บทที่ 1
เมื่อพั่วเยวี่ยลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทำให้ตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงหินแปลกตา
นางลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน ขณะจ้องมองไปรอบกายพร้อมรังสีฆ่าฟันพวยพุ่ง มือข้างหนึ่งก็คลำหาดาบข้างเอวทว่าพบเพียงอากาศธาตุ นางจึงก้มศีรษะลงมองด้วยความสงสัยก่อนจะตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
ชุดเกราะสีดำสนิทของนางหายไปแล้ว ดาบปีศาจจันทร์เสี้ยวก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน อาวุธวิเศษที่ใช้งานได้ในสนามรบก็ไม่เหลือเลยสักชิ้น เรื่องนี้ทำให้นางทั้งตกใจทั้งโมโหยิ่งนัก
พวกคนสารเลวหน้าไหนกันกล้าปล่อยให้นางนอนตัวเปล่าเปลือยอยู่บนเตียงน้ำแข็ง!
พั่วเยวี่ยดีดนิ้วร่ายอาคมมารทันที อยากเสกเสื้อผ้าออกมาสักชุดหนึ่ง กลับพบว่าไม่อาจใช้อาคมได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเสื้อผ้าครบชุด ขนาดเสื้อเอี๊ยมสักตัวก็เสกออกมาไม่สำเร็จ แม้ว่านางจะไม่เคยสวมเสื้อเอี๊ยมก็ตามที
นางกระโดดลงจากเตียงอย่างเดือดดาล ดวงตาถมึงทึงมองกวาดไปทั่วบริเวณ ภายในห้องโถงหินนอกจากเตียงน้ำแข็งแล้วก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง มีเพียงสิ่งเดียวซึ่งพอใช้งานได้ก็คือผ้าม่านที่แขวนอยู่ตรงประตู นางเดินปรี่ไปกระชากมันลงมา จับผ้าม่านพันตัวต่างเสื้อผ้าแล้วผูกมัดเป็นปม แม้ต้องเปลือยไหล่ มือโผล่ หรือเห็นเรียวขา แต่ตำแหน่งสำคัญที่ควรปกปิดก็ปกปิดได้ครบถ้วน อย่างน้อยก็ดีกว่าปิดส่วนไหนไม่ได้เลย
ถ้าหากรู้ว่าผู้ใดกล้าเปลื้องผ้านางเช่นนี้นางจะต้องเอาคืนชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ใช่แค่เปลื้องผ้าอีกฝ่าย นางจะถลกหนังออกมาด้วยซ้ำ!
พั่วเยวี่ยย่ำเดินเท้าเปล่าไปบนพื้นดินคลำหาแนวทางเดินนอกห้องโถงหินออกไป เดิมทีนึกว่าจะมีคนเฝ้าด้านนอกเอาไว้ แต่หลังพ้นทางเดินสายนี้แล้วกลับยังไม่พบเจอใครเลยสักคน
พอนางเดินมาถึงปากทางถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ถ้ำหินแห่งหนึ่งตรงไหล่เขา น้ำตกนอกถ้ำที่ไหลเซาะก้อนหินลงไปเบื้องล่างก่อเกิดเป็นม่านน้ำบางๆ ช่วยอำพรางถ้ำหินแห่งนี้เอาไว้อย่างมิดชิด
ตอนอยู่ในถ้ำนางไม่อาจแยกแยะเวลากลางวันกลางคืนได้ จนกระทั่งมองเห็นดวงจันทร์กระจ่างลอยเด่นกลางท้องฟ้านอกม่านน้ำถึงรู้ว่าล่วงเข้ายามค่ำคืนแล้ว
พั่วเยวี่ยรู้สึกสับสนงุนงงเหลือจะกล่าว ไม่เข้าใจว่าตนมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร นางลองเค้นหาในความทรงจำก็นึกได้ว่าเกิดสงครามใหญ่ระหว่างเซียนและมาร จำได้ว่าตัวเองอยู่ในสนามรบ แต่นางนึกรายละเอียดอย่างอื่นไม่ออกชั่วขณะกลับยิ่งทำให้สติเลอะเลือนไปกันใหญ่
นางสะบัดศีรษะไปมา ช่างเถิด ไม่ว่าอย่างไรกลับแดนมารก่อนค่อยว่ากัน
ขณะที่คิดจะร่ายอาคมมารเพื่อไปจากที่นี่สายตานางก็ชำเลืองมองลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจจึงได้เห็นเงาร่างของใครบางคนเข้า นางสะดุ้งตกใจรีบก้มหมอบลงโดยพลัน
ปลายทางของน้ำตกที่ไหลรินลงเบื้องล่างเป็นสระน้ำ และก้อนหินขนาดใหญ่ที่สูงเด่นขึ้นมาตรงกลางสระมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่
นางโผล่หน้าออกไปเล็กน้อยอย่างเงียบๆ จ้องมองคนผู้นั้นตาไม่กะพริบ
ชุดสีขาวลวงตา จิตใจเสแสร้งมีคุณธรรม ไอเซียนจอมปลอมแผ่กระจาย…นางมองไม่ผิดแน่ เป็นเขานี่เอง เซียนกระบี่ต้วนมู่ไป๋!
เรียกว่าเดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่ได้ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรงโดยแท้ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเผ่ามารมาอยู่ตรงนี้เสียได้!
คนผู้นี้ค่ำมืดดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่
พอเห็นเขานั่งขัดสมาธิ หลับตาสำรวมจิตดูเหมือนกำลังบำเพ็ญเพียร…อ้อ นางเข้าใจแล้ว บริเวณนี้อยู่ในที่ลับตาผู้คน พลังวิญญาณเปี่ยมล้น เป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมสำหรับการปลีกตัวฝึกตนพอดี
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวนวลดั่งจันทร์เสี้ยว รัศมีเซียนรอบกายเปล่งปลั่งเรืองรอง วางตัวโดดเด่นเป็นเป้าธนูของผู้อื่น ถ้าหากนางไม่ฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตีคงรู้สึกผิดต่อเขาน่าดูทีเดียว
เวลาปลีกตัวฝึกตนพลังทั้งหมดจะใช้ไปเพื่อเปิดเส้นชีพจรทั่วร่าง ดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดิน นับเป็นช่วงประตูสวรรค์เปิดกว้าง พลังปราณคุ้มกายอ่อนแอที่สุด มิน่าเล่าเขาถึงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ควรสังหารเขาตั้งแต่ตอนนี้ เพราะโอกาสช่างหาได้ยากยิ่ง
จิตสังหารของนางแผ่ซ่านชัดเจน ทันใดนั้นนางก็กระโดดทิ้งตัวลงไปพร้อมใช้พลังมาร นิ้วมือทั้งห้างองุ้มดุจกรงเล็บพุ่งจู่โจมกลางกระหม่อมของเขาเพื่อช่วงชิงปราณดั้งเดิม
การกลืนกินปราณดั้งเดิมของเซียนช่วยเพิ่มอิทธิฤทธิ์ได้ ส่วนปราณดั้งเดิมของเซียนกระบี่นั้นจะเพิ่มพลังยุทธ์ได้ร้อยปี
นางหมายมั่นว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ทุ่มเทสุดพลังโดยเล็งเป้าหมายตรงไปที่เขา คาดไม่ถึงว่าจะพบความผิดปกติกลางทาง คิดแล้วก็ประหลาดใจ เพราะเหตุใดเป้าหมายคล้ายจะเอียงข้าง เหมือนเล็งไม่ตรงเป้า? นางรีบร้อนกระตุ้นลมปราณ แต่กลับต้องตกใจเมื่อพบว่าจุดตันเถียนว่างเปล่า!
พั่วเยวี่ยตกใจหน้าถอดสี ถ้าหากกระตุ้นลมปราณไม่ได้ก็ไม่อาจสำแดงอานุภาพพลังมาร ตอนนี้ส่งตัวเองมาถึงที่ ไม่เรียกว่าฆ่าตัวตายสิถึงจะแปลก!
แต่ไหนแต่ไรมาท่วงท่ายามนางพุ่งทะยานลงมาน่าเกรงขามประหนึ่งเหยี่ยวนักล่าบินโฉบจับกระต่าย หลังจากตกใจชั่วขณะเพราะไม่อาจใช้อิทธิฤทธิ์ได้นางก็กวัดแกว่งแขนขาสุดชีวิต กลายเป็นเป็ดแล้งหวาดกลัวลนลานตัวหนึ่งแทน
จบสิ้นแล้ว…จบสิ้นแล้ว อีกเดี๋ยวต่อให้ไม่ตายก็สาหัสปางตายอยู่ดี!
พั่วเยวี่ยร่วงลงกลางสระน้ำไปโดยตรง แรงปะทะมหาศาลบนผิวน้ำถาโถมเข้ามากระแทกหนักหน่วงจนกระดูกนางแทบจะแหลกเป็นชิ้นแล้ว สายน้ำเย็นยะเยือกแทรกซึมห่อหุ้มร่างนางไปทุกส่วนในพริบตา นางพยายามร่ายอาคมสุดชีวิต กลับต้องตกใจเพราะแม้กระทั่งอาคมกันน้ำที่ง่ายดายที่สุดก็ใช้ไม่ได้ผล
เมื่อไม่มีอาคมกันน้ำก็หมดปัญญาจะหายใจใต้น้ำได้ นางดิ้นรนอย่างตื่นตระหนก แขนขายิ่งออกแรงเตะปัดป่ายมากเท่าใด ร่างกายก็ยิ่งจมดิ่งลึกลงไปมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายจุดจบของนางก็คือจมน้ำตายอย่างนั้นหรือ น่าสมเพช ช่างน่าสมเพช ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปนางไม่ถูกเผ่าปีศาจกับเผ่ามารสองเผ่านี้หัวเราะเยาะแทบขาดใจสิถึงจะแปลก!
ชั่วขณะที่เริ่มหายใจไม่ออกก็รู้สึกอึดอัดเจ็บร้าวในอก พั่วเยวี่ยนึกว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว ทันใดนั้นก็มีคนช้อนร่างนางขึ้นไปจนโผล่พรวดเหนือผิวน้ำ พอได้สัมผัสกับอากาศนางก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ในที่สุดก็มีคนมาช่วยแล้ว นางคิดก่อนจะเป่าปากโล่งอก รอกระทั่งเรียกสติกลับมาได้จึงพบว่ามือสองข้างของตัวเองกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น นางขยับเว้นระยะห่างเล็กน้อย มองสบกับดวงตาเรียบนิ่งเย็นชาคู่หนึ่ง
ชุดสีขาวลวงตา จิตใจเสแสร้งมีคุณธรรม ไอเซียนจอมปลอมแผ่กระจาย…คนที่ช่วยชีวิตนางเป็นบุรุษเย็นชาชื่อเสียงโด่งดังในแดนเซียน ศัตรูคู่อาฆาตที่มีเงินรางวัลนำจับสูงสุดในแดนมาร
พั่วเยวี่ยสีหน้าแข็งทื่อ จบสิ้นแล้ว เมื่อเทียบกับถูกต้วนมู่ไป๋ฆ่าตายไม่สู้จมน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด
สีหน้าของนางตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าคนตาย ทว่าแววตาของเขากลับอ่อนโยนดุจสายน้ำ
“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง จะมาเล่นน้ำส่งเดชได้อย่างไร”
พั่วเยวี่ยเบิกตาโพลงมองเขา สีหน้าแข็งทื่อแปรเปลี่ยนเป็นระแวงสงสัยทีละนิด ยามศัตรูคู่อาฆาตเผชิญหน้ากันดวงตาจะแดงก่ำเป็นพิเศษมาแต่ไหนแต่ไร แววตาอ่อนโยนปานนี้ของเขามันเรื่องอะไรกัน
“ต่อให้อยากเล่นน้ำก็ควรสวมเสื้อผ้าสักชิ้นสิ หรือว่าเจ้าอยากยั่วยวนข้า?”
นางชะงักค้างแล้วก้มศีรษะลงมองถึงได้พบว่าผ้าม่านที่ใช้ห่อตัวหายไปแล้ว เป็นไปได้แปดส่วนว่าคงถูกน้ำซัดจนหลุดร่วงไป เวลานี้นางจึงเปลือยกายล่อนจ้อน
พั่วเยวี่ยรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่งม เวลาต้วนมู่ไป๋เผชิญหน้ากับนางล้วนมีท่าทีเย็นชาปานน้ำแข็ง ไอเซียนคุ้มครองร่างกายเจ้าตัวประหนึ่งดาบคมกริบทำให้ปีศาจหรือมารตนใดไม่อาจเข้าใกล้ แต่ตอนนี้นอกจากเขาจะโอบกอดนางไว้ ดวงตายังแฝงรอยยิ้ม ท่าทีสุภาพนุ่มนวล น้ำเสียงยามพูดคุยราวกับหยอกล้อคนรักกระนั้น
เขาไม่ใช่ต้วนมู่ไป๋!
นางมีสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงปลอมตัวเป็นเซียนกระบี่”
ต้วนมู่ไป๋ไม่มีทางสุภาพมีมารยาทกับนางเช่นนี้ นางตามยั่วยวนเขามานานเป็นร้อยปีแล้วไม่เคยทำสำเร็จเลยสักหน ต่อให้ยั่วยวนตรงหน้าด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่าเขาก็ไม่หลงกลอยู่ดี
“เป่าเอ๋อร์ กล้าว่าอาจารย์ปลอมตัวมาอย่างนั้นหรือ น่าตีนัก” เขาว่าพลางยื่นมือออกมาดีดปลายจมูกนางเบาๆ กิริยาท่าทางสนิทสนมเช่นนี้พานทำให้นางตกตะลึงตาค้าง
เป่าเอ๋อร์? อาจารย์? นี่เขากำลังพูดอะไร
เขาใช้อาคมชำระน้ำทำให้ร่างกายของนางแห้งสบายในชั่วพริบตา จากนั้นก็ยื่นมือคว้าเสื้อคลุมตัวหนึ่งในอากาศธาตุมาห่อเรือนร่างอรชรเปลือยเปล่าเอาไว้มิดชิดแล้วช้อนตัวอุ้มนางเหาะเหินขึ้นไปข้างบน
พั่วเยวี่ยถูกอุ้มมาตลอดทางจนถึงห้องโถงหิน รอจนกระทั่งนางได้สติกลับคืนเขาก็วางร่างนางบนเตียงน้ำแข็งแล้ว
“นั่งอยู่บนนั้นอย่าไปไหนนะ เตียงน้ำแข็งช่วยให้จิตใจสงบได้ นอนลงไปดีๆ สิ” เขาสั่งกำชับเสร็จก็หมุนกายเดินออกจากห้องไป
พั่วเยวี่ยเบิกตาโพลงมองออกไปนอกประตูอย่างตกตะลึง ในความทรงจำเหมือนมีบางสิ่งค่อยๆ ตื่นขึ้นมา นางนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน รีบก้มหน้าแหวกเสื้อคลุมของตัวเองเผยให้เห็นทรวงอกนวลเนียนและงดงามคู่หนึ่ง
นึกออกแล้ว!
ตอนเกิดสงครามใหญ่ระหว่างเซียนและมาร…นางในฐานะแม่ทัพของเผ่ามารรับคำสั่งท่านจอมมารนำกำลังกองทัพมารบุกจู่โจมยอดเขาวั่งเยวี่ย
ยอดเขาวั่งเยวี่ยเป็นสถานที่พำนักของต้วนมู่ไป๋ เมื่อกำลังทหารสองฝ่ายเข้าปะทะกันนางกับเขาก็ต่อสู้กันด้วยคาถาอาคม หลังจากประมือกันไปนับพันกระบวนท่านางเริ่มตกเป็นรอง ยังไม่ทันหลบหนีไปไหนก็ถูกกระบี่ซื่อหมัวในมือเขาแทงทะลุหัวใจในคราวเดียวจนดวงจิตและวิญญาณหลุดออกจากร่าง
บนหน้าอกเดิมทีสมควรมีรอยแผลเป็นจากกระบี่กลับมองเห็นเพียงผิวพรรณขาวกระจ่างไร้ตำหนิ อีกทั้งยังคงอวบอิ่มกลมกลึง แต่ไม่เห็นร่องรอยบาดแผลใดๆ เลย
เป็นไปไม่ได้ หรือว่านี่คือโลกมายา?
ใช่แล้ว มีเพียงในโลกมายาเซียนกระบี่ถึงจะอ่อนโยนกับนางผิดปกติปานนั้น แล้วยังอธิบายได้ด้วยว่าเหตุใดบนร่างกายของนางจึงไร้บาดแผล
เพื่อพิสูจน์การคาดคะเนของตัวเอง พั่วเยวี่ยมองหาทั่วทุกมุมในห้องโถงหิน ถ้าหากเป็นโลกมายาต้องมีช่องโหว่อยู่แน่นอน นางต้องทำลายมันให้จงได้
ใครจะรู้ว่านางบังเอิญเห็นโอ่งน้ำใบหนึ่งในห้องโถงหิน ทันทีที่เห็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำนางก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ
ในน้ำมีคนด้วย!
นางเหลียวซ้ายแลขวา พออ้าปากจะตะโกนเรียกคนกลับนึกขึ้นมาได้อีกว่าตัวเองอยู่ในโลกมายา ตะโกนเรียกไปก็ไร้ประโยชน์จึงปิดปากสนิท นางลังเลอยู่ชั่วครู่ เห็นว่าคงไม่มีอันตรายใดก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังแล้วชะโงกหน้าจ้องมองเงาสะท้อนในน้ำ
เงาสะท้อนเป็นภาพใบหน้าอ่อนเยาว์งามพริ้มเพราอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี เด็กสาวผู้นั้นเบิกตาโพลงจ้องมองนาง ส่วนนางก็จ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน นางกะพริบตา เด็กสาวผู้นั้นก็กะพริบตา นางก้มศีรษะลง เด็กสาวผู้นั้นก็ก้มศีรษะลง
ผิวน้ำสะท้อนภาพใบหน้านาง แต่กลับไม่ใช่ใบหน้านาง!
พั่วเยวี่ยลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างตกตะลึงก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะเหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนอื่นไปได้
นางเข้าใจกระจ่างโดยพลัน มิน่าเล่าแววตายามต้วนมู่ไป๋มองนางรวมถึงท่าทีที่มีต่อนางถึงผิดแผกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่ามองนางเป็นใครอีกคนไปแล้ว
นางมั่นใจว่าคงเพราะหลังถูกเขาใช้กระบี่ซื่อหมัวแทงตาย ดวงจิตและวิญญาณไม่รู้ว่าเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวผู้นี้ได้เช่นไร นางเดิมทีดวงจิตและวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วกลับได้อาศัยร่างของผู้อื่นเกิดใหม่อีกครั้ง หรือว่าสาเหตุที่นางไม่อาจสำแดงอานุภาพพลังมาร ไม่อาจกระตุ้นลมปราณ เป็นเพราะเปลี่ยนมาอยู่ในอีกร่างหนึ่งอย่างนั้นสินะ?
“บอกให้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เชื่อฟังกันอีกแล้ว” เสียงตำหนิเบาๆ ของบุรุษดังมาจากข้างหลัง แขนแข็งแรงช้อนร่างบางขึ้น อุ้มนางที่กำลังเหม่อลอยกลับไปที่เตียงน้ำแข็ง
“วิญญาณดั้งเดิมของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ถึงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วแต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ ต้องพักผ่อนให้มาก”
แม้จะเป็นใบหน้านั้นเหมือนเดิม แต่เพราะไม่มีความเย็นชาอยู่อีกแล้วจึงให้ความรู้สึกแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พอเห็นต้วนมู่ไป๋มองด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นนี้ ต่อให้นางรู้จักบุรุษผู้นี้มานานหลายร้อยปีก็ยังไม่คุ้นชินกับใบหน้านี้ของเขาอยู่ดี เพราะมันใกล้ชิด แพรวพราว และชวนขนลุกเกินไปแล้ว
นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเซียนกระบี่ที่เย็นชาทั้งภายนอกภายในมาแต่ไหนแต่ไรก็มีแง่มุมอ่อนโยนเป็นมิตรเช่นนี้ด้วย
จริงสิ เขาเรียกข้าว่าเป่าเอ๋อร์ แล้วก็เรียกแทนตัวเองว่าอาจารย์ ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของเขาไปแล้ว?
จู่ๆ ปลายคางก็ถูกฝ่ามือประคองขึ้นมาประสานเข้ากับสายตาห่วงใยของเขา “เหตุใดเจ้าถึงเงียบไปเล่า”
พั่วเยวี่ยมองเขาตาปริบๆ ลองเอ่ยเรียก “อาจารย์?”
“หืม?”
ดูท่าเขาคงมองไม่ออกว่าเป็นนางจริงๆ เห็นเป็นลูกศิษย์ของตัวเองไปแล้ว
“อาจารย์ ศิษย์สัมผัสได้ว่าจุดตันเถียนว่างเปล่า กระตุ้นพลังลมปราณไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
เขาบอกว่าร่างกายนางยังอ่อนแอ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างนี้ ทำได้แค่หาวิธีหยั่งเชิงถาม แต่ก็กลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงต้องเลือกถามแบบกว้างๆ ไปสักหน่อย
“เจ้าถูกเผ่ามารทำร้าย แม้จะรอดตายมาได้หวุดหวิด วิญญาณดั้งเดิมกลับได้รับบาดเจ็บ อาจารย์ปกป้องวิญญาณดั้งเดิมไว้ได้แล้ว แต่เจ้ายังต้องพักผ่อนให้มาก”
ถูกเผ่ามารทำร้าย? นางเข้าใจแล้ว คิดว่าร่างนี้คงได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนเกิดสงครามระหว่างเซียนและมาร เจ้าของร่างเดิมคงตายในสนามรบไปแล้วแน่ วิญญาณของนางจึงฉวยโอกาสเข้าครอบครองอาศัยร่างนี้เพื่อฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นเด็กดี อย่าไปไหนนะ อาจารย์ยังต้มยาไม่เสร็จ ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับมา” ต้วนมู่ไป๋สั่งกำชับไว้หลายคำก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องโถงหินไป
รอจนกระทั่งคนเดินจากไปแล้วพั่วเยวี่ยพลันกลอกตาไปมา มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
ฮ่า เรื่องนี้ชักน่าสนุกแล้วสิ เดิมทีนางเป็นคนของเผ่ามาร ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียร แล้วยังเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ด้วย
จอมมารมีสี่ขุนพลใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชา แบกออกเป็นเฮยซ่า ลี่อู่ ชุยซิน และเยี่ยนสื่อ จอมมารอยากปราบเซียนกระบี่ให้ราบคาบมานานแล้ว สี่ขุนพลใหญ่ต่างยื้อแย่งกันหมายสร้างความดีความชอบนี้ก่อนใคร สำหรับนางในฐานะขุนพลเยี่ยนสื่อ เพื่อหาทางปราบต้วนมู่ไป๋ให้จงได้ เคยพยายามทำทุกวิถีทางในการยั่วยวนเขามาแล้ว
ไม่ว่าจะแสร้งทำตัวน่ารัก ใสซื่อ หรือว่าน่าสงสาร งัดสารพัดอุบายออกมาใช้จนหมดสิ้น แต่ก็ยังล่อลวงเขาให้ตบะแตกไม่ได้เลย
เซียนกระบี่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่แยแสสนใจเรื่องใดหรือใครหน้าไหน ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีลูกศิษย์คนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนางมองออกว่าเขารักใคร่เอ็นดูลูกศิษย์คนนี้นัก
เมื่อกลายเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ก็มีโอกาสจัดการเขามากกว่าเดิม ดูท่าจะต้มยำทำแกงอย่างไรก็ได้ตามแต่ใจนางต้องการ แล้วยังสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงได้สำเร็จก่อนผู้ใด ถึงเวลานั้นนางอาจสามารถร้องขอจอมมารให้มอบยอดเขาวั่งเยวี่ยสถานที่พำนักของเซียนกระบี่เป็นรางวัลแก่นางได้
พอคิดถึงเรื่องนี้นางก็เผยรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัวออกมาอีก
เมื่อต้วนมู่ไป๋เดินกลับเข้ามาในห้องนางก็เก็บรอยยิ้มร้ายกาจของตัวเองไปเรียบร้อย เปลี่ยนมาทำท่าทางเช่นหญิงงามผู้น่าสงสารที่ใครเห็นก็อดหลงรักไม่ได้
“ดื่มยาชามนี้ให้หมดเถิด” เขาส่งชามยาที่มีของเหลวเหนียวข้นสีดำดุจหมึกมาตรงหน้านาง
พั่วเยวี่ยจ้องยาชามนั้นเขม็ง ของเหลวในชามมองแล้วน่าสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง นางแสร้งถามอย่างไร้เดียงสาว่า “อาจารย์ นี่คือยาอะไรหรือเจ้าคะ”
ต้วนมู่ไป๋อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าบาดเจ็บเพราะพลังมาร ยาชามนี้ช่วยชะล้างกระดูกและเส้นเอ็น สลายไอมารภายในร่างเจ้าให้หมดไป”
นางพลันใจเต้นโครมคราม สลายไอมารให้หมดไป? ตอนนี้ข้าสำแดงพลังมารออกมาไม่ได้ พอดื่มยาลงไป นับจากนี้จะใช้พลังมารไม่ได้อีกใช่หรือไม่
ไม่ได้การ ข้าจะดื่มยาชามนี้ไม่ได้!
“อาจารย์ ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายท้องมากเลยเจ้าค่ะ” ยามกล่าววาจานางยังจงใจกุมท้องไปด้วย ทำท่าอึดอัดไม่สบายเสียเต็มประดา “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป รู้สึกคลื่นไส้เหมือนอยากจะอาเจียน…”
“โอ้?” ต้วนมู่ไป๋ขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดชั่วครู่ก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องดื่มแล้ว”
บอกปัดง่ายดายปานนี้เชียว? นางนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายเจรจามากกว่านี้เสียอีก
ตอนต้วนมู่ไป๋ยกชามยาออกไปยังเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “ผลรวมพลังปราณเป็นยาสมุนไพรชั้นเลิศสำหรับการบำเพ็ญเพียร ถ้าหากดื่มลงท้องแล้วอาเจียนออกมาคงน่าเสียดายแย่”
พั่วเยวี่ยเบิกตาโพลงโดยพลัน “อาจารย์!”
ต้วนมู่ไป๋ได้ยินเสียงก็หยุดชะงัก หันหน้ากลับมามองนาง
นางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาจารย์ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะดื่มเจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากอาเจียนไม่ใช่หรือ”
“อาจารย์ต้องลำบากต้มยาชามนี้ ศิษย์ไม่ดื่มก็เอาแต่ใจเกินไปแล้ว” นางตอบอย่างจริงจังหนักแน่นและตรงไปตรงมา ก้าวเข้าไปรับยาชามนั้นมาดื่มทันที
อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย ผลรวมพลังปราณเชียวนะ! นี่เป็นถึงผลไม้ศักดิ์สิทธิ์หายากในรอบหนึ่งพันปี ผลไม้ชนิดนี้นอกจากจะช่วยบำรุงวิญญาณดั้งเดิมกับรากพลังวิญญาณ ยังสามารถถอนพิษได้สารพัดชนิดและเพิ่มพูนพลังการบำเพ็ญเพียรอย่างมหาศาล
นางกระดกดื่มอึกแล้วอึกเล่าลงท้องไม่ยอมเหลือแม้แต่หยดเดียว พอดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้วก็ส่งชามคืนให้อาจารย์อย่างพอใจ
“ขอบคุณอาจารย์มากเจ้าค่ะ”
นางคิดไม่ถึงเลยว่าการย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้ยังมีข้อดีขนาดนี้อยู่ด้วย ไม่เพียงกลายเป็นลูกศิษย์ของเขา ยังได้กินผลไม้เซียนและสมุนไพรเซียนเหล่านี้บำรุงร่างกายอย่างเปิดเผย ถ้าหากโชคดีไม่แน่ว่าอาจหลอกขออาวุธวิเศษมาลองใช้เล่น ไฉนนางถึงเพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้นะ
พอคิดได้ดังนี้แล้วพั่วเยวี่ยก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางคิดมากเกินไปหรือไม่ หลังจากดื่มยาไปแล้วก็เริ่มสัมผัสได้ว่าตอนนี้จิตใจสดชื่นแจ่มใสกว่าเดิมร้อยเท่า
“อาจารย์ ดื่มยาผลรวมพลังปราณไปแล้ว รออีกนานแค่ไหนถึงจะฟื้นฟูลมปราณได้เจ้าคะ” ดวงตาของนางเปล่งประกายวิบวับน่าเอ็นดู
“ผลรวมพลังปราณเป็นของบำรุงกำลังภายใน กินเข้าไปแล้วรอหนึ่งเค่อก็จะช่วยให้เส้นลมปราณในร่างกายโล่งไม่ติดขัดและเก็บสะสมพละกำลังไว้ได้”
พั่วเยวี่ยพยายามสะกดความตื่นเต้นในใจ จากคำอธิบายของเขา หากนางดื่มมากกว่านี้สักหลายชามจะยิ่งฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่
ขณะที่นางกำลังยินดีปรีดาอยู่เงียบๆ ต้วนมู่ไป๋ก็กล่าวเสริมอีกประโยค “รอให้อาจารย์เก็บผลรวมพลังปราณได้จะเอามาให้เจ้ากินนะ”
นางตะลึงงันไปทันใด ถามอย่างงุนงงว่า “ยาชามนี้ไม่ใช่ผลรวมพลังปราณหรอกหรือ”
เขาได้ยินแล้วหัวเราะเบาๆ “เป่าเอ๋อร์เด็กโง่ ผลไม้เซียนก็คือผลไม้เซียน ยาต้มก็คือยาต้ม ที่สำคัญผลรวมพลังปราณเอาไว้กิน ไม่ได้เอาไว้ดื่ม”
นางนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง “แล้วชามที่ท่านให้ข้าดื่มคืออะไรกัน”
“ยาสงบใจ”
สงบใจ? ไฉนชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นยาทำให้คนง่วงนอนล่ะ ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา ขาทั้งสองข้างของนางพลันอ่อนยวบ ร่างกายทรุดตัวล้มลงไป ก่อนจะกระแทกกับพื้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งยื่นแขนมาช้อนร่างนางเข้าสู่อ้อมกอด
“ท่านหลอกข้า…” นางรู้สึกเนื้อตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงแต่ยังฝืนถ่างตาจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง
ต้วนมู่ไป๋ลูบไล้ใบหน้าของนางแผ่วเบาแล้วคลี่ยิ้มบาง “ใครกันหลอกอาจารย์ก่อนว่าอยากอาเจียนจนไม่ยอมกินยาเล่า หืม?”
นางจ้องหน้าเขาเขม็ง อยากสบถด่า อยากกัดคน น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ต้านทานฤทธิ์ยาไม่ไหว สติรับรู้เริ่มเลือนรางไปทุกที
“เพราะเหตุใด…” นางยังซักถามอย่างไม่ยอมแพ้
เขาอุ้มนางขึ้นมา ตอบด้วยเสียงทุ้มแหบพร่า “หลับแล้วจิตวิญญาณจะสงบลงไม่ถึงขั้นแตกสลายไป”
น้ำเสียงนั้นล่องลอยไปไกล สติรับรู้ของพั่วเยวี่ยเลือนราง นางปิดเปลือกตาลงจนได้ จมดิ่งสู่ความขุ่นมัวและมืดมิด หลับสนิทเป็นตาย
เมื่อพั่วเยวี่ยตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เหม่อมองม่านเตียงอยู่พักหนึ่งถึงนึกได้ว่านางหลงกลเข้าแล้ว พลาดท่าดื่มยาสงบใจที่ต้วนมู่ไป๋นำมาให้ จากนั้นก็นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
นางลุกขึ้นนั่งพลางยกมือนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับห้องกว้างที่ไม่คุ้นตา ในใจก็ครุ่นคิดว่าที่นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน
นางกวาดสายตามองไปรอบข้างอย่างไม่ใส่ใจ จู่ๆ ก็ตกใจตัวแข็งทื่อเพราะมองสบดวงตาอีกคู่หนึ่ง
ขณะที่นางยังนั่งอยู่บนเตียงกลับมีวานรตัวหนึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ ตาใหญ่จ้องมองตาเล็กอยู่เช่นนั้น
พั่วเยวี่ยกำลังจะถามอย่างเย็นชาว่าวานรสมควรตายตัวนี้โผล่มาจากไหนถึงได้บังอาจมาแอบมองนางตอนหลับ เจ้าวานรกลับกระโดดพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หมุนกายพุ่งออกไปนอกห้องพร้อมร้องตะโกนดังลั่น
“ตื่นแล้ว! ตื่นแล้ว! เซียนหญิงตื่นแล้ว!”
มุมปากของพั่วเยวี่ยกระตุกเล็กน้อย เซียนวานรพูดภาษามนุษย์ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่วานรตัวนั้นรีบร้อนวิ่งออกไปทั้งยังแหกปากตะโกนอย่างบ้าคลั่งผิดปกติ ไม่เข้าใจว่ามันตื่นเต้นเรื่องอะไรอยู่
นางไม่คิดเลยว่าพอเจ้าวานรร้องตะโกนดังลั่นประเดี๋ยวเดียวก็มีสัตว์ป่ากลุ่มหนึ่งกระโดดพรวดพราดเข้ามา มีทั้งนกกระเรียนขาว จิ้งจอกเงิน กระต่ายดำ ยังมีกวางดาวอีกตัว มายืนเบียดเสียดอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาแต่ละคู่จ้องมองนางเป็นประกายร้อนแรง ยื้อแย่งกันพูดภาษามนุษย์ว่า
“เซียนหญิง ท่านนอนเต็มอิ่มหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากดื่มน้ำหรือไม่”
“เซียนหญิง รู้สึกหิวหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากออกไปเล่นหรือไม่”
“เซียนหญิง อยากไปปลดทุกข์หรือไม่”
พั่วเยวี่ยบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ สัตว์เซียนเหล่านี้แย่งชิงโอกาสพูดคุยกับนางเป็นคนแรก ดวงตากลอกหมุนไปมาอย่างรวดเร็วขณะจ้องมอง ราวกับว่าในสายตาของพวกมันนางเป็นสัตว์ประหลาดล้ำค่าหายากกระนั้น
ในแดนมารก็มีเหล่าสัตว์มารอย่างงู กิ้งก่า แมงมุมอะไรทำนองนั้น สาเหตุที่เรียกมารว่าเป็นมารก็เพราะต้องประชันความชั่วร้าย ความแข็งแกร่ง ความน่าเกรงขาม จึงไม่มีทางเลือกสัตว์ที่ภายนอกน่ารักน่าเอ็นดูเหล่านั้นมาเป็นสัตว์ทาสรับใช้เด็ดขาด
เมื่อครั้งพั่วเยวี่ยยังอยู่ในแดนมาร เวลาสัตว์มารตนใดพบหน้านางพวกมันล้วนระมัดระวังตัว ค้อมกายคุกเข่าอย่างนอบน้อม เนื่องจากในแดนมารจะใช้ความแข็งแกร่งของพละกำลังเป็นเครื่องมือตัดสินฐานะและชนชั้น กว่านางจะไต่เต้าจากมารตัวกระจ้อยมาถึงตำแหน่งขุนพลเยี่ยนสื่อ กลายเป็นหนึ่งในลูกสมุนคนสำคัญของจอมมารได้ ต้องฝ่าฟันความลำบากมากมายเกินจะบรรยาย
เวลาสัตว์มารพบหน้านางมีแต่จะเจียมเนื้อเจียมตัวหรือหลบหลีกไป ไหนเลยจะกล้าทำเหมือนอย่างสัตว์เซียนในตอนนี้ แต่ละตัวมายืนเบียดเสียดตรงหน้านาง แสดงท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ออกมาโดยไร้จริตมารยา สีหน้าโง่งมคล้ายไม่เคยรู้ว่าโลกกว้างโหดร้ายเพียงใด
พั่วเยวี่ยมองหน้าพวกมันด้วยสายตาเย็นชา แน่นอนว่าเป็นแค่ประกายเย็นเยียบในดวงตา ใบหน้าของนางกลับแต้มรอยยิ้มบางๆ ตอนนี้นางมีฐานะเป็นเยวี่ยเป่าลูกศิษย์ของเซียนกระบี่จึงไม่อาจโบกมือไล่สัตว์เซียนเหล่านี้กระเด็นออกไปราวกับไล่ยุงเหมือนเมื่อก่อนได้
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
นางเพิ่งเอ่ยถามประโยคแรก เหล่าสัตว์เซียนก็รีบแย่งกันตอบโดยพลัน โวยวายจนนางหนวกหูรำคาญ ฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่คำเดียว จนต้องยกมือห้ามปรามให้เงียบเสียงลง
“ค่อยๆ พูดทีละตัว” นางชี้ไปทางเจ้าวานรพลางเอ่ยสั่ง “เจ้าก่อน”
“เรียนเซียนหญิง ที่นี่คือห้อง”
ไร้สาระ นางรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือห้อง
“ห้องตั้งอยู่ที่ไหนเล่า”
“ห้องตั้งอยู่ที่นี่”
นางเงียบไปชั่วครู่ ดูท่าวานรตัวนี้สติปัญญาไม่เฉียบแหลมเท่าไร ต้องเปลี่ยนเป็นสัตว์เซียนตัวอื่น
นางลองชี้ไปทางจิ้งจอกเงินพร้อมถามว่า “เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“เรียนเซียนหญิง เพราะว่าท่านกำลังหลับ”
นางนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ดูท่าไม่ใช่จิ้งจอกทุกตัวจะเฉลียวฉลาด นางตัดสินใจเปลี่ยนไปถามอีกตัว ปลายนิ้วชี้ไปทางนกกระเรียนขาว
“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
“เรียนเซียนหญิง ท่านหลับไปนานมาก”
“นานมากคือนานแค่ไหน”
“นานกว่าตอนข้าหลับ”
พั่วเยวี่ยหลับตาลงสะกดกลั้นความคิดชั่วแล่นไม่สบถคำด่าหยาบคาย พอลืมตาขึ้นมาก็หันไปมองกวางดาวอย่างอดทน
กวางดาวตัวน้อยมีดวงตาใสแจ๋วงดงามเปี่ยมด้วยพลังชีวิต มองเพียงแวบเดียวก็เห็นความฉลาดแสนรู้
“พวกเจ้าเป็นใคร” นางเอ่ยถาม
กวางดาวเอียงศีรษะมองนาง ท่าทางเหมือนยังงุนงงอยู่เล็กน้อย
นางกลัวว่าเจ้ากวางน้อยจะฟังไม่เข้าใจจึงอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง “ข้าหมายถึงพวกเจ้าเป็นสัตว์ทาสรับใช้หรือวิญญาณผูกพันธะ?”
ในแดนเซียน แดนมาร แดนปีศาจ ทั้งสามดินแดนนี้ล้วนมีของวิเศษ พืชพรรณ และสิงสาราสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างและพูดภาษามนุษย์ได้ พิจารณาจากความแตกต่างของระดับขั้นบำเพ็ญเพียร ถ้าหากพลังการบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับต่ำเกินไปจะเป็นได้แค่ทาสรับใช้ ถ้าหากพลังการบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับสูงจะถูกมนุษย์ปราบราบคาบ หรือไม่ก็ลงนามในสัญญาเลือดกลายเป็นวิญญาณผูกพันธะ บำเพ็ญเพียรไปพร้อมกับเจ้านาย
กวางดาวเข้าใจขึ้นมาทันที เอ่ยตอบนางว่า “พวกเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน”
“…” พั่วเยวี่ยจ้องหน้ามันอย่างเครียดเขม็งจนขมับกระตุกรัวถี่
กวางดาวเห็นนางมีสีหน้าย่ำแย่ก็คิดทบทวนแล้วเปลี่ยนคำตอบเป็น “พวกเราเป็นสัตว์ป่า”
พั่วเยวี่ยหลับตาลงอีกครั้ง เก็บฝ่ามือกำหมัดแน่นจนกระดูกข้อนิ้วลั่นกรอบแกรบ ไม่รู้ว่าถ้าหากจับสัตว์เซียนเหล่านี้ไปย่างกินจะได้รสชาติเช่นไร นางอยากรู้นัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.