X
    Categories: ทดลองอ่านทาสหญิงพลิกแผ่นดินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทาสหญิงพลิกแผ่นดิน บทที่ 5 – บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่ห้า

วิธีการที่เฉิงตั๋วคิดนั้นเรียบง่ายมาก เป็นการใช้อาวุธยาวยืมแรงโจมตีเพื่อตัดขาม้าของศัตรู ม้าศึกก็คือรากฐานของทหารม้า ดังนั้นทันทีที่ม้าสูญเสียขาก็จะเคลื่อนไหวไม่ได้ และวิธีการเช่นนี้ก็ต้องการอาวุธที่เข้าคู่กัน เฉิงตั๋วได้ออกแบบอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมา ลักษณะโดยมากคล้ายจี่* จี่ที่ทำจากสำริดทั่วไปเป็นอาวุธที่ทหารรักษาวังใช้ รวมหอกและขวานปากไก่เอาไว้ด้วยกัน สามารถใช้แทงตรงและโจมตีด้านข้าง ส่วนจี่ชิ้นนี้ที่เฉิงตั๋วคิดออกมากลับไม่ค่อยเหมือนกันนัก ด้านที่เหมือนหอกมีลักษณะเป็นตะขอแหลมเหมือนจันทร์เสี้ยว ตัวจี่ยาวแปดฉื่อ ฉะนั้นไม่ต้องรอให้ดาบโค้งของชาวหูเข้ามาใกล้ก็สามารถเกี่ยวขาม้าได้ก่อนแล้ว ส่วนตะขอโค้งนั้นใช้ตัดขาม้า ทันทีที่ตวัดเกี่ยวแนวราบก็จะสามารถล้มคนขี่ลงมาได้ จากนั้นดึงกลับมาเปลี่ยนเป็นแทงตรงเพื่อปลิดชีพศัตรู อาวุธชิ้นนี้จึงนำวิธีเกี่ยวและแทงมาใช้ร่วมกัน

เฉิงตั๋วตามหาตงฟาง โบกมือให้คนรอบข้างออกไปจึงเอ่ยความคิดนี้ให้ฟัง ตงฟางใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าสามารถลองดูได้ “วิธีการนี้จำเป็นต้องมีสองเงื่อนไข หนึ่งคือเป็นความลับ สองคือเหนือความคาดหมาย ก่อนหน้าที่จะฝึกจนสำเร็จ พวกเราไม่ใช้กำลังทหารจะดีที่สุด”

เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว “เลี่ยงการศึก นี่ดูเหมือนจะ…ไม่ใช่แนวทางของข้า”

“การรบชนะไม่ใช่แค่กำราบศัตรู แต่เป็นการทำให้ฝ่ายตนเหลือรอดมากที่สุดเมื่อเทียบกับความตายของฝ่ายตรงข้าม” ตงฟางชะงักไปเล็กน้อย “ท่านอ๋องคงไม่ทรงคิดว่าการเลี่ยงไม่ต่อสู้ก็คือความอ่อนแอขี้ขลาดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วตอบกลับอย่างไม่แยแส “วิธีการกระตุ้นชั้นต่ำเช่นนี้เจ้ายังเอาออกมาใช้ได้นะ”

ตงฟางลอบยิ้มในใจ ชั้นต่ำหรือไม่ไม่สำคัญ แค่ได้ผลก็เพียงพอแล้ว

 

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าต่อมา เฉิงตั๋วเอาแต่ลาดตระเวนไม่สู้รบแล้วจริงๆ ทหารม้าของประมุขข่านหูตี๋กดดันเข้ามาถึงระยะสิบหลี่หน้าค่าย ปักหลักประจำการอย่างเข้มงวด ตั้งทัพอย่างมั่นคงเป็นพิเศษ แต่ทุกครั้งที่ออกมายั่วยุ เฉิงตั๋วก็จะออกคำสั่งให้ทหารตอบโต้กลับไปด้วยการยิงธนู ยิงก้อนหินเผาไฟ แต่ไม่ออกไปสู้รบ ชาวหูอยากจะทำสงครามแต่ไม่อาจทำได้ ทั้งอึดอัดใจทั้งสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่

ค่ายทหารตะวันตกและตะวันออกของหยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นต่างดึงทหารม้าออกมาทัพละสองหมื่นนาย ล่าถอยออกจากค่ายไปห้าหลี่ ทุกการฝึกฝนล้วนรับคำสั่งจากตงฟาง ส่วนเฉิงตั๋วเอาแต่นั่งอยู่ในกระโจมกลาง ทุกวันอ่านรายงานทหารสามเหล่าทัพ หยางโหย่วหลินกับจ้าวสุ่นทั้งสองคนสลับกันกลับมาที่ค่าย แม้แต่ทหารคนสนิทที่อยู่ด้านซ้ายขวาของกระโจมกลางก็ยังไม่รู้เรื่องการฝึกทหารม้าลับ

วันนี้ขณะเฉิงตั๋วกำลังเขียนรายงานอยู่ที่โต๊ะ เจ๋อเหรินก็พลันรีบเร่งเข้ามาที่ด้านขวาของโต๊ะ เอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ บ่าวหญิงที่ดูแลเพิงหญิงบำเรอของค่ายด้านหลังรายงานขึ้นมาว่า มีคนฟ้องว่าฉาฉาขโมยของ บอกว่าก่อนหน้านี้เห็นนางฝังของบางอย่างไว้ใต้เสาบริเวณเพิงนั้น เมื่อถูกคนพบเห็นจึงนำไปซ่อนไว้ที่อื่นพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าก้าวหน้าขึ้นแล้วจริงๆ เรื่องเช่นนี้ยังต้องมาถามข้ารึ!”

เจ๋อเหรินจึงถามอย่างขอคำแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นให้ขับไล่นางออกไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วร้อง “อืม” ตอบรับโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า เจ๋อเหรินจึงหมุนตัวเดินไปถึงประตูกระโจม ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็เอ่ยปากรั้งเจ๋อเหรินเอาไว้ เขาคิดไม่ออกว่ามีของอะไรที่ทำให้ฉาฉานึกอยากขโมย ดูเหมือนไม่ว่าอะไรในสายตานางแล้วล้วนไม่น่าสนใจ นอกจากนี้ฉาฉายังมาอยู่ในกระโจมใหญ่ของเขา ยากจะไม่ทำให้คนนึกริษยา บ่าวหญิงที่มารายงานผู้นั้นอาจไม่มีเจตนาดี

เขาคิดๆ แล้วสั่งการ “เจ้าพาคนไปด้วยสองคน ถามพวกนางว่าก่อนหน้านี้ฉาฉาเคยเอาของไปซ่อนไว้ที่ใดบ้าง แล้วไปค้นมาดู”

เจ๋อเหรินได้ยินคำสั่งนี้ก็อดร้อง “อ๋า?” ออกมาไม่ได้ ในใจคิดว่า เรื่องการตรวจค้นเพิงหญิงบำเรอก็ทรงให้กระหม่อมเป็นคนทำหรือนี่ เมื่อเห็นเฉิงตั๋วไม่คล้ายล้อเล่น จึงได้แต่ขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ”

เจ๋อเหรินหายไปครึ่งวันถึงได้กลับมารายงานว่าค้นหาเรียบร้อยแล้ว สตรีเหล่านั้นบอกสถานที่ออกมา แต่หาของไม่พบ

เฉิงตั๋วบอกให้เขาไปพาฉาฉามาที่กระโจมกลาง ฉาฉาเดินตามเจ๋อเหรินเข้ามา นางเพิ่งเข้ามาในกระโจมกลางครั้งแรกจึงอดมองสำรวจการตกแต่งภายในเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนจะได้ยินเฉิงตั๋วพูดเสียงต่ำ “มีคนฟ้องว่าเจ้าขโมยของ แต่ก่อนฝังไว้ใต้เสาไม้ที่ด้านหน้ากระโจมสักหลาด” พูดจบก็หยุด ครั้นเห็นนางนิ่งงันจึงเอ่ยต่อ “ข้าให้เจ๋อเหรินค้นหาสิ่งของจนเจอแล้ว”

ดวงตาฉาฉาเบิกกว้าง คล้ายตกใจอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ยืนยันได้แล้วว่ามีเรื่องนี้จริงๆ

“เจ้าเป็นทาส ไม่อาจแอบเก็บของอะไรเอาไว้ได้ ดังนั้นของจะไม่คืนให้ ซ้ำเจ้ายังเป็นใบ้ ข้าจึงถามหาเหตุผลไม่ได้ หนนี้ให้แล้วไป ไว้ดูความประพฤติในวันหน้าของเจ้าก็แล้วกัน” เฉิงตั๋วไม่รู้ว่าของนั้นเป็นของสิ่งใด จึงได้แต่เลี่ยงไม่พูดถึง

สีหน้าฉาฉาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เบิกตากว้างมองมาที่เขา เฉิงตั๋วคิดในใจว่า เจ้ายิ่งลนลานยิ่งดี จะได้หลอกได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้สำคัญกับนางมาก เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจ โบกมือบ่งบอกให้นางออกไปได้แล้ว

ที่ผ่านมาฉาฉาเชื่อฟังอย่างยิ่ง รู้จักอ่านสีหน้ามาโดยตลอด แต่หนนี้กลับยืนเฉยไม่ยอมขยับ สายตามองมาทางเฉิงตั๋วทั้งคล้ายไม่เชื่อและร้อนรน ทว่ากลับเห็นเขามีท่าทีเหมือนหมดความอดทนอยู่บ้าง เฉิงตั๋วหยิบรายงานขึ้นมาอ่านส่งๆ ส่วนเจ๋อเหรินก้าวมาข้างหน้า ต้องการลากนางออกไป คาดไม่ถึงว่าฉาฉาจะดิ้นจนหลุดจากมือเจ๋อเหริน เฉิงตั๋วเงยหน้าขึ้นมอง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววอ้อนวอนจากในดวงตาไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้น

เฉิงตั๋วแสร้งโมโห ตวาดเสียงต่ำ “ยังไม่ออกไปอีก!”

เจ๋อเหรินจับแขนทั้งสองข้างของนางบิดกลับ ผลักออกไปนอกกระโจมกลาง หนนี้ฉาฉาไม่ได้ต่อต้าน ยอมให้เขาผลักออกไปโดยดี

นางเพิ่งจะเดินห่างออกไป เฉิงตั๋วก็อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยสั่งเจ๋อเหริน “เจ้าตามนางไป หากซ่อนไว้ในที่ไกลหูไกลตาผู้คน นางจะต้องไปตรวจสอบดูแน่นอน แต่ถ้าหากนางอยู่ในกระโจมตามเดิม อย่างนั้นของก็ต้องถูกซ่อนอยู่ใกล้ๆ กระโจมใหญ่ของข้าแน่ เจ้าลองไปหาดู”

เจ๋อเหรินออกไปทำตามคำสั่ง เฉิงตั๋วจับพู่กัน ยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาสีเขียวสูงผอมเดินเข้ามาแต่ไกล อากาศไม่หนาวเย็นเท่าไรแล้ว ม่านกระโจมจึงไม่ได้ปิดอยู่ตลอดเวลา จากกระโจมกลางของเฉิงตั๋วสามารถมองไปถึงประตูค่ายที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว

เพียงไม่นานตงฟางก็เดินเข้ามาในกระโจมกลาง เฉิงตั๋วให้เขานั่งลงข้างๆ ตงฟางตรงเข้าประเด็นทันที “ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเก็บเกี่ยว เคียวของชาวนาจึงไม่ได้ใช้งาน เคียวในพื้นที่เยี่ยนโจว อันใดที่ใช้ประโยชน์ได้ กระหม่อมจะไปยืมมา คิดหาวิธีหลอมเชื่อมไปบนอาวุธเลยจะได้ประหยัดเวลา เพียงแต่จะต้องใช้จนพังเสียหายแน่ๆ ดังนั้นรบกวนท่านอ๋องทรงเตรียมเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง ถึงเวลาจะได้มีชดเชย”

“เคียว?” เฉิงตั๋วรู้ว่าตงฟางมีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้าน เรื่องประเภทนี้ให้เขาออกหน้าจะดีกว่า

ตงฟางยิ้ม “วัตถุดิบไม่มีกฎแน่นอน ขึ้นอยู่กับการใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์”

ในตอนที่เฉิงตั๋วกำลังจะตอบ เจ๋อเหรินก็จับฉาฉากลับเข้ามาอีกครั้ง ฉาฉาถูกเขาผลักให้คุกเข่าบนพื้น ตงฟางเพียงตวัดสายตามองคราหนึ่ง ก่อนยกน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจ เจ๋อเหรินส่งถุงผ้าไหมสีพื้นๆ ถุงหนึ่งมาให้

เฉิงตั๋วรับมา เห็นบนถุงปักอักษรสองสามตัว ไม่คล้ายเป็นภาษาหู แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นภาษาของที่ใด ตอนที่เขากำถุงผ้าไหมใบนั้น รู้สึกได้ว่าของที่อยู่ข้างในกระทบกัน เมื่อคว่ำเทลงบนโต๊ะก็มีเสียง ‘แกร๊ง’ ดังขึ้น ของที่หล่นลงมามีลักษณะเป็นเครื่องประดับ ครั้นหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง ด้านบนร้อยลูกปัดหินเม็ดกลมสีเขียวอมฟ้าเม็ดเล็กๆ เอาไว้สามเม็ด สร้อยนี้ประณีตยิ่ง เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่าวัตถุดิบที่ใช้ทำไม่ใช่ทั้งทองคำและเงิน แต่แวววาวยิ่งกว่า

ลูกปัดหินทั้งสามมีขนาดเล็ก เจียระไนได้เกลี้ยงเกลา เพียงแต่แยกแยะไม่ออกว่าเป็นอัญมณีอะไร บนลูกปัดหินทุกเม็ดมีกระจุกแสงเป็นเส้น หรือที่ปกติเรียกกันว่า ‘ตาแมว’ ที่ทำให้เฉิงตั๋วตกใจก็คือลูกปัดหินตาแมวทั้งสามเม็ดต่างเป็น ‘ฉงถง’

เดิมทางดินแดนตะวันตกมีอัญมณีมาก และมีอัญมณีที่เจียระไนแล้วบางส่วนสามารถรวมแสงเป็นเส้น ไม่ว่าจะหมุนอัญมณีอย่างไร เส้นแสงนั้นก็จะอยู่ตรงกลางเสมอคล้ายดวงตาแมว และก็มีอัญมณีชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรวมเส้นแสงเป็นสองเส้นขนานกัน เรียกว่าฉงถง สิ่งนี้นับว่าเป็นของล้ำค่าหาได้ยากในบรรดาอัญมณีตาแมว ล้วนแต่มีค่าควรเมืองทั้งสิ้น อัญมณีที่มีลักษณะเป็นตาแมวในจงหยวน* ล้ำค่ามาก แต่ก่อนเฉิงตั๋วเคยเห็นตาแมวเส้นเดียวในพระราชวัง ส่วนฉงถงเพียงเคยได้ยินราชทูตจากดินแดนตะวันตกพูดถึงเท่านั้น แต่บัดนี้บนสร้อยเส้นนี้กลับมีร้อยอยู่ถึงสามเม็ด นี่เป็นของที่หาได้ยากอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ในมือทาสผู้หนึ่ง

เขาสังเกตความยาวของสร้อย นี่ไม่ใช่สร้อยคอ ทว่าเป็นสร้อยข้อเท้า เป็นสร้อยที่สตรีในแดนตะวันตกสวมใส่ไว้ที่ข้อเท้า อากาศที่ดินแดนตะวันตกร้อนชื้น ในฤดูร้อนจึงมักสวมใส่เสื้อผ้าโปร่งบาง ไม่ยาวถึงขนาดคลุมเท้า ดังนั้นเด็กสาวจึงนิยมหาของมาประดับข้อเท้า ทุกการขยับข้อเท้าและทุกย่างก้าวล้วนละมุนละไมเป็นพิเศษ

เฉิงตั๋ววางสร้อยข้อเท้าลง มองไปที่ฉาฉา นางเห็นเฉิงตั๋วมองมา จึงยื่นสองมือไปหาเขา ส่ายหน้าน้อยๆ แม้นางจะสงบลงบ้างแล้ว ทว่ายังคงปิดบังความร้อนใจไม่มิด แต่จนใจที่ไม่อาจพูดออกมา

เจ๋อเหรินไม่รู้อะไรมาก แต่ก็พอมองออกว่าสร้อยข้อเท้าเส้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้ จึงพูดขึ้นว่า “บางทีอาจจะเป็นของของซิวถูอ๋องที่นางขโมยมา จากนั้นไม่กล้านำออกมา…” เขาพลันเห็นแววตาเฉิงตั๋วฉายแววอำมหิต จึงหุบปากสนิททันควัน

เฉิงตั๋วมองฉาฉา เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นทาส แต่กลับกล้าแอบเก็บของเช่นนี้เอาไว้ เอาไปทำลายเสีย!” พูดจบก็เตรียมโยนสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นไปให้เจ๋อเหริน เจ๋อเหรินกำลังยื่นมือจะรับ ฉาฉากลับลุกพรวดขึ้นกะทันหัน เดินสองก้าวปรี่ไปถึงหน้าโต๊ะเฉิงตั๋ว นางไม่กล้าหยิบกระดาษบนโต๊ะเขามาเขียน จึงจับพู่กันเขียนลงบนหลังมือตัวเองจนถึงข้อมือว่า ‘ของมารดาข้า’ แม้ลายเส้นจะตวัดห้วน ทว่าเขียนได้รวดเร็วยิ่ง

ในตอนที่นางเขียนเสร็จ เฉิงตั๋วก็เห็นแล้ว แต่นางยังคงยื่นมือมาตรงหน้าเขา มือหนึ่งชี้ไปที่สร้อยข้อเท้าเส้นนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยแววร้องขอให้เขาเชื่อ เฉิงตั๋วเก็บมือกลับมา เล่นสร้อยข้อเท้าในมือพร้อมถาม “ในเมื่อเป็นของมารดาเจ้า เหตุใดถึงได้นำไปซ่อนไว้ทั่ว” ฉาฉาหลุบตาลงต่ำ วางมือลงช้าๆ ในใจเฉิงตั๋วกลับเข้าใจดี สร้อยข้อเท้าเส้นนี้สำหรับนางแล้วล้ำค่ายิ่ง แต่นางต้องปรนนิบัติคนด้วยร่างกาย กระทั่งร่างกายตนยังไม่รู้ว่าจะถูกจัดวางอย่างไร จะกล้าสวมใส่สิ่งของเช่นนี้ไว้กับตัวได้อย่างไร

เฉิงตั๋วรู้สึกว่านางไม่ได้โกหก เขายื่นมือออกไปคว้ามือนางมา วางสร้อยข้อเท้าลงไปพร้อมบีบมือนาง “ข้าอนุญาตให้เจ้าใส่เอาไว้ได้ หากนำไปฝังไว้อาจทำหายหรือไม่ก็พังเสียหาย”

ครั้นเห็นแววตานางที่มองมายังตนยังคงสงสัยไม่คลาย เฉิงตั๋วก็ถอนหายใจเบาๆ จับมือนางง้างนิ้วออก หยิบสร้อยข้อเท้าออกมา แล้วก้มตัวลงจากเก้าอี้ สวมให้นางที่ข้อเท้าซ้าย

ภาพนี้ตงฟางเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เจ๋อเหรินกลับตกใจยกใหญ่ เรียกได้ว่าตกใจจนตาโตอ้าปากค้าง

ไม่พูดถึงเรื่องเฉิงตั๋วซึ่งมีสถานะสูงศักดิ์ถึงกับก้มตัวลงสวมเครื่องประดับเท้าให้ทาสหญิงผู้หนึ่ง แต่เดิมทีเขาไม่เคยให้ความสนใจกับสตรี ต่อให้ชายารองในจวนอ๋องใช้วิธีออดอ้อนแย่งชิงความโปรดปรานทุกหนทางก็ยังไม่แน่ว่าจะแลกกับคำชื่นชมจากปากเขาได้สักคำ ตอนแรกที่ชายาเอกเซียวซื่อ ของจิ้งหย่วนชินอ๋องจากไปด้วยอาการป่วย กระทั่งฝ่าบาทยังรับสั่งให้ขุนนางขั้นสามลงไปสวมชุดไว้ทุกข์ แต่เจ้านายท่านนี้กลับเพิ่งเร่งรีบกลับจากแนวหน้า เพราะเรื่องนี้บิดาของชายาเอกเซียวซื่อ อัครเสนาบดีเซียวอวิ๋นซานจึงไม่พอใจลูกเขยผู้นี้อย่างมาก หากวันนี้อัครเสนาบดีเซียวอวิ๋นซานได้มาเห็นภาพนี้ เกรงว่าคงโกรธจนเคราสั่น หมดสติไปทันที

ที่ทำให้เจ๋อเหรินไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือ เฉิงตั๋วใส่สร้อยข้อเท้าให้นาง แต่ฉาฉากลับยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย ปกติแล้วนางก็ละเลยมารยาท อาศัยอยู่ในกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋วโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางรั้งอยู่ในกระโจมเฉิงตั๋วจนถึงวันนี้ ไม่ว่าทุกเช้าเขาจะตื่นขึ้นมากี่โมง นางก็จะสนแต่นอนหลับ ทว่าเฉิงตั๋วกลับไม่ถือสา ทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนอยู่โดยสิ้นเชิง ปล่อยให้นางนอนซุกอยู่ที่มุมกระโจม เพียงแต่ปกติแล้วนางจะนิ่งเงียบ ไม่เคยก่อเรื่องและก็ไม่เคยหาเรื่อง นอกจากเรื่องที่เจ๋อเหรินเจ๋ออี้จะเข้าออกกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋วได้ไม่ค่อยสะดวกเหมือนเดิมแล้ว ก็ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่โดยสมบูรณ์

เฉิงตั๋วเหยียดตัวขึ้นตรง หน้าไม่เปลี่ยนสี ครั้นเห็นสีหน้าฉาฉาโอนอ่อนลง ไม่มีความระแวงเหลืออีก จึงถามเสียงอ่อนโยน “เจ้ารู้อักษรของพวกเราหรือ”

ฉาฉาพยักหน้า

“เช่นนั้นภาษาหูเล่า”

ฉาฉาพยักหน้าอีกครั้ง

เฉิงตั๋วยังคงยิ้มน้อยๆ “ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้ารู้อักษร ปกติเห็นเจ้าเงียบๆ นับว่าดูถูกเจ้าแล้ว”

ฉาฉาเห็นเขายิ้มอบอุ่น ในดวงตาพลันมีแววเขินอาย ก้มหน้าลงต่ำ

เฉิงตั๋วเอ่ยว่า “เจ้าออกไปเถอะ”

นางเงยหน้ามองเขาคราหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปทางประตูกระโจม

ตงฟางซึ่งคอยชมอยู่ข้างๆ ยามนี้กลับเปิดปากพูดขึ้นว่า “แม่นาง ช้าก่อน”

ฉาฉาหยุดยืน หันกลับมามองเขา

ตงฟางกล่าวว่า “ดูจากสีหน้าของเจ้า เลือดลมนับว่าพร่อง ให้ข้าจับชีพจรเจ้าได้หรือไม่”

ฉาฉานิ่งอึ้ง ส่งสายตาสอบถามไปที่เฉิงตั๋ว เฉิงตั๋วพยักหน้า นางจึงเดินเข้ามาใกล้ตงฟาง ยื่นมือออกไปให้เขา ตงฟางวางสามนิ้วลงไป จับชีพจรที่ตำแหน่งฉื่อ ชุ่น กวน* สามตำแหน่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอีกมือแล้วจับเงียบๆ อีกสักพัก ถึงได้เอ่ย “รบกวนเจ้าอ้าปาก แลบลิ้นออกมาให้ข้าดูด้วย”

แม้ฉาฉาจะรู้ว่าเฉิงตั๋วอนุญาตแล้ว แต่ยังคงมองเขาก่อนคราหนึ่งจึงทำตาม

ตงฟางตรวจเสร็จก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างครุ่นคิด “แม่นางม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ ส่งผลให้ลมปราณของอวัยวะไม่สมดุล พร่องเสียยิ่งกว่าผู้ที่เคยป่วยหนักมาก่อน จากสภาพร่างกายเช่นนี้ หากไม่บำรุงให้ดีก็จะมีชีวิตอยู่ได้แค่สามปีห้าปี ตอนนี้ยังนับว่าพอมีกำลังวังชาอยู่บ้าง” เขาหันไปพูดกับเฉิงตั๋ว “อาหารการกินของนางไม่เหมาะกับของในค่ายทหาร มิสู้กระหม่อมจ่ายยาให้นางเพื่อบำรุงอวัยวะดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วจ้องตงฟาง เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ได้” พูดจบก็หันไปมองฉาฉา พยักพเยิดปลายคางไปทางประตูกระโจม ฉาฉาจึงได้เดินออกไป

เฉิงตั๋วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหุบยิ้มลงช้าๆ กวักมือเรียกเจ๋อเหริน แล้วสั่งเสียงเย็นชา “เจ้าจับตาดูนางเอาไว้”

เจ๋อเหรินขานรับ รอจนเขาออกไปแล้ว เฉิงตั๋วจึงหันกลับมาถามตงฟาง “นางเป็นใบ้จริงๆ หรือ”

ตงฟางครุ่นคิด “คอของนางไม่ได้มีปัญหาอะไร หากเปล่งเสียงไม่ออกจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะสูญเสียเสียงไปหลังจากได้รับความกระทบกระเทือนใจ ไม่เช่นนั้นก็แกล้งทำ”

เฉิงตั๋วส่งตงฟางออกไปแล้วจึงกลับมานั่ง เขาเรียกสมาธิ ยื่นมือออกไปหยิบพู่กัน ขณะนั้นพลันเห็นว่าบนฝ่ามือตนมีรอยน้ำหมึกอยู่จางๆ เป็นรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้ตอนกำมือฉาฉาเมื่อครู่ เป็นคำว่า ‘มารดา’ ที่เขียนสลับด้าน เขามองตัวอักษรสองตัวนั้นนิ่ง

ชีวิตของคนผู้หนึ่งมักมีสถานที่ให้กลับไปไม่มากนัก และสถานที่แห่งแรกของทุกคนมักจะเป็นมารดาเสมอ ในตอนที่มารดาไม่แก่ชราขึ้น และคนผู้นั้นไม่อาจจดจำใบหน้านางได้อย่างกระจ่างชัด นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นไม่มีที่ให้กลับไปแล้วจริงๆ

ดังนั้นเฉิงตั๋วจึงไม่ต้องการสถานที่ที่สามารถกลับไปได้อีก

ผ่านไปสองเดือนอย่างรวดเร็ว เฉิงตั๋วหาโอกาสทำศึกตัดสินกับทหารม้าของประมุขข่านหูตี๋ แต่เพื่อเป็นการรับมือกับเขา ชาวหูจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่ยอมถูกหลอกง่ายๆ เช่นกัน เฉิงตั๋วจึงต้องวางกับดักอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ล่อลวงให้พวกเขาตกหลุมพราง เฉิงตั๋วนำกำลังคนและม้าห้าหมื่นนายมุ่งไปแนวหน้าได้สองวันแล้ว ส่วนตงฟางปักหลักป้องกันอยู่ที่ค่ายใหญ่ หลายวันมานี้รู้เพียงว่าสงครามดุเดือดยิ่ง สถานการณ์โดยละเอียดกลับไม่รู้ชัด

ผู้ช่วยในกระโจมหมอต้มยาเทียบหนึ่งเสร็จก็เทลงถ้วยกระเบื้องเนื้อหยาบ ตงฟางเห็นว่าหมิงจีไม่อยู่ จึงได้แต่หยุดงานที่ทำแล้วยกไปที่กระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋วด้วยตัวเอง

ในตอนที่เดินมาถึงข้างกระโจม เขาหยุดฝีเท้าลงสงบลมหายใจ สัมผัสได้ว่าด้านในเงียบสนิทไร้สำเนียง ดังนั้นจึงเดินอ้อมไปด้านหน้า ม่านกระโจมเปิดอยู่ เขากวาดตามองรอบหนึ่งถึงได้พบว่าฉาฉาขดตัวอยู่บนเบาะที่มุมหนึ่ง ตงฟางกระแอมไอเบาๆ เพิ่มน้ำหนักฝีเท้าแล้วเดินเข้าไป ฉาฉารีบลุกขึ้นยืน ทันทีที่เห็นว่าเป็นตงฟางก็เดินมาข้างหน้า ก้มหน้าลงประสานมือ ตงฟางวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ “ยาของเจ้า รีบดื่มตอนที่ยังร้อน”

ฉาฉายกขึ้นดื่มอึกเล็กๆ ตงฟางมองนาง ทั้งไม่จากไปและไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงโพล่งถามขึ้น “แม่นางเชื่อเรื่องชะตาชีวิตหรือไม่”

ฉาฉานิ่งอึ้ง ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ควรจะตอบสนองอย่างไร ตงฟางพูดต่อ “ปีนี้แม่นางมีเคราะห์ใหญ่ ยามที่วันสิ้นปีเก่าวันขึ้นปีใหม่มาบรรจบกัน หลีกเลี่ยงทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้เป็นดีที่สุด” ฉาฉานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ต่อมากลับยิ้มน้อยๆ

ตงฟางเห็นนางยิ้ม ในใจพลันเกิดความรู้สึกห่วงใย “หากเร็วกว่านี้ยังพอช่วยได้ แต่บัดนี้ชะตาชีวิตถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง แต่เกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตไม่พ้นปีนี้แล้ว” เขาพูดกระชับสั้น “หากเจ้าเต็มใจ ข้าสามารถขอให้ท่านอ๋องทรงปล่อยให้เจ้าออกเดินทางไกลไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ บางทีอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงชะตาได้”

ฉาฉาหลุบตามองพื้น ส่ายหน้าช้าๆ

ทันใดนั้นเจ๋อเหรินก็วิ่งเข้ามา ทันทีที่ได้เห็นตงฟางก็พูดอย่างรีบร้อน “ท่านตงฟาง คอกม้าทางค่ายตะวันตกเกิดไฟไหม้ขอรับ” ตงฟางทะยานร่างออกไปทันที

ยามนี้ใกล้พลบค่ำ ก้อนเมฆซึ่งฉาบด้วยสีแดงเพลิงบนท้องฟ้าทิศตะวันตกกำลังลอยล่อง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกควันหนาจากพื้นดินพวยพุ่งมาบดบัง

ในตอนที่ตงฟางเร่งรีบมาถึง คอกม้าทั้งคอกก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปหมดแล้ว โชคดีที่ม้าล้วนออกไปทำศึก เหลือไว้เพียงคอกว่างเปล่า ตงฟางเห็นว่าเปลวไฟนั้นลุกโหมใหญ่โตยิ่ง ดับไฟไม่ทันแล้ว จึงสั่งการอย่างเด็ดขาด “คนและม้าทุกกองอยู่เฝ้าประจำตำแหน่ง บอกให้พวกเขาไม่ต้องมาที่นี่หรือวิ่งหนีไปไหน”

เจ๋อเหรินมองเขาคราหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับคำสั่งแล้วจากไป ตงฟางหันกลับมาเอ่ยกับทหารที่กำลังดับไฟ “อย่าสาดน้ำไปข้างบน แต่ให้ยับยั้งไฟจากสองข้าง ดึงเศษไม้ที่อยู่ใกล้เปลวเพลิงออกมา”

ยามนั้นเดิมทีเสียงลมและไฟล้วนดังสนั่น ปะปนกับเสียงทหารที่เดินกลับไปกลับมาเอะอะโวยวาย ฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อตงฟางพูด เขาไม่ได้ใช้เสียงดัง ทว่าทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน ทุกคนทำตามคำสั่งเขา ทิ้งคอกม้าที่ถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว หันไปดับไฟรอบด้าน ควบคุมการแผ่ลามของเปลวเพลิงแทน

ท่ามกลางกลุ่มคนวุ่นวาย ในมุมเล็กๆ ข้างประตูค่ายตะวันตกมีดวงตาคู่กลมสีดำขลับชะโงกออกมา มองไปยังคอกม้าที่ไฟไหม้ซึ่งอยู่ห่างไปไกล ดวงตากลอกมองซ้ายขวา ก่อนเงาร่างเล็กๆ จะผลุบออกมา เด็กน้อยโยนคบเพลิงในมือลงบนพื้นแล้วเหยียบจนดับ อาศัยความวุ่นวายลอบออกไปทางนอกค่ายเงียบๆ ในช่วงที่ฟ้าเริ่มมืดขณะมาถึงข้างประตูค่ายตะวันตก เพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ที่ไม่ทันระวังก็ถูกทหารลาดตระเวนผู้หนึ่งจับได้ หัวหน้าทหารลาดตระเวนกลุ่มนั้นตวาดถามถึงที่มาที่ไปของเขาเสียงดัง

เด็กน้อยยกห่อสัมภาระขึ้น ท่าทีหวาดกลัวถึงขีดสุด ตอบตะกุกตะกัก “นะ…นายท่าน เมื่อสาม…สามวันก่อน พ่อข้าจากไปแล้ว พี่ข้าเป็นทหาร ข้า…ข้าจึงมาเยี่ยมเขา” พูดจบก็หลั่งน้ำตาออกมาตัวสั่นเทา หัวหน้าทหารลาดตระเวนคิดในใจ เหตุใดตนจึงได้สะเพร่าเพียงนี้ ถึงกับปล่อยให้เด็กผู้หนึ่งเล็ดลอดเข้ามาได้ เขาเห็นเด็กน้อยร้องไห้จนมีสภาพเช่นนั้นก็อดคิดไปถึงมารดาแก่ชราและน้องชายอ่อนแอที่บ้านไม่ได้ จึงลอบถอนหายใจ น้ำเสียงไม่ได้เข้มงวดเช่นเดิมอีก “ค่ายทหารเป็นสถานที่สำคัญ ไม่อาจลอบเข้าออกได้ เจ้ากลับไปเถอะ”

จากนั้นก็นำตัวเขามาปล่อยที่ประตูค่ายตะวันตก เด็กน้อยลุกขึ้นยืน มองไปยังธงที่โบกสะบัดของค่ายทหารอย่างน้อยใจ แววตาอาลัยอาวรณ์ ราวกับธงนั่นคือครอบครัวของเขา หัวหน้าทหารลาดตระเวนทนมองไม่ได้จึงโบกมือ ร้องว่า “ไปเถอะ!”

เด็กน้อยเดินไปได้สามก้าวก็หันกลับมามองอีกครั้ง ทว่าการมองครั้งนี้ทำให้เขาตกใจ แม้แต่สีหน้าโศกเศร้าก็ยังเปลี่ยนไป

หัวหน้าทหารลาดตระเวนก็หันไปมอง ทางด้านหน้าประตูใหญ่ของค่ายมีคบเพลิงระริกไหว ท่ามกลางแสงอัสดงมองออกได้รางๆ ว่าเป็นธงเหยี่ยวของเฉิงตั๋ว กำลังมุ่งหน้ามาที่ค่ายช้าๆ ทหารลาดตระเวนทั้งกองตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน ร้อนใจอยากรู้ผลการรบ ในตอนที่หัวหน้าทหารลาดตระเวนหันกลับมาอีกที เด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังอาลัยอาวรณ์ก็ไม่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว เขามองไปบนทุ่งหญ้าโล่งกว้างก็คล้ายกับเห็นเงาเล็กๆ กำลังรีบวิ่ง ในช่วงอึดใจสั้นๆ ก็หลอมรวมไปกับสีของยามอัสดงแล้ว

 

ภายในกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว ฉาฉาถือถ้วยยา ทว่ากลับเหมือนลืมไปแล้วว่าต้องดื่ม และก็คล้ายไม่รู้สึกตัวว่าตงฟางออกไปนานแล้ว นางเพียงยืนอยู่กลางกระโจมเงียบๆ ฟังเสียงผู้คนที่ค่อยๆ ดังเอะอะขึ้นจากด้านนอกกระโจม เมื่อวางถ้วยลงและเดินไปที่ประตูกระโจม นางก็เห็นเฉิงตั๋วนำทัพทหารม้ากลับมา บนหลังม้าทุกตัวต่างแขวนศีรษะของศัตรูเอาไว้จำนวนมาก

สนามฝึกซ้อมที่ประตูค่ายราวกับเป็นนรกบนดินทันที ศีรษะของศัตรูกองทับถมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทหารทุกนายต่างปรบมือโห่ร้อง เปล่งเสียงฉลองชัยชนะ หยางโหย่วหลินถูกรองแม่ทัพผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจับโยนขึ้นไปบนอากาศ

ทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายภายใต้บังคับบัญชาของประมุขข่านหูตี๋ถูกกำราบไปกว่าครึ่ง ถึงแม้ตัวเขาจะหนีไปได้ แต่การศึกครั้งนี้ได้สร้างบาดแผลใหญ่ให้หูตี๋ ส่งผลให้สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างอย่างมหันต์

ฉาฉามองภูเขาศีรษะลูกนั้นจากที่ไกลๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด เฉิงตั๋วไม่ได้รั้งอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังครึกครื้น หลังออกคำสั่งกับนายกองจำนวนหนึ่งเสร็จก็เดินตรงมาที่กระโจมใหญ่ของตน บนชุดเกราะสีเงินขาวเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต เขาเม้มปาก มองไม่ออกว่าอารมณ์ดีหรือไม่ดี เมื่อตรงมาถึงหน้ากระโจมก็ไม่แม้แต่มองฉาฉาตรงๆ เพียงตะโกนเสียงดัง “เจ๋ออี้ ยกน้ำมา!” แล้วโยนชุดเกราะทิ้งไปด้านข้างราวกับถูกเหากัดอย่างไรอย่างนั้น

ฉาฉาเบี่ยงตัวหลบจากประตูกระโจม ถอยกลับไปที่มุมเดิมอย่างไร้สุ้มเสียง เจ๋อเหรินปล่อยม่านกระโจมลง ส่วนเจ๋ออี้ยกน้ำสะอาดเข้ามา เฉิงตั๋วไม่สนใจว่าน้ำจะเย็น ตักน้ำทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดเดินออกจากกระโจมไป เจ๋อเหรินตามอยู่ด้านหลังเขา หลังห่างจากกระโจมได้ไม่ไกลก็เอ่ยรายงานเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง ช่วงที่ผ่านมาฉาฉาล้วนอยู่แต่ในกระโจม ไม่ออกไปที่ใดแม้แต่ก้าวเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วเดินตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจ เจ๋อเหรินจึงพูดต่อ “มีแค่ท่านตงฟางที่ให้คนเอายามาส่งเป็นพักๆ หรือไม่ก็นำมาส่งด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วหยุดยืน นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่จึงร้อง “อืม” แล้วเดินตรงไปยังกระโจมกลาง

เขาเพิ่งเข้ามานั่ง ท่ามกลางเงาธงนอกประตูค่ายก็ปรากฏม้าเร็วตัวหนึ่งควบตะบึงเข้ามา ทหารลาดตระเวนกำลังเดินเข้าไปหา ทว่าคนที่มากลับยกมือขึ้น แสดงป้ายคำสั่งป้ายหนึ่ง ทหารลาดตระเวนจำได้ว่าชาวหูผู้นี้ก็คืออาซือไห่ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉิงตั๋ว จึงหลบไปด้านข้าง ม้าตัวนั้นวิ่งตะบึงมา เมื่อห่างจากหน้าค่ายหลักราวห้าสิบก้าวจึงได้หยุดลง

แม้อาซือไห่จะเป็นชาวหู ทว่าติดตามบิดาออกเดินทางทำการค้าตั้งแต่เด็ก เร่ร่อนพเนจรไปทั่ว ชำนาญภาษาท้องถิ่นต่างๆ เพราะเขามีไหวพริบดี ทั้งยังพบเจอความไม่สงบของใต้หล้า จึงรั้งอยู่ที่ชายแดนทำการค้าชนิดหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษไม่ได้สืบทอดมาให้ ซื้อขายข่าวสาร เมื่อสี่ปีก่อนเขาถูกเฉิงตั๋วจับขณะเข้ามาสืบข่าวกองทัพให้ชาวหู เฉิงตั๋วเห็นเขาเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่กลัวตาย จึงปล่อยเขาไป อาซือไห่กลับไม่เชื่อ ก่อนจากไปยังป่าวประกาศว่าจะขโมยตราบัญชาการทัพของเฉิงตั๋ว ไปๆ มาๆ ขโมยตราบัญชาการทัพไม่สำเร็จ ยังเอาตัวเองเข้ามาร่วมด้วยแล้ว

อาซือไห่ขยับดาบไว้ข้างเอวก่อนก้าวยาวๆ เข้าไปในกระโจมกลาง เป็นเพราะตากแดดตากลม ใบหน้าเขาจึงดำมะเมื่อม ยามยิ้มฟันจะดูขาวสะอาดเป็นพิเศษ เขาร้องเรียก “ท่านอ๋องทรงมีน้ำหรือไม่ กระหม่อมกระหายจะตายอยู่แล้ว”

เจ๋ออี้เทน้ำชามหนึ่งให้เขา อาซือไห่รับไปดื่มอึกๆ

เฉิงตั๋วโบกมือ สั่งให้เจ๋ออี้ออกไปแล้วจึงถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”

“หูตี๋หนีกลับไปยังเมืองเจ่อเยี่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารม้าสามหมื่นนายของกู่หลีอ๋องแบ่งออกเป็นสามค่าย ตั้งกระโจมอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือยี่สิบหลี่ ตัวเขานำกำลังคนสองพันนายมาตั้งกระโจมอยู่ห่างจากค่ายใหญ่เยี่ยนโจวไปสองหลี่ ยามบ่ายมาจึงขอยอมแพ้ด้วยตัวเอง จากที่กระหม่อมรู้ เดิมทีคนของกู่หลีอ๋องกับหูตี๋ก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว หลายปีมานี้กู่หลีอ๋องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขข่านหูตี๋ แม้จะมีตำแหน่งสูง ทว่าไม่ได้รับความสำคัญมากนัก ตอนนี้หูตี๋พ่ายแพ้ยับเยิน คนของกู่หลีอ๋องก็ถูกปล่อยทิ้งไว้แนวหน้า กู่หลีอ๋องรู้ว่าตนต้านต่อไปไม่ไหวแน่ ดังนั้นการยอมแพ้จึงฟังดูมีเหตุผล นอกจากนี้กระหม่อมยังไม่พบเห็นทหารม้าอื่นๆ กลับเป็นท่านอ๋องที่ทรงส่งกองกำลังสองสายแยกออกไปสองฝั่ง คนและม้าของค่ายใหญ่เองก็แบ่งกำลังออกไป ล้อมพวกเขาเอาไว้น่าดูยิ่ง”

ไม่ว่าอย่างไรอาซือไห่ก็เป็นชาวหู ในตอนที่นึกคำไม่ออกก็จะใช้คำเดียวกับทุกอย่าง ดังเช่นคำว่า ‘น่าดู’ ก็เป็นคำที่เขามักพูดบ่อยๆ

เฉิงตั๋วยิ้ม “แล้วเรื่องนั้นเล่า”

อาซือไห่สีหน้าอมทุกข์ พูดว่า “สตรีผู้นั้นทำเอากระหม่อมเหนื่อยแทบตายแล้ว”

บทที่หก

อาซือไห่เอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา กระหม่อมเดินทางจากเมืองเจ่อเยี่ยไปจนถึงดินแดนตะวันตก บ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งของจวนซิวถูอ๋องบอกว่าเมื่อสองปีก่อน ช่วงที่ซิวถูอ๋องเป็นทัพหน้าให้หูตี๋ นางคือคนที่ซิวถูอ๋องชิงตัวมาจากข่านสั่วลั่วเอ่อร์ นักเวทของซิวถูอ๋องบอกว่านางเป็นตัวกาลกิณี ผู้ใดได้ไปผู้นั้นจะโชคร้าย กระหม่อมมุ่งเดินทางต่อไปทางตะวันตกจนกระทั่งไปถึงสถานที่ที่ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เคยพำนักอยู่เดือนหนึ่ง จากนั้นจึงพบตัวอดีตองครักษ์ในจวนผู้หนึ่ง เมื่อพูดถึงนาง เขาก็นึกออกทันที” อาซือไห่พลันนิ่งเงียบไป

“เจ้ารู้อะไรก็พูดออกมา” เฉิงตั๋วกล่าว

“พ่ะย่ะค่ะ อดีตของสตรีนางนี้สุดแสน…สุดแสนจะ…” อาซือไห่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคงใช้คำว่า ‘น่าดู’ ไม่ได้แน่ๆ ครู่ใหญ่ถึงเค้นคำว่า ‘เลวร้าย’ ออกมา “สุดแสนจะเลวร้ายมาก นางมีความเป็นมาอย่างไรไม่มีผู้ใดรู้ แต่นางเป็นคนใบ้จริงๆ อยู่ในจวนอ๋องของข่านสั่วลั่วเอ่อร์มาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสอง ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เกลียดนางมาก จึงใช้ทุกวิถีทางทรมานนาง แต่ไม่เคยมีผู้ใดได้ยินนางเปล่งเสียงออกมาเลย หากนางแกล้งเป็นใบ้ ไม่มีทางแสดงได้ดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” อาซือไห่เล่าจบก็ถึงกับกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นอยู่บ้าง “ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องความวิปริตผู้หนึ่ง”

เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าพอได้ยินมาบ้าง แล้วความวิปริตนั่นเป็นอย่างไรกันแน่”

 

ฉาฉานั่งอยู่ในกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น ขนแขนลุกซู่ขึ้นมา นางลุกขึ้นยืน มองออกไปด้านนอกแล้วเดินออกไปนอกกระโจม แสงแดดส่องกระทบร่าง นางเห็นหยางโหย่วหลินกำลังเดินตรวจตราค่ายอยู่ที่ไกลๆ ทหารนายหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเขา ทั้งสองคนคุยกันเป็นพักๆ ส่วนฉาฉายืนดูพวกเขานิ่งไม่ไหวติง มองอยู่สักพักนางก็ขยับเท้าเดินไปด้านข้างกระโจม ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเร็ว แสงแดดที่ส่องมาโดนร่างอบอุ่นอย่างมาก นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าเนื้อบางนานแล้ว ด้านนอกสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวอีกตัว บริเวณเอวคาดสายรัดสีแดง ผมถักเป็นเปียง่ายๆ สองเส้น ปลายผมยาวจรดเอว แกว่งไกวไปตามจังหวะก้าวเดิน

ในตอนที่เฉิงตั๋วเห็นนางจากที่ไกลๆ ก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ เพราะนางเดินกอดอกอย่างสบายใจยิ่ง ราวกับตนไม่ใช่ทาส แต่เป็นคุณหนูในห้องหอที่ออกมาเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิ แม้สีหน้านางจะเฉยชา ทว่ากลับยากจะมองเห็นแววทุกข์ใจ ทำให้เฉิงตั๋วรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่อาซือไห่เล่าให้ฟังเมื่อครู่ มองดูก็เห็นได้ชัดว่านางอยากมีชีวิตอยู่ ทว่าก็คล้ายกับไม่แยแสความตาย เฉิงตั๋วพบเจอคนพยายามตายมามากนัก เพราะบางทีการตายไปเสียยังง่ายกว่ามีชีวิตอยู่

ขณะที่เขาเหม่อลอยไปชั่วครู่ ฉาฉาก็เดินอ้อมกระโจมหายลับตาไปแล้ว เฉิงตั๋วไม่ไปพิเคราะห์ว่าฉาฉาเป็นเช่นไรกันแน่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เฉิงตั๋วเป็นคนเด็ดขาดผู้หนึ่ง ไม่มีทางทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เขาเดินกลับไปที่กระโจมใหญ่ ม่านกระโจมปิดอยู่ ทั้งยังขยับไหวน้อยๆ เขาเลิกม่านขึ้น ทว่ากลับเหนือความคาดหมาย เพราะว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างใน

ฉาฉาไม่มีทางเดินไปไกล นางกระจ่างแจ้งยิ่งว่าที่ใดควรไป ที่ใดไม่ควรไป เมื่อครู่เฉิงตั๋วเห็นนางเดินอ้อมกระโจมใหญ่มาชัดๆ เฉิงตั๋วหันกลับไป ภายนอกปกติดีทุกอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเห็นฉาฉาเดินออกมาจากอีกด้านของกระโจมใหญ่ ฝีเท้าร้อนรนกว่าปกติเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเฉิงตั๋วยืนอยู่ตรงประตูกระโจม ดังนั้นทันทีที่เดินเลี้ยวมาก็เกือบชนเข้ากับเขา นางเงยหน้าขึ้นทันควัน ก่อนจะรีบร้อนก้มลง เฉิงตั๋วเห็นทันทีว่าใบหน้านางแดงน้อยๆ ไม่ได้ซีดขาวเหมือนปกติ

เฉิงตั๋วหมุนตัวเดินไปนั่งลงกลางกระโจม ฉาฉาเดินเลียบด้านข้างไปถึงเบาะรองที่วางอยู่มุมกระโจมเงียบๆ นั่งหันข้างให้เขา ยังคงก้มหน้า เฉิงตั๋วถามด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก “เมื่อครู่ไปที่ใดมา”

ฉาฉานึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดกับนาง ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร แต่หากไม่ตอบก็ดูเหมือนจะไม่ได้ นางจึงเดินไปที่โต๊ะเขา มือจับพู่กันขึ้น เฉิงตั๋วโยนกระดาษไปตรงหน้านาง ฉาฉาเขียนคำว่า ‘ห้องน้ำ’ ออกมาอย่างเชื่องช้าและเป็นระเบียบ

เฉิงตั๋วงอนิ้วเคาะลงบนขอบโต๊ะ ยังคงถามด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นเจ้ารีบเร่งเดินทำไม”

นางครุ่นคิด ก่อนเขียนต่อ ‘ท้องเสีย’

“เมื่อครู่นี้เดินเล่นอยู่ค่อนวัน แต่กลับไม่ท้องเสีย?”

เห็นได้ชัดว่าฉาฉาคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามเช่นนี้ มือที่จับพู่กันจึงชะงัก เฉิงตั๋วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เท้าวางที่ขอบโต๊ะ “ค่อยๆ คิด คิดดีแล้วค่อยเขียน”

ฉาฉายืนนิ่ง มองลายปักสีทองบนรองเท้าหนังของเขา ในตอนที่กำลังจะจรดพู่กันอีกครั้ง เจ๋ออี้ก็พลันเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง คนของกู่หลีอ๋องมาแล้ว กู่หลีอ๋องพากำลังคนมาใกล้ถึงค่ายใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วมองไปที่ฉาฉา ไม่ตอบรับเจ๋ออี้ ฉาฉาถูกเขามองจนขนลุก รู้สึกว่าวันนี้แววตาเขาแปลกพิลึก ในนั้นนอกจากความสงสัยยังมีอย่างอื่นอีก เฉิงตั๋วไม่พูดอะไร เพียงลุกขึ้นถอดชุดลำลองออก แล้วเปลี่ยนไปสวมชุดเกราะเดินออกไป ฉาฉาผ่อนลมหายใจ หันหน้าไปมองเขาสลับกับหันมามองภายในกระโจมใหญ่ สุดท้ายจึงเดินไปที่ประตูกระโจมแล้วเลิกม่านให้เปิดออกทั้งหมด

 

ครั้นเฉิงตั๋วออกมาจากกระโจมใหญ่ของตน ด้านนอกกระโจมหลักก็เต็มไปด้วยผู้คน ทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะ เขาเดินไปถึงประตูค่ายก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งชูธงมุ่งหน้ามาแต่ไกล ผู้เป็นหัวหน้าสวมหมวกขนเตียวสีม่วงใบใหญ่ บนหมวกยังเสียบขนนกยาวอันเป็นลักษณะการแต่งกายของชนชั้นสูงชาวหู เฉิงตั๋วกวักมือเรียกอาซือไห่ อาซือไห่เขม้นมองสักพักจึงผงกศีรษะ “เป็นตัวเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”

ในตอนนั้นเอง สายลมวูบหนึ่งพัดมาจากทางเหนือ นำพาเอาเสียงกีบเท้าม้าของชาวหูลอยมาตามลม ปลายธงโบกปลิวสะบัดไปทางใต้ ตงฟางยืนเสี่ยงทายจากสายลม ได้ลักษณ์อาทิตย์อับแสง ลายลักษณ์ทั้งหกเปลี่ยนผัน เขาขมวดคิ้ว งอนิ้วคำนวณวันเวลา ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ไม่ถูก เรื่องนี้มีลางดีในลางร้าย การมาครั้งนี้มีแผนการซ่อนเร้น ไฟอยู่ใต้ดิน เป็นสัญญาณถึงคลื่นหินหลอมเหลว เกรงว่าในกองทัพยังมีไส้ศึกอยู่อีก”

เฉิงตั๋วซึ่งได้ยินเขาพูดเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่กลับยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ที่ควรมาอย่างไรก็ต้องมา ข้าไม่สนว่าจะเป็นไฟใต้ดินหรือบนดิน การมาหนนี้ล้วนมาไม่มีกลับ หยางโหย่วหลิน นำคนไปรับพวกเขาเข้ามา” เฉิงตั๋วสั่งจบก็หมุนตัว เดินไปที่กระโจมกลาง สายลมพัดชายเสื้อใต้ชุดเกราะของเขาพลิ้วไสว

หลังผ่านไปสักพัก กู่หลีอ๋องก็นำผู้ติดตามจำนวนยี่สิบคนเข้ามาในค่ายใหญ่ ภายในค่ายเงียบสนิทไร้เสียง หยางโหย่วหลินนำเขาไปถึงกระโจมกลาง กู่หลีอ๋องอายุเพียงสี่สิบปี สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหรูหรา เขาไม่ได้สนใจสายตาจับจ้องของทหารรอบด้าน เดินเชิดหน้าเข้าไปในกระโจม แล้วก็พบกับเฉิงตั๋วซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวอย่างเย่อหยิ่ง สายตาสองคู่มองสบกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมเปิดปากก่อน

หลังประจันหน้ากันสักพัก กู่หลีอ๋องก็กดมือขวาลงบนอกซ้าย ค้อมตัวคำนับเฉิงตั๋วก่อน เขาเอ่ยคำพูดออกมาชุดหนึ่ง เฉิงตั๋วฟังออกแค่บางคำ โดยคร่าวๆ คือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ บอกว่าตนมาขอยอมแพ้ อะไรทำนองนี้ เฉิงตั๋วหันไปสั่งอาซือไห่ “สนทนาตามมารยาทกับเขาสั้นๆ บอกเขาว่าความจริงใจของเขา ข้ารับรู้แล้ว ให้เขานั่งลงเถอะ”

อาซือไห่ใช้ภาษาหูถ่ายทอดออกไป สีหน้าของเฉิงตั๋วกับกู่หลีอ๋องต่างเปลี่ยนไปเป็นจริงใจอย่างสุดซึ้ง หลังกู่หลีอ๋องนั่งลง ทั้งสองคนก็เริ่มเจรจากันเรื่องขอยอมแพ้ คนกับม้าจะจัดการอย่างไร จะป่าวประกาศอย่างไร เป็นต้น เฉิงตั๋วเป็นมิตรอย่างมาก หลังพูดคุยเสร็จยังจะจัดงานเลี้ยงสุราให้กู่หลีอ๋องอีกด้วย

ชั่วขณะหนึ่งภายในค่ายทหารเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ทุกคนร่ำสุราอยู่ที่สนามฝึกซ้อมกลางค่ายอย่างสนิทสนมกลมเกลียว แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง ทว่าต่างฝ่ายต่างก็มีความสุข งานเลี้ยงสุราเริ่มตั้งแต่ยามบ่ายไปจนถึงพลบค่ำ เฉิงตั๋วนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน มึนเมาเล็กน้อย มือถือจอกสุรา ชมดูทหารที่อยู่ด้านล่างรำดาบ ไม่ได้สนใจชาวหูที่เดินเล่นไปมาภายในค่าย

ผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายซึ่งเป็นรองแม่ทัพของกู่หลีอ๋องเดินออกจากงานเลี้ยงไปเข้าห้องน้ำ เดินวนรอบหนึ่งก็นั่งยองๆ ลงข้างสนามฝึกซ้อม พูดคุยหัวเราะกันเสียงเบา สีหน้าท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก ทว่าคุยกันไปสักพักก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อหันมองไปรอบๆ ก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีกระโจมหลังหนึ่งซึ่งมีธงเหยี่ยวอยู่บนยอด ที่หน้าประตูกระโจมมีสตรีในชุดขาวรูปร่างบอบบางผู้หนึ่งยืนอยู่ ครึ่งตัวซ่อนอยู่หลังม่านกระโจม มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด ทว่าคล้ายจับจ้องมาที่พวกเขาตาไม่กะพริบ คนทั้งคู่สนทนากันต่ออีกสักพัก สตรีผู้นั้นก็ยังคงมองอยู่ ทั้งสองคนนึกสงสัยอยู่ในใจ ก่อนจะพากันลุกเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง

งานเลี้ยงสุราดำเนินไปจนฟ้ามืด กู่หลีอ๋องถึงได้บอกลากลับไปที่ค่ายทหารของตนซึ่งอยู่ห่างไปสองหลี่

 

ราตรีนี้ลมพัดแรงไร้แสงจันทร์ ทหารชาวหูจำนวนสองพันนาย ตัวคนหมอบติดพื้น ม้าหุ้มกีบเท้า ค่อยๆ ลอบคืบคลานมาจนถึงป้อมปราการด้านหน้าค่ายใหญ่เยี่ยนโจว ทหารชาวหูสี่นายปีนกำแพงขึ้นไปเงียบๆ ชักดาบโค้งออกมาปาดคอทหารเยี่ยนโจว แต่ เอ๋? สัมผัสกลับไม่ถูกต้อง เมื่อมองอย่างละเอียดถึงพบว่าเป็นมนุษย์ฟางสวมชุดทหารสองตัว ทหารชาวหูที่ลอบโจมตีตะโกนเสียงดังเป็นภาษาหู กู่หลีอ๋องรีบชักม้ากลับ ทว่าสายไปเสียแล้ว

ลูกธนูเพลิงดอกหนึ่งถูกยิงแหวกอากาศมาจากไหล่เขา ก่อนจะเห็นธงโบกสะบัดจากทั้งสี่ด้าน คบเพลิงทยอยถูกจุดขึ้น กู่หลีอ๋องโดนล้อมเอาไว้ตรงกลางแล้ว

ค่ายใหญ่เยี่ยนโจวเป็นค่ายที่เฉิงตั๋วทุ่มเทแรงใจก่อสร้างขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน ตัวค่ายอิงเนินสูงแห่งหนึ่ง แบ่งค่ายออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกด้วยทางน้ำ บนเนินสูงสร้างค่ายแยกออกมาอีกแห่งหนึ่ง บนล่างสอดคล้อง ทำมุมเกื้อหนุนกับค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งบุกโจมตีง่ายและถอยมาตั้งรับได้ นับตั้งแต่ก่อตั้งค่ายแห่งนี้มา ชาวหูก็ไม่เคยบุกลงใต้โดยผ่านเข้าไปในเมืองทางใต้ของเยี่ยนโจวได้อีก กู่หลีอ๋องผู้นี้ขวัญกล้ามากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงทหารแค่สองพันนาย ต่อให้ทหารม้าอีกสามหมื่นนายที่อยู่ห่างไปยี่สิบหลี่ของเขามาร่วมด้วย ก็ไม่แน่ว่าจะตีค่ายแห่งนี้แตก

โดยไม่รอให้กู่หลีอ๋องตอบสนอง ทหารม้ารอบด้านก็บุกเข่นฆ่าเข้ามาแล้ว หยางโหย่วหลินนำทัพสังหารมาถึงใจกลางเป็นคนแรก เขาก้มตัวสะบัดฟัน ควงดาบง้าวได้น่าดูชมยิ่ง ทหารม้าของเขาติดตามมาด้านหลัง ดาบข้างเอวขยับเคลื่อนขึ้นลงไม่หยุด เฉิงตั๋วยืนมองอยู่บนที่สูง ทันใดนั้นก็เกิดรู้สึกสนุกขึ้นมาจึงไม่เข้าไปช่วยหนุน หากแต่สั่งผู้ใต้บัญชาข้างกายว่า “บรรเลงดนตรี”

ดังนั้นวงดนตรีที่บรรเลงบทเพลงไปเมื่อยามกลางวันจึงเล่นขึ้นมาอีกครั้งในความมืด ทว่าเป็นท่วงทำนองปลุกใจอย่าง ‘บทเพลงฝ่าขบวนรบ’ เสียงแตรเขาสัตว์ทุ้มต่ำ เสียงระฆังดังกังวาน สอดคล้องกับทิวทัศน์อย่างยิ่ง หยางโหย่วหลินก็ไม่หวาดกลัว เมื่อได้ยินท่วงทำนองนี้ก็ยิ่งดุดันมากขึ้น ขอแค่เขาผ่านไปทางใด ทุกหนแห่งล้วนกลายเป็นธารโลหิต คนและม้าล้มกองบนพื้น เมื่อบทเพลงยาวนั้นจบลง ทหารชาวหูบนสนามรบก็เหลืออยู่เพียงครึ่ง

เฉิงตั๋วนั่งอยู่บนหลังม้า ชมทหารฝ่ายตนสังหารศัตรูจากที่ไกล สายลมพัดพาเสียงดนตรีบรรเลง เสียงเครื่องสายดุจพายุสลายมวลเมฆ เขาเปรมปรีดิ์ยิ่ง ให้เสียดายที่ยามนี้ไร้สุรา ทันใดนั้นท่วงทำนองก็สับเปลี่ยน หนนี้เป็นบทเพลงเกรียงไกรอย่าง ‘คว้าชัยกลับมา’ ท่วงทำนองเคร่งครัดหนักแน่น เหล่าทหารม้าเยี่ยนโจวด้านล่างรับฟังจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ข่มกลั้นไม่ไหว ทยอยกันเข้าไปในสนามรบ บทเพลงยังไม่ทันจบดี ทหารชาวหูก็ถูกเข่นฆ่าเกือบสิ้น เมื่อเพลงจบลง การคว้าชัยกลับมาก็บังเกิดขึ้นจริงๆ ทั่วทั้งสนามรบเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องกึกก้อง

เวลานี้ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเป็นสีแดงเข้ม ยามรุ่งสางใกล้มาเยือนแล้ว เฉิงตั๋วมองไปยังท้องฟ้าราตรีด้านตะวันตกเฉียงเหนือ กลับเห็นว่าคล้ายมีเปลวไฟพุ่งขึ้นมา เฉิงตั๋วควบม้าเข้าไปในค่ายใหญ่ พบกับหยางโหย่วหลินซึ่งหนีบศีรษะกู่หลีอ๋องไว้ใต้รักแร้ จึงโบกมือกล่าวกับเขาว่า “เอามานี่ เจ้าอยู่รักษาการณ์ค่ายใหญ่ ข้าจะไปทางด้านขวาเพื่อสมทบกับจ้าวสุ่น ก่อนข้ากลับมาเก็บกวาดที่นี่ให้สะอาดด้วย”

 

การศึกครั้งนี้ประหนึ่งพายุพัดเมฆสลาย ทหารจำนวนสามหมื่นนายในค่ายใหญ่ของกู่หลีอ๋องที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบหลี่เหลือรอดแค่หมื่นกว่านาย คนที่เหลือถูกเฉิงตั๋ว จ้าวสุ่น และคนอื่นๆ โจมตีพร้อมกันจากหลายด้าน เมื่อเหล่าทหารของกู่หลีอ๋องเพ่งมอง ก็เห็นศีรษะของท่านอ๋องของพวกตนตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายแล้ว พวกเขาตื่นตกใจ ชุลมุนจนเหยียบย่ำพวกเดียวกันเอง มีบางส่วนที่ยอมแพ้ แต่เฉิงตั๋วไม่รับ ถึงกับสังหารจนสิ้นแล้วเผาศพ ภายในระยะยี่สิบหลี่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเยี่ยนโจว ซากศพกระจายเกลื่อน ควันดำพวยพุ่ง

สภาพเช่นนี้ กระทั่งตงฟางยังตระหนกตกใจ เขาตำหนิว่าเหตุใดเฉิงตั๋วจึงได้เข่นฆ่าไปทั่วเช่นนี้

เฉิงตั๋วตอบกลับอย่างเรียบง่ายยิ่ง “ไม่ใช่ชนชาติเดียวกับข้า จิตใจไม่ซื่อสัตย์ จะรับเอาไว้ทำไม หากส่งกลับไปบ้านเกิด วันหน้าก็จะมาโจมตีข้าอีก จะไม่ฆ่าได้อย่างไร ยามนี้อากาศอุ่นขึ้นเรื่อยๆ หากศพมากมายถึงเพียงนี้เน่าเสียอยู่บนพื้นดิน เยี่ยนโจวกับอวิ๋นโจวของข้ามิใช่ว่าจะเกิดโรคระบาดขึ้นมาหรอกหรือ จะไม่เผาทำลายได้อย่างไร” กล่าวรัวออกมาเป็นชุดจนตงฟางได้แต่เก็บคำพูดไว้ในท้อง

เมื่อกลับมาถึงค่ายใหญ่ก็ผ่านช่วงเที่ยงตรงไปแล้ว เฉิงตั๋วเรียกจ้าวสุ่นและตงฟางมากินข้าวด้วยกันในกระโจมกลาง ทหารที่อยู่รักษาการณ์ยกสำรับอาหารที่เตรียมไว้นานแล้วมา จ้าวสุ่นแย่งรับชามมาตักข้าวให้ เฉิงตั๋วซึ่งถือตะเกียบรอเห็นตงฟางนิ่งเงียบไม่พูดจา จึงเอ่ยปากถาม “เจ้ายังคิดถึงเรื่องที่วันนี้ฆ่าคนไปมากมายเพียงนั้นอยู่หรือ”

ตงฟางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมกว่าเก่า เขาส่ายหน้า “กระหม่อมกำลังคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

“อะไรไม่ถูกต้อง”

ตงฟางวางชามลง พาดตะเกียบบนขอบชาม แล้วหันไปพูดกับเฉิงตั๋ว “กู่หลีอ๋องคิดจะอาศัยแค่ลูกไม้ชั้นต่ำเช่นนี้มาสังหารทหารนับหมื่นของท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง”

เฉิงตั๋วก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เจ้าต้องการพูดถึงเรื่องไฟใต้ดินใช่หรือไม่ ข้าพอจะมีคนในใจอยู่”

จ้าวสุ่นที่กำลังพุ้ยข้าวเข้าปากเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง ทว่าไม่คิดจะเปิดปากถาม

ตงฟางคีบกับข้าว ถามง่ายๆ ว่า “เมื่อวานตอนที่ค่ายใหญ่ถูกลอบโจมตี ท่านอ๋องทอดพระเนตรเห็นฉาฉาหรือไม่”

เฉิงตั๋วได้ยินเขาถามเช่นนี้ แววตาก็พลันล้ำลึกขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน “เกิดเรื่องแล้ว ท่านแม่ทัพหยางล้มกองอยู่ในห้องน้ำพ่ะย่ะค่ะ”

“หา?” คนทั้งสามอ้าปากค้าง วางชามลงพร้อมกัน ติดตามทหารนายนั้นออกไป แล้วก็พบว่าหยางโหย่วหลินนอนหมดสติอยู่บนพื้นด้านข้างห้องน้ำ ทหารคนสนิทจำนวนหนึ่งของเขายืนล้อมอยู่โดยรอบ ตงฟางเดินฝ่าทุกคนเข้าไป จับชีพจรของเขา หลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็ขมวดคิ้ว “แบกเขาไปที่กระโจมหมอก่อน”

 

ภายในกระโจมหมอ ตงฟางจับชีพจรหยางโหย่วหลินอีกนานพักใหญ่ จากนั้นจึงใช้เข็มเงินฝังลงไปบนจุดชีพจรสำคัญจำนวนหนึ่ง หยางโหย่วหลินฟื้นคืนสติอย่างช้าๆ ดวงตากลอกมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน เขาสะบัดหน้าเบาๆ

เฉิงตั๋วถามอย่างอดไม่ได้ “เขาไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

ตงฟางส่ายหน้า “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนนั่งลงเขียนเทียบยา ขณะที่เขียนก็ถามหยางโหย่วหลิน “แม่ทัพหยางหมดสติไปในห้องน้ำหรือ”

หยางโหย่วหลินซึ่งยามนี้ได้สติกลับมาแล้วตอบว่า “เดิมข้ากำลังปลดหนัก แต่อยู่ดีๆ ก็ค่อยๆ รู้สึกปวดหัววิงเวียนจึงได้รีบออกมา พอมาถึงข้างนอกก็หมดสติไปทันที”

ตงฟางถามต่อ “คงไม่ใช่ว่าท่านกินของเน่าเสียอะไรเข้าไป…”

หยางโหย่วหลินส่ายหน้า ปฏิเสธเสียงเด็ดขาด “ไม่ใช่! หากไม่ใช่ถูกพิษ ข้าไม่มีทางหมดสติ ในห้องน้ำมีอะไรแปลกๆ”

“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว” ตงฟางเขียนเทียบยาเสร็จเรียบร้อยก็ส่งให้หมอ “ท่านน่าจะถูกพิษ เพียงแต่ข้าไม่ค่อยแน่ใจเพราะพิษนี้หาได้ยากยิ่ง มิหนำซ้ำ…ก็ไม่ควรไปอยู่ในห้องน้ำด้วย”

ยังไม่ทันพูดจบ หมิงจีก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าก็มองไปที่หยางโหย่วหลิน ถามเสียงเบา “แม่ทัพหยาง ข้าได้ยินว่าท่านตกลงไป…ตกลงไป…” ในน้ำเสียงเป็นห่วงคล้ายมีความรื่นเริงเล็กๆ

หลายวันมานี้นับได้ว่าหยางโหย่วหลินถูกหมิงจีฝึกฝนจนหนังหนาแล้ว ไม่ว่านางจะค่อนแขวะอย่างไร หน้าก็ล้วนไม่เปลี่ยนสี แต่หนนี้เป็นเรื่องขายหน้าใหญ่โต ดังนั้นเมื่อถูกหมิงจีถาม เขาก็หน้าดำคล้ำทันที

จ้าวสุ่นหัวเราะฮี่ๆ “ไม่ได้ตกลงไปในส้วม แค่ถูกห้องน้ำรมจนสลบเท่านั้น”

“โอ้ เขา…”

ไม่รอให้หมิงจีพูดจบ เฉิงตั๋วก็เอ่ยแทรก “พิษนี้ร้ายแรงหรือไม่”

“แม่ทัพหยางน่าจะไม่เป็นอะไร เพราะฤทธิ์ยาอ่อนกำลังลงมากแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะระยะนี้เหน็ดเหนื่อยถึงได้ถูกพิษได้ง่าย” ตงฟางตอบ

“เป็นพิษชนิดใด” เฉิงตั๋วถามต่อ

“พิษชนิดนี้ไม่อยู่ในตำราใดๆ เพียงแค่เล่าต่อกันมาปากต่อปากเท่านั้น อาจารย์…กระหม่อมเคยได้ยินผู้อื่นพูดถึง คนผู้นั้นตั้งชื่อให้มันว่าเร้นราตรี เป็นยาพิษจากนอกด่านชนิดหนึ่ง ไร้สีไร้กลิ่น หากเผลอดมเข้าไปก็จะติดพิษ ถ้าเป็นแค่ช่วงสั้นๆ คนโดนพิษจะไม่รู้สึกตัว แต่หากสูดดมเป็นเวลานานเกินกว่าหนึ่งชั่วยามจะต้องตายอย่างแน่นอน อีกทั้งคนรอบข้างยังยากจะรู้สาเหตุการตาย เพียงแต่ยาพิษชนิดนี้หากเจอกับของพวกอุจจาระ ฤทธิ์จะสลายไปช้าๆ ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ทัพหยางจึงถูกพิษในห้องน้ำได้”

เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว “ในเมื่อไร้สีไร้กลิ่น ซ้ำยังกระจายได้ในอากาศ เช่นนั้นจะตามหาต้นตอของพิษนี้ได้อย่างไร”

“หลังปรุงยาออกมาแล้วบรรจุใส่ขวดหรือใส่ภาชนะอื่น วางตามที่ต่างๆ ไอพิษก็จะกระจายออกมาอย่างช้าๆ เองพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วสั่งการทันที “จ้าวสุ่น เจ้าพาคนไปค้นหาในห้องน้ำ ดูว่ามีของแปลกปลอมอะไรหรือไม่ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” จ้าวสุ่นรับคำสั่งแล้วออกไป

“คิกๆ” จู่ๆ หมิงจีก็หัวเราะขึ้นมา “ยาพิษชนิดนี้ ดูท่าว่าถ้าไม่ใช่ถูกรมเป็นเวลานานก็ไม่น่าจะถูกพิษ”

ทุกคนหันไปมองหยางโหย่วหลินอย่างเข้าใจ บนหน้าเขียนว่า ‘ท่านท้องผูกนี่เอง’ เอาไว้ ใบหน้าที่เดิมทีดำทะมึนของหยางโหย่วหลินแปรเปลี่ยนไปเป็นราวกับเปลือกปูต้มสุก ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

หมิงจียิ่งรื่นรมย์กว่าเดิม “พี่หยาง ท่านเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตกลิ้งอยู่ใต้คมดาบ การล้มในห้องน้ำนับว่าไม่เป็นมงคล เช่นนี้จะต้องเป็นเพราะปีนี้เป็นปีชง เผชิญกับดาวหายนะแน่ๆ ข้าจะวาดยันต์ให้ท่านเรียกดีเลี่ยงร้าย พกติดตัวไปสู้รบ รับรองว่าทั้งมีดหอกล้วนฟันแทงไม่เข้า” เอ่ยจบก็ดึงกระดาษเหลืองที่ใช้เขียนเทียบยามา จุ่มชาดวาดภาพส่งเดชลงไป แล้วพับเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยื่นส่งให้หยางโหย่วหลิน “สิบตำลึง หากให้เปล่าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”

หยางโหย่วหลินถลึงตาใส่นางครู่หนึ่ง ก่อนพูดตะกุกตะกักว่า “ข้า…ข้าไม่ได้พกเงิน”

ทุกคนเห็นเขาจริงจังจึงพากันหัวเราะเสียงดัง

หมิงจีเอ่ยอย่างใจกว้าง “ไว้ค่อยให้เงินข้าก็ได้ สิ่งนี้ให้ท่านพกติดตัวไว้ก่อน”

ตงฟางเคาะศีรษะหมิงจีเบาๆ พร้อมพูดกับหยางโหย่วหลิน “ท่านอย่าได้เชื่อนาง นางจะวาดยันต์อะไรได้ มียันต์ที่มีดหอกฟันแทงไม่เข้าที่ใดกัน”

ทว่าหยางโหย่วหลินกลับยื่นมือออกมารับ พับเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้อ

ครานี้หมิงจียิ่งได้ใจ กล่าวอย่างมีความสุข “ศาสตร์คำนวณพยากรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ต้องมีคนเชื่อจึงจะศักดิ์สิทธิ์”

ขณะที่พูด จ้าวสุ่นก็กลับมาพอดี “ท่านอ๋อง หาพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในบ่ออุจจาระมีขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวอยู่ขวดหนึ่ง กระหม่อมกำลังให้พวกเขา…” เขามองหมิงจีคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างคลุมเครือ “กำลังให้พวกเขาแก้พิษอยู่”

คำว่า ‘แก้พิษ’ ของจ้าวสุ่นหมายถึงหาอ่างใบใหญ่มาใบหนึ่ง ให้เหล่าทหารทยอยกันปล่อยเบาลงไป จากนั้นก็งมขวดยาใบนั้นขึ้นมาแล้วนำลงไปแช่ในอ่าง เพียงแต่การพูดเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าเด็กสาวคงไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนัก

ตงฟางพูดว่า “น่าจะเป็นขวดกระเบื้องเคลือบนั้นแล้ว พิษชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้ และก็ไม่ควรมาปรากฏอยู่ในค่ายทหารแห่งนี้ การวางไว้ในห้องสุขาก็ไร้ประโยชน์ ผู้ที่วางยานับได้ว่าเข้าใจยากจริงๆ”

“น้องหรานจือ” เฉิงตั๋วเรียกขึ้นมากะทันหัน “หากเจ้ามียาพิษชนิดนี้และเป็นศัตรูกับทัพข้า เจ้าจะใช้งานอย่างไร”

ตงฟางตอบเขา “เอามาใช้กับท่านอ๋องจะเหมาะสมที่สุด หากเป็นกระหม่อม กระหม่อมจะวางไว้ในกระโจมใหญ่ของท่านอ๋อง พระองค์จะทรงสูดพิษเข้าไปโดยไม่รู้ตัว รอกระทั่งตอนเย็นที่มีการลอบโจมตีค่าย ท่านอ๋องก็ทรงกำลังพิษกำเริบตายพอดี เมื่อสามเหล่าทัพขาดผู้บัญชาการ ยามนั้นจะต้องสับสนวุ่นวายเป็นแน่ จากนั้นก็ให้ทหารสามหมื่นนายที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบหลี่ของกู่หลีอ๋องบุกเข้ามาในค่าย เช่นนั้นทัพของท่านอ๋องจะต้องแตกพ่ายอย่างแน่นอน”

เมื่อตงฟางพูดจบ สีหน้าของทุกคนต่างก็เคร่งเครียด

เฉิงตั๋วถามต่อ “ในเมื่อยาพิษชนิดนี้ไร้สีไร้กลิ่น จะจำแนกได้อย่างไร”

“เพราะไร้สีไร้กลิ่นจึงไม่อาจจำแนกได้แต่แรก มีแค่หลังจากคนถูกพิษแล้วจึงจะสามารถตรวจพบได้ผ่านชีพจร ดังนั้นถึงได้เรียกว่า ‘เร้นราตรี’ ”

เฉิงตั๋วยิ้มเย็น “แต่ในกระโจมข้ากลับมีคนจำแนกพิษชนิดนี้ได้เสียแล้ว”

ตงฟางไม่พูดอะไร

จ้าวสุ่นกลับถามขึ้นมา “ผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าขวดกระเบื้องเคลือบขวดนี้จะเคยอยู่ในกระโจมของท่านอ๋องมาก่อนจริงๆ”

“ไต่สวนดูก็รู้แล้ว” เฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมา

 

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ฉาฉาก็คุกเข่าอยู่กลางกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว นางลอบสัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง เฉิงตั๋ว ตงฟาง จ้าวสุ่น เจ๋อเหริน และเจ๋ออี้ต่างเบียดเสียดกันอยู่ในกระโจม ราวกับสามกรมร่วมไต่สวน นางเงยหน้ามองเฉิงตั๋ว แต่น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาสำคัญมักจะมองอะไรไม่ออกจากสีหน้าของคนผู้นี้

เฉิงตั๋วโบกมือ เจ๋อเหรินก็ยกกระดาษขาว พู่กัน และน้ำหมึกไปวางตรงหน้าฉาฉา

เฉิงตั๋วกล่าวเสียงอ่อนโยน “เจ้าเป็นคนฉลาด ไม่ต้องให้ข้าใช้เสียงข่มขู่ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะถามอะไรก็ให้เจ้าตอบมาตามตรง ดีหรือไม่”

ฉาฉาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เฉิงตั๋วกวักมือ เจ๋ออี้ยกขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวเข้ามา เฉิงตั๋วถามว่า “เจ้าเคยเห็นสิ่งนี้หรือไม่”

ฉาฉาพยักหน้า ก้มตัวลงเขียน ‘วันนั้นที่ข้ากลับกระโจมไป เห็นมันวางอยู่ที่มุมกระโจมข้างเบาะพรมด้านหลังแม่ทัพจ้าว’ นางเขียนเสร็จก็ชี้ไปยังตำแหน่งที่จ้าวสุ่นยืนอยู่ ส่วนเจ๋อเหรินอ่านที่นางเขียนออกมา

“จากนั้นเล่า”

ฉาฉาเขียนต่อ ‘ข้าจึงนำออกไป’

“เมื่อวานที่รีบเร่งออกไป ก็คือนำสิ่งนี้ออกไปอย่างนั้นหรือ”

ฉาฉาพยักหน้ายอมรับเงียบๆ

เฉิงตั๋ววางมือลงบนโต๊ะ โน้มกายมาด้านหน้าน้อยๆ ถามนาง “สิ่งนี้คืออะไร”

‘ไม่รู้’

“เช่นนั้นเจ้านำออกไปทำไม”

ฉาฉามองเขาด้วยท่าทีขลาดกลัว ยกพู่กันขึ้นเขียนต่อ ‘ขวดใบนี้ทำขึ้นอย่างประณีต ไม่ใช่ของภายในกระโจม ข้าเกรงว่าจะถูกคนเห็นและหาว่าข้าขโมย’

เฉิงตั๋วไล่ต้อนต่อ “เช่นนั้นเหตุใดถึงได้นำไปไว้ในห้องสุขา”

ฉาฉาขยับข้อมือเขียน ‘นอกจากกระโจมใหญ่ของท่าน ข้าก็ไปได้แค่ที่นั่น’

เฉิงตั๋วเอนพิงพนักเก้าอี้ “ตอนเย็นเจ้าไปอยู่ที่ใด”

‘ยุ้งฉางเก็บเสบียง’

“เหตุใดจึงไปอยู่ที่นั่น”

‘พวกเขาจะลอบโจมตีค่าย’

คำตอบนี้นับได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก

เฉิงตั๋วยิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะเผาเสบียง ทำให้เจ้าถูกเผาตายอยู่ข้างในหรือ”

‘พวกเขาจะต้องไปฆ่าท่านที่กระโจมใหญ่ก่อน’

“อ้อ เจ้ารู้ได้อย่างไร”

‘ข้าเห็นพวกเขาปรึกษากัน รองแม่ทัพสองนาย ในงานเลี้ยงสุราเมื่อคืน’

เฉิงตั๋วเงียบไปชั่วขณะ ก่อนถามว่า “เจ้าอ่านปากเป็น?”

ฉาฉาพยักหน้า ปกติแล้วคนหูหนวกถึงจะอ่านปากเป็น แต่ฉาฉาแม้จะเป็นใบ้ ทว่าหูไม่ได้หนวก เขาจึงนึกไม่ถึงว่านางจะอ่านปากเป็น

“พวกเขาคงไม่ถึงขั้นปรึกษาเรื่องนี้ในค่ายทหารของข้า จริงหรือไม่”

ฉาฉาลังเลเล็กน้อย ก่อนเขียนว่า ‘พวกเขาปรึกษากันถึงตำแหน่งภายในค่าย ไม่ได้พูดถึงเรื่องเสบียง นอกจากนี้’ นางเงยหน้ามองเฉิงตั๋วคราหนึ่ง ก่อนเขียนต่อด้วยสีหน้าเกรงกลัว ‘พวกเขามีกันแค่สองพันคน มีแต่ต้องฆ่าท่านก่อนจึงจะประสบความสำเร็จ’

เฉิงตั๋วมองฉาฉา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตากลับล้ำลึกยากคาดเดา “ดังนั้นเพราะกระโจมใหญ่ของข้าค่อนข้างอันตราย เจ้าจึงหนีไปซ่อนที่อื่น”

ฉาฉาพยักหน้า ยอมรับเงียบๆ อีกครั้ง

เฉิงตั๋วกลับไปถามเจ๋ออี้ “มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”

เจ๋ออี้ครุ่นคิดแล้วตอบอย่างลังเล “รองแม่ทัพทั้งสองนายนั้นเคยพูดคุยกันในมุมหนึ่ง ใช้ภาษาหูพูดว่า ‘ค่ายทหารของพวกเราการป้องกันแน่นหนา รอบคอบ’ พวกเขา…ได้พูดถึงตำแหน่งภายในค่ายทหารของเราอยู่บ้างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วพยักหน้า “พออีกฝ่ายเอ่ยชื่นชม เจ้าก็หละหลวมเสียแล้ว”

เจ๋ออี้ยืนรวบมือด้วยความหวั่นเกรง

เฉิงตั๋วกลับไม่สนใจเขาอีก แต่หันไปทางฉาฉา “ผู้ใดเป็นคนสอนภาษาเราให้เจ้า”

‘ทาสที่ถูกจับมาจากทางใต้ผู้หนึ่ง’

“เป็นคนเช่นไร”

‘บัณฑิต’

“เหตุใดเจ้าจึงคิดอยากเรียนรู้”

‘ตัวอักษรชนิดนี้น่ามอง’ ฉาฉาเขียนประโยคเช่นนี้ออกมาโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี

เฉิงตั๋วกล่าวเสียงเรียบ “ดูท่าซิวถูอ๋องคงจะไม่เท่าไร เจ้ายังถึงกับมีเวลาว่างมาเรียนเขียนอักษรเช่นนี้” คำพูดของเขาย่อมแฝงเจตนาต่ำช้าบางประการ เป็นเพราะเขาถามอยู่นาน ทว่าฉาฉาล้วนตอบด้วยเหตุผลได้หมด จึงหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ฉาฉากลับไม่สนใจ ยังคงเขียนต่อไป ‘ทาสของเขามีเยอะมาก และก็ไม่ได้ชอบคนเช่นข้า’

“นอกจากหน้าตาแล้ว เจ้าก็ไม่มีอะไรดีอีกจริงๆ” เฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกไปอย่างอดไม่ได้ พูดจบเขาก็สบถด่าตัวเองในใจ สตรีนางนี้จงใจตอบเลี่ยงเปลี่ยนหัวข้อ แต่เขากลับเดินตามนางไปจริงๆ! เฉิงตั๋วนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่พูดอะไรไปชั่วขณะ

ยามนั้นจู่ๆ ตงฟางก็ถามขึ้นมาจากด้านข้าง “ข้าเคยบอกแม่นางว่าแม่นางมีเคราะห์กรรมครั้งใหญ่รออยู่ที่นี่ แต่ข้าสามารถร้องขอให้ท่านอ๋องทรงปล่อยแม่นางไปได้ ทว่าแม่นางกลับไม่ยินยอม ในเมื่อแม่นางเต็มใจเป็นหญิงบำเรอ ดูท่าคงต้องมีแผนการบางอย่างใช่หรือไม่” น้ำเสียงเขาอบอุ่น เสมือนสนทนาสัพเพเหระกับสหาย ไม่ได้กำลังไต่สวนทาสหญิงผู้หนึ่ง

ฉาฉาก็ดูเหมือนไม่ได้หวาดกลัวเขาเท่าใด ยกมือเขียนตอบ ‘ข้าไม่มีที่ไป’

นางเสแสร้งได้สมบูรณ์ยิ่ง ตอบคำถามได้ชัดเจนถึงที่สุด ความสามารถสี่ตำลึงปาดพันชั่ง* ฝึกฝนมาได้อย่างชำนาญ ส่งผลให้เฉิงตั๋วอดแค่นเสียงเย็นออกมาไม่ได้

เมื่อวานนางค้นพบยาพิษแล้วเอาไปจัดการเงียบๆ ตอนดึกระหว่างการศึกชุลมุนก็วิ่งไปหลบที่อื่น เจตนานางชัดเจนอย่างมาก คือ ‘เฉิงตั๋ว หากเจ้ามีปัญญาชนะก็ชนะ หากไม่มีปัญญาชนะก็ตายไปเสีย’ นางสนแค่ขอให้ตนหนีพ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่คาดหวังอะไรกับความสามารถในการรับมือของเขา

หากผู้อื่นกระทำเช่นนี้ เฉิงตั๋วยังพอลอบชื่นชมว่าเยือกเย็นฉลาดเฉลียว แต่สตรีผู้นี้เป็นทาสของเขา ในอดีตก็เคยเป็นทาสชั้นต่ำของชาวหู แต่นางถึงกับกล้าเล่นลูกไม้พรรค์นี้ใต้เปลือกตาเขา ปฏิเสธได้อย่างหมดจด ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น กระทั่งพูดนางยังพูดไม่ได้ แล้วจะเอาอย่างไรเล่า จะระบายโทสะใส่นางหรือ

ทันทีที่เฉิงตั๋วนึกมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก

เขาหุบยิ้ม “แม้จะดูแก้ตัวไปบ้าง แต่ก็ตอบได้ดี เจ้ายังอยากบอกอะไรอีกหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนวิธีเป็นให้ข้าช่วยเจ้าคิด?”

ฉาฉายังคงคุกเข่าไม่ขยับ เฉิงตั๋วเองก็นั่งนิ่ง เขามองไปที่เจ๋อเหริน ก่อนจะพยักพเยิดปลายคางไปที่ฉาฉา เจ๋อเหรินเดินเข้าไปลากนางมา หยิบแส้ยาวที่ใช้เป็นอาวุธทหารเส้นหนึ่งจากด้านข้าง

แส้ยาวเส้นนี้ทำมาจากหนังวัว ฝังเศษเหล็ก เวลาโบกสะบัดจึงทั้งแข็งกร้าวและยืดหยุ่น เจ๋อเหรินสะบัดแส้เล็กน้อย บังเกิดเสียงวูบน่าตกใจ ฉาฉาก้มหน้าอยู่จึงมองสีหน้านางได้ไม่ชัด ทว่าเมื่อครู่นางแสดงท่าทีขลาดกลัว แต่ยามนี้กลับเอวไม่ค้อมไหล่ไม่ตก เอาแต่คุกเข่านิ่งไม่ไหวติง เจ๋อเหรินสะบัดแส้เส้นนั้น เฆี่ยนไปบนร่างของนางอย่างแรง เสื้อผ้าฝ้ายของฉาฉาขาดเป็นแนวยาวทันใด คนก็ล้มฟุบลงกับพื้น ในอากาศมีเศษผ้าฝ้ายบางส่วนปลิวกระจาย

เจ๋อเหรินใช้ดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวกรีดเสื้อนอกนางออก โยนทิ้งไปข้างๆ ยามนี้ฉาฉาสวมเพียงเสื้อตัวในชิ้นเดียว จึงมองเห็นบ่านางกำลังสั่นระริกอยู่น้อยๆ

ไม่มีช่วงเวลาให้พักหายใจ แส้ที่สองของเจ๋อเหรินสะบัดลงมาอีกครั้ง เสียงกรีดผ่านอากาศของแส้หนังเส้นนั้นเล็กแหลม แต่ยามกระทบลงบนผิวคนกลับทุ้มหนักไม่กังวาน ฉาฉาหอบหายใจสั้นๆ ชั่วพริบตาก็รู้สึกราวกับว่าแส้เฆี่ยนเข้าไปถึงอวัยวะภายใน นางหมอบอยู่บนพื้น ผมเปียคลายตัว เรือนผมสยายลงมาโดยรอบ

เจ๋อเหรินกลับไม่หยุด เงื้อแส้เฆี่ยนลงมาอีกครั้ง

ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่ว โลหิตก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาที่ลำคอ ฉาฉาฝืนพยายามประคองสติไว้ พิจารณาอย่างตั้งใจว่าควรจะตอบคำถามที่เฉิงตั๋วต้องการรู้ออกมาก่อนดีหรือไม่ และคำตอบเช่นไรจึงจะสามารถทำให้ตนรอดพ้นไปได้

เจ๋อเหรินเงื้อมือ สะบัดแส้ลงมาเป็นครั้งที่สี่ ครานี้มีหยาดโลหิตสาดกระเซ็นไปบนอากาศตามแรงตวัดของปลายแส้ ฉาฉาคิดในใจ ทำเช่นนี้คือต้องการเอาชีวิตข้านี่ ทว่าเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางกลับเปลี่ยนมุมมองทันใด ในเมื่อตนน่าสงสัย ทั้งยังเป็นทาสมาจากแดนชาวหู หากเฉิงตั๋วจะฆ่าก็สามารถฆ่าให้สิ้นในทีเดียว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาไต่สวนเช่นนี้ นอกจากเขาจะมีข้อสงสัยอื่นอีก…

เจ๋อเหรินตวัดแส้ไม่หยุดมือ ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉาฉาตัดสินใจได้แล้ว นางกัดฟัน ซุกหน้าลงกับท่อนแขน ปล่อยให้ร่างกายรับแส้จนเกิดแผลยับเยิน เฉิงตั๋วมองนางซุกหน้ากับแขน เหมือนความเป็นตายไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง แววตาเขาก็เปลี่ยนไปอย่างคาดเดาไม่ได้

เสื้อตัวในของฉาฉาย้อมไปด้วยโลหิตอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่ถูกเจ๋อเหรินใช้แส้สะบัดฟาดลงมาบอบบางประหนึ่งใบไม้ร่วงกองหนึ่งที่พร้อมจะถูกลมจากแส้หอบหายไปได้ทุกเมื่อ ทว่านางไม่ส่งเสียงแม้แต่เล็กน้อย ไม่ได้กลิ้งเกลือกหลบหนี หากแต่ขดตัวเหมือนตายไปแล้ว สภาพราวกับเหยื่อที่กำลังถูกทารุณ ร่างกายขดเกร็งไปทั้งร่าง ผิวหนังถูกแส้เฆี่ยนจนฉีกขาด

ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็เรียกเสียงเนิบช้า “เจ๋อเหริน”

เจ๋อเหรินหยุดมือทันใด หันมาค้อมตัวให้เฉิงตั๋ว เฉิงตั๋วกล่าวเสียงนุ่มนวล “เจ้าเฆี่ยนเช่นนี้ อีกไม่นานก็จะเฆี่ยนนางจนตายแล้ว”

เจ๋อเหรินก้มหน้าไม่พูดจา

เฉิงตั๋วเดินมานั่งยองๆ ยื่นมือไปกดแผลบนเอวของฉาฉา นางตัวสั่นเล็กน้อยอย่างอ่อนแรง เฉิงตั๋วถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง”

ฉาฉายังคงนอนหมอบนิ่ง เฉิงตั๋วกระชากผมให้นางเชิดหน้าขึ้น ทั้งสองคนมองสบตากัน สถานการณ์เช่นนี้มอบความคุ้นเคยประการหนึ่งให้ ในคืนวันข้ามปีคืนนั้น เขาเองก็กระชากผมนางเช่นนี้ ฉาฉานึกถึงการปลอบประโลมในค่ำคืนอันทุกข์โศกคืนนั้น จู่ๆ ความเศร้าก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ในดวงตาสีน้ำเงินครามถึงกับเปียกชื้น

เฉิงตั๋วเม้มปาก ทว่าไม่ได้พูดอะไร เขากดศีรษะนางให้กลับไปซุกบนท่อนแขนช้าๆ และยังคงวางมือค้างอยู่บนนั้นประหนึ่งสัมผัสสัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่ง เฉิงตั๋วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าติดตามข้ามาได้สิบสองปีแล้วใช่หรือไม่”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: