X
    Categories: ทดลองอ่านทาสหญิงพลิกแผ่นดินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทาสหญิงพลิกแผ่นดิน บทที่ 3 – บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่สาม

เมื่อเดินอ้อมสันเขาลูกนั้นก็ปรากฏพื้นที่โล่งกว้าง ห่างออกไปมีป่าไม้ดกครึ้ม มองเห็นสะพานไม้และกระท่อมฟางหลายหลัง ทั้งหมดตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปราย แลดูบริสุทธิ์และเงียบสงบ เมื่อเห็นภาพทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เฉิงตั๋วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จึงเอ่ยปากชื่นชม “เป็นสถานที่ที่ดี”

ยังไม่ทันได้พูดจบก็ได้ยินเสียงลมพัดมาข้างหู เฉิงตั๋วสะกิดปลายเท้า เบี่ยงตัวหลบวูบ แส้เหล็กยาวเก้าฉื่อเส้นหนึ่งสะบัดผ่านข้างลำตัวเขาไปสามชุ่น ปลายแส้หักเลี้ยวกลับมาโจมตีเขาอีกครั้ง อาวุธเส้นนี้ทั้งแข็งแรงและยืดหยุ่น เฉิงตั๋วไม่กล้ารับมือตรงๆ ได้แต่เบี่ยงตัวหลบอีกครั้ง คนตัดไม้บิดข้อมือด้วยท่วงท่าสง่างาม ตัวแส้กลายเป็นเงาบุปผารวบเก็บกลับมาในมือ

เฉิงตั๋วถึงเพิ่งมองเห็นชัดว่าแส้เส้นนั้นมีสีหิมะสว่างไสว หลอมขึ้นจากเหล็กกล้า เชื่อมต่อกันเป็นข้อๆ แม้จะเป็นเหล็กทว่าโอนอ่อนไร้เทียมทาน แค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็บ่งบอกถึงกำลังภายในนับสิบปีของผู้ใช้ คนตัดไม้ถอดงอบออก ยืนตระหง่านดั่งต้นไผ่อยู่ท่ามกลางประกายหิมะพร้อมแย้มยิ้ม “ท่านออกมาข้างนอกตามลำพัง ไม่พกอาวุธมาป้องกันตัวหน่อยหรือ”

เฉิงตั๋วที่ก้าวถอยหลังติดกันสองก้าวอย่างไม่ทันรับมือ ยามนี้เมื่อถูกถามก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ทว่ายังคงยิ้มตอบ “อาวุธของข้าแหลมคมเกินไป ไม่สะดวกนำออกใช้ตามใจชอบ”

คนตัดไม้พยักหน้า เอ่ยห้วนสั้น “ระวัง” ยังพูดไม่ทันจบตัวแส้ก็พุ่งมาดุจงูตัวยาว เฉิงตั๋วอยู่ในสนามรบพบเห็นแต่คมดาบจนเคยชิน เมื่อเผชิญกับสิ่งของที่ไม่เฉียบขาดเช่นนี้จึงถึงกับรับมือไม่ถูกอยู่บ้าง ได้แต่ถอยหลบอย่างต่อเนื่อง

คนตัดไม้บ้างใช้ศอกพัน บ้างใช้มือคว้า บ้างใช้เท้าเหยียบ แส้เหล็กประเดี๋ยวสั้นประเดี๋ยวยาว เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างกาย ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ มุ่งแต่โจมตีเข้าใส่เฉิงตั๋ว เขาทำได้เพียงหลบหลีก กระทั่งถึงกับหลบไปแล้วยี่สิบแปดกระบวนท่า เฉิงตั๋วลอบประหลาดใจ เพราะไม่เคยพบเห็นผู้ใดใช้สิ่งที่ยืดหยุ่นระดับนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เขาพลันสูดลมหายใจเข้าลึก กระโดดอ้อมไปโจมตีด้านหลังอีกฝ่าย

โดยไม่ต้องหันตัวกลับ แส้เหล็กในมือคนตัดไม้ก็ตวัดไปทางด้านหลัง ปะทะถูกฝ่ามือเฉิงตั๋วเข้าเต็มๆ เขายิ้มพูดว่า “หากวันนี้ข้าเอาชนะท่านได้ ท่านจะคิดอย่างไร”

ในเมื่อมีใจเอ่ยปากหยอกล้อแสดงว่าย่อมมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ เฉิงตั๋วมองหาช่องโหว่ของกระบวนท่าเขาพร้อมตอบ “ครั้งนี้ออกจากบ้านมาโชคไม่ดี ครั้งหน้าคงต้องดูปฏิทินโหร” ในหัวเขามีความคิดมากมายวาบผ่านในชั่วพริบตา หากคว้าจับแส้เส้นนั้นเล่า ย่อมถูกพันมืออย่างแน่นอน แต่หากฝืนสู้ด้วยกำลังภายในก็จะต้องมีคนบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนตัดไม้ถามต่อ “อาวุธของท่านฆ่าคนได้ง่าย อาวุธของข้ากลับไม่ง่าย เหตุใดท่านจึงไม่ออกกระบวนท่าสังหารเล่า”

เฉิงตั๋วเคลื่อนกำลังภายในมาที่ฝ่ามือ ในที่สุดก็ยังคงคว้าแส้เส้นนั้นเอาไว้ ขุมพลังสายหนึ่งไหลผ่านมาตามแส้ เขาบิดข้อมือ ดึงแส้เอาไว้แล้วถามกลับ “เจ้าใช้อาวุธเช่นนี้แสดงว่าไม่คิดฆ่าคน เหตุใดข้าต้องลงมือด้วย”

คนตัดไม้มองคนตรงหน้านิ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เฉิงตั๋วสะบัดมือปล่อยแส้ออก คนตัดไม้จึงเขย่าด้ามจับ เก็บแส้กลับมาในแขนเสื้อ เขายืนนิ่งเงียบอยู่สักพักถึงหันตัวเดินไปทางกระท่อม หลังเดินไปไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดอีกหน บนพื้นหิมะกว้างขวาง คนตัดไม้เก็บงอบขึ้นแล้วหันหน้ากลับมายิ้ม พูดท่ามกลางความเงียบสงัดรอบด้าน “ห่างออกไปไม่ไกลคือบ้านของข้า ท่านเต็มใจเข้าไปดื่มชาหรือไม่”

เฉิงตั๋วมองเขาพร้อมยิ้มบางๆ “ขอบคุณมาก”

คนตัดไม้มองเขาด้วยรอยยิ้มล้ำลึกยิ่งขึ้น ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างพร้อมผายมือ “ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญ!”

เฉิงตั๋วเองก็ผายมือให้เช่นกัน “ท่านตงฟาง เชิญ!”

ทั้งสองมองสบตากัน เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังขึ้น ฟังดูก้องกังวานเป็นพิเศษในแดนหิมะที่กว้างใหญ่และเงียบสงบแห่งนี้

พวกเขาเดินย่ำผ่านกองหิมะซึ่งตกทับถมไปตามทางเล็กริมทุ่งนาชนบท มุ่งไปสู่กระท่อมฟางหลังนั้น

ตงฟางประสานมือเอ่ย “กระหม่อมมีนามว่าตงฟางฮู่ ชื่อรอง หรานจือ ปกติใช้ชีวิตเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในป่าเขาจนชินแล้ว หากมีสิ่งใดที่เสียมารยาทไป หวังว่าท่านอ๋องจะทรงไม่ถือสา”

เฉิงตั๋วกลับไม่สนใจสนทนาตามมารยาทกับเขา เพียงถาม “ตงฟางฮู่หรือ ฮู่ตัวใด”

“ฮู่จากคำว่าเซียงฮู่ กระหม่อมชอบอักษรตัวนี้ โครงอักษรค่อนข้างตรงหลักไท่จี๋” พูดจบทั้งสองคนก็เดินมาถึงรั้วไม้ไผ่ด้านหน้าลานของกระท่อมฟางแล้ว

เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกจากข้างในพร้อมเงาร่างสีแดงเงาหนึ่งผลุบออกมา นั่นคือหมิงจี เด็กสาวที่เฉิงตั๋วได้พบระหว่างทางวันนี้ ทันทีที่หมิงจีเห็นตงฟางก็ยิ้มกว้าง ร้องเรียก “พี่ชาย” แล้วเดินไปคล้องแขนเขา ก่อนจะชะโงกหน้าออกมามองเฉิงตั๋ว “นี่ก็คือคนผู้นั้นที่ท่านพูดถึงใช่หรือไม่”

ตงฟางหันไปทางเฉิงตั๋ว ยิ้มเอ่ยว่า “น้องสาวกระหม่อมถูกเอาใจจนเคยตัว หากนางเสียมารยาทไป หวังว่าท่านอ๋องจะทรงให้อภัยนางด้วย”

เฉิงตั๋วเห็นหมิงจีแอบอยู่หลังตงฟาง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เตรียมจะเปิดปากเอ่ย หมิงจีกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ท่านอ๋อง? อ๋องท่านใดกัน”

ตงฟางตอบ “ท่านอ๋องห้าที่ปกติข้าพูดถึงพระองค์นั้น”

หมิงจีปรบมือยิ้ม “ปกติแล้วพี่ชายชอบเล่าว่าท่านอ๋องห้าทรงเก่งกาจอย่างไร แต่วันนี้พอหม่อมฉันบอกให้ท่านอ๋องเสด็จไปทางนั้น ก็ทรงเชื่อแล้วเสด็จไปผิดทางเสียนี่”

เฉิงตั๋วยิ้ม ไม่ได้ตอบคำ

ตงฟางมองเขาอย่างขออภัย ก่อนจะหันมาถามหมิงจี “เมื่อเช้าข้าบอกเจ้าว่าหากผ่านยามเซิน ไปแล้วข้ายังไม่กลับ ก็ให้นำสุราที่อยู่ในครัวมาอุ่น เจ้าได้ทำตามแล้วหรือยัง”

หมิงจีตอบรับ “เจ้าค่ะ อุ่นเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังล้างพุทราเอาไว้จานหนึ่งด้วย”

ตงฟางเอ่ย “เช่นนั้นก็ยกไปไว้ที่เรือนทิศเหนือ” พูดจบก็ผายมือเชิญเฉิงตั๋วเข้าไป

เมื่อเข้ามาก็ได้เห็นว่าภายในลานตั้งนาฬิกาแดดที่ทำจากไม้เอาไว้ ด้านข้างยังมีเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัว หิมะถูกกวาดออกไปไว้ข้างทางแล้ว เฉิงตั๋วเดินไปตามระเบียงไม้ไผ่ มองเห็นเรือนมุงด้วยฟางสามหลังเชื่อมติดกัน เรียงเป็นอักษรผิ่น ตงฟางเดินนำเข้าไปยังเรือนทิศเหนือซึ่งใหญ่ที่สุด ตลอดกำแพงทั้งสองฟากล้วนเป็นชั้นหนังสือ ด้านหน้ามีโต๊ะไม้พะยูงตัวใหญ่ซึ่งวางเครื่องมือเครื่องเขียนและม้วนกระดาษอยู่เต็มโต๊ะ ทั้งสี่มุมแขวนภาพแปลกๆ และแผนที่จำนวนหนึ่งเอาไว้ เฉิงตั๋วเมื่อได้เห็นแผนที่ก็เดินเข้าไปดูโดยไม่รู้ตัว ตงฟางที่เดินเลี้ยวไปทางม่านไม้ไผ่ของระเบียงอีกด้านเอ่ยว่า “เชิญท่านอ๋องเสด็จทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วเดินกลับมาบนระเบียง ทว่ากลับเห็นว่าระเบียงนี้ยังมีบันไดเชื่อมไปสู่ห้องด้านหลังอีก เมื่อตงฟางเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้นจึงเห็นว่าที่ด้านหลังมีลำธารคดเคี้ยวอยู่สายหนึ่ง แม้จะจับตัวเป็นน้ำแข็งไปไม่น้อยแล้ว ทว่ายังคงมีกระแสน้ำเล็กๆ หมุนวน บริเวณมุมหนึ่งของลานด้านหลังล้อมรั้วไม้ไผ่เตี้ยเอาไว้ ด้านบนแขวนผ้าสักหลาดเพื่อบังลม นึกไม่ถึงว่าข้างในจะมีนกพิราบสีขาวหิมะขดตัวอยู่ด้วยกันเงียบๆ จำนวนมาก ทั้งสองคนเดินลงมา นั่งหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะเล็กข้างระเบียง ด้านข้างโต๊ะมีเตาขนาดไม่ใหญ่ทว่าสะอาดสะอ้านตั้งอยู่ ภายในมีถ่านซึ่งกำลังคุกรุ่น ข้างๆ มีโถน้ำซึ่งใส่น้ำสะอาดอยู่เล็กน้อย ยามนี้มีไอร้อนลอยขึ้นมา

เมื่อเฉิงตั๋วเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกทั้งสงบและพึงพอใจ เอ่ยปากว่า “ท่านตงฟาง…”

ตงฟางโบกมือ “มิกล้ารับๆ พวกชาวบ้านเรียกกระหม่อมว่าท่าน คนคุ้นเคยส่วนใหญ่เรียกว่าตงฟาง หากท่านอ๋องไม่ทรงเห็นกระหม่อมเป็นคนนอกก็ทรงเรียกชื่อรองของกระหม่อมเถิด”

“ได้ จะว่าไปแล้วข้าเองก็เคยตั้งชื่อรองให้ตัวเองว่าสีเจี้ยน สถานที่แห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ยึดติดขนบธรรมเนียม น้องหรานจือก็เรียกข้าด้วยชื่อรองเถอะ”

ตงฟางได้ยินเขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้จึงไม่ถ่อมตนเช่นกัน “ชื่อรองของพี่สีเจี้ยนมีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ”

เฉิงตั๋วลอบคิด เหตุใดพี่น้องคู่นี้จึงชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับชื่อนัก บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “นี่เป็นชื่อที่ข้าตั้งให้ตัวเองตอนนำทัพเมื่ออายุสิบห้าปี จวบจนปัจจุบันยังไม่เคยมีผู้ใดเรียกมาก่อน” เขาเป็นที่เคารพยำเกรงตั้งแต่อายุยังน้อย ปัจจุบันยิ่งอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ผู้ใดจะกล้าเรียกขานด้วยชื่อรอง วันนี้ได้ยินตงฟางเอ่ยเรียก กลับรู้สึกว่าน่าสนใจมาก

เฉิงตั๋วเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า “หลักการบ่มเพาะทหาร ฝึกฝนและฝึกซ้อม จนหนึ่งพลต่อกรศัตรูนับร้อย หลักการใช้ทหาร โชคชะตามีพลิกผัน เก็บความพ่ายแพ้มาเป็นกระจกส่องบทเรียน”

ตงฟางส่ายหน้า “นามของท่านมีแต่กลิ่นอายสงคราม” คิดๆ แล้วก็ยิ้ม “ทว่าไม่เลว จิ้งหย่วนชินอ๋องผู้ไม่เคยปราชัยในศึกมาหลายปี ภายในชื่อกลับคิดถึงเรื่องความพ่ายแพ้แล้วนำมาเป็นบทเรียน”

“สงครามมีแพ้มีชนะ ความปราชัยของศัตรูเองก็เป็นเครื่องเตือนใจได้เช่นกัน”

แววตาตงฟางปรากฏความชื่นชม ในตอนที่กำลังจะพูดต่อ หมิงจีก็ยกถาดใหญ่ใบหนึ่งเดินเข้ามา บนถาดมีจานเล็กจานหนึ่ง วางพวกผลไม้แห้งและกับแกล้มสุรา บนถาดยังมีกระบอกสุราขนาดกว้างอีกใบหนึ่ง บนปากกระบอกมีไอร้อนลอยออกมา พริบตาภายในห้องก็อวลไปด้วยกลิ่นสุรา นางวางของเหล่านี้ลง นำโถน้ำด้านข้างโต๊ะไปวางบนเตา แล้วนำกระบอกสุราใส่เข้าไปในโถอีกที ด้านข้างกระบอกพิงอยู่กับขอบโถ เมื่อเป็นเช่นนี้เปลวไฟจึงไม่เผาถูกกระบอกสุราโดยตรง

ตงฟางจัดจานบนโต๊ะ หมิงจีซึ่งจัดวางสุราเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้เฉิงตั๋ว ก่อนถือถาดใบนั้นถอยกลับออกไป

เฉิงตั๋วมองหมิงจีเดินออกไปพลางถามขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา”

ตงฟางยิ้มตอบ “โดยคร่าวๆ แล้วก็เหมือนกันกับผู้อาวุโสท่านนั้น ดูจากสภาพอากาศ” เขารินสุราลงไปในจอกสุราทั้งสองใบ เฉิงตั๋วยกขึ้นจิบ รู้สึกได้ว่ากลิ่นสุราหอมหวน ยามกลืนลงท้องก็อุ่นวาบ ไอพายุหิมะตลอดทั้งวันถูกปัดเป่าออกไปอย่างหมดจด เขาได้ยินเสียงตงฟางพูดต่อไป “ทว่าข้ากลับประหลาดใจนัก ในเวลาเช่นนี้ท่านวางใจในตัวทหารนับหมื่นนายของท่านเพียงนี้เชียวหรือ”

เฉิงตั๋วหยิบพุทราที่เอาเมล็ดออกแล้วขึ้นมากิน “ตอนนี้หิมะกองทับถมถึงหัวเข่า ทั้งคนทั้งม้าต่างจมลงไปในผืนหิมะ อีกฝ่ายก็ต้องสืบสถานการณ์ให้แน่ชัด คาดว่าภายในวันสองวันนี้ไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร”

ตงฟางยิ้ม “ข้าเดาว่าท่านกำลังรอให้ราชสำนักมอบอำนาจให้อย่างเป็นทางการกระมัง”

“หมายความว่าอย่างไร”

“มิฉะนั้นหากตลอดแนวชายแดนรบกันขึ้นมา นอกจากทหารสายตรงไม่กี่คนของท่าน บรรดาแม่ทัพนายกองของเยี่ยนโจว อวิ๋นโจวก็ใช่ว่าจะทำตามคำสั่ง นับประสาอะไรกับที่อวิ๋นโจวยังมีอ๋องเจ็ดเฉิงเสี่ยนทรงรักษาการณ์อยู่ มิใช่ว่าท่านต้องติดขัดไปทั่วหรอกหรือ”

เฉิงตั๋วนิ่งอึ้งไป ก่อนเอ่ยว่า “น้องหรานจือรู้แจ้งยิ่ง” ระหว่างร่ำสุราเขาจึงเล่าสภาพการศึกในช่วงหลายวันนี้ไปรอบหนึ่ง สุราร้อนขับหนาว หลังดื่มลงไปหลายจอก ภายในห้องก็ตลบอบอวลด้วยไอร้อนแล้ว

ตงฟางฟังจบก็พูดอย่างครุ่นคิด “การบุกโจมตีโดยกะทันหันนี้ให้ผลลัพธ์ฉับไวก็จริง แต่ก็กระตุ้นโทสะของราชสำนักหูตี๋ด้วย พวกเขาจะต้องยกทัพมาโต้กลับอย่างแน่นอน ช่วงหลายปีมานี้พี่สีเจี้ยนทำศึกอยู่ทางใต้ น่าจะรู้ว่าบ้านเมืองเสียหายเพราะสงครามไม่ใช่น้อย ตอนนี้อาจไม่สามารถทำศึกครั้งตัดสินกับหูตี๋ได้จริงๆ ท่านวางหมากตัวนี้ลงไป สุดท้ายคิดจะปิดฉากอย่างไรหรือ”

เฉิงตั๋วเงยหน้าดื่มสุรา พูดอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “น้องหรานจือมีความคิดเห็นอย่างไร”

ตงฟางมองเขา คลี่ยิ้มช้าๆ “ในเมื่อท่านมีความมั่นใจเช่นนี้ ข้าจะกล้าเสนอความคิดเห็นได้อย่างไรกัน”

เฉิงตั๋ววางจอกสุราลง “ข้าเพียงแค่คิดว่าเมื่อรถมาถึงหน้าภูเขาย่อมมีทาง รอรับมือไปตามสถานการณ์ก็เท่านั้นเอง การเดินทัพไม่อาจไม่วางแผน แต่หากวางแผนไปเสียทุกเรื่องก็ไม่มีการโจมตีกะทันหันแล้ว”

ตงฟางเคาะตะเกียบกับโต๊ะเบาๆ ร้อง “ไม่เลว!” จากนั้นรินสุราให้เฉิงตั๋วอีกจอก เอ่ยอย่างเนิบช้า “ดังนั้นท่านจึงออกเดินทางเพียงลำพังมายังหมู่บ้านสันโดษแห่งนี้เพื่อชมทิวทัศน์อย่างนั้นหรือ”

เฉิงตั๋วเหลือบตาขึ้นมองเขา “อาจเป็นเพราะสภาพอากาศทางนี้ไม่เลวกระมัง”

ตงฟางหัวเราะเสียงดัง “บอกตามตรง เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าลองเสี่ยงทายดูแล้วได้ลักษณ์ของสงครามจริงๆ เพียงแต่ราชสำนักตอบตกลงเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้ว จะยังมีสงครามอีกได้อย่างไร แต่ผู้ที่มีอำนาจคุมทัพทั้งยังกล้าขัดราชสำนัก เห็นทีจะมีเพียงพี่สีเจี้ยนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดาว่าท่านจะต้องมาเยือน รุ่งสางวันนี้ประกายม่วงปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก* สาดส่องมาตรงหน้าขั้นบันไดบ้าน ข้าใคร่ครวญว่าบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนี้ ผู้ที่มีกลิ่นอายสูงส่งก็มีเพียงท่านอ๋องห้าแล้ว ดังนั้นจึงจงใจบอกให้หมิงจีไปชี้ทางบอกท่านที่เมืองผิงเหยา”

เฉิงตั๋วถอนหายใจ “แต่เจ้ากลับให้นางชี้ทางผิดให้ข้าเสียนี่”

ตงฟางพูดต่อ “เดาว่าเหตุผลที่ท่านมาตามหาข้ามีสองอย่าง หากข้ายังมีประโยชน์ให้ใช้งานได้บ้าง ท่านก็ต้องการให้ข้าทำงานให้ ป้องกันไม่ให้ไปช่วยเหลือผู้อื่น หากข้าเป็นผู้ไร้การศึกษา อยู่ที่ชายแดนแห่งนี้เพื่อตั้งใจมอมเมาจิตใจผู้คน ท่านก็จะกำจัดข้า ดังนั้น…”

เฉิงตั๋วเอ่ยต่อแทนเขา “ดังนั้นเจ้าจึงอยากจะดูว่าข้าเป็นคนเช่นไร หากข้ามาถึงที่นี่แล้วไม่ได้พบเจ้า ย่อมต้องล่าถอยกลับไปเอง แต่เจ้ากลับไปรอข้าอยู่ที่ทางแยกตะวันตกเฉียงเหนือ หากข้าไม่เข้าตาเจ้า เจ้าก็จะซ่อนเร้นตัวตน หลีกเลี่ยงข้านับแต่นี้ไป”

ตงฟางได้ยินเขาพูดออกมาตรงๆ ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยไม่ได้ “พี่สีเจี้ยนพูดจาตรงไปตรงมานัก”

เฉิงตั๋วเอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าพูดไม่ผิด แต่หากเจ้าไม่ยอมรับใช้ข้า ข้าก็ไม่มีทางสร้างความลำบากให้เจ้า”

ตงฟางมองตรงไปที่เขา “ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นศัตรูกับท่านหรือ”

เฉิงตั๋วยิ้มอย่างใจกว้าง “เจ้าเป็นศัตรูกับข้าได้เลยเต็มที่ ข้ามีแต่กลัวว่าจะไร้ศัตรูแล้วโดดเดี่ยว ไม่เคยกลัวการมีศัตรูเยอะมาก่อน”

ตงฟางมองประเมินเขาเงียบๆ ครู่ใหญ่ ก่อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง “กระหม่อมขออาจหาญถามว่าปณิธานของท่านอ๋องคืออะไร”

เฉิงตั๋วยังคงยิ้ม “เปลี่ยนเป็นผู้อื่นอีกร้อยคนก็ไม่มีใครกล้าถามข้าเช่นนี้ น้องหรานจือช่างกล้าถามจริงๆ”

“กระหม่อมมิใช่ผู้ชอบสนทนาอย่างไร้ความหมาย จึงขอถามให้กระจ่างเสียตั้งแต่ตอนนี้ ท่านอ๋องโปรดตอบมาตามตรง”

เฉิงตั๋ววางจอกสุราลงช้าๆ พยักหน้าพูดว่า “ดี ตำแหน่งของข้าในตอนนี้ จากความสัมพันธ์ของข้ากับฝ่าบาท หากต้องพูดถึงปณิธานก็นับเป็นการล่วงเกินอย่างมากแล้ว แต่ปณิธานในตอนนี้ของข้ามีเพียงการขับไล่ชาวหู อย่างน้อยสามสิบปี” มือซ้ายของเขาชูสามนิ้วขึ้น “ทำให้ชาวหูไม่มีกำลังบุกลงมาทางใต้ไปสามสิบปี”

ปณิธานนี้ของเขาเอ่ยด้วยถ้อยคำถ่อมตน ทว่าเป้าหมายกลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน เฉิงตั๋วเก็บมือลง “วาจากล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อน้องหรานจือคุ้นเคยกับสถานการณ์ของชายแดน เหตุใดจึงไม่ออกจากภูเขามาช่วยข้าเล่า”

ตงฟางที่ฟังเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมมาโดยตลอด ยามนี้คลี่ยิ้มบางๆ “ได้ หากข้าไม่ช่วยท่านก็คงไม่มีผู้ใดช่วยได้อีก”

ท่าทางของเขาดูไม่ใส่ใจ ทว่ากลับทำให้เฉิงตั๋วมองออกถึงความจริงใจสามส่วน หากคนมีเป้าหมายไม่บริสุทธิ์ อากัปกิริยาไม่มีทางผ่าเผย เฉิงตั๋วมาเพื่อดึงตัวผู้มีความสามารถเป็นพวก ไม่มีทางมาอย่างไม่เตรียมการ ถ้าตงฟางมีเป้าหมายเพื่อค่าตอบแทน เขาไม่มีทางรับปากอย่างสบายใจผ่าเผยเช่นนี้

เฉิงตั๋วไม่ได้ถามถึงปณิธานของตงฟาง เพราะว่านั่นเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด เขาเพียงยิ้ม รินสุราให้อีกฝ่ายแล้วยกจอกสุราขึ้น “เช่นนี้ ข้าขอดื่มให้น้ำใจของน้องหรานจือ”

ทั้งสองคนต่างดื่มสุราหมดจอก

งานเลี้ยงสุราครั้งนี้ดื่มกันจนถึงช่วงพลบค่ำ ทั้งแขกและเจ้าภาพกลับยังคึกคักไม่สร่าง กระทั่งยามจุดเทียนก็ยังคงสนทนากันต่อ

คืนนั้นเฉิงตั๋วยืมกระท่อมฟางของตงฟางนอน เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะที่ตกมาหลายวันได้หยุดลงแล้ว เฉิงตั๋วบอกลาเตรียมจากไป ตงฟางเอ่ยว่า “พี่สีเจี้ยนเดินตามถนนเส้นเล็กไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ภายในหนึ่งชั่วยามจะถึงเมืองผิงเหยา”

เฉิงตั๋วประสานมือ “ค่ายใหญ่เยี่ยนโจวรอการมาเยือนของเจ้าอยู่” ตงฟางผงกศีรษะรับน้อยๆ ส่วนเฉิงตั๋วขึ้นหลังม้า กลับตัวแล้วจากไปทันที

หมิงจียังคงแอบอยู่ข้างหลังตงฟาง รอเขาจากไปไกลแล้วจึงถามขึ้น “เขาเก่งกาจมากหรือ”

ตงฟางตอบ “เก่งกาจมาก”

หมิงจีถามต่อ “เก่งกาจกว่าพี่อีกหรือ”

ตงฟางยิ้ม “เก่งกาจกว่า”

ในตอนที่เขาตอบประโยคนี้ เมฆสีเทาครึ้มคล้ายจะอ่อนจางลงกว่าเมื่อวาน ในระหว่างที่ถูกลมม้วนตลบไปมายิ่งดูเปลี่ยนแปลงยากคาดเดามากขึ้น

มิใช่ผู้เก็บเบญจมาศใต้รั้วบูรพา แต่ถกถึงดินฟ้าในห้องแคบ ต้มสุราเหมยเขียวกิจบุรุษ ยามกลับอย่าลืมเก็บหิมะสามส่วน

 

ในตอนที่เฉิงตั๋วเดินทางกลับมาถึงเมืองผิงเหยา ยามซื่อ เพิ่งผ่านพ้นไป บนถนนหลักมีผู้คนเดินอยู่มากจึงไม่ทำให้รู้สึกอ้างว้าง เสี่ยวเอ้อร์ของร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งกำลังเลิกม่านขึ้นต้อนรับแขก เฉิงตั๋วจึงจูงม้าตรงไปมัดไว้กับเสาประตูบานนั้น เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาถาม “นายท่านต้องการจะสั่งอะไรหรือขอรับ” เฉิงตั๋วมองแล้วไม่มีอะไรน่ากิน จึงเพียงแต่ให้เขาเอาบะหมี่เนื้อมาชามหนึ่ง หากมีหญ้าเหลือก็ให้เอามาป้อนม้าเล็กน้อยด้วย

เสี่ยวเอ้อร์รับคำจากไป เพียงไม่นานบะหมี่ก็ถูกยกมาวาง เขากลับไปด้านหลังหอบมัดหญ้าออกมาอีกครั้ง เฉิงตั๋วคลุกเส้น กลิ่นหอมของน้ำมันพริกลอยฟุ้ง บนถนนมีชาวบ้านผู้หนึ่งเดินผ่านมา เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อร์กำลังป้อนหญ้าให้ม้าอยู่หน้าร้านก็โบกมือเรียก “เจ้ายังไม่กลับอีกหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์ตอบ “ใกล้แล้วขอรับ วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสิบสอง วันมะรืนจะปิดร้านกลับไปบ้านเกิดที่ชิงโจวแล้วขอรับ”

เฉิงตั๋วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว ในใจเกิดความไม่พอใจอย่างอธิบายไม่ได้ เขาฝืนข่มความรู้สึกนั้นลงไป เงยหน้ามองหิมะที่กองทับถมอยู่บนถนน ดื่มน้ำแกงไปอีกสองอึก ก่อนจะโยนเงินลงบนโต๊ะแล้วออกจากร้านไป ม้าของเขาก็เพิ่งกินหญ้าเสร็จ เฉิงตั๋วปลดเชือกม้า ลูบจมูกมัน ม้าเองก็พ่นลมหายใจเป็นการตอบรับ เฉิงตั๋วยิ้มน้อยๆ จูงม้าเดินมุ่งไปทางทิศเหนือ

ในตอนที่ออกนอกชายแดนเยี่ยนโจว ทหารตระเวนชายแดนชั้นผู้น้อยจำนวนมากไม่รู้จักเขา เฉิงตั๋วจึงหยิบบัตรผ่านที่ประทับตราด้วยตัวเองออกมา เดินออกนอกชายแดนไปสิบกว่าหลี่ สายลมพัดปะทะใบหน้า เฉิงตั๋วติดหมวกหนังกันลม เผยเพียงดวงตาคู่หนึ่งออกมา บนพื้นหิมะมีรอยกีบเท้าม้าสับสนยุ่งเหยิง เขาสำรวจกีบเท้าเหล่านั้น นี่น่าจะเป็นร่องรอยที่ทหารม้าของหยางโหย่วหลินทิ้งเอาไว้เมื่อตอนเดินทางกลับค่ายใหญ่เยี่ยนโจว

ยามนี้เฉิงตั๋วร้อนใจ อยากรีบกลับค่ายใหญ่ ในตอนที่กำลังจะควบม้าวิ่งก็เห็นบนพื้นหิมะห่างออกไปไม่ไกลพลันปรากฏศีรษะคนผู้หนึ่งวูบไหวก่อนหายไป ท่ามกลางแดนหิมะสุดลูกหูลูกตาดูแปลกประหลาดชัดเจน เฉิงตั๋วคิดว่าตนตาฝาด แต่เขาไม่เคยตาฝาดมาก่อน ดังนั้นจึงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ

ใต้พื้นหิมะห่างออกไปหนึ่งจั้งมีร่องลึก เฉิงตั๋วหยุดยืนนิ่ง พูดว่า “ออกมาเถอะ”

ศีรษะค่อยๆ ชะโงกออกมา ดูเหมือนจะเป็นคนผู้หนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในร่องหิมะ คนผู้นี้เปิดเผยเพียงดวงตาซึ่งกลอกมองไปมา เฉิงตั๋วเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด ทั้งสองมองสบตากันสักพัก ก่อนที่เฉิงตั๋วจะเดินเข้าไปหา หิ้วเด็กชายคนหนึ่งออกมาจากร่องหิมะ เด็กชายมือเท้าแข็งไปหมดแล้ว ผ้าฝ้ายที่โพกอยู่บนศีรษะก็เลื่อนตกลงมา เขาพูดเสียงสั่น “ช่วยด้วย…”

เฉิงตั๋วมองประเมิน เด็กชายห่อตัวด้วยชุดผ้าฝ้ายตัวบางหลายชั้น ซ้ำชุดเหล่านั้นยังเป็นของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น เฉิงตั๋วจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างเขาเอาไว้ ก่อนจับขึ้นนั่งบนหลังม้า เมื่อเสื้อผ้าซึ่งมีไออบอุ่นห่อคลุมร่าง สักพักเด็กชายก็อาการดีขึ้น มือคว้าอานม้า แนบร่างกับหลังม้า

เฉิงตั๋วดึงเชือกบังเหียน ก้าวเดินหนักแน่นตรงไปข้างหน้าพร้อมถาม “เจ้าเป็นคนที่ใด”

เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่จึงตอบเสียงสั่น “คนเยี่ยนโจวขอรับ”

เฉิงตั๋วหันไปมองเขา “เหตุใดจึงมาอยู่ในร่องหิมะ”

ท่าทางเด็กชายดูขี้ขลาด ทว่าวาจากลับฉลาดเฉลียว “ชาวหูมักออกมาปล้นสะดมอยู่บ่อยๆ พ่อแม่ข้าตายไปหมดแล้ว พวกเขาจึงจับข้าไปเป็นทาส เมื่อสองคืนก่อนเกิดการต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย ข้าจึงแกล้งตายแล้วหนีออกมา แต่ระหว่างทางก็เจอชาวหูอีก บนพื้นหิมะไม่มีที่ให้ซ่อน จึงได้หลบอยู่ในร่องแห่งนั้นมาหนึ่งคืนแล้ว”

เฉิงตั๋วเดินบนพื้นหิมะอย่างยากลำบาก หอบหายใจน้อยๆ เอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าหลบชาวหูอยู่ในร่อง เจ้าเจอชาวหูเมื่อใด”

“เมื่อคืนมีเดินผ่านมากลุ่มหนึ่งขอรับ พวกเขาพากันมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกคนล้วนพูดภาษาหู ยามนั้นข้าก่อกองไฟอยู่เลยวิ่งมาหลบในร่องหิมะ จากนั้นหินไฟก็จุดไม่ติดแล้ว” เอ่ยจบเขาก็จามออกมาเสียงดัง

เฉิงตั๋วลอบตระหนกในใจ แต่ยังคงถามเสียงเรียบเฉย “มีมากแค่ไหน”

“ทหารร้อยกว่านายขอรับ”

“พวกเขาแต่งกายอย่างไร”

“มองไม่ชัดขอรับ”

“คุยอะไรกัน”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจฟังขอรับ”

ทั้งสองคนเดินทางฝ่าพายุหิมะ คุยกันไม่หยุด เดินจนฟ้ามืดสนิทแล้วถึงได้เจอกับทหารรักษาการณ์ที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอกค่ายใหญ่ จ้าวสุ่นนำทหารมาต้อนรับ รายงานว่า “ท่านอ๋อง คนอื่นๆ ล้วนกลับมาแล้ว ทุกคนต่างปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วพยักหน้า อุ้มเด็กคนนั้นลงจากหลังม้า สั่งงานกับจ้าวสุ่นอีกเล็กน้อยจึงมุ่งหน้ากลับกระโจมใหญ่ เจ๋ออี้ยกน้ำอุ่นเข้ามา เฉิงตั๋วดื่มนมแพะอุ่นร้อนลงไปอึกหนึ่ง เอนหลังพิงอยู่บนเตียง แช่เท้าที่หนาวจนใกล้แข็งไว้ในน้ำอุ่น ในที่สุดก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กคนนั้นเห็นเขานิ่งเงียบ สีหน้านับได้ว่าเป็นมิตร จึงมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย ถามเสียงเบา “พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง ท่านเป็นน้องชายของฮ่องเต้เหมือนกันหรือ”

“หืม?” เฉิงตั๋วนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มออกมา “ทำไมกัน ไม่เหมือนหรือ”

“ไม่ค่อยเหมือนขอรับ”

“ไม่ค่อยเหมือนใคร”

“อ๋า…ข้าแค่เห็นว่าไม่ค่อยเหมือนเท่านั้นขอรับ”

“เช่นนั้นอะไรเรียกว่า ‘เป็นน้องชายของฮ่องเต้เหมือนกัน’ ”

“…แค่พูดไปอย่างนั้นเองขอรับ”

“เจ้าชื่ออะไร”

“ติงจื่อขอรับ”

“ติงจื่อ?”

“หมายถึงบุตรของสกุลติง ขอรับ มิใช่ว่าสมัยก่อนบรรดาอาจารย์อาวุโสจะใช้แซ่ตามด้วยจื่อหรอกหรือ” ติงจื่อพูดจบ ท้องก็ร้องขึ้นมาพอดิบพอดี

เฉิงตั๋วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง ครั้นเห็นเขาสวมใส่เสื้อผ้าผู้ใหญ่หลายชั้นเพื่อป้องกันความหนาว จึงเอ่ยกับเจ๋ออี้ว่า “พาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หาอะไรให้กิน ข้ายังมีคำถามต้องการถามเขาอีก”

ติงจื่อเมื่อได้ยินก็ผ่อนลมหายใจออกมา ในที่สุดหัวใจก็ร่วงกลับลงไปในอก เด็กหนุ่มหมอบบนพื้น โขกศีรษะหนึ่งครั้งก่อนตามเจ๋ออี้ออกไป

หิมะที่ตกหนักหยุดลง แม้ยังคงกองทับถมไม่ละลาย แต่ท้องฟ้ากระจ่างใสแล้ว เฉิงตั๋วยืนอยู่บนแท่นยกสูงในค่ายทหาร กำลังตรวจสอบการฝึกฝนของทหารในค่าย ขณะนั้นเขามองเห็นสองเงาร่าง หนึ่งแดงหนึ่งขาวควบม้ามาจากที่ไกลๆ ในใจก็รู้แล้วว่าเป็นตงฟาง จึงกระโดดลงจากแท่น ขี่ม้าออกไปต้อนรับ

หนนี้ตงฟางไม่ได้แต่งกายเป็นคนตัดไม้ เขาสวมชุดตัวยาวผมครอบเกี้ยว ชายเสื้อพลิ้วไปตามแรงลม ยิ่งดูองอาจสง่างามมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่ใช่เพราะเมฆหมอกสลาย ท้องฟ้าจึงเปลี่ยนไปสว่างไสว แต่เป็นเพราะเขามาแล้ว ท้องฟ้าจึงกระจ่างใสขึ้นมา ทหารที่เดิมฝึกฝนกันอยู่ต่างพากันหยุดมือ ทยอยมองตามไป

เฉิงตั๋วควบม้าไปถึงด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองฝ่ายเอ่ยทักทายกันอย่างอารมณ์ดี แล้วลงจากหลังม้าบริเวณหน้าค่าย เดินเข้าไปในกระโจมหลัก หยางโหย่วหลิน จ้าวสุ่นก็ติดตามเข้ามา เฉิงตั๋วแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันรอบหนึ่ง หมิงจีเหลือบมองไปทางหยางโหย่วหลิน คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ก็อดทนเอาไว้

เฉิงตั๋วย่อมรู้ว่านางอยากจะพูดอะไร จึงยิ้มเอ่ยว่า “วันนั้นทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ไว้ข้าจะไปจัดการพวกเขาให้”

หมิงจียิ้ม “วันนั้นท่านอ๋องทรงช่วยหม่อมฉันเอาไว้ พี่ชายบอกว่าหม่อมฉันไร้มารยาท ถึงกับไม่เคยขอบพระทัยท่านอ๋อง” นางยอบกายลงคารวะ “ขอบพระทัยที่ทรงช่วยเหลือเพคะ” บัดนี้สถานะของเฉิงตั๋วต่างออกไป นางจึงไม่กล้าเรียกขานแบบเดิมอีก

เฉิงตั๋วเห็นนางรู้จักรุกถอย จึงเรียกเจ๋อเหรินมาสั่งการอย่างพึงพอใจ “ท่านตงฟางกับแม่นางหมิงจีล้วนเป็นแขกสูงศักดิ์ของข้า เจ้านำทางให้แม่นางหมิงจี เตรียมที่พักดีๆ ให้ ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเสียมารยาท”

หมิงจีตามเจ๋อเหรินออกไป เฉิงตั๋วจึงเคาะนิ้วกับเอกสารบนโต๊ะ พูดกับตงฟาง “ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าพูด ฝ่าบาททรงถ่ายทอดพระราชโองการมาแล้ว มีทั้งคำแถลงและคำสั่งลับ เปลือกนอกโยกย้ายทหารจากเมืองจำนวนหนึ่งมาให้ข้าทำศึก แต่ลับหลังก็บอกไม่ให้ข้าทำศึก เจ้าดูเอาเถอะ”

ตงฟางก็ไม่ปฏิเสธ ดึงกระดาษสีขาวนวลแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษที่ซ้อนทับกัน เมื่อได้อ่านก็อดนิ่งอึ้งไปไม่ได้ ตัวอักษรบนกระดาษชดช้อยไหลลื่น เขียนเอาไว้อย่างกระชับสั้นว่า ‘น้องจิ่นมอบให้ จดหมายถึงพี่ห้า เมื่อวานราชสำนักถกเตรียมรบ ส่งทหารกุ้งหนึ่งแสน แม่ทัพปูส่วนหนึ่งไปให้พี่ชาย ภาวนาให้ไปถึงในเร็ววัน การศึกราบรื่น เฉิงจิ่นน้อมคำนับ’

เฉิงตั๋วเอียงหน้ามองก่อนรีบคว้ากลับมา พับมันใส่กลับเข้าไปในหนังสือบนโต๊ะด้านหลัง เพราะเป็นจดหมายส่วนตัว เฉิงจิ่นจึงใช้คำว่า ‘ทหารกุ้งแม่ทัพปู’ หยอกล้อเขา แต่ถึงอย่างไรก็ดูไม่ค่อยเคารพไปบ้าง จึงยิ้มพูดว่า “น้องเล็กไปถึงเมืองหลวงแล้วฝากจดหมายมากับผู้ติดตามของข้า เขียนเหลวไหลไปบ้าง เป็นข้าที่ไม่ทันระวังวางไว้ผิดที่” พร้อมกับหาพระราชโองการยื่นส่งให้

ตงฟางรับพระราชโองการมา แต่กลับไม่เปิดออกดู เพียงถาม “หนึ่งแสน?”

เฉิงตั๋วพยักหน้า “หนึ่งแสน” เห็นตงฟางนิ่งเงียบไม่พูดจา เขาจึงพูดต่ออย่างไม่เร่งไม่ร้อน “ข้าเตรียมจะป่าวประกาศว่าเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นนาย”

ตงฟางยิ้มออกมา

ในการทำศึก ระหว่างสองกองทัพมักจะหาตัวเลขกำลังพลมารายงานหลอกเพื่อเป็นการข่มขู่อีกฝ่ายอยู่เสมอ เดิมทีนี่เป็นกลยุทธ์ปกติสามัญ แต่อย่างไรก็ตามเฉิงตั๋วกลับเลือกตัวเลขประหลาดยี่สิบเจ็ด ทำให้คล้ายเป็นเรื่องจริง ยิ่งแยกแยะได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ตงฟางเห็นสีหน้าเขา รู้ว่าเขามีแผนการของตน จึงค่อยๆ เก็บพระราชโองการฉบับนั้นวางทับกลับลงไปในกองกระดาษอีกครั้ง “ข้าเห็นว่าเร็วๆ นี้ยังทำสงครามไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ หิมะละลายเสียก่อน ระยะนี้เองก็จัดระเบียบทัพใหม่ ฝึกฝนการต่อสู้”

ดังนั้นเฉิงตั๋วจึงถวายฎีกาตอบรับพระราชโองการ พร้อมป่าวประกาศคำสั่งออกไป ทหารหนึ่งแสนกว่านายที่มีอยู่ในมือถูกประกาศเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นนาย กำลังพลถูกจัดวางให้กระจายตัวอยู่ตลอดแนวหน้าของเยี่ยนโจวและอวิ๋นโจว ช่วงกลางฤดูหนาวเช่นนี้ แม้ทหารชาวหูจะเคียดแค้นทว่าไม่กล้าบุกผลีผลาม ชั่วขณะหนึ่งทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภาพราวกับแช่แข็งต่อกัน

บทที่สี่

ชั่วพริบตาเดียวคืนข้ามปีก็มาถึง อากาศหนาวเย็นมากขึ้น เพื่อป้องกันการลอบโจมตีของชาวหู เฉิงตั๋วจึงยังไม่ออกคำสั่งคลายกำลังทหาร กลับกันยังยิ่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราแต่ละป้อมปราการมากขึ้น ยามนี้ตัวเขานั่งอยู่ในกระโจม มองรายงานที่ถูกส่งมาในช่วงสิบวันนี้ ตงฟางกับเขาร่างกฎระเบียบบางอย่างขึ้นมา ถ่ายทอดลงไปให้ทหารทุกฝ่ายเพื่อจัดระเบียบวินัยทหารอย่างเข้มงวด มีทั้งรางวัลและบทลงโทษ รายงานต่างๆ จึงทยอยส่งกลับมาไม่ขาดสาย

เฉิงตั๋วอ่านไปทีละแผ่นๆ ลายปักบนชุดสีเขียวเข้มที่เขาสวมสะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟ แขนเสื้องอยับเล็กน้อยตามการขยับข้อมือ เส้นผมเขาเปียกหมาด มัดรวบอยู่หลังท้ายทอย ทำให้เสื้อคลุมขนเตียว อันล้ำค่าที่พาดอยู่บนบ่าเปียกชื้น เฉิงตั๋วอ่านรายงานอย่างตั้งใจ สีหน้าภายใต้แสงไฟลดทอนกลิ่นอายองอาจลงไปเล็กน้อย เพิ่มความสุขุมเข้ามาแทน

เจ๋ออี้แบกม้วนพรมสีเทาเดินเข้ามา เฉิงตั๋วไม่ได้เงยหน้าขึ้นและไม่ได้มอง เพียงพูดว่า “วางลง”

เจ๋ออี้วางม้วนพรมลงบนพื้นแล้วค้อมตัวถอยออกไป เฉิงตั๋วยังคงอ่านรายงานในมือ เริ่มจากกองซ้ายไปกองขวา พรมบนพื้นขยับไหว ด้านหนึ่งของพรมมีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาช้าๆ ขาวเพรียวงดงาม เท้าข้างนั้นสัมผัสพื้นน้อยๆ ก่อนขยับซ้ายขวา คล้ายพยายามสัมผัสถึงทิศทาง ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปใกล้กระถางไฟ ขอบของพรมคลายออกเล็กน้อย คนในพรมราวกับไม่ชอบแสงสว่างที่มากเกินไปของเปลวไฟจึงกระชับพรมแน่นขึ้น รัดออกมาเป็นทรวดทรงที่ค่อนข้างดีของสตรี จากนั้นก็ไม่ขยับอีก

เฉิงตั๋วอ่านรายงานเหล่านั้นนานยิ่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ในตอนที่อ่านจบก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ คิดถึงเอกสารที่ผู้บัญชาการทหารอวิ๋นโจว อ๋องเจ็ดเฉิงเสี่ยนเขียนให้เขา ถ้อยคำในเอกสารราบเรียบ ทำตามหน้าที่ พูดถึงสถานการณ์ที่ชาวหูโจมตีแนวชายแดนอวิ๋นโจวหลังเหตุการณ์บุกโจมตีชาวหูกะทันหันของเยี่ยนโจว

เฉิงเสี่ยนในฐานะน้องชาย ซ้ำยังมีตำแหน่งต่ำกว่าเฉิงตั๋ว ยามเขียนเอกสารมากลับไม่มีข้อความถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสักคำ เรื่องนี้เฉิงตั๋วไม่ประหลาดใจ เขากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นพี่น้องร่วมมารดากัน ส่วนกับน้องชายต่างมารดาผู้นี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรอื่นอีก ที่เขาแปลกใจคือเหตุใดครั้งนี้ฮ่องเต้จึงทรงส่งเขามาควบคุมทหารของเยี่ยนโจวกับอวิ๋นโจว แต่กลับให้เฉิงเสี่ยนประจำการอยู่ที่อวิ๋นโจวไม่ไปไหน ทำให้รู้สึกว่ามีเจตนาอะไรบางอย่างแฝงอยู่

เฉิงตั๋วหยิบรายงานบางส่วนแล้วลุกขึ้นยืน ต้องการเดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกไปข้างนอก ทันทีที่ก้าวเท้าออกไปถึงเพิ่งสังเกตว่าบนพื้นมีเงาสีเทาขมุกขมัววางขวางอยู่ เพราะรั้งเท้ากลับมาไม่ทันแล้วจึงต้องกระโดดข้ามไป ครั้นห่างมาครึ่งจั้ง หันหน้ากลับไปมองถึงนึกขึ้นได้ นั่นเป็นสตรีของซิวถูอ๋องผู้มีแววตาเฉยชานางนั้น เขาเป็นคนบอกให้เจ๋ออี้พามาเอง เฉิงตั๋วเลิกม่านกระโจม ส่งเสียงเรียกเจ๋ออี้ เจ๋ออี้รีบเดินเข้ามา เขาส่งเอกสารในมือให้ สั่งให้หาคนส่งต่อไปทันที นอกจากนี้ตอนกลับมาก็ให้เอาของกินบางอย่างมาด้วย

เมื่อเฉิงตั๋วหันหน้ากลับมา พรมบนพื้นผืนนั้นยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติง เฉิงตั๋วจึงเดินไปนั่งยองลง จับมุมหนึ่งของพรมดึงออก คนในพรมถูกแสงสว่างสาดใส่กะทันหันจึงสะดุ้งสะลึมสะลือตื่น นางหันหน้าไปมองเฉิงตั๋ว กะพริบตาปริบๆ แล้วจึงลุกขึ้นนั่งช้าๆ หลังตื่นเต็มตา สีหน้ามึนงงสับสนก็เปลี่ยนไปเป็นอาการนิ่งสงบ แฝงไว้ด้วยบรรยากาศเย็นชา นางมองไปยังกระถางไฟเงียบๆ ส่วนเฉิงตั๋วมองนาง ขนตายาวสะท้อนอยู่บนดั้งจมูกโด่ง เปลวไฟส่องใบหน้าซีดขาวของนาง เสื้อผ้าที่สวมยังคงเป็นชุดผ้าไหมหิมะตัวเดิม แต่ร่องรอยเปรอะเปื้อนด่างดวงซีดจางลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าผ่านการซักมา สองเท้านางเปลือยเปล่า

เฉิงตั๋วมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งบนพรมข้างโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่ริมกระโจม

ในตอนที่เจ๋ออี้ยกอาหารเข้ามาก็เห็นเฉิงตั๋วนั่งมองสตรีผู้นั้นอยู่ด้านข้าง แววตาของเขาไม่เย็นชา ถึงขั้นไม่เข้มงวด ทั้งยังแฝงไปด้วยแววค้นหา เจ๋ออี้วางอาหารลงตรงหน้าเขา เฉิงตั๋วสั่ง “เจ้าออกไปเถอะ ไม่ต้องคอยปรนนิบัติแล้ว”

ภายในกระโจมอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร เฉิงตั๋วหยิบมีดพกขึ้นมาหั่นกิน

เป็นทหารมาหลายปี เขาคุ้นชินกับการใช้มีดมากกว่าตะเกียบเสียแล้ว สตรีนางนั้นเงยหน้ามองคราหนึ่ง ไม่ได้มองเขา แต่มองอาหารของเขา ก่อนนางจะเคลื่อนสายตากลับไปที่กระถางไฟ คล้ายกำลังตั้งใจผิงไฟ เฉิงตั๋วพูดขึ้นว่า “มานี่”

นางช้อนสายตาคาดหวังขึ้นมองเขา ทว่ายังคงไม่ขยับ คล้ายฟังไม่เข้าใจ

เฉิงตั๋วพอจะรู้ภาษาหูอยู่บ้าง แต่คร้านพูด อีกอย่างหนึ่งคือเดิมสตรีผู้นี้ก็ถูกซิวถูอ๋องพาตัวมา สรุปแล้วเป็นคนที่ใดก็ยังไม่ชัดเจน ผู้ใดจะรู้ว่านางฟังภาษาอะไรเข้าใจ เขาก้มหน้าหั่นอาหาร ก่อนเงยหน้ามองนางอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ดวงตาของนางใสกระจ่างนิ่งสงบ เฉิงตั๋วเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้กวักมือเรียกนาง

นางลุกขึ้นช้าๆ เดินไปที่ข้างกายเขา ก้มหน้าต่ำ เฉิงตั๋วทำท่าให้นางนั่งลง นางก็นั่งลงบนพื้น เขาเลื่อนจานไปไว้ตรงหน้านาง นางหยิบขนมเปี๊ยะที่เขาหั่นเป็นชิ้นเล็กขึ้นมาเม้มปากกิน กินอย่างละเมียดละไมยิ่ง แม้จะเป็นการเคี้ยวกลืนอย่างเชื่องช้า แต่เหมือนกับนางต้องใช้แรงกายมากอย่างไรอย่างนั้น เฉิงตั๋วยกนมแพะที่ดื่มเหลือมาวางไว้ที่ขอบโต๊ะ นางมองเขาอีกครั้ง คล้ายต้องการยืนยันว่านั่นเป็นของที่ให้นาง จากนั้นถึงได้ยกแก้วขึ้น นางยังคงเม้มปากดื่มคำเล็กๆ เป็นนานกว่าจะกินขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นลงไปจนหมด

ในตอนนั้นเองเสียงกลองดังขึ้นสี่ครั้ง ยามรุ่งสางใกล้มาเยือน รอบด้านปราศจากเสียงลมพัด ไร้สรรพสำเนียง ค่ำคืนข้ามปีที่เงียบเหงาเช่นนี้ เฉิงตั๋วไม่รู้ว่าตนผ่านมากี่ครั้งแล้ว เดิมทีวันนี้ควรเป็นวันที่ได้เฉลิมฉลอง แต่เขากลับขังตัวเองอยู่กับกองเอกสาร ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น เขานึกถึงว่าเหตุใดตนจึงได้เรียกหานาง เขาไม่ได้อยากได้นางเท่าไรนัก หรือพูดได้ว่าเขาเพียงแค่อยากมองนางเท่านั้น

ความเงียบของนางมีเสน่ห์ประการหนึ่งที่ชวนให้คนสบายใจ ประณีตละเอียดอ่อน ล้ำลึก และลึกลับ มนุษย์เราในตอนที่อายุน้อย เวลาพบเจอปัญหามักจะรีบร้อนขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ กลับยิ่งพูดไม่ออก สตรีผู้นี้เป็นคนใบ้ นางพูดไม่ได้ เฉิงตั๋วเองก็ไม่มีความต้องการจะพูด นางไม่ได้สิ้นหวังยอมแพ้ เฉิงตั๋วเองก็เช่นกัน

เฉิงตั๋วโยนผ้าสะอาดผืนหนึ่งไปให้ นางเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ยืนยันถึงวัตถุประสงค์ เมื่อเห็นว่าในดวงตาของเขาเพิ่มความเย็นชาขึ้นมา จึงหยิบมาเช็ดมือและปากให้สะอาดเงียบๆ รอจนเช็ดเสร็จ เฉิงตั๋วก็ช้อนตัวนางขึ้นมาโยนไว้บนเตียง นางใช้สายตามองสำรวจเขาอีกครั้ง บุรุษทุกคนล้วนมีสีหน้าแบบหนึ่งซึ่งนางคุ้นเคยดียิ่ง แต่เฉิงตั๋วกลับไม่มีในยามนี้

เฉิงตั๋วรู้สึกว่านางคล้ายต้องการมองทะลุจิตใจเขา พลันรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อดับตะเกียง ถอดเสื้อนอกออก ขึ้นเตียงไปนอนกอดนาง ภายในกระโจมมืดลง มีเพียงแสงจากกระถางไฟบนพื้นที่ยังส่องสว่างอยู่น้อยๆ เสียงลมหายใจของคนในอ้อมกอดสม่ำเสมอ หลับไปอย่างช้าๆ แต่เฉิงตั๋วยังคงมองไปที่ยอดกระโจม นอนไม่หลับ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนในอ้อมแขนตัวสั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ ลมหายใจสับสน เฉิงตั๋วฟังออกว่านางกำลังร้องไห้ เขานอนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับ รับฟังเงียบๆ นางค่อยๆ ขยับตัวแรงขึ้นเหมือนปลาที่ดิ้นรนอยู่ในแห ไม่รู้ว่าเป็นฝันร้ายที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด เฉิงตั๋วพลิกตัวกดนางอยู่ใต้ร่าง จับใบหน้านางเขย่าไปมา พูดเสียงเบาว่า “ตื่น!”

นางลืมตาโดยพลัน ในตาไม่มีหยาดน้ำตา ทว่ามีความเคียดแค้นอาฆาตที่ทำให้แม้แต่เฉิงตั๋วยังสะท้าน แต่ยังไม่ทันได้สืบเสาะลึกลงไป นางก็กัดลงบนหัวไหล่เขาอย่างแรง เฉิงตั๋วกระชากผมนางโดยสัญชาตญาณ รู้สึกได้ว่านางออกแรงมหาศาล คล้ายต้องการกัดลึกเข้าไปถึงกระดูก เดิมทีเขาสามารถฟาดนางให้สลบหรือผลักออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่ได้ทำเช่นนั้นอย่างอธิบายไม่ได้ มือที่กระชากผมนางถึงกับค่อยๆ คลายออก เปลี่ยนไปกดลงบนศีรษะดั่งปลอบประโลม เฉิงตั๋วถึงขั้นได้ยินตัวเองเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่เป็นไรแล้วๆ”

แรงกัดบนหัวไหล่ค่อยๆ ผ่อนลง นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่กระจ่างบริสุทธิ์ตลอดมามองเขาอย่างนิ่งอึ้ง เวลานั้นสีสันอื่นใดราวเลือนหายไป เหลือเพียงดวงตาที่ใสกระจ่าง เฉิงตั๋วมองแววตาที่เดิมอาฆาตแค้นซึ่งยามนี้เหลือเพียงความอ่อนแอ เขาก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากนาง บดขยี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น กระทั่งได้รับการตอบสนองอย่างอ่อนแรง นางสัมผัสได้ถึงเจตนาปลอบประโลมของเขา จึงสะอึกสะอื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ

เฉิงตั๋วปลดชุดตัวในบนร่างนางออก ดึงมือนางให้มาโอบอยู่รอบคอตน รับเอาน้ำตาและอาการสั่นสะท้านของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทั้งหมด เฉิงตั๋วจุมพิตและอ่อนโยนกับสตรีน้อยครั้ง หนนี้กลับเป็นข้อยกเว้น

เขาคิดแค่อยากปลอบประโลมนาง ทว่ากลับตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าที่แท้แล้วตนก็เป็นฝ่ายได้รับการปลอบประโลมเช่นกัน

 

ตอนที่เฉิงตั๋วตื่นขึ้นมา แสงอาทิตย์สว่างจ้าได้สาดส่องเข้ามาในกระโจมแล้ว เขารู้ว่าสายแล้ว ทว่ายังคงนอนนิ่งไม่ขยับ สตรีผู้นั้นคล้ายฝังตัวอยู่ในผ้าห่ม หลับสนิทยังไม่ตื่น พอเขาขยับน้อยๆ นางก็ซุกศีรษะเข้าไปใต้ผ้าห่ม เกียจคร้านราวกับลูกแมวตัวน้อย เฉิงตั๋วมองนางเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า

เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ กวาดตามองรายงานกองทัพที่อ่านไปเมื่อคืนคราหนึ่ง เฉิงตั๋วยกมือขึ้นเกล้ามวยผม เดินตรงออกไปนอกกระโจมโดยไม่หันมามองนางอีก แสงแดดสาดใส่ร่าง รู้สึกเพียงว่าความคิดปลอดโปร่ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสองเฮือก เรียกเจ๋ออี้มาแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “พานางออกไป” จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปทันทีโดยไม่รอคำขานรับจากเจ๋ออี้

ภายในค่ายยังคงเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง ทว่ายามเขาเดินมาถึงฝั่งตะวันตกก็เห็นว่าในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมวงอยู่ เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าไป พลันได้ยินเสียงตงฟางพูดว่า “แม้หมิงจีจะซุกซน แต่ก็เป็นนิสัยแบบเด็กๆ แม่ทัพหยางมีอะไรก็ขอให้พูดจากันดีๆ เหตุใดจึงต้องโมโหด้วย”

เฉิงตั๋วเข้าใจทันที หมิงจีต้องหาเรื่องหยางโหย่วหลินอีกแล้วเป็นแน่

ยามหมิงจีเพิ่งมาถึงค่ายทหาร ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็รู้สึกแปลกใหม่ ทหารทั้งค่ายจู่ๆ ได้พบเด็กสาวน่ารักเช่นนี้มองสำรวจไปทั่วทุกวันก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน ทั้งหมิงจียังเป็นคนคุยเก่ง ขอแค่ไม่ไปหาเรื่องนาง นางก็จะรับมืออย่างใจกว้าง อีกทั้งเฉิงตั๋วยังมีคำสั่งลงมา ผู้ใดจะกล้าหาเรื่องนาง ดังนั้นนางกับคนอื่นๆ ในค่ายแห่งนี้จึงนับได้ว่าสนิทสนมกันดี เว้นเพียงหยางโหย่วหลินผู้เดียวเท่านั้น นับตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางกับหยางโหย่วหลินก็ทะเลาะกันไม่เลิกรา

หยางโหย่วหลินไม่เคยเถียงชนะผู้อื่น แม้แต่กับจ้าวสุ่นยังไม่เคยชนะ นับประสาอะไรกับเด็กสาวซุกซนผู้หนึ่ง ดูท่าวันนี้เขาจะทนไม่ไหวและไม่อยากทนอีกต่อไป เสียงหยางโหย่วหลินดังขึ้น “น้องสาวเจ้าปากพล่อย นางเป็นสตรี ข้าไม่พูดกับนาง! แต่ในเมื่อเจ้าเป็นพี่ชายนาง ข้าก็จะเล่นงานเจ้าแทน”

เฉิงตั๋วฟังออกว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ ทว่าไม่ได้เดินไปข้างหน้า แต่ไปยืนหลบอยู่ข้างๆ มุมกระโจมแล้วมองผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มคนไป

หยางโหย่วหลินประจันหน้ากับตงฟาง ส่วนหมิงจีหลบอยู่ด้านหลังพี่ชาย ใบหน้ามีรอยแย้มยิ้ม

จ้าวสุ่นเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “ก็แค่คำพูดไม่กี่ประโยค เหตุใดเจ้าต้องโมโหถึงเพียงนี้ด้วย ท่านตงฟางกับแม่นางหมิงจีเป็นแขกสูงศักดิ์ของท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็นับได้ว่าเป็นเจ้าบ้านครึ่งตัว วันนี้เป็นวันปีใหม่ ผู้อื่นเห็นเข้าจะขบขันเอาได้”

ตงฟางได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ตระหนักได้ว่าภายในกองทัพให้ความสำคัญกับพื้นเพความเป็นมาและความสามารถมากที่สุด ตนเพิ่งมาถึง ทว่ากลับได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติจากเฉิงตั๋ว บรรดาทหารอาจจะไม่ยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่น ทั้งสองคนเพียงแค่เห็นแก่เฉิงตั๋วเท่านั้น ซ้ำเมื่อนึกถึงว่าคนสกุลหยางผู้นี้มีนิสัยป่าเถื่อนตรงไปตรงมา หากยอมขออภัยแล้วจบไปทั้งอย่างนี้ เขาก็อาจไม่พอใจ ดังนั้นตนจึงจำเป็นต้องกระตุ้นเขาสักเล็กน้อย

ตงฟางเอ่ยช้าๆ “หมิงจี เจ้าว่าอะไรแม่ทัพหยางหรือ”

“ข้าไม่ได้ว่าอะไร เพียงพูด…พูดว่าชื่อของพี่หยาง ไม่ใช่ว่าในชะตาแปดอักษร ขาดธาตุไม้ จำเป็นต้องเสริมเข้าไปหรอกหรือ แต่เขามักมีสีหน้าอึมครึม จึงคิดว่าคงถูกโหย่วธาตุทองกดข่มเอาไว้” คนรอบข้างได้ยินเสียงนางไพเราะดังกังวาน ทว่ากลับพูดถึงแต่หลักการ ชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกขบขัน ทว่าไม่กล้าหัวเราะ มีแค่จ้าวสุ่นที่หลุดขำออกมาเบาๆ

ตงฟางยังคงพูดอย่างสุภาพไม่เร่งร้อน “เจ้าผิดแล้ว โหย่วจัดอยู่ในธาตุทองอิน จะกดข่มไม้จำนวนมากถึงเพียงนี้ได้ที่ใดกัน ทองก่อเกิดน้ำได้ สีดำแทนธาตุน้ำ ที่สีหน้าเขาอึมครึมเป็นเพราะธาตุน้ำมากเกินไป”

หมิงจีรีบแสดงท่าทีกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

สีหน้าหยางโหย่วหลินยามนี้ไม่ได้ดูอึมครึมสักนิดเดียว แต่ประหนึ่งว่าหากดวงตาของเขาสามารถพ่นไฟออกมาได้ พี่น้องสกุลตงฟางคงลุกไหม้ไปนานแล้ว ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นชี้ไปที่ตงฟาง “แม้ท่านอ๋องจะทรงให้เจ้าอยู่ที่นี่ได้ แต่เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นเกินไปนัก!” พูดยังไม่ทันจบก็สะบัดฝ่ามือออก หมิงจีกลับไม่ได้หันหลังวิ่งหนี เพียงกระโดดถอยไปด้านหลังด้วยท่วงท่าแผ่วพลิ้ว ตอนลงพื้นก็ยังสง่างาม นางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ออกแรงมากไปแล้ว กระด้างมากเกินไป ภายหลังย่อมไม่ดี”

หยางโหย่วหลินรู้สึกว่าไหล่ซ้ายถูกตบเบาๆ เมื่อหันหน้าไปก็พบว่าตงฟางย้ายมายืนอยู่ข้างหลังตนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ไหล่ซ้ายเขาหนักอึ้ง ทว่ายังคงหันกลับไปโจมตีตงฟางต่อ กระบวนท่าตงฟางไม่สับสนวุ่นวาย สามารถหลบหลีกได้ง่ายๆ หยางโหย่วหลินเพิ่มความเร็วฝ่ามือมากขึ้น โจมตีซ้ายขวาพร้อมกัน ทว่ามักพลาดไปเพียงฉิวเฉียดเสมอ ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่โดนตงฟาง

ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เขาเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด หนนี้ตงฟางไม่หลบเลี่ยงอีกแต่กางฝ่ามือออกรับ แล้วเบี่ยงตัวหลบไปข้างหลังเล็กน้อย เริ่มแรกหยางโหย่วหลินรู้สึกเพียงหมัดนี้คล้ายชกไปบนปุยฝ้าย พลังหมัดประหนึ่งหินจมลงไปในมหาสมุทร จากนั้นก็มีกำลังส่วนเกินมากระชากเขา ถึงกับทำให้ยืนไม่มั่นคง เซไปข้างหน้าเล็กน้อยจึงหยุดยืนได้มั่นในที่สุด

เมื่อหันหน้ากลับมา ตงฟางก็พูดกับเขาเสียงดัง “หมิงจีซุกซนไร้มารยาท หลายวันมานี้ล่วงเกินท่านไปไม่น้อย เป็นเพราะข้าสั่งสอนไม่ดีพอ ขออภัยแม่ทัพหยางด้วย” เขาค้อมตัวคำนับหยางโหย่วหลินสุดตัวคราหนึ่ง หยางโหย่วหลินนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไร เพียงค้อมตัวตอบกลับ ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป

จ้าวสุ่นประสานมือคารวะตงฟาง ยิ้มน้อยๆ จากนั้นเดินตามหยางโหย่วหลินไป หมิงจีก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว คล้ายต้องการจะพูดอะไร ทว่าถูกตงฟางถลึงตาใส่ นางจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ บรรดาทหารที่รับชมอยู่รอบๆ ประหลาดใจอย่างยิ่ง ภายนอกตงฟางดูเป็นบัณฑิตสุภาพ แต่เพียงแค่ใช้กระบวนท่าเดียวกลับทำให้แม่ทัพใต้บังคับบัญชาของเฉิงตั๋วจากไปโดยไม่พูดไม่จาได้ ทุกคนส่ายหน้าพูดไม่ออก ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายตัวกันไป

ตงฟางพลันหันกลับมา กล่าวไปยังทิศที่เฉิงตั๋วอยู่ “ท่านอ๋องโปรดเสด็จออกมาสนทนากับกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วเห็นว่าเขาพบตนแล้วจึงได้แต่เดินออกมา ทันทีที่หมิงจีเห็นเฉิงตั๋วก็เปลี่ยนไปทำตัวเรียบร้อย ยอบกายคารวะเขาอย่างว่าง่าย

เฉิงตั๋วยิ้ม “เจ้าจะเกรงใจถึงเพียงนี้ทำไมกัน การที่เจ้าไม่หยอกล้อ แต่กลับเกรงใจเช่นนี้ทำให้ข้าละอายใจขึ้นมาแล้ว”

หมิงจีหน้าแดง ยืนอยู่ข้างกายตงฟางไม่พูดจา

เฉิงตั๋วเดินตามตงฟางมาถึงกระโจมของเขา ในใจคิดว่าเมื่อครู่นี้หยางโหย่วหลินลงมือก่อน ตนไม่ได้ออกหน้าช่วยเหลือ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็แก้ตัวไม่ได้ จึงชิงพูดขึ้นมาก่อน “หลายวันมานี้ น้องหรานจือพอจะอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”

ตงฟางเองก็ไม่ยกเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาพูด ยิ้มสง่างามเอ่ยว่า “อยู่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เมื่อวานตอนบ่ายที่กระหม่อมไม่อยู่ ในกระโจมแห่งนี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นเล็กน้อย”

เฉิงตั๋วถามว่าเรื่องประหลาดอะไร ตงฟางตอบว่า “มีคนรื้อค้นข้าวของของกระหม่อม”

เฉิงตั๋วตกใจ “มีอะไรหายไปหรือไม่”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าคนผู้นี้น่าจะอยากรู้อยากเห็นเป็นนิสัย มักค้นข้าวของของผู้อื่นบ่อยๆ เพียงรื้อค้นไปทั่ว จากนั้นจึงนำกลับมาวางตามเดิมทุกอย่าง”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีคนมารื้อค้นข้าวของ”

ตงฟางยังคงตอบอย่างนุ่มนวล “กระหม่อมย่อมรู้ และเพียงอยากทูลให้ท่านอ๋องทรงรู้เรื่องนี้เอาไว้เท่านั้น”

เฉิงตั๋วพยักหน้า “ขอบคุณที่บอก”

ภายนอกกระโจมมีเสียงออกคำสั่งหลังฝึกเสร็จดังมา บรรดาทหารทยอยกันกลับไปที่กระโจมของตน ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นวันแรกของปีใหม่ ทุกคนจึงตื่นเต้นคึกคัก เสียงเอะอะอึกทึกมากกว่าที่ผ่านมา ทั้งยังแฝงไปด้วยเสียงเพลงและเสียงหัวเราะ

เวลาเปลี่ยนผัน ปีผันแปร ต่อให้อยู่ในแดนหิมะหนาวเหน็บ อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ก็ไม่อาจขัดขวางความปีติยินดีในใจคนได้

ทว่าความสงบสุขนี้ไม่ได้ยาวนานนัก ปีใหม่เพิ่งผ่านพ้น ในตอนที่หิมะละลายท้องฟ้าใสกระจ่าง ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นแล้ว

 

ราตรีนี้ ทหารที่ประจำ ณ ป้อมปราการด้านหน้าค่ายใหญ่เยี่ยนโจวมองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง จึงส่งสัญญาณเตือนภัยขึ้นโดยพลัน ทหารม้าชาวหูประมาณพันนายควบม้าตะบึงมารวดเร็วดุจสายลม แต่ถูกทหารด้านข้างค่ายขัดขวางไว้ หลังอาวุธปะทะกันไม่กี่ครั้ง ทหารม้าชาวหูผู้กล้าหาญจำนวนหนึ่งก็บุกเข้าไปถึงกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว ทว่าทันทีที่ผู้นำทหารชาวหูสะบัดคบเพลิงไปรอบๆ ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าแย่แล้ว เพราะภายในกระโจมว่างเปล่าไร้ผู้คน แม้แต่บนโต๊ะยังเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม

เหล่าชาวหูควบม้าออกมายืนอยู่กลางค่าย ส่วนทหารม้าของเฉิงตั๋วกลับกระจายกันไปรอบทิศ ห่างออกไปมีคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนลุกโชติช่วง ไม่รู้ว่ามีคันธนูถูกน้าวสายมากเพียงใด ชั่วขณะหนึ่งลูกธนูกระหน่ำตกลงมาดุจห่าฝน แต่แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกักขังกะทันหัน ชาวหูผู้เป็นหัวหน้ากลับไร้ความหวาดกลัว ตะโกนเสียงดังด้วยภาษาหู ทหารม้าชาวหูนับพันนายขานรับเสียงดัง ดาบโค้งสะท้อนแสงคบเพลิง เปล่งประกายเงาวับราวกับเพิ่งผ่านหินลับมีด หัวหน้าทหารชาวหูวาดดาบชี้ออกไป บรรดาทหารชาวหูก็พุ่งไปยังศัตรูที่โอบล้อมอยู่ดุจลมกรด เสียงตะโกนเข่นฆ่าดังสนั่นขึ้นมาอีกระลอก

ถึงแม้ทหารม้าชาวหูจะใช้กำลังน้อยรับศึกศัตรูที่มากกว่า แต่ไม่มีผู้ใดหน้าถอดสี คมดาบพาดผ่านชุดเกราะ โลหิตพวยพุ่งดุจน้ำพุ สองทัพโรมรัน บรรยากาศดุดัน เมื่อเห็นสภาพทุ่มสุดชีวิตของทหารชาวหูนับพันนาย ในใจทหารเยี่ยนโจวทุกคนต่างหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงกับปล่อยให้พวกเขาสังหารเปิดทาง พุ่งตรงไปปะทะกับทหารม้าของจ้าวสุ่นที่หน้าค่าย จ้าวสุ่นสบถด่า แกว่งดาบพุ่งเข้าหาหัวหน้าทหารชาวหู ทันทีที่ทหารม้าชาวหูรู้ฐานะเขาก็พุ่งกันเข้ามาสี่ห้านาย โอบล้อมหมายเข่นฆ่าจ้าวสุ่นทันที ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของจ้าวสุ่นขึ้นหน้ามารับศึก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ติดพันชุลมุน

ห่างออกไปพลันมีเสียงผิวปากดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนเสียงแตรของชาวหูอันทุ้มลึกจะดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทันทีที่ทหารม้าชาวหูซึ่งถูกล้อมได้ยินเสียงนั้น ความฮึกเหิมที่เดิมทีกำลังสูญสลายก็ลุกโชนขึ้นใหม่ทันควัน ร่ายรำดาบบางดาบโค้งอย่างรวดเร็วฉับไว แล้วทยอยกันผิวปากขึ้นมาเช่นกัน ห่างออกไปมีเสียงตะโกนเข่นฆ่า เสียงอาวุธปะทะดังมา สถานการณ์พลิกกลับกะทันหัน ทัพของจ้าวสุ่นถึงกับถูกล้อมไว้ตรงกลาง

จ้าวสุ่นพุ่งนำออกไปโดยไม่เสียเวลาคิด ยิ่งสู้ยิ่งหาญกล้า ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงสัญญาณดังขึ้นจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สั้นสามครั้งยาวหนึ่งครั้ง จดจำได้ว่านี่เป็นคำสั่งถอยทัพของเฉิงตั๋ว จ้าวสุ่นตวัดดาบเข่นฆ่าเปิดทางโลหิตสายหนึ่ง พากำลังคนและม้าฝ่าออกไปทางด้านข้าง ทหารม้าชาวหูก็ไม่คิดติดพันการศึก มุ่งหน้าสังหารไปทางทิศเหนือเพื่อไปรวมตัวกับทัพเสริมตามเสียงสัญญาณผิวปากนั้น

เฉิงตั๋วปักหลักอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเห็นทหารม้าชาวหูจากไปแล้ว จึงสั่งให้หยางโหย่วหลินนำทหารม้าไล่ตามไปเพื่อสำรวจทิศทางการเคลื่อนไหว ส่วนตัวเองควบม้ากลับค่ายใหญ่ ตำแหน่งที่เกิดไฟไหม้ภายในค่ายล้วนถูกดับหมดแล้ว ควันดำลอยคลุ้ง เหล่าทหารค่ายตะวันตกและตะวันออกที่เหลือกำลังเดินเก็บกวาดโดยรอบ

ขอบฟ้าค่อยๆ สว่างเรื่อเรือง เฉิงตั๋วกุมบังเหียนม้าออกตรวจตราไปรอบด้าน ภายในหนึ่งคืนค่ายทหารกลับแทนที่ด้วยเศษซากความพินาศ ทุกหนแห่งเกลื่อนไปด้วยอาวุธที่ตกหล่น บริเวณมุมหนึ่งของค่ายมีเพิงผ้าสักหลาดเตี้ยๆ ซึ่งล้อมรั้วไว้ ภายในมีสตรีที่หวาดผวาเบียดเสียดกันอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อคืนค่ายถูกทหารม้าชาวหูเหยียบย่ำเข้ามา เดิมมีเป้าหมายอยู่ที่เฉิงตั๋ว ดังนั้นจึงไม่ได้มีการปล้นสะดมใดๆ

เฉิงตั๋วมองสำรวจไปรอบๆ เห็นที่ใต้ชายคามุมหนึ่งของเพิงผ้าสักหลาดมีเศษไม้วางระเกะระกะ กองทับพรมสีเทากลุ่มหนึ่งเอาไว้ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบังคับม้าให้เข้าไปใกล้ช้าๆ แล้วก้มตัวดึงพรมผืนนั้นออก ในพริบตาที่ก้มหน้าลงก็เห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งแล้ว เดิมทีพรมถูกคลุมอยู่บนขานาง นางนั่งพิงอยู่ข้างเสาไม้ ครึ่งร่างซ่อนอยู่ในเงาใต้ชายคา หากผู้อื่นมองมาจากที่ไกลๆ จะไม่เห็นผู้ใด แต่นางกลับสามารถเห็นสภาพภายนอกได้อย่างชัดเจน เฉิงตั๋วมองนาง นางเองก็มองตอบ แววตาของเฉิงตั๋วเย็นชา แววตาของนางยังคงเงียบสงบว่างเปล่า

เฉิงตั๋วคิดในใจ นางซ่อนตัวอยู่ที่นี่ นับได้ว่าฉลาด เขายืดตัวขึ้น ม้าสีขาวหิมะขยับเท้าย่ำอยู่ที่เดิม คล้ายไม่อยากอดทนยืนนิ่งอยู่นาน เฉิงตั๋วดึงสายบังเหียน บังคับม้าให้เดินวนรอบข้างในรั้วกั้นแห่งนั้นรอบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าตัวนางดึงขึ้นหลังม้า ม้าขาววิ่งตะบึงมุ่งตรงไปที่ประตูค่าย ทหารที่เดินผ่านหยุดงานในมือแล้วหันมองตามไป เฉิงตั๋วทะยานออกจากค่ายดุจโบยบิน มุ่งไปทางทิศตะวันออกแล้ว

ท้องฟ้าสว่างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ขอบฟ้าปรากฏแสงสีแดงเรื่อขึ้นมา เฉิงตั๋วควบม้าไปทางแสงสว่าง ค่อยๆ เห็นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้าช้าๆ สายลมจากรอบทิศพัดหวีดหวิว ฝีเท้าม้าขาวดุจโบยบิน สตรีที่เขาคว้าตัวมาซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกเขา หนาวจนตัวสั่นเทา เรือนผมยาวพลิ้วตามลมปัดผ่านใบหน้าเขา เฉิงตั๋วมือหนึ่งโอบนาง อีกมือกุมบังเหียน ควบม้าไปถึงเนินเขาสูงแห่งหนึ่งจึงรั้งบังเหียนหยุด ม้าเชิดหน้าส่งเสียงร้อง สะบัดแผงคอเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง พ่นลมหายใจสีขาวออกมา

เฉิงตั๋วโอบเอวนางกระโดดลงจากหลังม้า วางนางลงบนพื้น ก่อนเดินไปที่เนินด้านหน้าแล้วนั่งลง ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศยังคงหนาวเย็น กระนั้นทุ่งหญ้าสีเหลืองเหี่ยวแห้งผืนนี้ก็เริ่มปรากฏจุดสีเขียวอ่อนขึ้นมาแล้ว ถึงกับมีดอกจี้* งอกงามขึ้นมาเหนือกอหญ้า กิ่งที่ยาวประมาณครึ่งท่อนแขนโบกไสวไปตามลม เฉิงตั๋วมองดวงอาทิตย์ซึ่งลอยขึ้นมาช้าๆ ที่สุดปลายทุ่งหญ้า ราวกับแค่ถ้ามันกระโดดเบาๆ ก็จะสามารถหลุดออกมาจากพื้น เฉิงตั๋วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเงยหน้ากู่ร้องเสียงดังออกมา บนท้องฟ้ามีเหยี่ยวซึ่งออกหากินตอนเช้าบินวนอยู่ตัวหนึ่ง

เขาหันกลับไปเห็นสตรีผู้นั้นนั่งอยู่บนพื้น มือเด็ดดอกจี้ก้านหนึ่งขึ้นมาเล่น นางกำลังเงยหน้ามองเหยี่ยวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า นิ้วเรียวยาวปัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอยู่บนใบหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉิงตั๋วก็มองมาทางเขา

เฉิงตั๋วเรียก “มานี่”

นางลุกขึ้นยืน เดินไปข้างๆ เขา ปลายกระโปรงขยับไหวเบาๆ เฉิงตั๋วพยักหน้าบ่งบอกให้นางนั่งลง นางก็คุกเข่านั่งลงข้างหลังเขา เฉิงตั๋วอาศัยแสงอาทิตย์แรกของวันมองนาง แต่ก่อนเขาไม่ทันสังเกต ทั้งเวลาที่เห็นนางส่วนมากล้วนเป็นภายใต้แสงคบเพลิงภายในกระโจม มายามนี้ถึงได้รู้ว่าดวงตาของนางเป็นสีน้ำเงินครามจางๆ เมื่อถูกแสงแดดส่องก็ราวกับเป็นท้องฟ้า งดงามผิดสามัญ ส่วนมากดวงตาของชาวหูจะเป็นสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเช่นนางมีเพียงในดินแดนตะวันตกที่อยู่ห่างไปหลายพันหลี่เท่านั้น

เฉิงตั๋วถาม “เจ้าฟังที่ข้าพูดเข้าใจหรือไม่” สายลมยามรุ่งอรุณพัดพา ทำให้น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง

นางพยักหน้า

เฉิงตั๋วถามต่อ “ชอบดอกไม้เหล่านี้หรือไม่”

นางก้มหน้ามองดอกจี้สีม่วงครามก้านยาวในมือ ก่อนเงยหน้ามองเขา แล้วพยักหน้าอีกครั้ง

เฉิงตั๋วพูดช้าๆ “ดอกไม้เช่นนี้มีอยู่ทั่วบนทุ่งหญ้า ในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงหน่อย พวกมันจะหุบกลีบลง แต่ทุกวันยามรุ่งสางพวกมันก็จะเบ่งบานขึ้นมาใหม่ ตลอดทั้งสี่ฤดูไม่เคยหยุดพัก ข้าเคยเห็นพวกมันบานอยู่ในหิมะก็ประหลาดใจนัก นึกไม่ถึงว่าในหิมะจะมีดอกไม้บานได้” เขาชะงัก มองไปที่นาง “ภาษาหูเรียกมันว่าดอกฉาฉา วันหน้าข้าเรียกเจ้าว่าฉาฉาดีหรือไม่”

นางพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง เฉิงตั๋วยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”

เขาลุกขึ้นยืน ผิวปากเบาๆ หนหนึ่ง ม้าสีขาวหิมะก็วิ่งเหยาะๆ มาตรงหน้า สตรีผู้นั้นคล้ายเหม่อลอยไปเล็กน้อย กำมือช้าๆ บีบดอกไม้ดอกนั้นจนเละ นิ้วงามเปรอะไปด้วยของเหลวสีใส นางยิ้มบางๆ อย่างไม่อาจเข้าใจความหมาย เมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็กลับไปกระจ่างใสเงียบเหงาดุจฟ้ากว้างตามเดิมแล้ว

เฉิงตั๋วมือจับอานม้า กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าโดยไม่ต้องเหยียบที่วางเท้า เขาเพียงวางสองมือบนไหล่นางเบาๆ ตัวนางเองก็ขึ้นมานั่งบนหลังม้าแล้ว เฉิงตั๋วปล่อยสายบังเหียน กระทุ้งขาออกคำสั่งเบาๆ ปล่อยให้ม้าเดินกลับไปช้าๆ ย่ำไปบนเงาที่เกิดจากแสงแดดด้านหลังส่องมา มุ่งตรงไปทางค่ายใหญ่เยี่ยนโจว

 

ภายในกระโจมหมอยุ่งวุ่นวายเหมือนทุกครั้งหลังการสู้รบ ในตอนที่เฉิงตั๋วมาถึง ตงฟางกำลังเย็บแผลให้ทหารที่ถูกดาบฟันบาดเจ็บผู้หนึ่ง ครั้นเฉิงตั๋วเห็นเขาก็พูดขึ้นว่า “ตามหาเจ้าไปเสียทั่ว แต่เจ้ากลับมาซุกตัวอยู่ที่นี่”

ตงฟางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “กระหม่อมแค่มาเป็นผู้ช่วยเท่านั้น”

รอบด้านมีทหารบาดเจ็บนั่งอยู่ บรรดาหมอที่ยุ่งวุ่นวายเมื่อเห็นเฉิงตั๋วต่างพากันทยอยลุกขึ้นยืน เฉิงตั๋วยกมือบ่งบอกให้ไม่ต้องทำความเคารพ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนกล่าวกับตงฟาง “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ารักษาคนเป็นด้วย”

ตงฟางใช้ผ้าฝ้ายเช็ดรอยเลือดที่บาดแผลของทหารผู้นั้นแล้วลงเข็มต่อ ยังคงไม่เงยหน้า “เรื่องที่ท่านอ๋องไม่ทรงทราบเกี่ยวกับกระหม่อมยังมีอีกมาก” บาดแผลของทหารผู้นั้นมีเลือดไหลซึมออกมาอีกครั้งทันที

หมิงจีกำลังส่งผงยาให้ตงฟาง นางฟังบทสนทนาโต้ตอบของพวกเขาไปรอบหนึ่งก็พลันถามขึ้น “ข้าเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ล้วนบาดเจ็บที่ต้นแขน หน้าอก และท้อง ผู้ที่บาดเจ็บที่ขากลับน้อยนัก หรือว่าชาวหูไม่โจมตีช่วงล่างของคน”

เฉิงตั๋วนึกถึงตอนที่นางสู้กับทหารหน้าหลุมบ่อผู้นั้น ก็ใช้ปลายร่มสกัดจุดที่ข้อพับ เข้าใจว่านางชำนาญเรื่องสกัดจุด วันนี้ได้เห็นสภาพแผลเช่นนี้คงนึกประหลาดใจ หมิงจีถามต่อ “เดิมการยืนเป็นรากฐาน เหตุใดจึงไม่โจมตีฐาน แต่กลับโจมตีปลายเล่า”

ตงฟางกำลังจะเอ่ยปาก แต่เฉิงตั๋วกล่าวขึ้นมาก่อนแล้ว “ทหารม้าอยู่บนม้า เดิมทีก็สูงมากอยู่แล้ว อีกทั้งการต่อสู้กันในสนามรบคือศึกตัดสินเป็นตาย คิดแต่ทำร้ายอีกฝ่ายโดยโจมตีให้ถึงตายในคราวเดียวเท่านั้น การมุ่งทำร้ายขาคนดูเหมือนจะ…” เขากลับหยุดกะทันหัน ความคิดหมุนวน เขาทำสงครามมานาน คุ้นชินกับบาดแผลประเภทนี้ ส่วนหมิงจีไม่เคยพบ ดังนั้นถึงได้มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ ที่เขาไม่เห็น เดิมการยืนเป็นรากฐาน…เฉิงตั๋วนึกถึงเรื่องที่นางใช้ร่มสกัดจุดอีกครั้ง อาวุธทหารยาวหนึ่งชุ่น ขอบเขตการโจมตีจึงกว้างหนึ่งฉื่อ เช่นนั้นถ้าใช้อาวุธยาวโจมตีขาก็ไม่จำเป็นต้องก้มตัวอีก…

แค่ในชั่วพริบตาสั้นๆ ในหัวเฉิงตั๋วก็มีความคิดนับไม่ถ้วนวาบผ่าน หมิงจีกลับไม่รับรู้ด้วย เมื่อเห็นเขามองมาที่ตนไม่พูดจาจึงถามว่า “ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ”

เฉิงตั๋วยิ้ม “ไม่มีอะไร เพียงแค่เด็กสาวอย่างเจ้าอยู่ในสถานที่อวลกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีแผลไม่น่าดู…”

หมิงจีได้ยินคำว่า ‘เด็กสาว’ ก็นึกถึงสีหน้าเขายามได้เจอบนถนนเมืองผิงเหยาขึ้นมา นางพลันรู้สึกไม่ค่อยดี จึงรีบเอ่ยสวนทันควันโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “หม่อมฉันไม่กลัว”

เฉิงตั๋วพูดต่อเสียงราบเรื่อย “ข้ายังพูดไม่จบ บุรุษที่นี่ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อผ้า เปลือยกายกันทั้งนั้น” เดิมทีเขาคิดจะพูดว่า ‘เจ้าไม่ใช่แค่ไม่กลัว ซ้ำยังสนใจศึกษาค้นคว้าอีกด้วย’ แต่เมื่อถูกหมิงจีพูดแทรกจึงเพิ่มประโยคข้างต้นเข้ามา ทหารด้านข้างที่กำลังพันผ้าพันแผลผู้หนึ่งได้ยินก็หัวเราะคิกคัก หมิงจีหน้าแดงทันใด เฉิงตั๋วยังไม่ทันได้พูดประโยค ‘เจ้าไม่ใช่แค่ไม่กลัว’ ออกมาต่อ นางก็กระทืบเท้า วิ่งออกไปแล้ว

ตงฟางจัดการบาดแผลของทหารผู้นั้นเรียบร้อยแล้วถึงได้หันมากล่าวกับเฉิงตั๋ว “หมิงจีไร้กาลเทศะมากขึ้นทุกที ถึงขั้นถกเรื่องการศึกต่อหน้าท่านอ๋องแล้ว”

เฉิงตั๋วยิ้มน้อยๆ “เจ้าอย่าเอาแต่ตำหนินาง นางพูดได้ดียิ่ง”

ทั้งสองคนเดินคุยกันออกจากกระโจมหมอ เมื่อออกมาข้างนอกก็พบว่ารอบด้านปราศจากผู้คน ดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นไปบนฟ้า สลายเมฆหมอกยามรุ่งสาง แสงสว่างทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ทั้งหมด

“กระหม่อมกำลังจะตามหาท่านอ๋องอยู่พอดี การศึกวันนี้ประหลาดอยู่บ้าง” ตงฟางใคร่ครวญเล็กน้อย เลือกพูดจากในมุมมองคนภายนอก “ตามหลักแล้ว การบุกโจมตีกะทันหันจะต้องแบ่งกำลังทหารไว้รอสนับสนุน จึงจะสามารถบุกและถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่การลอบโจมตีกลางดึกเพื่อเอาหัวของผู้นำสูงสุดของอีกฝ่ายโดยตรง จำเป็นต้องกระทำการอย่างเงียบเชียบและรอบคอบมาก ทัพเสริมควรอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจึงจะไม่ถูกจับได้โดยง่ายก่อนการบุกโจมตี แต่ทัพเสริมนี้มาถึงเร็วเกินไป ชาวหูที่อยู่ข้างหน้ายังไม่รู้ข่าว แต่ทัพเสริมด้านหลังกลับรู้ก่อนแล้ว”

เฉิงตั๋วยังคงยิ้ม “ทำศึกหนนี้ เรื่องประหลาดที่เกิดก็ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้”

ตงฟางเห็นเขายังคงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นก็คิดในใจว่า หรือท่านอ๋องจะทรงรู้ว่าในกองทัพมีไส้ศึก และก็รู้ว่าไส้ศึกเป็นผู้ใด ท่านอ๋องพระองค์นี้จะมีเรื่องใดที่ไม่อาจควบคุมได้บ้างหรือไม่หนอ

จู่ๆ ตงฟางหยุดยืนนิ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมเพิ่งมาที่นี่ พระองค์ไม่ทรงสงสัยถึงเบื้องลึกของกระหม่อมเลยหรือ”

เฉิงตั๋วก็หยุดยืน ทว่าไม่ได้หันไปมองเขา เพียงเปิดปากกล่าวเนิบช้า “เดิมเจ้าสกุลจาง เกิดในครอบครัวชาวนาในเมืองผิงเหยาของเยี่ยนโจว เจ้าฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่อายุหกขวบ บิดาเจ้าส่งเจ้าไปศึกษาเล่าเรียน คาดหวังให้เดินไปในเส้นทางการเป็นขุนนาง สร้างความรุ่งโรจน์ให้ครอบครัว ทว่าตอนที่เจ้าอายุแปดขวบ มีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งเดินทางผ่านมา เจ้าถึงกับทรยศบิดามารดา ติดตามเขาจากไป ไร้ข่าวคราวใดอีกนับจากนั้น เก้าปีให้หลังเจ้าจึงกลับมาบ้านเกิด แต่บิดามารดาทยอยกันลาโลกไปแล้ว เหลือแค่น้องสาวอายุน้อยเพียงลำพัง เจ้าจึงได้พาน้องสาวไปอยู่เงียบๆ ในบริเวณลึกเข้าไปสามสิบหลี่ด้านทิศตะวันตกของเมืองผิงเหยา เปลี่ยนชื่อเป็นตงฟางฮู่ ดังนั้นชาวบ้านในละแวกรอบๆ จึงรู้จักท่านตงฟาง ทว่าไม่รู้ว่าท่านตงฟางมาจากที่ใด”

ตงฟางไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงยิ้มน้อยๆ “แต่สิ่งนี้ไม่อาจยืนยันได้ว่ากระหม่อมไม่มีทางเป็นไส้ศึกนี่”

เฉิงตั๋วหันไปมองเขา “ความเป็นมาของคนง่ายจะสืบเสาะ แต่ใจคนกลับยากจะมองทะลุ ข้าคิดเสมอว่าในเมื่อใจคนยากคาดเดา แล้วเหตุใดจึงต้องไปคาดเดาด้วย น้องหรานจือ สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นใครล้วนไม่สำคัญ พูดถึงชีวิตทหารสามเหล่าทัพแล้ว ข้าต้องความรับผิดชอบในการตรวจสอบและจัดการ ข้าเพียงแค่ทำหน้าที่ให้ดีก็พอ เหตุใดจึงต้องทำให้ตัวเองกังวลเรื่องอื่นๆ ด้วยเล่า”

ตงฟางมองเขา เห็นสีหน้าอีกฝ่ายเรียบเฉย ก็รู้สึกว่าคนอย่างเฉิงตั๋ว บางทีก็เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ทว่าบางทีกลับเย็นชาถึงที่สุด เมื่อเทียบกันแล้ว เป็นตนที่ติดอยู่ในความคิดและขนบธรรมเนียมประเพณีแบบเดิม

ในตอนเย็น เฉิงตั๋วอยู่ในกระโจมใหญ่ของเขา วาดภาพประหลาดอย่างหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ตอนกลางวันยามที่เขาได้ยินคำพูดของหมิงจี ก็พลันนึกถึงวิธีหนึ่งในการรับมือกับทหารม้าชาวหูขึ้นมาได้ เขาจรดพู่กันวาดรูปลงบนกระดาษขาว ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนนั่งลงมองภาพวาดนั้นอีกครู่หนึ่ง แล้วหยิบกระบี่ขึ้นมากวัดแกว่งไปมากลางอากาศ

เขาไม่ได้สนใจฉาฉาที่ขดตัวหลับอยู่บนกองพรมบริเวณมุมกระโจม นางถูกเฉิงตั๋วพากลับมาที่นี่ ไม่ได้กลับไปนอนในเพิงผ้าสักหลาดแห่งนั้นอีก เพียงแค่มุมแคบๆ ในกระโจมแห่งนี้ก็มากเพียงพอให้นางนอนหลับอย่างสงบได้แล้ว

คนบางคนไม่มีทางมีชีวิตอยู่กับเมื่อวาน เพราะเมื่อวานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้มีเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้มากเกินไป ดังนั้นในตอนที่มีเตียงนอนอบอุ่น ง่วงงุนสะลึมสะลือ และมีเวลามากพอ ก็สนใจแค่เรื่องนอนเถอะ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: