X
    Categories: LOVEทดลองอ่านทิวาหลอมทราย ชุด ม่านรักฐานันดร

ทดลองอ่าน ทิวาหลอมทราย ชุด ม่านรักฐานันดร บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทนำ

ทิวาธรณิน

 เขาจะหลอมละลายหัวใจ

ของเม็ดทรายที่แข็งแกร่งอย่างเธอ

ห้องบอลรูมของโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยดอกไม้นานาพรรณราวกับต้องการเนรมิตให้เป็นฉากแต่งงานของเจ้าชายกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย เพราะค่ำคืนนี้…ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานแต่งของซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง ‘ภาคิน’ และ ‘มุกตาภา’

“อย่าเข้าไปดีกว่านะครับ!”

ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในทีมงานออร์แกไนเซอร์ดูแลความเรียบร้อยหน้าห้องบอลรูมออกปากห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวสวยกำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน ร่างระหงอยู่ในชุดเดรสรัดรูปเปิดไหล่สีดำปักคริสตัลทั้งตัว

เธอรวบผมสีน้ำตาลแดงที่ทั้งหนาและยาวขึ้นเป็นหางม้าสูง แต่งหน้าอย่างโฉบเฉี่ยวเข้ากันดีกับลิปสติกสีแดง ใบหน้างามนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ และเขารู้ดีว่าเธอคนนี้คือ ‘ธรณิน ศุจินทรา’

เธอเป็นทั้งไฮโซและดีไซเนอร์ชื่อดังซึ่งไม่ควรมีเรื่องด้วยอย่างเด็ดขาด!

“ฉันจะเข้า…”

หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น ดวงตาดุจเหยี่ยวปรายไปมองคนพูดนิ่งๆ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดหวั่นไม่น้อย…

ธรณินไม่แปลกใจที่เขาจะเข้ามาห้ามเธอ เพราะเธอสวมเดรสสีดำ ทาปากแดง แถมหิ้วพวงหรีดมาในงานแต่งแบบนี้ เป็นใครก็ดูออกว่าเธอไม่ได้ ‘มาดี’ อย่างแน่นอน

“ถ้าคุณไม่ให้ฉันเข้าไป…เรามีเรื่องกันแน่”

ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มกว้างขึ้น แต่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำขู่ เพราะเธอตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ทั้งสายตาแน่วแน่ น้ำเสียงมั่นคง และท่าทางเย่อหยิ่งที่ดูมาดมั่นทำให้ผู้ชายคนดังกล่าวมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด…เขาทำงานในวงการออร์แกไนเซอร์มาหลายปี เขาย่อมรู้จักเธอดี และรู้ว่าเธอมีอิทธิพลมากแค่ไหน

มีแต่คนโง่เท่านั้นที่กล้าประกาศตัวเป็นศัตรูกับเธอ!

“คุณแกล้งทำเป็นไม่เห็นฉันก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณปล่อยให้ฉันเข้างาน”

ธรณินเสนอทางออกให้ เธอปรายตามองเข้าไปในห้องบอลรูมเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นทบทวนความคิดอีกครั้ง เวลานี้แขกทุกคนในงานกำลังสนใจพิธีตัดเค้กของคู่บ่าวสาว นักข่าวมัวแต่เก็บภาพบรรยากาศจนไม่มีใครสังเกตเห็นการมาของเธอ

ถ้าต่อจากนี้เกิดเรื่องขึ้นก็คงไม่มีใครมานั่งหาคนที่ปล่อยเธอเข้าไปในงานหรอก เพราะทุกคนคงโฟกัสแค่สิ่งที่เธอกำลังจะ ‘แฉ’

“รีบถอยออกไปและทำเป็นว่าคุณไม่เห็นฉัน”

ทีมงานคนดังกล่าวละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจทำตามคำแนะนำเจ้าของเรือนร่างงามราวกับนางฟ้าวิคตอเรีย’ส ซีเคร็ท เขาแสร้งเดินไปเข้าห้องน้ำราวกับว่าไม่เคยพูดคุยกับเธอมาก่อน

หญิงสาวกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปในห้องบอลรูมซึ่งเวลานี้คู่บ่าวสาวได้ตัดเค้กแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังโพสท่าถ่ายภาพกับเค้กก้อนโต

“ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ เลยนะคะ”

ธรณินจงใจพูดเสียงดังเพื่อให้ทุกคนหันมามองเธอ และมันได้ผล! เพราะแม้แต่คู่บ่าวสาวที่อยู่บนเวทีก็ยังหันมาสนใจเธอ

วินาทีที่ภาคินสบตากับธรณิน…เขาแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดเพราะไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมาเหยียบงานนี้ อีกทั้งยังมาพร้อมพวงหรีดดอกไม้จันทน์

ฉากนี้เคยเกิดขึ้นในละครที่เขาแสดง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง!

“ฉันขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”

ธรณินบอกพร้อมรอยยิ้มหวานแม้ในใจจะอัดแน่นไปด้วยความโกรธ

“คุณสองคนช่างเหมาะสมกันจริงๆ…เหมาะสมกันมากราวกับผีเน่ากับโลงผุ”

ฟุ่บ!

จบประโยคนั้นหญิงสาวก็โยนพวงหรีดดอกไม้จันทน์ขึ้นไปบนเวทีสร้างความฮือฮาให้กับผู้มาร่วมงานจนบางคนร้องกรี๊ด บางคนตกใจอ้าปากค้าง และบางคนหันไปซุบซิบกัน

ทว่าไม่มีใครสักคนที่จะเข้ามาห้ามเธอ อาจเพราะพวกเขากำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หรือเพราะสนุกกับละครน้ำเน่าที่มีให้ดูกันแบบสดๆ

ในตอนนั้นเอง! นักข่าวจากทุกสำนักไม่พลาดที่จะเก็บภาพบรรยากาศเอาไว้ ทั้งภาพถ่ายและวิดีโอซึ่งธรณินพอใจมาก เพราะนี่คือสิ่งที่เธอต้องการ

ยิ่งเป็นข่าวใหญ่ยิ่งดี ชื่อเสียงของสองคนนี้จะได้ยับเยินป่นปี้…ถึงแม้ว่าจะยังไม่สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำกับเพื่อนและหลานของเธอก็ตาม

“งานแต่งงานในค่ำคืนนี้ช่างงดงามราวกับภาพในเทพนิยาย แต่ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วมันแลกมาด้วยความเจ็บปวดและคราบน้ำตาของลูกกับเมียของคุณภาคิน!”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!”

ภาคินตวาดด้วยความโกรธราวกับ ‘ความลับอันมืดดำ’ ของเขากำลังจะถูกลากไส้ออกมา

ธรณินเห็นเขามีสีหน้าและท่าทางร้อนรนจนแทบสติแตกแบบนี้เธอก็ยิ่งพอใจ หญิงสาวยอมรับว่าเธอโกรธจนแทบจะพุ่งเข้าไปจิกหัวเขากดกับเค้กแต่งงานเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว แต่เธอกลับแสร้งยิ้มขบขันในขณะที่ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวพยายามมองหาออร์แกไนเซอร์หรือใครสักคนมาลากเธอออกไป

แต่…ใครจะกล้าในเมื่อธรณินคือผู้มีอิทธิพลในวงการคนหนึ่ง

“ไม่ต้องให้คนมาเชิญฉันออกไปหรอก ฉันพูดจบเมื่อไหร่ ฉันก็จะไปเอง”

ดีไซเนอร์สาวพูดดักทางทำให้ภาคินรับมือไม่ถูก ส่วนมุกตาภาก็อยากจะด่าและตอบโต้อีกฝ่ายกลับแทบตาย แต่เธอต้องกัดฟันข่มอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์นางเอกที่น่ารักอ่อนหวานซึ่งพยายามสร้างมาเกือบห้าปีคงจะถูกทำลายป่นปี้ในคืนนี้

“อ้อ…แล้วใครที่กำลังคิดว่าฉันคือเมียของคุณภาคินที่ทนเห็นงานนี้เกิดขึ้นไม่ได้จนต้องบุกมาทำลายงานแต่งก็รีบเปลี่ยนความคิดซะนะคะ เพราะฉันเป็นแค่ตัวแทนของเพื่อนฉัน แล้วคนอย่างฉันก็ไม่ใฝ่ต่ำหรือหน้ามืดตามัวไปคว้าผู้ชายเห็นแก่ตัว อดีตมีสันดานแมงดาเกาะผู้หญิงกินแล้วถีบหัวส่งอย่างนี้มาเป็นสามีแน่ๆ”

ธรณินรีบอธิบายก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ วาจาอันเผ็ดร้อนของหญิงสาวยิ่งทำให้ทุกคนฮือฮาด้วยไม่คิดว่าไฮโซที่เกิดในตระกูลผู้ดีเก่าอย่างเธอจะ ‘ปากแซ่บ’ ขนาดนี้

ถ้าตัดสินคนจากสเตอริโอไทป์หรือละครไทยที่เคยดูก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่เธอก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อยู่ในสังคมที่คลุกคลีกับคนหลายระดับ และมีความรู้สึกไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไป

เวลาโกรธจนอยากแหกหน้าคนจะให้ด่าด้วยคำสุภาพมันก็คงไม่สะใจ แค่เธอไม่ขึ้น ‘อี’ ขึ้น ‘ไอ้’ ก็นับว่ามีความอดทนมากแล้ว

“ฉันแค่ทนไม่ได้ที่เห็นหลานของตัวเองขาดพ่อทั้งๆ ที่แกเพิ่งจะอายุได้สามขวบ และทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเพื่อนที่อุตส่าห์ลดตัวไปคว้าผู้ชายอย่างนี้มาเป็นสามีแล้วยังถูกเขาทรยศหักหลังอีก”

ทุกคนในงานแทบจะไม่เชื่อว่าพระเอกที่มีภาพลักษณ์แสนดีอย่างภาคินจะเป็นคนอย่างที่ธรณินว่า แต่เธอเชื่อว่าคำพูดของเธอจะสะกิดใจให้ทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้จับตามองเขามากขึ้น

“คุณนี่มันใจ ‘เหี้ย…ม’ จริงๆ เลยนะ ตอนที่เมียกำลังตั้งท้องก็ลอบมาเล่นชู้กับนางเอกคู่จิ้ม เอ๊ย! คู่จิ้น ตอนเมียกำลังจะคลอดก็รีบขอหมั้นกับผู้หญิงอื่น”

“โห…” แขกในงานห่อปากด้วยความคาดไม่ถึง

ธรณินเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะแฉต่ออย่างออกรสชาติ

“แล้วพอเห็นว่าเมียน่าจะเลี้ยงลูกคนเดียวได้คุณก็รีบชิ่งหนีมาแต่งงาน ส่วนเธอนะตา…ฉันเสียดายหน้าตาหวานๆ สไตล์นางเอกพิมพ์นิยมของเธอจริงๆ ถ้านิสัยเธอไปทางเดียวกับหน้าตา เธอคงจะกลายเป็นดาวค้างฟ้าอีกคน แต่อีกไม่นานเธอคงจะดับเพราะนิสัยชอบแย่งสามีชาวบ้านนี่แหละ รู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายมีลูกมีเมียแล้วก็ยังอยากจะแย่ง แค่เพราะว่า ‘เกาะ’ เขาแล้วเธอมีงานมีเงิน”

“นี่คุณพูดเรื่องอะไร ผมกับตาไม่รู้เรื่องนะ”

ภาคินปฏิเสธแต่ท่าทางร้อนรนเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขายิ่งทำให้หลายคนคิดว่าคำพูดของธรณินมีมูลความจริง

คนอย่างเธอมีภาษีมากพอที่พูดอะไรแล้วก็ทำให้คนเชื่อถือ เพราะถ้าเธอไม่โกรธจริงๆ และถ้าสิ่งที่เธอพูดมันไม่เป็นความจริง ไฮโซที่มีทั้งชื่อเสียงและมีคนนับหน้าถือตาอย่างเธอคงไม่ทำแบบนี้

“ไม่รู้เรื่องเหรอคะ อยากให้ฉันพูดมั้ยว่าเมียเก่าคุณเป็นใคร”

ธรณินกอดอกอย่างสบายใจ ยิ่งเห็นภาคินกับมุกตาภาเหงื่อแตก เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

“แต่ฉันไม่บอกหรอกค่ะ ปล่อยให้นักข่าวไปขุดคุ้ยกันเองน่าจะสนุกกว่า เพราะฉันคิดว่าน่าจะเจอเรื่องอื่นที่สนุกกว่าเรื่องนี้อีกหลายเรื่อง”

“คุณภาคินมีลูกแล้วเหรอคะ!”

นักข่าวที่เก็บปากมานาน พอปะติดปะต่อเรื่องได้ก็เริ่มเข้าไปรุมล้อมภาคินกับมุกตาภาพร้อมระดมคำถามใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งราวกับลืมไปแล้วว่าค่ำคืนนี้เป็นงานแต่งงานของคนทั้งคู่

“เด็กคนนั้นเป็นใครครับ!”

“แบบนี้แสดงว่าคุณภาคินจดทะเบียนสมรสซ้อนเหรอคะ!”

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ผู้หญิงคนนี้โกหก!” พระเอกหนุ่มตอบเสียงดังเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรในเวลานี้

“ถ้าคิดว่าฉันโกหก…คุณนักข่าวก็ลองไปสืบดูสิคะ รับรองว่ามีเรื่องให้ขุดอีกหลายเรื่องเลยแหละ” ธรณินบอกใบ้อย่างอารมณ์ดี

คำพูดของเธอจะนำความหายนะไปสู่ภาคินกับมุกตาภาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทั้งสองคนยังมีเรื่องราวมากมายภายใต้หน้ากากอันสวยงามที่เปิดเผยไม่ได้

“เบื้องหลังของพระเอกนางเอกระดับซุป’ตาร์คู่นี้มันแซ่บยิ่งกว่าละครเมียหลวงเมียน้อยซะอีกค่ะ”

“พอได้แล้วน่ะ!”

ขณะที่ธรณินกำลังจะแฉต่อก็มี ‘ผู้กล้า’ คนหนึ่งตรงเข้ามาห้ามเธอด้วยการกระชากต้นแขนของเธอไว้ หญิงสาวจึงหันไปมองเขาด้วยความฉุนเฉียว แล้วเธอก็ต้องตกใจจนแทบผงะเมื่อประสานสายตาเข้ากับดวงตาสีนิลคมกริบของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่ง ‘ในอดีต’ เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ต่อให้ไม่ได้พบกันมาหกปีแล้ว แต่เธอยังจำดวงตาคู่นี้ได้…ไม่เคยลืม

“นี่คุณ! ฉันเจ็บนะ!”

หญิงสาวบอกอย่างไม่พอใจเมื่อถูกผู้ชายคนนั้นกระชากต้นแขนให้เดินออกไป ธรณินโกรธที่เขาใช้กำลังกับเธอและโกรธที่เขามาขัดขวางการ ‘ลากไส้’ พระเอกนางเอกจอมตอแหลคู่นั้น

ทว่า…ด้วยความตกใจที่ได้เจอ ‘เขา’ อีกครั้งในสถานการณ์นี้ทำให้ธรณินค่อนข้างเสียศูนย์จนทำอะไรไม่ถูก ตั้งตัวไม่ทัน และทั้งโกรธทั้งมึนงงไปหมด เธอจึงถูกเขากระชากแขนออกมาจากห้องบอลรูมจนได้

พอดึงสติกลับมาได้ ร่างระหงพยายามต้านทานแรงดึงของเขาเอาไว้ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ออมแรงที่กระทำกับเธอเลย ในที่สุดเธอก็ต้องยอมเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้

เอาเหอะ! แค่นี้งานแต่งก็เละแล้ว

หญิงสาวคิดในใจและถอดใจไม่กลับไปอาละวาดต่อ เพราะนักข่าวต่างเก็บภาพบรรยากาศตอนเธอแฉเอาไว้ราวกับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และรัวคำถามใส่ภาคินกับมุกตาภาไม่หยุด ด้วยว่าข่าวนี้มันฉาวมากจนหยุดสนใจไม่ได้ ไม่ต้องเดาเธอก็รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีข่าวใหญ่ตามมาแน่นอน

คิดได้ดังนั้นความฉุนเฉียวของธรณินจึงลดลงเพราะเธอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว หลังจากนี้เธอก็จะกลับบ้านแล้วรอฟังข่าวใหญ่ซึ่งเธอคิดว่าคงไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้หรอก เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวใหญ่มันไปไวจะตาย เผลอๆ อาจมีนักข่าวไลฟ์เหตุการณ์ลงแฟนเพจแบบเรียลไทม์ไปแล้วก็ได้

“ปล่อยฉันได้แล้ว!”

หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อถูกอีกฝ่ายกระชากแขนออกมาจนถึงล็อบบี้ของโรงแรม แต่เขายังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอสักที

ประโยคนั้นเหมือนจะบอกให้เขาได้สติเช่นกัน และเมื่อชายหนุ่มเห็นว่าพาเธอออกห่างจากห้องบอลรูมมาไกลมากแล้ว เขาจึงปล่อยแขนเธอตามคำสั่ง

ธรณินเจ็บบริเวณที่ถูกกระชากแต่เธอไม่แสดงท่าทีใดๆ เพราะไม่อยากเปิดเผยความอ่อนแอให้ผู้ชายคนนี้ได้เห็น ต่อให้เขาจะเคยรู้จักเธอดีมากกว่าใครๆ ก็ตาม

“คุณมันไม่เป็นลูกผู้ชาย ใช้กำลังกับผู้หญิง!” เธอชิงเป็นฝ่ายต่อว่าก่อน

“ถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณจะยอมหยุดอาละวาดมั้ยล่ะ” เขาถามเหมือนรู้จักเธอดี “ทำบ้าอะไรของคุณ คิดว่าถ่ายละครอยู่หรือไง”

ร่างสูงถามต่อด้วยน้ำเสียงเข้มจัด ดวงตาคมกริบที่มองมาและน้ำเสียงของเขากำลังตำหนิเธออย่างชัดเจน และนี่แหละที่ทำให้เธอฉุนขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วคุณล่ะทำบ้าอะไร คิดว่าตัวเองอยู่ในละครก็เลยทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นางเอกกับพระเอกเหรอถึงได้รีบลากฉันออกมา แหม! น่าเสียดายจัง ฉันกำลังสนุกอยู่เชียว” ธรณินลอยหน้าลอยตาตอบโต้

“แซนด์…”

ชายหนุ่มเรียกเธอด้วยชื่อเล่นอย่างคุ้นเคย เขาทำเสียงเหมือนอ่อนอกอ่อนใจกับเธอ และทำเหมือนผู้ใหญ่ที่อยากจับเด็กดื้ออย่างเธอมาตีสักครั้ง…การกระทำของเขาเหมือนเข็มแหลมคมที่จี้หัวใจเธอ

เขาไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อเล่นเธอด้วยเสียงนี้

ไม่มีสิทธิ์ทำเหมือนในอดีตเพราะเธอไม่ใช่เด็กดื้อของเขา…ไม่ใช่มานานแล้ว!

“ผมพาคุณออกมาก่อนเพราะรู้ว่าคุณมันร้ายกาจขนาดไหน แค่นี้คุณก็ทำลายงานแต่งของพวกเขาจนพังพินาศไปหมดแล้ว คิดบ้างมั้ยว่ากำลังทำลายอนาคตใคร คุณนี่มัน…ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ” เขาเว้นวรรคเหมือนให้เธอเลือกเติมคำในช่องว่างเอง แต่เธอรู้ว่าคำที่เขาเว้นไว้ไม่ใช่คำพูดดีๆ แน่นอน

“ถ้าคุณจำได้ว่าเมื่อก่อนฉันร้ายขนาดไหน คุณก็น่าจะรู้ว่าวันนี้ฉันร้ายได้มากกว่านี้อีก!” ธรณินพยายามข่มความโกรธเอาไว้ เธอไม่ปฏิเสธในสิ่งที่เขาต่อว่าและยอมรับมันอย่างไม่สะทกสะท้าน

เพราะเธอยินดีที่จะร้ายเพื่อปกป้องคนที่เธอรัก…

“แต่ฉันมีเหตุผลเสมอเวลาที่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง คุณอาจจะคิดว่าฉันทำในสิ่งที่ไร้วุฒิภาวะเหมือนในอดีต แต่ก่อนที่จะตัดสินใจว่าฉันเป็นคนเลว…รบกวนคุณไปถามสองคนนั้นก่อนว่าพวกมันทำอะไรกับเพื่อนฉันเอาไว้บ้าง ฉันถึงต้องถ่อมาแหกพวกมันจนถึงในงานแต่ง!”

หญิงสาวบอกก่อนจะเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมองร่างสูง ต่อให้ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจากการได้พบเขาจะพุ่งเข้ามารบกวนจิตใจเธอก็ตาม…ธรณินพยายามที่จะไม่แสดงท่าทีแยแส แต่ให้ตายเถอะ! เธอไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะต้องมาเจอ ‘ทิวา วงศ์เทวา’ ที่นี่หลังจากเลิกกับเขาไปหกปีแล้ว

ใช่! เขาคือแฟนเก่าของเธอ

แฟนเก่า…ที่เธอให้นิยามเอาไว้ว่าเหมือน ‘อ้วกที่เคยถุยลงพื้น’ ซึ่งเธอจะไม่มีวันกลับไปกินอีกเด็ดขาด!

บทที่ 1

โนสนโนแคร์

คฤหาสน์สไตล์ตะวันตกสีขาวหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางรั้วสูง มีทางเดินหลายร้อยเมตรที่ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังงามมีสนามหญ้าและสวนที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น น่าอยู่ราวกับปราสาท และที่นี่คือ ‘บ้าน’ อันแสนอบอุ่นของธรณินนั่นเอง

ติ๊ด…ติ๊ด…

ร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงสีขาวในห้องนอนอันหรูหรารู้สึกตัวเพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังรบกวนไม่หยุด เธอยังทำใจลืมตาขึ้นสู้กับแสงสว่างยามเช้าไม่ได้ แต่ก็ยังควานมือไปที่โต๊ะข้างหัวเตียงเพราะจำได้ว่าวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตรงนั้น จากนั้นก็ลืมตามองหน้าจอด้วยความหงุดหงิด

“ว่า…?”

คนถูกรบกวนเวลาพักผ่อนกรอกเสียงงัวเงียลงในโทรศัพท์มือถือหลังจากตัดสินใจกดรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาหาคือ ‘เอ’ หรือ ‘อรณัส’ ผู้ช่วยคนสนิทของเธอ

“คุณแซนด์กลายเป็นข่าวใหญ่แล้วนะคะ ยังจะมัวนอนอยู่อีก!”

น้ำเสียงจีบปากจีบคอของเกย์ออกสาวพูดอย่างร้อนรน แต่ธรณินก็ยังไม่สะทกสะท้านอยู่ดี เธอกลอกตามองบนเบาๆ พลางตำหนิผู้ช่วยอยู่ในใจว่าเขาจะโทรมาปลุกเธอด้วยเรื่องแค่นี้น่ะหรือ

ทำอย่างกับเธอไม่เคยตกเป็นข่าวไปได้!

“เพจเม้าท์ดารา สำนักข่าวทั่วไทย และทวิตเตอร์เม้าท์เรื่องคุณแซนด์บุกไปทำลายงานแต่งของคุณภาคินกับคุณตาจนติดเทรนด์อันดับหนึ่งของโลกเลยนะคะ พี่ร้อนใจจะแย่แล้วเนี่ย”

“เรื่องแค่นี้เองค่ะ”

ธรณินถอนหายใจเบาๆ ทั้งๆ ที่อรณัสร้อนใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก เพราะนักข่าวโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลจากเขาตั้งแต่เช้าซึ่งเจ้านายสาวอย่างธรณินก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้

หญิงสาวรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เธอทำลงไปจะต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ และที่เธอตัดสินใจทำแบบนั้นก็เพราะต้องการให้มันเป็นข่าวนี่แหละ ไม่อย่างนั้นเธอไม่ยอมทำเรื่องบ้าดีเดือดแบบนั้นแน่ๆ

“คุณแซนด์พูดแบบนี้แสดงว่าตั้งใจให้มันเป็นข่าวใหญ่เหรอคะ”

“ก็ใช่น่ะสิคะ ไม่งั้นแซนด์ไม่ยอมตกเป็นเป้าให้คนเม้าท์หรอกค่ะ”

“แล้วคุณแซนด์จะลงทุนทำถึงขนาดนั้นทำไมคะ พี่ว่าแค่โพสต์ลอยๆ ลงไอจีก็มีคนสนใจจนเอาไปทำข่าวและเชื่อมโยงไปถึงคนที่คุณแซนด์อยากแฉแล้วค่ะ ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย”

“แซนด์อยากปิดจ็อบให้เร็วที่สุดค่ะ”

หากธรณินออกมาโพสต์ ‘แซะ’ ผ่านโซเชียลอย่างที่อรณัสแนะนำ กว่าจะมีคนโยงเรื่องไปถึงสองคนนั้นเธอคงต้องรอเป็นชาติ บางทีอาจจะถูกโยงไปหาคนอื่นด้วยซ้ำ

อีกอย่างต่อให้เธอโพสต์แบบเอ่ยชื่อตรงไปตรงมาทั้งภาคินกับมุกตาภาก็คงไหวตัวทันจนหาข้ออ้างแก้ข่าวและเอาตัวรอดไปได้อย่างสวยงาม ที่สำคัญภาคินคงรีบไปปิดปากเพื่อนสนิทเธอไม่ให้พูด ไม่ให้แสดงตัว และฝากมาบอกให้เธอหุบปากเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ

ธรณินยอมรับบท ‘นางร้าย’ ไปทำลายงานแต่งก็เพื่อให้มันเป็นข่าวใหญ่ แล้วตามมาด้วยการขุดคุ้ยจนทุกคนได้เห็นธาตุแท้ของพระเอกนางเอกคู่จิ้นชื่อดังระดับ ‘ซุป’ตาร์’ คู่นี้ว่าภายใต้หน้ากากพระเอกนางเอกที่แสนดีนั้นความจริงแล้วเน่าเฟะขนาดไหน โดยเฉพาะฝ่ายชายที่เลวระยำที่สุดในสายตาเธอ

“คุณแซนด์ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอคะ”

“แล้วจะให้แซนด์รู้สึกอะไรล่ะ”

“ยังจะมาถามอีก! กลายเป็นข่าวแบบนี้คุณแซนด์เสียชื่อเสียงนะคะ”

“เสียชื่อเสียงเหรอคะ คนที่เสียชื่อเสียงมันคือผีเน่ากับโลงผุคู่นั้นต่างหาก” น้ำเสียงของธรณินดุเดือดขึ้น “แซนด์ไม่เชื่อหรอกว่าประชาชนจะโง่เข้าข้างสองคนนั้นแล้วถล่มด่าแซนด์อยู่ฝ่ายเดียว”

“มันก็ใช่ค่ะ แต่พี่ไม่อยากให้คุณแซนด์เสียชื่อเสียง”

“แซนด์ไม่ได้เป็นดารานะคะ ถูกด่านิดด่าหน่อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวคนก็ลืม”

“พี่ไม่อยากให้คุณแซนด์ของพี่โดนด่านี่คะ”

“เอาเถอะค่ะ! ยังไงงานแซนด์ก็ยังขายได้ แต่สองคนนั้นเป็นคนเบื้องหน้า มีข่าวฉาวแล้วงานหดแน่ๆ โดยเฉพาะข่าวนอกใจหรือเป็นชู้กับผัวชาวบ้าน แล้วสองคนนั้นก็ดันเลวครบสูตรซะด้วย แซนด์แค่โดนด่านิดหน่อย ถ้าแลกกับความฉิบหายของพวกมัน แซนด์ยอมค่ะ”

ธรณินบอกเพราะเธอคิดและตัดสินใจมาเป็นอย่างดีแล้ว

“ยังจะมีหน้ามาทำเสียงสะใจอีก” อรณัสอ่อนอกอ่อนใจกับเจ้านายของตน

มันก็จริงอย่างที่ธรณินพูดนั่นแหละว่าแบรนด์เสื้อผ้า ‘Sandra’ ติดตลาดแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวของเธอมาประกอบการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้า แล้วแฟนคลับของภาคินกับมุกตาภาก็ไม่น่าจะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เสื้อผ้าเธอ ที่สำคัญลูกค้าก็น่าจะแยกแยะได้

ถึงกระนั้นอรณัสก็ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของธรณินเสียหาย เพราะยังไงเธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใต้แสงไฟ มีหน้ามีตาในสังคม มีชื่อเสียง และยังเป็นน้องสาวของพระเอกชื่อดังอีกด้วย

“ว่าแต่…พี่เห็นคลิปที่พวกนักข่าวเอามาลง มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาดึงแขนคุณแซนด์ออกจากงาน เขาเป็นใครเหรอคะ รูปร่างหน้าตาดูดีใช่ย่อยเลยนะ”

อรณัสถามด้วยความสนใจเผื่อว่าจะเป็นคนรู้จักของธรณิน

“คุณแซนด์มีแพลนว่าจะขยายตลาดไปทำเสื้อผ้าผู้ชายด้วย ให้เขามาเป็นนายแบบก็ดีนะคะ”

“คลิปถ่ายเห็นผู้ชายคนนั้นชัดเจนจนพี่เออยากได้มาเป็นนายแบบเลยเหรอคะ” ธรณินถามอย่างร้อนใจ เธออาจจะคบกับทิวาในระยะเวลาไม่นาน แต่พี่ชายทั้งสองคนของเธอก็รู้จักเขาและอาจจำเขาได้

เธอไม่อยากให้คนใกล้ชิดรับรู้ว่าเธอโคจรกลับไปเจอเขาอีกครั้ง

“เห็นแค่ไม่กี่วิเองค่ะ แต่พี่เป็นผู้ช่วยคุณแซนด์นะคะ พี่ก็ต้องหูไวตาไวเป็นธรรมดา”

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ธรณินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หญิงสาวหวังว่าคนอื่นๆ คงไม่ช่างสังเกตเหมือนอรณัสหรอกนะ

“สรุปคุณแซนด์รู้จักเขามั้ยคะ”

“ไม่รู้จักค่ะ”

“อ้าว! แล้วทำไมเขากล้ามาดึงแขนคุณแซนด์ออกไปแบบนั้น”

“เขาเป็นคนรู้จักของนายภาคินกับยายตามั้งคะ เขาคงไม่อยากให้มีซีนแย่ๆ ในงานแต่งของคนรู้จัก” ธรณินตอบอย่างขอไปที ถ้าไม่จำเป็นเธอก็ไม่อยากเล่าเรื่องในอดีตให้อรณัสฟัง

“น่าเสียดายจังเลยนะคะ พี่ว่าเขาน่าสนใจมาก” อรณัสบอกอย่างเสียดายทำให้เรื่องของทิวาวิ่งวนเข้ามาในความคิดของเจ้านายสาวอีกครั้งทั้งๆ ที่เธอไม่อยากนึกถึงเขาเลยสักนิด

ธรณินเคยคบกับทิวาสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสาม ส่วนเขาเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกัน ในตอนนั้นชายหนุ่มเรียนจบได้สองปีแล้ว และกำลังเอาดีด้านการเขียนนวนิยาย

เมื่อก่อนทิวารูปร่างค่อนข้างผอมบางกว่าในปัจจุบัน เขาไว้ผมยาวประบ่า ชอบรวบผมครึ่งศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลามีไรหนวดบางๆ ประดับอยู่ เสื้อผ้าที่เธอมักจะเห็นเขาสวมคือเสื้อเชิ้ตบางๆ ปลดกระดุมสองเม็ดบน กางเกงยีน และรองเท้าผ้าใบง่ายๆ แต่ก็ดูดีมากจนรุ่นน้องสาวๆ มองเขาตาเป็นประกายทุกครั้งที่พบเห็น

ทิวาจัดเป็นหนุ่มเซอร์ในฝันของสาวๆ แบบครบสูตร!

ความจริงธรณินไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกหลุมรักผู้ชายเซอร์ๆ ได้เลย เพราะเธอชอบผู้ชายลุควัยทำงาน มาดดี แต่งตัวเรียบง่ายแต่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงพลาดไปคบกับเขาได้

“แล้วเท่าที่เช็กกระแสมาเทียบกันแล้วแซนด์โดนด่ากี่เปอร์เซ็นต์คะ”

หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากคุยเรื่องผู้ชายคนนั้นให้วุ่นวายใจอีกแล้ว ทว่า…ภาพของเขาที่เพิ่งเจอมาเมื่อคืนก็ยังรบกวนจิตใจเธอ

ทิวาในวัยสามสิบสองปีเปลี่ยนไปจากอดีตค่อนข้างมาก ตัวเขาสูงใหญ่ไม่ได้ผอมบางอย่างในอดีต เพราะน่าจะออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายยังมีไรเคราบางๆ ประดับอยู่ แต่เขาไม่ได้ไว้ผมยาวประบ่าเหมือนเดิมแล้ว ชายหนุ่มสวมชุดสูทสากลยิ่งส่งให้รูปร่างที่สูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรโดดเด่นขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าทิวาในเวอร์ชั่นใหม่ดูดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ก็แค่รู้จักแต่งตัวขึ้นเท่านั้นแหละน่า

ธรณินคิดในใจเพราะไม่อยากยอมรับว่าเขาน่าสนใจมากแค่ไหน

“ว่าไงคะพี่เอ” เธอถามซ้ำ

“แฟนคลับของคู่นั้นเขาหาว่าน้องแซนด์ ‘หิวแสง’ แต่พอดีกระแสเล่นชู้กันมันแรงมากจนดึงความสนใจจากประชาชนคนนอกเข้ามามุงได้ คนที่โดนถล่มก็เลยกลายเป็นคู่นั้น รวมทั้งแฟนคลับที่ออกตัวปกป้องทั้งคู่ด้วย ตอนนี้พวกเขาโดนขุดยกใหญ่เลยค่ะ แล้วคนก็พยายามจะสืบหาเมียกับลูกของนายภาคิน”

“แซนด์วางแผนอะไรแล้วไม่มีพลาดหรอกค่ะ”

ธรณินบอกแล้วว่ามันคุ้มค่าที่จะแลก ภาคินกับมุกตาภาจะได้รู้เสียบ้างว่าสิ่งที่ทั้งสองคนทำมันเลวร้ายแค่ไหน นี่เป็นแค่บทเริ่มต้นของ ‘กรรม’ ที่กำลังทำหน้าที่ตามสนองพวกเขาเท่านั้น

“แต่เกลียดคำว่า ‘หิวแสง’ จริงๆ นะคะ คนอย่างแซนด์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็มีแสงมีซีนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ธรณินเบ้ปากเบาๆ คนอย่างเธอน่ะไม่เคยอยากได้สปอตไลต์จากใครขนาดนั้น

“พี่รู้ค่าาา แต่…เป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้เพื่อนคุณแซนด์จะไม่ว่าอะไรเหรอคะ พี่อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เพราะมันอาจจะกระทบลูกของเธอด้วย” อรณัสถามด้วยความกังวลแทนเจ้านายสาว

จริงอยู่ว่าทั้งสองคนเป็นเพียงเจ้านายกับลูกจ้าง แต่อรณัสทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับธรณินมาตั้งแต่เธอเริ่มสร้างแบรนด์ Sandra ทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก เวลาที่อรณัสมีปัญหาชีวิต ธรณินก็ให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจ ทั้งสองคนจึงเปรียบเหมือนมิตรแท้ของกันและกัน

เมื่อไหร่ที่เจ้านายมีปัญหา อรณัสอดไม่ได้ที่จะทุกข์ร้อนใจไปด้วย เพราะเขาเองก็รับรู้เรื่องราวระหว่างธรณิน รศิตา ภาคิน และมุกตาภาดี ไม่แปลกเลยที่เขาจะคาดเดาปัญหาและเรื่องราวต่างๆ ได้

“เรื่องเดียวที่แซนด์เป็นห่วงก็คือเรื่องน้องภูนี่แหละค่ะ”

‘น้องภู’ หรือ ‘ภูดิส’ เป็นลูกชายวัยสามขวบครึ่งของภาคินกับ ‘รศิตา’ ตอนนี้แกเพิ่งจะเข้าโรงเรียนอนุบาล อยู่ในวัยช่างเรียนรู้และกำลังน่ารักน่าชัง ธรณินถึงได้โกรธมากที่ภาคินทิ้งลูกชายตัวน้อยได้ลงคอ ถ้าเธอเป็นพ่อเป็นแม่ของน้องภู เธอคงจะทั้งรักทั้งหลงจนไม่กล้าแม้แต่จะทำร้ายจิตใจแก

ต่อให้ธรณินจะขึ้นชื่อว่าเป็นสาวร้าย ขาวีน และเหวี่ยงแรง แต่เธอจะทำนิสัยเหล่านี้กับคนที่มาทำร้ายเธอก่อนเท่านั้น เพราะกับคนที่เป็นมิตรและรู้สึกดีๆ ต่อกัน…เธอจะน่ารักเสมอ

“แซนด์คิดว่าหลังจากเคลียร์งานวันนี้จะเข้าไปคุยกับเพื่อนที่บ้านค่ะ ยายศิน่าจะเห็นข่าวแล้ว” น้ำเสียงของธรณินอ่อนลง “ความจริงแซนด์ก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ ยายศิกลัวนายภาคินอย่างกับอะไร แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ยายศิก็ต้องน้ำตาตกในอยู่ฝ่ายเดียว แล้วปล่อยให้นายภาคินกับยายตาไปเสวยสุขกันสองคน”

“รับบทองครักษ์พิทักษ์เพื่อนว่างั้น”

“เป็นพี่เอจะยอมอยู่เฉยๆ เหรอคะ” ธรณินย้อนถาม

เธอเชื่อว่าใครอยู่ในสถานะอย่างเธอก็ต้องทนไม่ไหว

“แค่นี้ก่อนนะคะพี่เอ แซนด์อาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วเดี๋ยวเจอกันที่งานนะคะ”

“โอเคค่า เดี๋ยวพี่ดูแลงานทางนี้รอ”

ทั้งสองคนบอกลากันก่อนที่ธรณินจะวางสาย หญิงสาวแอบถอนหายใจเงียบๆ คนเดียวอีกครั้งก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียงเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน เธอหวังอยู่ลึกๆ ว่ารศิตาจะเข้าใจในการกระทำของเธอ

ธรณินหวังดีกับเพื่อนจริงๆ ถึงได้ยอมทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น…

 

“ยายแซนด์”

แต่งตัวเสร็จธรณินก็ลงจากห้องเพื่อออกไปทำงาน ทว่ายังไม่ทันเดินออกไปจากคฤหาสน์หลังงาม…เสียงของ ‘ยศภัทร’ ผู้เป็นบิดาก็เรียกเธอเอาไว้ก่อน

น้ำเสียงเข้มๆ ที่ฟังดูดุและเยือกเย็นผิดปกติทำให้ร่างบางจำต้องชะงักฝีเท้า หัวใจดวงน้อยหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะเธอรับรู้ว่าตนเองจะต้องถูกตำหนิอย่างแน่นอน

คุณพ่อกับคุณแม่นี่หูไวตาไวชะมัด

หญิงสาวคิดในใจขณะพยายามเรียกสติกลับมาและคิดว่าเธอจะเอาตัวรอดได้ยังไง จากนั้นก็มองไปทางห้องรับแขกแล้วเห็นว่าทั้งบิดา มารดา และพี่ชายทั้งสองคนนั่งรวมตัวกันอยู่

ทุกสายตามองมาที่เธอเป็นตาเดียว…

อยู่ครบองค์ประชุม!

หญิงสาวกรีดร้องอยู่ในใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะข่าวใหญ่ที่เกิดจากฝีมือของเธออย่างแน่นอนที่ทำให้ทุกคนมารวมตัวกันและทำท่าเหมือนนั่งรอ ‘ให้ศีลให้พร’ เธอก่อนออกไปทำงานแบบนี้

“แหม…อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะคะ”

ธรณินฉีกยิ้มกว้าง ปั้นหน้าปั้นตาให้ดูสดใสร่าเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งทุกคนนั่งรวมตัวกันอยู่

ร่างบางเข้าไปนั่งข้างๆ ผู้เป็นมารดาอย่าง ‘ทิพรดา’ แถมยังกอดท่านอย่างออดอ้อนและประจบประแจงตามประสาลูกคนเล็กเพื่อผ่อนโทษหนักให้เป็นเบา

ครอบครัวศุจินทราอาจมีเครือญาติไม่มาก แต่ก็สืบสกุลมาจากผู้ดีเก่า มีฐานะร่ำรวย มีหน้าตาในวงสังคม และเป็นที่จับตามองของใครต่อใคร ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทรัพย์สินและที่ดินในย่านธุรกิจอีกมาก เรียกได้ว่าแค่เงินจากค่าเช่าที่ในแต่ละปีก็มีมากมายจนแทบเหลือกินเหลือใช้

ทายาทตระกูลศุจินทราประกอบไปด้วย ‘ทิพากร’* พี่ชายคนโตวัยสามสิบหกปีผู้ทำหน้าที่บริหารบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว

‘วาริธร’** พี่ชายคนกลางวัยสามสิบสามปีซึ่งเป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับแถวหน้าของวงการแถมยังมีรีสอร์ตชื่อดังอยู่ที่เชียงราย

และธรณิน…น้องสาวคนเล็กในวัยยี่สิบเจ็ดปีผู้เป็นทั้งดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Sandra

ใครต่อใครต่างก็พูดกันว่าคนที่ได้เกี่ยวดองกับครอบครัวนี้โชคดียิ่งกว่า ‘หนูตกโกดังข้าวสาร’ และตอนนี้พี่ชายทั้งสองคนของธรณินก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว คงเหลือเพียงแค่เธอเท่านั้นที่ยังโสด!

“สายขนาดนี้แล้วทำไมพี่ซันกับพี่ซียังไม่ออกไปทำงานอีกคะ”

น้องเล็กปรายตาไปมองพี่ชายสุดหล่อทั้งสองคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะรู้ว่าที่พวกเขายังไม่ออกไปทำงานเพราะกำลังนั่งรอ ‘สวด’ เธอพร้อมกับบุพการี

“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อตาใส เราก็รู้ว่าทำไมพี่สองคนยังไม่ออกไปทำงาน” วาริธรตัดริบบิ้นเปิดงาน “คิดยังไงถึงบุกไปทำลายงานแต่งของนายภาคินกับยายตาแบบนั้น รู้มั้ยว่ามันจะเดือดร้อนมาถึงพี่ สองคนนั้นอยู่ช่องเดียวกับพี่ ใครๆ ก็รู้ว่าแซนด์เป็นน้องพี่ พวกนักข่าวคงไม่วายมาวุ่นวายกับพี่อีก”

“โห! มาเป็นชุดเลย”

“ก็เรามันวอนโดนด่า พี่ไม่บุกไปด่าเราถึงห้องนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แหม! พูดอย่างกับพี่ซีกลัวนักข่าว ระดับพี่ซีน่ะแคร์ด้วยเหรอคะกับข่าวพรรค์นี้”

ไม่ใช่ว่าธรณินจะไม่รู้ว่าข่าวนี้ส่งผลกระทบถึงพี่ชายคนรอง แต่พระเอกอย่างวาริธรไม่สนใจกระแสข่าวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่กล้าทำเรื่องที่มันจะเดือดร้อนไปถึงเขาหรอก

“อย่าทำหน้าเครียดสิคะพี่ซี เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

คนเป็นน้องยิ้มอ้อน แต่วาริธรยังไม่ยอมคลายสีหน้าหงุดหงิดลง

วาริธรเป็นพระเอกหนุ่มหล่อที่โดดเด่นและสะกดสายตา เขาเป็นพระเอกยอดนิยมของประเทศ รับเล่นละครแค่ปีละสองเรื่อง รับงานโฆษณาปีละไม่กี่ตัว งานถ่ายแบบและงานอีเวนต์ก็รับน้อยมากแม้ว่าจะมีคนติดต่อเข้ามาแทบทุกวัน เพราะเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เป็นพระเอกติสต์แตก ไม่แคร์กระแสหรือแม้กระทั่งนักข่าว เลือกรับงานจนเกือบจะเรียกได้ว่า ‘เรื่องมาก’ และพอถ่ายละครจบก็จะหนีไปขลุกอยู่ในรีสอร์ตที่เชียงราย ความร้ายกาจกับนักข่าวนี่เองที่ทำให้ได้ฉายา ‘พายุใต้ทะเล’ มาครอบครอง

ชายหนุ่มอาจจะไม่ค่อยโปรโมตตัวเอง ถึงกระนั้นกระแสของเขาก็ไม่เคยตกลงแม้แต่น้อย แล้วตอนนี้ก็มีคนติดตามอินสตาแกรมสูงเกือบห้าล้านคนแล้วทั้งๆ ที่เขาไม่ค่อยได้อัพเดตอะไร

แต่การที่วาริธรทำตัวแบบนี้กลับยิ่งทำให้ใครต่อใครสนใจอยากรู้เรื่องราวของพระเอกอย่างเขามากขึ้น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะนิสัยที่เหมือนจะร้ายทว่ากลับมีเสน่ห์ของเขา และอีกเหตุผลสำคัญคือฝีมือทางการแสดงของเขาที่ตราตรึงใจจนเรียกว่า ‘หาตัวจับยาก’ ก็ว่าได้

ด้านแฟนคลับของวาริธรเองก็เหมือนจะเข้าใจในธรรมชาติของเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมีข่าวฉาวเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนแรงสนับสนุนอันเหนียวแน่นจากคนเหล่านั้นได้เลย ขนาดเขาแต่งงานและมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอย่าง ‘จันทกานต์’ แต่ความนิยมของเขายังไม่ตกลงเลยสักนิด

ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองธรณินถึงได้มั่นใจว่าข่าวใหญ่ที่เกิดจากวีรกรรมของเธอเมื่อคืนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของวาริธรอย่างแน่นอน

“พี่ไม่ได้แคร์แต่พี่รำคาญ” วาริธรถอนหายใจ

“พี่ซีไม่ต้องตอบนักข่าวก็สิ้นเรื่องนี่คะ ใช่ว่าพี่ซีจะรับงานอีเวนต์บ่อยๆ เห็นถ่ายละครเสร็จก็บินไปหาเมียที่เชียงรายตลอด นักข่าวคงไม่ดั้นด้นไปสัมภาษณ์เรื่องแซนด์กับพี่ซีถึงเชียงรายหรอกค่ะ”

“ช่วยสะทกสะท้านบ้าง” พี่ชายคนโตมาดผู้บริหารอย่างทิพากรนั่งฟังอยู่นานก็อดจะเปรยขึ้นมาไม่ได้ “สิ่งที่แซนด์ทำอาจจะไม่กระทบกับงานของพวกเราโดยตรง แต่มันก็อาจจะทำให้ติดขัดเวลาทำงานนะ”

“นิตยสารของเราฝ่าวิกฤตจนกลับมาติดตลาดได้ พี่ซันจะกลัวอะไรคะ”

บริษัทศุจินทรามีนิตยสารในเครือหลายฉบับ มีสายส่งและโรงพิมพ์ครบวงจร ยศภัทรบริหารงานเองมาโดยตลอด กระทั่งท่านอายุมากขึ้นจึงส่งต่อให้ทิพากรบริหารแทน

แม้จะเป็นบริษัทที่ถือหุ้นกันในครอบครัวแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำยอดขายและมีค่าโฆษณาเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศไทย โดยนิตยสารส่วนใหญ่จะเน้นไปทางแฟชั่น เนื้อหาแปลกใหม่ บางเล่มเน้นความเซ็กซี่ บางเล่มเน้นความทันสมัย บางเล่มเน้นความคลาสสิก และบางเล่มเป็นนิตยสารสำหรับวัยรุ่น โดยมีกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงเป็นกลุ่มเป้าหมาย

ทิพากรใส่ใจงานสม่ำเสมอจนสปอนเซอร์ไว้ใจที่จะลงโฆษณาในนิตยสารอย่างต่อเนื่อง เพราะภาพลักษณ์นิตยสารทุกเล่มดูดีและได้รับการยอมรับในวงกว้าง แฟชั่นในแต่ละเล่มได้รับการชื่นชมไม่แพ้นิตยสารหัวนอก แถมยังมั่นใจได้ว่าโฆษณาที่ลงจะถูกส่งไปถึงกลุ่มเป้าหมาย

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาใครๆ ก็รู้ว่าสื่อสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะนิตยสารแบบรูปเล่มได้รับผลกระทบจากสื่อสิ่งพิมพ์แบบดิจิตอลจนทำให้ยอดขายลดลงและต่างทยอยปิดตัว เพราะประชาชนหันไปเสพข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งถูกกว่า รวดเร็วกว่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่า

ทิพากรจึงเผยแพร่นิตยสารในรูปแบบดิจิตอล ผันตัวมาเป็นสื่อออนไลน์เพื่อจะได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น ส่วนนิตยสารรูปเล่มก็เพิ่มมูลค่าด้วยลูกเล่นต่างๆ ให้ดูพรีเมี่ยมและเป็นเหมือนของสะสม

ในขณะที่นิตยสารเจ้าอื่นๆ ปิดตัวลง แต่นิตยสารในเครือต่างๆ ภายใต้การบริหารของทิพากรยังคงทำกำไรได้ ย่อมถือว่าเขามีฝีมือในการบริหารงานที่ไม่ธรรมดาเลย

“จริงอยู่ว่าแซนด์ไม่ได้เป็นดารา เป็นข่าวแบบนี้มันก็อาจไม่กระทบกับห้องเสื้อของแซนด์เท่าไหร่ แต่เราก็ควรคิดบ้างว่ามันจะทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ไม่สบายใจ เราโตแล้วนะ เลิกทำนิสัยเด็กๆ ได้แล้ว”

ทิพากรเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอเขาพูดถึงบุพการีขึ้นมาธรณินก็ถึงกับหน้าหงอยลง

เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มักจะคาดเดาความคิดใครต่อใครได้เสมอ ธรณินไม่แปลกใจเลยที่เขาทำให้สาวน้อยอย่าง ‘พราวมุก’ ตกหลุมพรางรักของเขา จนสุดท้ายก็ได้อีกฝ่ายมาเป็นภรรยาสมใจ

“ที่พี่เขาพูดก็ถูกนะลูก” ทิพรดาเห็นด้วย

“พ่อไม่ต้องออกปากเองเราก็น่าจะเข้าใจนะ” ยศภัทรเสริม

“แซนด์รู้ค่ะว่าสิ่งที่แซนด์ทำมันไม่ดี แซนด์ทำให้ครอบครัวเราถูกนินทาและอาจจะถูกมองไม่ดี แต่แซนด์ก็มีเหตุผลนะคะ” ธรณินพยายามอธิบาย “ทุกคนก็รู้ว่านายภาคินเป็นพ่อของน้องภู”

สมาชิกในครอบครัวศุจินทรารู้จักกับรศิตาเป็นอย่างดี เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของธรณินและเคยมาค้างที่นี่บ่อยๆ เวลารศิตามีปัญหาแล้วธรณินช่วยเพื่อนจนคิดไม่ตกก็จะนำมาปรึกษากับทิพรดาและยศภัทร พวกท่านก็เลยเอ็นดูรศิตาเหมือนลูกเหมือนหลาน ดังนั้นพวกท่านย่อมรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตของรศิตา

“ถ้าแซนด์ไม่ทำแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่านายภาคินทำชั่วอะไรไว้บ้าง แล้วยายศิก็คงต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าอยู่คนเดียว ส่วนน้องภูก็ต้องถูกพ่อใจดำทอดทิ้ง” ธรณินพูดอย่างใส่อารมณ์

ทุกคนเข้าใจดีว่าหญิงสาวรักและเป็นห่วงเพื่อนมากแค่ไหน แต่ก็กังวลว่าหากยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของรศิตามากเกินไปอาจทำให้ทั้งรศิตากับภาคินมีปัญหากันมากขึ้น

“เราคิดว่าพอคนอื่นรู้เรื่องนายภาคินแล้ว นายภาคินเสียชื่อเสียงสมใจ เขาจะกลับมารักและดูแลครอบครัวเหรอ ผู้ชายที่มีชู้ตอนเมียกำลังตั้งท้องมันจะคิดได้แค่เพราะถูกเราแฉงั้นเหรอแซนด์” ทิพากรพูดต่อ ซึ่งสิ่งที่เขาพูดก็มีความเป็นไปได้ คนอย่างภาคินไม่น่าจะสำนึกได้ง่ายๆ แบบนั้น

“แล้วจะให้แซนด์ทนเห็นมันทิ้งเพื่อนแซนด์ไปเสวยสุขกับผู้หญิงคนอื่นเหรอคะ”

“พวกเรารู้ว่าแซนด์รู้สึกยังไง” วาริธรบอกอย่างเข้าใจ “ศิกับแซนด์คบกันมาสิบห้าปี เป็นเพื่อนรักเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ต่างจากพี่น้อง การที่แซนด์เห็นศิต้องเจ็บปวดเพราะผู้ชายเลวๆ คนนั้นมันทำให้แซนด์เจ็บปวดไปกับศิด้วย แต่นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวเขานะแซนด์ เราจะไปยุ่งมากไม่ได้”

“ก็ยายศิเอาแต่ยอมหมอนั่นนี่คะ ไม่หือไม่อืออะไร พอถูกเขาทำร้ายจิตใจก็ปิดปากเงียบ เอาแต่เสียใจและแอบร้องไห้จนแซนด์กลัวเพื่อนจะเป็นซึมเศร้า แซนด์ไม่เข้าใจจริงๆ นะคะว่าทำไมยายศิต้องไปยอมมันด้วยทั้งๆ ที่ยายศิทั้งสวยทั้งเก่ง แถมยังนิสัยดีอีก คนอย่างยายศิหาผู้ชายคนใหม่ได้ไม่ยากหรอกค่ะ นี่แซนด์ยุให้ยายศิเลิกกับนายภาคินตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ ยายศิก็อ้างแต่อดทนเพื่อลูกอยู่นั่น”

ธรณินได้โอกาสก็ระบายความโกรธเหมือนเธอทนเก็บกดมานาน ความจริงหญิงสาวรู้ว่าเธอไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของรศิตาแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม

แต่…ที่ผ่านมาเธอก็อดทนที่จะไม่พูดและเอาแต่ปลอบใจเพื่อนมาตลอดหลายปี ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างภาคินกับรศิตาก็ไม่เคยดีขึ้นเลย

เพื่อนเธอรักฝ่ายชายจนยอมทุกอย่าง ส่วนฝ่ายชายก็ลำพองใจทำเลวกับเพื่อนเธอสารพัด ทั้งละเลยความรู้สึก ไม่มีเวลาให้ ไม่เอาใจใส่ ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจตลอดเวลา ขนาดมีลูกด้วยกันยังไม่คิดจะแยแส จากที่เคยทนเงียบมานาน ธรณินก็ทนไม่ไหวจนถึงขั้นต้องออกปากเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อน

“ทำอย่างกับว่าไอ้ที่ทนอยู่ทุกวันนี้ทำให้ผู้ชายแบ่งเวลามาให้ลูกหรือใส่ใจครอบครัวมากขึ้น นับวันนายภาคินยิ่งไม่เห็นหัวยายศิกับลูก ไม่งั้นจะไปแต่งกับยายตาทั้งๆ ที่น้องภูเพิ่งจะสามขวบครึ่งเหรอคะ”

“แล้วเราไปพังงานแต่งนายภาคินซะเละเทะแบบนั้นจะไม่ทำให้เพื่อนเรามีปัญหากับเขาเหรอ ถ้าศิต้องเป็นฝ่ายยอมนายภาคินมาตลอด พี่ว่างานนี้นายภาคินโกรธเราจนเอาไปลงกับเพื่อนเราแน่ๆ” ทิพากรคาดเดา

เขากลัวจริงๆ ว่าการที่ธรณินออกตัวแรงเบอร์นี้จะทำให้เธอกลายเป็น ‘หมา’

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิคะ ยายศิจะได้ตาสว่างแล้วเลิกกับผู้ชายสารเลวพรรค์นั้นสักที”

หญิงสาวพูดด้วยความเชื่อมั่นว่ายังไงรศิตาก็ต้องเข้าใจในการกระทำของเธอและไม่มีทางเห็นผู้ชายเลวๆ คนนั้นดีกว่าเพื่อนที่คบกันมาถึงสิบห้าปีอย่างเธอแน่ๆ

“ถ้ามันเป็นอย่างที่เราคิดก็ดี” วาริธรอวยพรให้น้องสาวอยู่ในใจ

ทว่า…ลึกๆ เขากลับหวั่นใจแทนธรณินว่าบางทีเรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิด!

 

ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: