังกว่าเดิม “ถ้ามีตาก็รีบไสหัวไปเสีย!”
จากนั้นไม่ว่าผู้ใดก็มองไม่ชัดว่าบุรุษชุดดำลงมืออย่างไร ร่างกายของเขาขยับวูบ บรรยากาศโดยรอบดุดันน่าเกรงขาม ท่วงท่าการเคลื่อนไหวล้วนเล็งไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่าย เด็กสาวรับชมจากด้านข้าง เห็นว่าเป็นกระบวนท่าชั้นสูง ไม่ใช่อะไรที่ตนจะสามารถเทียบเคียงได้ แววประหลาดใจในดวงตาจึงยิ่งชัดเจนขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายกระบวนท่า ทหารทั้งสามกองอยู่กับพื้น กุมแขนกุมขาร้องโอดครวญกันไม่หยุด
บุรุษชุดดำไม่พูดอะไรและไม่ได้ขยับ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับเป็นเหมือนดาบคมที่ถูกชักออกจากฝักเล่มหนึ่งซึ่งแฝงกลิ่นอายสังหาร บุรุษหน้าหลุมบ่อผวา พอคลานลุกขึ้นได้ก็ไม่กล้าพูดจา คว้าพรรคพวกอีกสองคน พากันประคองขึ้นหลังม้าแล้วรีบร้อนจากไปทันที บุรุษชุดดำมองคนทั้งสามจากไปไกลอย่างเย็นชา สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาสะบัดชายเสื้อ กลับตัวเตรียมจะจากไป
เด็กสาวชุดแดงรีบร้องเรียก “เดี๋ยวก่อน” บุรุษชุดดำหันมามอง นางจึงถามต่อ “ท่านเป็นผู้ใดหรือ”
“แค่คนผ่านทาง”
“เช่นนั้น ท่านมีนามว่าอะไร”
ผ่านไปครู่ใหญ่บุรุษชุดดำจึงตอบ “เฉินจินเซิ่ง”
เด็กสาวครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “ชื่อธรรมดาสามัญ ทว่าวิทยายุทธ์นับว่าใช้ได้ ข้าชื่อหมิงจี ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกล้วนก่อกำเนิดสรรพสิ่ง ดังนั้นจึงเรียกว่าหมิง”
เฉินจินเซิ่งแค่นหัวเราะ “ยิ่งใหญ่นัก แต่น่าเสียดายที่ชื่อใช้ได้ คนกลับใช้ไม่ได้”
หมิงจีอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถลึงตาใส่เฉินจินเซิ่งผู้นั้น ในใจรู้สึกอัดอั้น
ดูเหมือนเฉินจินเซิ่งจะอารมณ์ดียิ่งกว่าเก่า จึงหัวเราะน่ารังเกียจมากกว่าเดิม เขาถามนางว่า “สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหุบเขาไร้นามของเมืองผิงเหยาอยู่ที่ใด”
ดวงตาหมิงจีทอประกายวูบ “ท่านจะไปที่นั่นทำไมหรือ”
“หาสหาย”
หมิงจีมองประเมินเขาขึ้นลง ก่อนชี้ไปยังทางแยกซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ทางนั้น” เฉินจินเซิ่งมองไปที่ถนนสายนั้น แล้วหันกลับมามองหมิงจีอีกครั้ง หมิงจีหันหน้าหนี เขาเพียงยิ้มจางๆ ก่อนจูงม้าเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
หมิงจีที่อยู่ด้านหลังมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยสายตาใคร่รู้
เฉิงตั๋วเดินไปย้อนคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเด็กสาวไปด้วย ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ล้วนก่อกำเนิดสรรพสิ่ง นางอายุยังน้อยแต่มีความรู้ความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร ระหว่างทางเขาถามผู้คนมาหลายคนแล้ว ได้ความว่าหุบเขาไร้นามอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองผิงเหยา เช่นนั้นนางชี้บอกให้เขามาทางนี้ด้วยเจตนาใดกัน
ขณะที่คิดพลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งถอนหายใจ เสียงนั้นดังออกมาจากใต้หลังคามุงกระเบื้องข้างทาง “ฟ้าครึ้มถนนลื่น พายุหิมะทำให้เดินทางลำบากเสียจริง”
เฉิงตั๋วมองไป แล้วก็พบคนสวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน สวมงอบใบใหญ่ ที่ข้างบันไดมีไม้คานหาบท่อนหนึ่งวางพาดไว้ มองจากการแต่งกายแล้วเหมือนจะเป็นคนตัดไม้ เพียงแต่ขอบงอบถูกกดลงต่ำมาก ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เขาคล้ายกำลังนั่งพักเท้า แต่กลับไม่มีสิ่งของสัมภาระใด ทั้งในวันที่อากาศเช่นนี้ก็ไม่ควรมานั่งพักผ่อนอยู่ตรงนี้อีกด้วย
เฉิงตั๋วมีความสามารถล้ำลึกในการอ่านผู้คนมาโดยตลอด แต่กลับคาดเดาถึงความเป็นมาของคนตัดไม้ผู้นี้ไม่ได้ เขาพลันรู้สึกว่าตลอดเส้นทางได้พบเจอแต่เรื่องประหลาด จึงลอบระมัดระวังมากขึ้น และใช้คำพูดหยั่งเชิงอีกฝ่าย “เรื่องนั้นก็ไม่แน่ พายุหิมะไม่อาจขัดขวางผู้ที่มีกิจให้ทำได้ กระทั่งเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกก็ยังมารออยู่บนถนน”
คนตัดไม้ได้ยินเช่นนี้ก็ถอดงอบออกแล้วเงยหน้าขึ้น มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้ม เขาเคาะงอบกับบันไดหินเพื่อกำจัดหิมะ พร้อมยิ้มเอ่ย “คำพูดของท่านนับว่าเอ่ยได้ถูกต้อง ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะไปที่ใดหรือ” คนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์มาก ในความหล่อเหลาสุภาพแฝงความสง่างาม ดูจากบุคลิกไม่คล้ายเป็นชาวบ้านทั่วไป แต่เครื่องแต่งกายบนร่างก็ดูเข้ากับเขา ประหนึ่งเขาเป็นแค่คนตัดไม้จริงๆ
เฉิงตั๋วมองไปข้างหน้า สถานที่แห่งนี้อยู่สุดปลายทางแล้ว มองต่อไปไม่พบเห็นร่องรอยผู้คนอีก จึงพลันยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าจะเดินผิดทางเสียแล้ว”
“เดินผิดทาง? สถานที่เล็กๆ ซึ่งเดินไปได้ทั่วภายในวันเดียวเช่นนี้ ท่านยังเดินผิดทางได้อีกหรือ” เขาพูดอย่างนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงลุ่มลึกประหนึ่งกระแสธารที่ไหลเอื่อย
เฉิงตั๋วเองก็ไม่คิดมาก เขารู้แก่ใจว่าคนผู้นี้ต้องมีที่มาที่ไป จึงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อน้องชายเอ่ยเช่นนี้ หากติดตามเจ้าไปก็คงไม่ผิดแล้ว”
คนตัดไม้ได้ฟังก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนปัดเศษหิมะบนร่างออก สวมงอบอีกครั้ง หยิบไม้คานหาบขึ้นแล้วออกเดิน เฉิงตั๋วจูงม้าเดินตามเขา คนตัดไม้เอ่ยปากถาม “พี่ชายมาจากที่ใดหรือ ดูแล้วไม่คล้ายเป็นคนในหมู่บ้านเล็กๆ”
“สายตาน้องชายนับว่าไม่เลว ข้ามาจากเมืองหลวง คิดอยากมาทำการค้าบางอย่าง เพียงแต่เมื่อสองวันก่อนดูเหมือนว่าที่ชายแดนทางเหนือของเยี่ยนโจวจะมีสงครามอีกแล้ว ดังนั้นเลยได้แต่เดินตามทางไปเรื่อยๆ ดูว่าที่ใดพอจะสามารถค้าขายได้บ้าง”
“ในเวลาเช่นนี้ยังกล้าขึ้นเหนือมาทำการค้า พี่ชายช่างขวัญกล้านัก เมืองหลวงไม่ดีหรือ เหตุใดจึงต้องมาลำบากที่นี่ในสภาพอากาศเช่นนี้ด้วย”
“ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก พยายามหาเงินตอนนี้ให้มาก วันหน้าจะได้สบายขึ้นหน่อย” เฉิงตั๋วตอบคำส่งๆ
คนตัดไม้หัวเราะเหอะๆ “เงินทองมีคำว่ามากพอที่ใดกัน หากตอนนี้ท่านไม่ทำตัวสบายๆ ไว้ วันหน้าก็สบายไม่ไหวเช่นกัน”
เฉิงตั๋วเองก็หัวเราะเหอะๆ “ตอนนี้ข้าไม่ทำตัวสบายๆ อย่างไรหรือ”
คนตัดไม้ตอบอย่างไม่คิดมาก “รีบเร่งเดินทางในวันหิมะตกหนักสบายนักหรือ กำไรงามไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะได้มา ผ่อนคลายสักหน่อยยังดีกว่า”
“น้องชายพูดจาตรงไปตรงมานัก”
คนตัดไม้เอ่ย “แต่ก่อนข้าเองก็เคยทำการค้าเล็กๆ ไม่เหมือนพี่ชายที่ทำการค้าใหญ่หรอก”
ทั้งสองคนสนทนาโต้ตอบกันไม่หยุด ในที่สุดก็เดินทางมาถึงนอกเมืองอย่างช้าๆ หิมะสีขาวแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่เห็นร่องรอยผู้คนแม้แต่น้อย สายลมพัดแรงผ่านมาเป็นระลอก พัดจนผู้คนมือเท้าแข็ง เฉิงตั๋วคิดในใจ คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าบางเบา แต่ยามเดินอยู่ท่ามกลางพายุหิมะเช่นนี้กลับไร้อาการหนาวสั่นโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทว่าหากเขาคิดจะทำร้ายข้า เหตุใดจึงชวนพูดคุยสัพเพเหระ คำพูดเหล่านี้คล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังค่อนข้างเล่นลิ้น การตอบกลับก็ดูตอบตามอารมณ์ทั้งสิ้น
ขณะที่คิดก็ค่อยๆ ตัดสินใจได้ สายตาเขามองไปเห็นว่าในป่าที่อยู่ไม่ห่างออกไปมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง คิดว่ามิสู้พูดคุยกันดีๆ การเดินฝ่าพายุหิมะเช่นนี้ที่สุดแล้วก็น่าเบื่อ จึงเอ่ยว่า “ลมพัดแรงจนน่ากลัว มิสู้ไปหลบในบ้านหลังนั้นดีหรือไม่”
คนตัดไม้ยิ้ม “ดี”
ทั้งสองคนเดินมุ่งตรงไป บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่าที่มีแค่ตัวบ้านโล่งๆ ห้องฝั่งตะวันตกกับตะวันออกแยกจากกัน ห้องฝั่งตะวันตกถล่มลงมาแล้ว เหลือแค่ซากกำแพงเท่านั้น ทันทีที่เฉิงตั๋วเข้าใกล้บ้านหลังนั้นก็สัมผัสได้ว่าภายในห้องฝั่งตะวันออกมีคนอยู่ คนตัดไม้ก็ลังเลเล็กน้อย หันมามองเขาคราหนึ่ง
เฉิงตั๋วลอบขบขัน ยังคงสงสัยว่าข้ามีใจจะทำร้ายเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ เจ้ากับเด็กสาวผู้นั้นรวมหัวกันหลอกลวงข้า ข้าเองก็จะหลอกให้เจ้าตกใจบ้าง ยามนั้นจึงผุดรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ คาดเดาไม่ได้ออกมา ผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน สีหน้าคนตัดไม้เคร่งขรึมลงดังคาด ลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไป
ภายในห้องโล่งว่าง แค่พอใช้บดบังพายุหิมะได้เท่านั้น ประตูห้องก็ไม่มีม่านประตู ทันทีที่เข้ามาในห้องโถงก็เห็นได้ว่าบนพื้นห้องมีกองไฟอยู่ ด้านข้างกองไฟมีชายชราผมหงอกขาว สวมหมวกกันหนาว รูปร่างผอม ใส่ชุดสีน้ำเงินซีด ด้านนอกชุดผ้าฝ้ายห้อยลูกประคำเส้นยาวเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นภิกษุรูปหนึ่ง ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนต่างประหลาดใจ ชายชรามองประเมินพวกเขา ยิ้มอย่างเมตตา “ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะได้พบแขกผู้สูงศักดิ์ ในเมื่ออาตมามาถึงก่อนก้าวหนึ่ง จึงขอทำตัวเป็นเจ้าบ้านแล้ว เชิญประสกทั้งสองมาผิงไฟเถิด”
คนตัดไม้กับเฉิงตั๋วมองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจแล้วว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เฉิงตั๋วจึงเดินนำเข้าไปหาสถานที่สะอาดสะอ้านแล้วนั่งลง ยิ้มพูดว่า “พวกเราเร่งรีบเดินทางจนมาถึงที่นี่ คิดจะเข้ามาหลบพายุหิมะ นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะก่อกองไฟเรียบร้อยแล้ว พวกเราเป็นเพียงแขกผ่านทางสองคนที่มารับความสบายพอดี มิใช่แขกผู้สูงศักดิ์อะไร”
ภิกษุรูปนั้นเอ่ยว่า “ท่านสูงส่งยิ่งแล้ว” คนตัดไม้กำลังนั่งลง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองไปทางเฉิงตั๋วอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง
เฉิงตั๋วเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าเป็นพ่อค้าจากเมืองหลวง คิดจะอาศัยภาวะสงครามที่ชายแดนแห่งนี้ ขายสินค้าหาเงินทองเล็กน้อยเท่านั้น”
ภิกษุชราส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ถูกต้องๆ ผู้สูงศักดิ์มีกลิ่นอายของตน แค่มองก็รู้ได้ เสมือนขุนเขาธารา พระประยูรญาติของฮ่องเต้ผู้มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ” แววตาเมตตานั้นมองไปที่คนตัดไม้
คนตัดไม้ยิ้มน้อยๆ “ข้าก็แค่คนรักสบายที่อาศัยอยู่ในภูเขาเท่านั้น”
ภิกษุชรายังคงส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ถูกต้องๆ เขาถึงจะเป็นผู้ตัดขาดจากทางโลก ฤๅษีในป่าเขา” เอ่ยจบก็หันไปยิ้มให้เฉิงตั๋ว
เฉิงตั๋วกับคนตัดไม้นิ่งอึ้ง มองสบตา ก่อนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
เฉิงตั๋วถามว่า “ในวันที่ฟ้าครึ้มถนนลื่น พายุหิมะทำให้เดินทางลำบากเสียจริง เหตุใดผู้อาวุโสจึงมาอยู่ที่นี่” เขาจงใจเน้นคำว่า ‘เสียจริง’
คนตัดไม้ฟังเฉิงตั๋วเลียนแบบคำพูดตน ก็รู้ว่าอีกฝ่ายหยอกเย้าที่ตนใช้คำพูดดึงดูด แต่ขณะพูดใบหน้าเขายังคงแสดงความเป็นห่วงอย่างไร้พิรุธ ยามนี้จึงได้แต่อมยิ้มมอง ไม่พูดจา
ภิกษุชรายิ้มจนบนใบหน้าเป็นร่องลึก เคราสีขาวขยับไหวไปตามคำพูด “วันหิมะตกหนักไม่มีอาหารเพาะปลูกให้เก็บกิน อาตมาเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาของกินเล็กน้อย ยืมบ้านหลังนี้หลบพายุหิมะชั่วคราว” ที่ด้านข้างภิกษุชรามีถุงผ้าขนาดไม่ใหญ่บรรจุสิ่งของอยู่ครึ่งถุง คล้ายจะเป็นอาหารจริงๆ
เฉิงตั๋วถามต่อ “ผู้อาวุโสพักอยู่ที่ใดหรือ”
ภิกษุชราเอ่ยตอบ “เป็นเพียงภิกษุสันโดษในวัดบนภูเขาเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่พิเศษอันใด” เอ่ยจบก็ก้มหน้าลงจัดการเชือกรองเท้า ก่อนพูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อประสกทั้งสองมาเยือนที่นี่ กองฟืนพวกนี้ก็ไม่ต้องเผาไหม้โดยเสียเปล่าแล้ว พวกท่านอยู่อบอุ่นร่างกายไปเถิด อาตมาขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ
คนตัดไม้ลุกตาม ช่วยภิกษุชราพาดถุงผ้าขึ้นบ่า เอ่ยปากว่า “บ้านข้าอยู่ห่างไปไม่ไกล หาก…”
“ไม่จำเป็น!” สีหน้าภิกษุชราอบอุ่น ทว่าน้ำเสียงกลับเด็ดขาดยิ่ง คนตัดไม้จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงกล่าวเรียบๆ ว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
เฉิงตั๋วนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ขยับ มองภิกษุชรารูปนั้นเดินจากไปช้าๆ
รอจนเงาร่างของภิกษุชราออกจากประตูไป ทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายอย่างล่วงรู้ ภายในดวงตามีแววกระจ่างชัด ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ในที่สุดคนตัดไม้ก็เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “ท่านยังจะตามข้าไปหรือไม่”
เฉิงตั๋วเชิดคางขึ้นน้อยๆ ในแววตาเบื้องลึกมองไม่ออกว่าเป็นรอยยิ้มหรือโทสะ “ในเมื่อตามมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่มีปัญหาหากจะตามต่อไป”
คนตัดไม้จ้องมองเขาอยู่สักพัก ก่อนพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
เมื่อก้าวออกจากประตูก็เห็นผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล เพียงชั่วพริบตาเฉิงตั๋วพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง สถานที่แห่งนี้รอบด้านเปิดโล่ง จากฝีเท้าของภิกษุชรา หากเดินบนพื้นหิมะเช่นนี้ จะเดินลับไปจนมองไม่เห็นในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร เขาก้าวเท้าเดินไปถึงถนนหลัก กวาดตามองไปรอบๆ ทว่ายังคงไม่พบร่องรอย
“เจ้า…” เฉิงตั๋วหันหน้ากลับมา คิดจะพูดกับคนตัดไม้
ทว่าคนตัดไม้กลับก้มหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านลองดูบนพื้น” ถนนทั้งหน้าและหลังต่างคลุมด้วยหิมะหนาชั้น บนถนนทิศตะวันออกที่เดินผ่านมามีเพียงรอยเท้าของพวกเขาสองคนและกีบเท้าม้าของเฉิงตั๋วเท่านั้น รอบด้านไม่พบร่องรอยผู้อื่นอีก ทั้งสองคนต่างเงียบลง
ต้องรู้ว่าต่อให้กำลังภายในของคนผู้หนึ่งจะสูงส่งยิ่งกว่านี้ ก็ไม่มีทางทะยานหายไปโดยไร้ร่องรอยในทุ่งโล่งกว้างได้ ทว่ายามนี้รอบด้านกลับไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย เมื่อครู่เฉิงตั๋วลอบประเมินภิกษุชรารูปนั้นอยู่นาน ดูจากอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้วไม่เหมือนผู้เก็บงำความสามารถ แต่เป็นชายชราธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ
เฉิงตั๋วมองคนตัดไม้ ครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายยังคงอดถามไม่ได้ “เจ้าว่านี่เป็นเรื่องประหลาดอันใดกัน”
คนตัดไม้ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด “ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดที่มีความสามารถระดับนี้ เมื่อครู่ดูเขาก็ไม่คล้ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
เดิมทีทั้งสองคนในใจต่างนิ่งสงบ ทว่ายามนี้ก้นบึ้งหัวใจกลับตกตะลึง ย้อนคิดถึงถ้อยคำของภิกษุชราอย่างละเอียดก็ยังคาดเดาไม่ถูก เมื่อกลับไปสำรวจภายในบ้านอีกครั้งก็ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่คนตัดไม้ถึงเอ่ยขึ้น “บางทีอาจเป็นยอดฝีมือสักคนที่เราบังเอิญพบเจอ และเพียงแค่ล้อเล่นกับพวกเราก็ได้”
เฉิงตั๋วคิดๆ แล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นกระมัง ข้าว่าเขาก็ดูไม่ได้มีเจตนาร้าย”
คนตัดไม้ไม่พูดอะไรอีก หยิบไม้คานหาบขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกต่อไป ส่วนเฉิงตั๋วยังคงจูงม้าเดินตาม ไม่พูดอะไรตลอดเส้นทาง กระทั่งเดินไปประมาณครึ่งชั่วยาม คนตัดไม้ก็เลี้ยวไปทางใต้ ทั้งสองคนเดินลดเลี้ยวไปตามทางภูเขา
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.