X
    Categories: ทดลองอ่านท่านเซียนอย่ามาหลอกมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ท่านเซียนอย่ามาหลอก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 2

พั่วเยวี่ยยืนอยู่นอกห้องมองดูเมฆขาวลอยล่องปกคลุมเบาบาง แนวเทือกเขากระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ทะเลเมฆแทรกแซมด้วยขุนเขาเขียวขจีธารน้ำใสกระจ่าง เมื่อเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนเป็นทิวทัศน์ ทำให้กลิ่นอายดุร้ายที่แผ่ซ่านจากร่างนางถูกดินแดนอันเงียบสงบชำระล้างไปโดยไม่รู้ตัว

ถิ่นที่พำนักของเซียนก็งดงามเช่นนี้เอง ไม่มีมืดครึ้มหม่นมัวเหมือนแดนมาร ในข้อนี้แดนเซียนเหนือกว่าแดนมารหลายเท่านัก แม้ภายนอกนางจะไม่ยอมรับ ทว่าในใจกลับเห็นพ้องกับความจริงตรงหน้า

นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าแดนมารแออัดและเอะอะเกินไป พวกชอบดื่มสุราหรือทะเลาะวิวาทมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากคนเผ่ามารล้วนทุ่มเทให้กับการเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้และคาถาอาคม

การลอบจู่โจม การหลอกลวง การทำร้ายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในแดนมาร ผู้อ่อนแอจะถูกผู้แข็งแกร่งกดขี่ข่มเหงหรือบังคับใช้แรงงานทาส ถ้าหากไม่อยากถูกใครรังแกก็ต้องแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองกลิ่นอายดุร้ายในแดนมารถึงเข้มข้นเหลือเกิน

แดนเซียนกลับเป็นสถานที่รวมพลังวิญญาณของฟ้าดิน แตกต่างไปจากแดนมารโดยสิ้นเชิง ดินแดนแห่งนี้มีอากาศสดชื่นเย็นสบาย ท้องฟ้าสว่างสดใส เสียงหมู่นกขับขานไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ ทางทิศตะวันออกปลอดโปร่งไร้เมฆ ทางทิศตะวันตกสายฝนโปรยปราย แสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ลอดผ่านก้อนเมฆ นกโบยบินผ่านสายรุ้ง

บรรยากาศเงียบสงบ อ่อนโยน และสดชื่น พอนางหลับตาลงก็สัมผัสได้ถึงสายลมโชยพัดผ่านแผ่วเบา สามารถพานพบความสงบในเวลานี้ได้ช่างดีเหลือเกิน เพียงแต่ว่า…

พั่วเยวี่ยหันหน้ากลับไปอย่างเฉยชา เหล่ตามองฝูงแมลงที่เดินตามก้นต้อยๆ อยู่ข้างหลังไม่ห่าง สัตว์เซียนเหล่านี้เอาแต่มองนางด้วยหน้าตาใสซื่อไร้พิษภัย ดวงตากลมโตเบิกกว้างไม่ยอมกะพริบเลยทีเดียว

เมื่อได้มาอยู่ในแดนเซียนนางเพียงแค่อยากดื่มด่ำอยู่กับความเงียบสงบ แต่ไม่ว่านางจะเดินไปทางไหน ฝูงสัตว์โง่เขลาก็ตามไปทางนั้นด้วย

“พวกเจ้าจะตามข้าไปไย” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อยากตาม”

“มองเซียนหญิง”

“เมื่อก่อนไม่มีเซียนหญิง”

“ตอนนี้มีเซียนหญิงแล้ว”

“ชอบมองเซียนหญิง”

พวกมันกล่าวประโยคแล้วประโยคเล่าต่อกัน ตอบคำถามแบบกำปั้นทุบดิน ไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของนางเลยแม้แต่น้อย

หางตาพั่วเยวี่ยกระตุกยิกๆ รู้แต่แรกแล้วว่าสัตว์โง่เขลาเหล่านี้ฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจ ตอบมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถือว่านางถามให้มากความโดยแท้

นางเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง เหลียวมองถ้วนทั่วทุกที่ ทว่าเดินเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวัน นอกจากตัวนางแล้วกลับไม่เห็นใครคนอื่นในแดนเซียนอีกเลย ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจนัก

“เหตุใดถึงไม่เห็นคนอื่นเลยเล่า พวกเขาไปไหนกันหมด” นางอดถามขึ้นไม่ได้

“คนอยู่ที่นี่” เสียงขานรับดังมาจากข้างหลัง

นางหันหน้ากลับไปอย่างตกตะลึง สะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว

ข้างหลังนางมีคนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ มีทั้งบุรุษและสตรีปะปนกัน พวกเขามาถึงอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงทำให้นางจิตใจตึงเครียดขึ้นมา ไม่คิดว่าพลังยุทธ์ของนางจะอ่อนด้อยลงถึงขั้นคนกลุ่มนี้เข้าประชิดตัวตอนไหนก็ไม่รู้สึกเลยสักนิด

“พวกเจ้าเป็นใคร” พอเห็นพวกเขาแต่ละคนจ้องนางเขม็ง ไม่รู้เพราะเหตุใดแววตาเหล่านั้นกลับสะดุดใจนาง เหมือนเคยรู้จักมาก่อนอย่างไร้เหตุผล

“พวกเราเป็นคน”

“เป็นเซียน”

“ใช่ เป็นเซียน”

“เป็นเซียน เป็นเซียน”

พั่วเยวี่ยพลันตะลึงงัน บริเวณขมับกระตุกตุบๆ ต่อ วาจาโง่เขลาและแววตาที่ดูเหมือนเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน ในที่สุดนางก็เข้าใจกระจ่างว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยมากขนาดนี้

นางหลับตาลงพลางยกมือนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว “พวกเจ้าเป็นสัตว์เซียน?”

“เซียนหญิงร้ายกาจมาก พริบตาเดียวก็มองออกเลย”

“สมกับเป็นสตรีที่ท่านเซียนกระบี่พากลับมา”

“สตรีของท่านเซียนกระบี่ สตรีของท่านเซียนกระบี่”

สัตว์เดรัจฉานกลายร่างเป็นมนุษย์ การพูดจายังมีความเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่มาก นางเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ ไม่ใช่สตรีของเขา ทว่านางก็เกียจคร้านจนไม่คิดแก้ไขคำพูดของพวกมันแล้ว

พอเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางพบว่าตัวเองหิวขึ้นมาแล้วจริงๆ หลังจากสับเปลี่ยนร่างกายใหม่นางสูญเสียพลังมาร จำเป็นต้องเติมท้องให้อิ่มอย่างมนุษย์ปุถุชน

พั่วเยวี่ยลูบท้องที่กำลังร้องโครกคราก เหล่ตามองไปทางสัตว์เดรัจฉานฝูงนั้นพร้อมเอ่ยว่า “ข้าหิวแล้ว”

ไม่คาดคิดว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวของนางจะทำให้เหล่าสัตว์เซียนเคลื่อนไหวโดยพลัน ไม่นานพวกมันก็กุลีกุจอยกอาหารเลิศรสและสุราชั้นเยี่ยมมาให้นาง จัดหาทุกอย่างเพื่อนางจนพร้อมสรรพ

เมื่อเห็นอาหารมากมายเรียงรายเต็มโต๊ะนางก็หันมองสบสายตายินดีปรีดาแต่ละคู่อีกครั้ง…เอาเถอะ นางยอมรับว่าแม้สัตว์เซียนเหล่านี้จะโง่เขลาไปหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีเลย

ในแดนมารทุกคนกินเนื้อดิบ ดื่มเลือดสด ทว่าในแดนเซียนมีเพียงอาหารเจและผลไม้ ตอนแรกนางนึกว่าตัวเองจะกินไม่ลง กลับต้องประหลาดใจที่พบว่ารสชาติอาหารอร่อยยิ่ง นางคิดว่าบางทีอาจเกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนร่างกายกระมัง พอรากวิญญาณไม่เหมือนเดิม รสชาติอาหารที่ถูกปากก็เปลี่ยนไปด้วย

พั่วเยวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ทางหนึ่งชาส่งมายื่นมือรับ ข้าวส่งมาอ้าปากงับ ทางหนึ่งสอบถามข่าวคราวจากสัตว์เซียน ต่อให้พวกมันจะตอบไม่เคยตรงคำถาม ยี่สิบประโยคเป็นคำพูดไร้สาระไปแล้วสิบหกประโยค แต่อย่างน้อยก็มีสี่ประโยคนำมาขบคิดได้

“ท่านเซียนกระบี่บอกว่ามีพวกเราก็เอะอะหนวกหูพอแล้ว ก็เลยไม่เคยพาใครมา”

“เซียนหญิงเป็นหญิงคนแรกที่ท่านเซียนกระบี่พากลับมา”

“ท่านเซียนกระบี่ชอบเซียนหญิงก็เลยพาเซียนหญิงกลับมา”

“เซียนกระบี่รักเซียนหญิง เซียนกระบี่รักเซียนหญิง”

พั่วเยวี่ยเด็ดหัวตัดหาง* คำพูดของเหล่าสัตว์เซียน เหลือเอาไว้เฉพาะส่วนที่มีประโยชน์ พอรวมกับการคาดคะเนของตัวเองก็ได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้ว่า

เยวี่ยเป่าเป็นเด็กสาวอายุสิบหกปี เดิมเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน เมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเซียนและมารเยวี่ยเป่าพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วยเพราะถูกคนของเผ่ามารทำร้าย ภายหลังเซียนกระบี่ช่วยชีวิตเอาไว้ เนื่องจากมีรากวิญญาณสมบูรณ์พร้อม เขาก็เลยรับเยวี่ยเป่าเป็นลูกศิษย์และจัดให้อยู่ในถ้ำหินแห่งนั้น นอนบนเตียงน้ำแข็งรักษาอาการบาดเจ็บ ในช่วงเวลานี้เองนางก็ฟื้นคืนสติพบว่าตัวเองเข้าครอบครองร่างกายของเยวี่ยเป่า เซียนกระบี่เห็นนางตื่นแล้วจึงพากลับมายังยอดเขาวั่งเยวี่ย จากนั้นนางก็หลับใหลไปอีกสามวัน จนกระทั่งวันนี้ตื่นขึ้นมา

หรือหมายความว่าสัตว์เซียนเหล่านี้เพิ่งพบหน้านางเป็นครั้งแรก แล้วนางยังเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขา ฉะนั้นยอดเขาแห่งนี้นอกจากนางแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางเดินเตร่มาครึ่งค่อนวันกลับไม่เห็นหน้าใครเลยสักคน

ตอนแรกนางรู้สึกประหลาดใจนัก ต้วนมู่ไป๋ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรับลูกศิษย์ จู่ๆ มีลูกศิษย์โผล่มาคนหนึ่งได้อย่างไร ที่แท้เพิ่งจะรับมาไม่นานนี่เองถึงได้ไม่มีใครรู้เรื่อง เช่นนั้นก็ไม่น่าประหลาดใจแล้ว

พั่วเยวี่ยแสยะยิ้มชั่วร้ายอยู่ในใจ ในเมื่อเซียนกระบี่มีลูกศิษย์อย่างนางแค่คนเดียว อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมา จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเผยพิรุธออกไป ส่วนสัตว์เซียนโง่เขลาเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องเสียเวลารับมือ

เนื่องจากนางอารมณ์ดีขึ้นมาก เวลามองแมลงตามก้นฝูงหนึ่งจึงไม่รู้สึกขัดตาอีก

หลังจากกินจนอิ่มหนำดื่มจนสาแก่ใจนางก็เดินเล่นไปเรื่อยจนถึงหน้าประตูเรือนของเซียนกระบี่ บนแผ่นป้ายประตูแกะสลักอักษร ‘ลั่วสยา’* เอาไว้ เพียงเพราะเรือนแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นสถานที่ชมภาพดวงอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุด

จากคำบอกเล่าของสัตว์เซียนพั่วเยวี่ยถึงได้รู้ว่าที่นี่คือเรือนลั่วสยา ต้วนมู่ไป๋ออกไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วหันหน้ากลับไปบอกเหล่าสัตว์เซียนว่า “พวกเจ้าอยากเล่นอะไรสนุกๆ หรือไม่”

พอได้ยินคำว่าเล่นสนุกในหมู่สัตว์เซียนก็เกิดความเคลื่อนไหวยุกยิกราวกับเด็กน้อยทันที

“พวกเรามาเล่นซ่อนหากัน ข้าจะนับถึงสิบ พวกเจ้าต้องไปซ่อนตัวไว้ ถ้าหากข้าจับได้พวกเจ้าจะถูกลงโทษด้วยล่ะ! ข้าเริ่มนับแล้วนะ หนึ่ง…”

ทันทีที่คำว่าหนึ่งหลุดออกจากปากเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เหลือใครเลยสักคน พวกมันไปซ่อนตัวกันหมดแล้ว

พั่วเยวี่ยหัวเราะเย้ยหยัน ไม่นึกว่าจะผลักไสไปได้ง่ายดายปานนี้ นางแสร้งเอ่ยปากจะเริ่มจับคนที่ซ่อนตัวแล้วแต่กลับย่างเท้าตรงเข้าไปในเรือนลั่วสยา

ตอนแรกนางระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ กลัวพลาดพลั้งไปแตะต้องอาคมควบคุมอะไรจนขัดขวางไม่ให้นางเข้าไปข้างในได้ ทว่าสุดท้ายนางก็คิดมากเกินไปเอง เพราะสามารถเดินเข้ามาอย่างสบายๆ ตลอดทาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะเดินสำรวจให้ทั่วโดยไม่เกรงใจแล้ว

เดิมทีพั่วเยวี่ยอยากค้นหาคัมภีร์ลับวิชาเซียนหรือสมบัติอาวุธวิเศษ แต่รื้อค้นไปรื้อค้นมาในห้องนี้ไม่มีของดีอะไรเลยสักชิ้น อาวุธวิเศษหน้าตาพอเข้าท่าเข้าทางก็ไม่มี มิน่าเล่าแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ก็ไม่ต้องกางอาคมเขตหวงห้าม เนื่องจากไม่มีของสำคัญอะไรน่าถูกลักขโมยหายไปได้เลย

พั่วเยวี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ถือโอกาสหยิบกาน้ำใกล้มือรินให้ตัวเองดื่มถ้วยหนึ่ง ทว่าจู่ๆ ก็ประสานเข้ากับสายตาคู่หนึ่งบนโต๊ะซึ่งกำลังจ้องมองมาตาไม่กะพริบทำให้นางสะดุ้งตกใจมือสั่นเทาจนสาดน้ำจากพวยกาใส่ดวงตาคู่นั้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังลั่นแสบแก้วหู นางหลบหลีกไม่ทันจึงถูกรากต้นไม้ที่โผล่พรวดออกมารอบกายมัดแน่นจนขยับไม่ได้แล้วยกร่างของนางสูงขึ้นไปในอากาศ

ใบหน้าของนางขาวซีดไร้สีเลือด ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คือสัตว์ประหลาดชนิดใด รากต้นไม้ที่พันร่างบีบรัดจนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก ลมพายุพัดตลบทั่วทิศกรีดเนื้อหนังจนเจ็บแสบไปหมด ประเดี๋ยวเดียวลมยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงราวกับเป็นใบมีดพร้อมเฉือนนางออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น

ชั่วขณะที่พั่วเยวี่ยนึกว่าชีวิตคงจบสิ้นเท่านี้รากต้นไม้ที่รัดแน่นกลับถูกฟันขาดกระเด็นโดยพลัน ร่างกายนางลอยละลิ่วเนื่องจากมีพลังไร้รูปสายหนึ่งดึงออกจากใจกลางลมพายุก่อนร่วงลงในอ้อมกอดอันอบอุ่น

เหนือศีรษะนางมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบา “อาจารย์ผละจากไปแค่ครู่เดียวเจ้าก็เล่นซุกซนจนเป็นเช่นนี้เลยหรือ”

พั่วเยวี่ยมองต้วนมู่ไป๋อย่างตกตะลึง เขากำลังหลุบสายตาลงมองนาง ลมพายุพัดตลบทั่วทิศสงบลงแล้ว ซากกำแพงเศษกระเบื้อง ไม้หักพังหินแหลกเป็นชิ้นกระจายทั่วบริเวณ สภาพรอบข้างเละเทะดูไม่ได้

ทว่าคนที่ตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนที่สุดก็คือนาง เพราะว่าเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างถูกลมพายุเมื่อครู่นี้กรีดขาดกระจุยไม่เหลือผ้าปกปิดร่างกายเลยสักชิ้น

บุรุษผู้นี้กอดเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางแล้วใบหน้าไม่แดงก่ำ ลมหายใจไม่หอบกระชั้น สมกับเป็นบุรุษเย็นชาอันดับหนึ่งแห่งแดนเซียน เขาสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้ได้นางก็ไม่มีอะไรต้องเหนียมอายแล้ว

อย่างไรเสียครั้งก่อนตอนร่วงลงสระน้ำก็ถูกเขาเห็นไปทั้งตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง จะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ไม่แย่กว่ากันสักเท่าใด

“อาจารย์…” นางกอดเขาไว้แน่น ซุกใบหน้าลงกับซอกคอของเขา เบียดทรวงอกแนบชิดแผงอกแกร่ง ร่ำไห้ร้องขอความเป็นธรรม “ข้าถูกรังแกเจ้าค่ะ ฮือๆๆๆ…”

คนเลวชิงร้องเรียนก่อน นางเป็นคนเลวจึงต้องชิงร้องเรียนตัดหน้าก่อนใคร

ต้วนมู่ไป๋คว้าเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากอากาศธาตุอีกครั้ง ห่อเรือนร่างของนางอย่างมิดชิดแล้วตบหลังเบาๆ ปลอบขวัญนางอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นที่เคยทำมา

“อามู่ไม่ได้เจตนาหรอก เจ้าอย่าไปตำหนิเขาเลย”

นางเงยหน้ามองทั้งน้ำตาไหลพราก “อามู่?”

“อามู่นิสัยเหมือนท่อนไม้ แม้ว่าจะเถรตรงไปสักหน่อยแต่ว่าซื่อสัตย์จงรักภักดี เจ้าจะต้องชอบแน่”

ชิ! ชอบสิแปลก เมื่อครู่เจ้านั่นเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว!

“อามู่ เข้ามาขอโทษเยวี่ยเป่าเสีย”

พั่วเยวี่ยมองหาตามสายตาของเขาไป แปลกใจว่าอามู่ที่เขาเอ่ยถึงนั้นเป็นปีศาจจากไหนกัน ลองดูซิว่านางจะหาโอกาสฆ่ามันได้หรือไม่!

เดิมทีนางนึกว่าอามู่คงเป็นสัตว์เซียนอะไรสักอย่าง ทว่าชั่วขณะที่มองเห็นเจ้าตัวนั้นวิ่งตึงตังเข้ามา ใบหน้าของนางกลับบิดเบี้ยวเหยเก

อามู่…เป็นไม้สมดังชื่อ เพราะว่ามันคือตอไม้ตอหนึ่ง

หรือจะกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนก็คืออามู่เป็นตอไม้ที่ถูกตัดจนเหลือลำต้นเพียงข้อเดียว ส่วนเปลือกไม้กับรากยังคงอยู่ บนผิวหน้าของตอไม้แบนราบมีเส้นวงปีหลายวงซ้อนกัน บริเวณลำต้นฝังประดับดวงตาสองข้าง โดยไม่มีอวัยวะอย่างมือ เท้า และปาก

พั่วเยวี่ยเบิกตาโพลงมองดูตอไม้ที่ทั้งผิวหยาบและแบนราบตรงหน้า อีกฝ่ายก็จ้องนางตอบด้วยดวงตาสีเขียวกลอกหลุกหลิกคู่หนึ่ง

“ปีศาจโต๊ะ?” พอสามพยางค์นี้หลุดพ้นริมฝีปากนางออกมาก็ทำให้อีกฝ่ายโมโหเดือดดาลสุดขีด

“ข้าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์! ข้าเป็นถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บนเขาฉางไป๋! นางหนูหน้าเหม็นหูตาคับแคบเสียจริง!” อามู่กวัดแกว่งกิ่งก้านอย่างโมโห ใบไม้ทุกใบบนลำต้นชี้ชันด้วยแรงโทสะ ตะโกนประท้วงกับเซียนกระบี่เสียงดังลั่น “นางเป็นฝ่ายผิดต่างหาก นั่งทับข้าด้วยก้นเหม็นๆ สาดน้ำใส่ตาข้า เช่นนี้ข้าถึงได้ลงมือ!”

พั่วเยวี่ยหน้าตาบึ้งตึง “เจ้าตอไม้สมควรตาย เจ้าไม่อยากให้ใครมานั่งทับก็อย่ากลายร่างเป็นเก้าอี้สิ!” กล้ามาด่าว่านางก้นเหม็น ถ้าหากไม่มีเซียนกระบี่อยู่ตรงนี้ด้วยนางคงจุดไฟเผามันไปแต่แรกแล้ว

“หึ! ข้ากลายร่างเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ก็เพื่อให้ท่านเซียนกระบี่นั่ง ชาน้ำแร่บนโต๊ะก็เป็นชาที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่านเซียนกระบี่ เรียนท่านเซียนกระบี่ นางแอบเข้ามาในห้องท่าทางลับๆ ล่อๆ เที่ยวรื้อค้นนู่นนี่ไปทั่ว จะต้องมาขโมยของแน่!”

พั่วเยวี่ยบ่นในใจว่าแย่แล้ว นางไล่พวกสัตว์เซียนออกไปแต่ไม่รู้เลยว่าในห้องยังมีภูตจิตวิญญาณที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วย มิน่าเล่าในเรือนพักแห่งนี้ไม่ต้องสร้างอาคมเขตหวงห้าม เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่จำเป็นเลย เจ้าปีศาจต้นไม้สมควรตายนี่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ต้วนมู่ไป๋อยู่แล้ว!

นางรู้สึกได้ว่าสายตาต้วนมู่ไป๋จดจ้องใบหน้าตัวเองอยู่ ไม่ได้การ จะให้เขาสงสัยข้าไม่ได้! ฉะนั้นนางจึงมองตอบสายตาเขาอย่างน้อยอกน้อยใจโดยพลัน

“อาจารย์ ศิษย์ตื่นขึ้นมาก็ออกตามหาท่าน เห็นว่าท่านไม่อยู่ก็เลยอยากหาตำราสักสองสามเล่มมาอ่านฆ่าเวลา แต่ไม่รู้ว่าเรือนพักของท่านไม่อาจเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ไม่รู้ว่าโต๊ะเก้าอี้จะใจแคบถึงเพียงนั้นไม่ให้ใครมานั่ง”

ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดนั่นแหละ เพราะตีให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับ

อามู่ฟังแล้วโมโหจนกระทืบเท้า “ข้าไม่ได้ใจแคบนะ ข้ามีหลักการของตัวเอง เจ้าไม่ยอมทักทายกันสักคำก็มานั่งทับข้าแล้ว ไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย!”

พั่วเยวี่ยสบถด่าอยู่ในใจและแสร้งทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อไป

“บ้านใครเวลานั่งเก้าอี้ต้องทักทายเก้าอี้ก่อน บ้านใครเวลาคนนั่งดื่มน้ำชาจะมีโต๊ะลืมตามาจ้องมอง ข้ามาหาตำราอ่านในห้องหนังสือของอาจารย์ แล้วเจ้าล่ะ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรในเรือนพักของอาจารย์ เรือนหลังนี้มีแต่เจ้าที่เข้ามาได้ ส่วนข้าเข้าไม่ได้รึ เจ้าบอกข้าทำลับๆ ล่อๆ ข้าก็ว่าเจ้าหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกัน เป็นโจรร้องจับโจรชัดๆ เชอะ!”

การซักถามและกล่าวหาชุดใหญ่ทำให้อามู่ร้อนใจจนกระโดดหย็องแหย็ง กิ่งไม้บนร่างยิ่งสั่นกระพืออย่างดุร้ายกว่าเดิม

“เจ้าๆๆ…เจ้าใส่ร้ายข้า!”

“เหตุใดเจ้าไม่กลายร่างเป็นกระบอกใส่พู่กัน ชั้นหนังสือ หรือว่าตู้เสื้อผ้าเล่า กลับกลายร่างเป็นเก้าอี้เพื่อล่อให้ข้าไปนั่ง เจ้าจงใจลวนลามก้นข้าชัดๆ เลย”

“พรืด…”

เสียงหลุดหัวเราะนี้ทำให้ทั้งสองหยุดชะงักหันขวับไปมองต้วนมู่ไป๋อย่างพร้อมเพรียง ท่าทางเขาเหมือนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

ต้วนมู่ไป๋ที่อยู่ตรงหน้าทำให้พั่วเยวี่ยมองอย่างตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเขาก็หัวเราะแบบนี้ได้ด้วย รอยยิ้มอบอุ่นเมื่อแรกพบทำให้นางประหลาดใจมากพอแล้ว การกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นไปหมดอย่างตอนนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อมากขึ้นไปอีก

ความจริงลึกๆ แล้วเขาไม่ใช่คนเย็นชาเลยสักนิด สีหน้าสะท้อนอารมณ์มีชีวิตชีวาและอ่อนโยนโดยไม่เก็บงำจนนางไม่อาจละสายตาไปที่ใดได้เลย

“อามู่ เยวี่ยเป่ายังไม่ได้ฝึกอาคมเซียน ไม่ทันได้เปิดตาทิพย์ ไม่อาจแยกแยะออกว่าเจ้าเป็นภูตต้นไม้” จากนั้นต้วนมู่ไป๋ก็หันกลับไปอธิบายกับพั่วเยวี่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เดิมทีอามู่เป็นภูตต้นไม้พันปี ราษฎรในท้องถิ่นแถบตงเป่ยเคารพบูชาเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไปสะดุดตาโจรจิตใจหยาบช้า ถูกโค่นต้นทิ้งและขโมยไม้ไปขายได้ราคางาม ข้าเห็นว่าพลังบำเพ็ญเพียรกว่าพันปีของเขาได้มาไม่ง่ายเลยจึงใช้อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนร่างให้ เมื่อเขาได้รับการช่วยเหลือจากข้าจึงเข้ามาอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้น ปกติคอยเตรียมน้ำยกน้ำชาให้ข้า บางครั้งกลายร่างเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้เฝ้ายามอยู่ในห้องหนังสือ”

“ที่แท้นางหนูคนนี้ยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ไร้อิทธิฤทธิ์?” อามู่แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา

บริเวณขมับพั่วเยวี่ยกระตุกตุบๆ อีกครั้ง “เจ้าต่างหากเป็นตอไม้โง่เง่าไร้สติปัญญา”

สองฝ่ายต่างจ้องหน้ากันเขม็งโดยไม่กะพริบตา ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ต้วนมู่ไป๋กลับตบแผ่นหลังนางเบาๆ พร้อมหลุดหัวเราะอย่าห้ามไม่อยู่

“เอาล่ะ…เอาล่ะ เป็นคนกันเองทั้งนั้น อามู่ เยวี่ยเป่าเป็นศิษย์รักของข้าเอง เจ้าจะรังแกนางไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธนะ” แม้ต้วนมู่ไป๋จะมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ยามพูดจากลับใช้น้ำเสียงแฝงการตักเตือนและความน่าเกรงขามที่ไม่อาจมองข้ามได้

ถึงพั่วเยวี่ยจะรู้ว่าต้วนมู่ไป๋รักใคร่เอ็นดูเยวี่ยเป่าอยู่มาก ทว่าพอได้ยินเขาเอ่ยเรียก ‘ศิษย์รัก’ สองคำนี้ออกจากปาก ในใจกลับมีความอิจฉาผุดขึ้นมาจางๆ

ในแดนมารพั่วเยวี่ยเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่ง เมื่อกล่าวถึงรูปโฉมนางงดงามยิ่งกว่าหลายเท่า เยวี่ยเป่าอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่เด็กสาวใบหน้างามพริ้มเพรา แต่กลับได้รับความรักจากเซียนกระบี่ผู้เย็นชา

แน่นอนว่าความอิจฉาของพั่วเยวี่ยเป็นเพียงเพราะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ในทางกลับกันลองคิดดูแล้วเขายิ่งรักใคร่เยวี่ยเป่ามากเท่าใดจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อนางมากขึ้นเท่านั้น นางสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ฉะนั้นจึงตั้งใจกระชับอ้อมกอดออดอ้อนกว่าเดิม

“อาจารย์ ท่านต้องรีบสอนวิชาเซียนให้เป่าเอ๋อร์เร็วๆ นะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นแม้กระทั่งตอไม้ยังกล้ารังแกข้าเลย”

“ข้าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!” อามู่เอ่ยประท้วง

“เอาล่ะ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” ต้วนมู่ไป๋กลั้นหัวเราะ สั่งกำชับอามู่ซ่อมแซมห้องหนังสือให้เรียบร้อย ส่วนเขาอุ้มพั่วเยวี่ยเดินกลับไปทางห้องนอน

เอ๋? อุ้มข้ากลับห้องในสภาพนี้เลยหรือ ข้ายังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เขากลับไม่คิดหลบเลี่ยงสักนิด แต่ว่าลองคิดดูแล้วที่นี่ก็ไม่มีใครอื่น จะทำหลบหน้าหลบตาใครกัน

ต้วนมู่ไป๋อุ้มเด็กสาวเข้ามาในห้อง ตอนแรกคิดจะวางร่างนางลง แต่สัมผัสได้ว่าสองแขนที่คล้องรอบคอรัดแน่นขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมคลายออก พอเขาก้มมองก็เห็นนางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ออดอ้อนออเซาะเขาอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจและนั่งลงบนตักตัวเอง

“ดูสิ นี่คืออะไร”

เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบกอดนางไว้แล้วยื่นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ออกมา ผลไม้สีแดงแวววาวโปร่งแสงลูกหนึ่งวางอยู่บนฝ่ามือ

พั่วเยวี่ยปรายตามองแวบเดียว ดวงตาคู่งามพลันทอประกายวิบวับ “ผลรวมพลังปราณหรือเจ้าคะ”

“วันนี้ข้าลงเขาไปแต่เช้าตรู่ก็เพื่อไปเก็บผลไม้เซียนชนิดนี้มาฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมให้เจ้า”

พั่วเยวี่ยตกใจระคนยินดี สีหน้าฉายแววตื่นเต้นชัดเจน แต่เนื่องจากเคยมีบทเรียนมาแล้วในครั้งก่อนจึงมีท่าทีระแวดระวังกว่าเดิม

“อาจารย์คงไม่แกล้งข้าเล่นแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

นางไม่อยากเป็นเหมือนครั้งก่อนหรอกนะ พอกลืนอะไรส่งเดชลงท้องแล้วหลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เขาขมวดคิ้วมุ่น “คิดว่าอาจารย์จะเอาของปลอมมาทำร้ายเจ้าหรือ”

เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้า แต่เจ้าแกล้งข้าเหมือนเป็นคนโง่ต่างหาก

คำพูดประโยคนี้วนเวียนอยู่ในใจนาง แต่ภายนอกยังแสดงสีหน้าเชื่อถือเต็มเปี่ยม พั่วเยวี่ยยื่นมือออกไปคว้าผลไม้ในมือเขามา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ศิษย์เชื่อใจอาจารย์ที่สุดแล้ว”

ต้วนมู่ไป๋เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมื่อมีผลไม้เซียนลูกนี้วิญญาณดั้งเดิมของเจ้าจะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ เส้นชีพจรคล่องโล่งไม่ติดขัด ลมปราณจะรวมอยู่ที่จุดตันเถียน เท่านี้ก็เริ่มฝึกฝนวิชาเซียนได้แล้ว”

พอได้ยินคำว่าเริ่มฝึกวิชาเซียนพั่วเยวี่ยก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว

ต้วนมู่ไป๋มองหน้านาง เห็นนางรับผลไม้เซียนไปแล้วก็อ้าปากกัดเต็มคำ น้ำจากผลไม้สีแดงสดเคลือบริมฝีปากยิ่งทำให้ริมฝีปากอิ่มชุ่มฉ่ำปานน้ำจะหยด พอมองเข้าไปในดวงตาลึกล้ำของเขาจะพบรอยยิ้มสว่างเจิดจ้าดั่งคลื่นน้ำกระเพื่อมไหวสะท้อนแสง

นางนึกว่ารสชาติผลรวมพลังปราณจะหอมหวาน ทว่ากลับเป็นคนละเรื่องกับที่คิดไว้เลยจริงๆ

“แปลกจริง อาจารย์เจ้าคะ ผลรวมพลังปราณลูกนี้เหตุใดถึงมีกลิ่นคาวเลือดด้วยล่ะเจ้าคะ”

“ก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ รสชาติของมันยิ่งมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น สรรพคุณฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมยิ่งดีเยี่ยม”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ตอนอยู่ในแดนมารนางเคยดื่มเลือดมาก่อนจึงไม่ใส่ใจกับเรื่องแค่นี้ เหม็นคาวก็เหม็นคาวไปเถอะ ออกฤทธิ์ฟื้นฟูได้ก็พอแล้ว

นางกัดผลไม้เซียนกินทีละคำ สุดท้ายก็กลืนผลไม้สีแดงแวววาวลูกหนึ่งลงท้องไปหมดเกลี้ยง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา* ก็สัมผัสได้ว่าตรงท้องน้อยร้อนผ่าว ดูเหมือนจะมีกระแสความร้อนสายหนึ่งไหลผ่านเส้นชีพจรแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกายทำให้นางรู้สึกดีใจเหลือเกิน

ถึงแม้ฉากหน้านางจะแสดงความซาบซึ้งในบุญคุณ ทว่าภายในใจแอบกู่ร้องอย่างหลงลำพอง

ต้วนมู่ไป๋หนอต้วนมู่ไป๋ เจ้าไม่มีทางคิดถึงแน่ ในอดีตเวลาขุนพลเยี่ยนสื่อคนนี้จะขโมยผลไม้เซียนกลับถูกเจ้าเข้ามาขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า คราวนี้เจ้ากลับส่งมาป้อนถึงปากข้าเองนะ

“อาจารย์ หลังจากกินผลไม้เซียนแล้วข้าต้องรอนานแค่ไหนถึงจะฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมได้เจ้าคะ”

“เร็วมากทีเดียว ครั้งนี้พอตื่นขึ้นมาก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว”

“อ้อ…เอ๋?” นางเบิกตากว้าง “ตื่นขึ้นมา?”

“ผลไม้เซียนรวมพลังปราณมีสรรพคุณรวบรวมวิญญาณดั้งเดิม ถ้าเจ้าไม่นอนหลับสนิทมันจะช่วยฟื้นฟูให้เจ้าได้อย่างไร”

บ้าเอ๊ย! ต้องนอนหลับอีกแล้ว?…ราวกับจะยืนยันคำพูดนั้น ร่างกายนางพลันอ่อนยวบ หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดเขา แม้ว่าดวงตาปรือปรอยสะลึมสะลือก็ยังพยายามจ้องหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

นางอยากด่าคน อยากกัดคน น่าเสียดายความง่วงเข้าครอบงำเต็มที่ เปลือกตาสองข้างหนักอึ้ง สติรับรู้ของนางเลือนรางอย่างรวดเร็ว

หลังจากเปลือกตาของนางปิดสนิทต้วนมู่ไป๋ก็ก้มศีรษะประทับรอยจุมพิต ปลายลิ้นไล้เลียคราบน้ำผลไม้บนริมฝีปากแดงอวบอิ่มของนาง จุมพิตแผ่วเบาพร้อมขบเม้มอย่างเชื่องช้าประหนึ่งลิ้มลองผลไม้เซียนรสชาติหอมหวานที่สุดในโลกหล้า

“หลับเถอะ ครั้งนี้พอตื่นขึ้นมาก็จะรวบรวมดวงจิตในร่างได้ครบสมบูรณ์แล้ว”

พั่วเยวี่ยที่กำลังหลับสนิทมองไม่เห็นความลึกล้ำในดวงตาของเขายามนี้ ความรักและความใคร่สะท้อนเด่นชัดผ่านนัยน์ตาสีดำสนิทไร้ก้นบึ้ง

ผลไม้เซียนรวมพลังปราณต้องมีกลิ่นคาวเลือดแน่นอนล่ะ เพราะว่าเขาใช้เลือดเซียนของตัวเองเลี้ยงดูมานานกว่ายี่สิบปี อีกทั้งยังสร้างค่ายกลป้องกันขโมย จนกระทั่งวันนี้เมื่อโอกาสสุกงอมพอดีถึงตั้งใจไปเก็บมาป้อนนาง

หรือหมายความว่ายี่สิบปีก่อนหน้านี้เขาก็วางแผนเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้แล้ว

ตอนแรกเขาใช้กระบี่ซื่อหมัวแทงทะลุหัวใจนาง ทำให้วิญญาณดั้งเดิมของนางที่บำเพ็ญเพียรพลังมารได้รับความเสียหายจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง จากนั้นก็ใช้ขวดดูดวิญญาณออก เสาะหาสามจิตเจ็ดวิญญาณ* ของนาง ทยอยเก็บรวบรวมวิญญาณที่แตกสลายกลับมาจนครบ แล้วใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาผนึกวิญญาณของนางไว้ในดอกบัว สุดท้ายจึงนำดอกบัวไปปลูกไว้ในสระหยกบริเวณก้นหุบเขาของยอดเขาวั่งเยวี่ย

แต่ละวันดอกบัวดูดซับแสงสว่างไสวของตะวันจันทรา สั่งสมพลังวิญญาณจากฟ้าดิน รวมถึงพลังบำเพ็ญเพียรห้าร้อยปีจากเขาซึ่งถ่ายทอดให้นางทีละเล็กละน้อย ป้อนอาหารบำรุงดอกบัวน่ารักบอบบางดอกนี้อย่างช้าๆ

ความแตกต่างของมารและเซียนอยู่ที่แก่นกระดูก พั่วเยวี่ยแต่เดิมเป็นคนของเผ่ามาร เติบโตขึ้นมาในแดนมาร ดูดซับไอพิษจากดินแดนแห่งนั้น จากศีรษะจรดปลายเท้า เส้นชีพจร เลือดเนื้อ และกระดูกทุกส่วนล้วนมีความเป็นมาร

ถ้าหากต้องการขจัดความเป็นมารของนางอย่างขุดรากถอนโคนมีวิธีการเพียงอย่างเดียวก็คือสับเปลี่ยนแก่นกระดูกไปโดยสิ้นเชิง ดึงวิญญาณดั้งเดิมของนางออกมา เปลี่ยนร่างกายฝากวิญญาณเป็นอีกร่างหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้ยังต้องชะล้างไอมารในวิญญาณดั้งเดิมของนางซึ่งมีแต่เลือดเซียนของเขาเท่านั้นที่ช่วยนางเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่เป็นอีกคนได้

กว่าดอกบัวจะบำเพ็ญเพียรจนมีร่างมนุษย์อย่างน้อยต้องใช้เวลานานหลายร้อยปี ทว่าเขารอคอยนานปานนั้นไม่ไหวจึงยอมเสียสละพลังการบำเพ็ญเพียรห้าร้อยปีเป็นการตอบแทน เฝ้าถ่ายทอดพลังยุทธ์ให้แก่นาง โดยใช้เวลาสามเดือนจนแลกชีวิตใหม่ให้นางได้สำเร็จ

เขานั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ก้นหุบเขาทั้งวันทั้งคืน คอยเคียงข้างนางในร่างดอกบัวดอกนี้ คอยปกปักรักษา หมั่นดูแลเอาใจใส่นางจนเติบโต เฝ้ามองนางผลิบานยามกลางวัน โอนเอนสั่นไหวแผ่วเบาใต้แสงอาทิตย์ พอถึงยามค่ำคืนจึงหุบกลีบดอกเข้าหากัน นอนหลับอย่างเงียบสงบใต้แสงจันทร์

เนื่องจากได้รับการดูแลจากพลังวิญญาณฟ้าดิน การหล่อเลี้ยงด้วยน้ำในสระหยก และการถ่ายทอดพลังบำเพ็ญเพียรจากเขา หลังช่วงเวลาแสนสั้นเพียงสามเดือนผ่านพ้นไปในที่สุดดอกบัวดอกนี้ก็กลายเป็นภูต วิญญาณของนางก็มีร่างกายใหม่แล้ว

เวลานี้นางไม่ใช่คนของเผ่ามารอีกต่อไป เมื่อเขาใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยเปลี่ยนร่างก็กลายเป็นภูตดอกบัว

เลือดเซียนของเขาไหลเวียนอยู่ในร่างนางก่อเกิดเป็นรากสำเร็จเซียน ตอนนี้นางเป็นคนของแดนเซียนแล้ว นับจากนี้ถือว่าหลุดพ้นจากเผ่ามาร

ต้วนมู่ไป๋เพ่งพินิจคนงามในอ้อมกอด แม้ว่ากำลังนอนหลับสนิทก็ยังขมวดคิ้วอย่างดื้อดึง แสดงสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ

เขาทำให้นางเปลี่ยนเป็นคนใหม่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้ลบไปก็คือความทรงจำเดิมของนาง ฉะนั้นแม้นางจะเป็นคนของแดนเซียนทว่าจิตใจกลับยังอยู่ที่เผ่ามาร

นางนึกว่าเขามองความคิดของนางไม่ออกหรือ ความจริงทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา เขาแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น

“ดูท่าจะกำราบคน อย่างไรก็ต้องกำราบใจก่อนสินะ”

ต้วนมู่ไป๋กลั้นหัวเราะพลางส่ายหน้าจากนั้นก็วางนางนอนราบไปบนเตียง ตอนนี้นางยังสวมเสื้อคลุมของเขา การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้สาบเสื้อแหวกเปิดออกเผยให้เห็นช่วงไหล่กลมกลึงเย้ายวน

เขาลูบคลำหัวไหล่ของนางเบาๆ เอ่ยพึมพำว่า “อืม…ต้องหาชุดเซียนที่เหมาะกับเจ้าสักชุดแล้ว” แน่นอนว่านอกจากเขาแล้วก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นร่างนี้ทั้งสิ้น

ต้วนมู่ไป๋นอนลงในสภาพชุดครบถ้วน จัดท่าทางให้นางนอนในอ้อมแขน ช่วยดึงสาบเสื้อปิดให้เรียบร้อยอย่างระมัดระวังแล้วหลับตาลงพักผ่อน โอบกอดนางเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: