บทที่ 3
เมื่อพั่วเยวี่ยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็พบกับฉากเดิมและบทสนทนาเดิมอีกครั้ง
“เซียนหญิง ท่านนอนเต็มอิ่มหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากดื่มน้ำหรือไม่”
“เซียนหญิง รู้สึกหิวหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากออกไปเล่นหรือไม่”
“เซียนหญิง อยากไปปลดทุกข์หรือไม่”
พั่วเยวี่ยมองสัตว์เซียนเหล่านี้อย่างพูดไม่ออก ดวงตาทอประกายร้อนแรงเหล่านั้นกลอกไปมา ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเดิม พวกมันยังคงตื่นเต้นยินดีเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมา
นางนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว น้ำเสียงช่วงแรกตื่นนอนหลังจากหลับไปนานออกจะเกียจคร้านปนหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย
“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
“นานกว่าพวกเรา”
คำตอบยังโง่เขลาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน นางแอบกลอกตาอย่างเอือมระอา
แม้ว่าพวกมันจะโง่เขลา แต่ความเร็วในการเตรียมอาหารยังคงกระตือรือร้นว่องไว เพราะเห็นแก่เรื่องนี้หรอกนะ นางจะไม่ถือสาหาความพวกมันแล้วกัน
ยามนี้ชาส่งมายื่นมือรับ ข้าวส่งมาอ้าปากงับ หลังจากเติมอาหารลงท้องจนอิ่มหนำนางก็สั่งเหล่าสัตว์เซียนให้ยื่นนิ้วออกมานับ ลองคำนวณดูว่านางหลับไปกี่วันกันแน่
“ข้านอนหลับไปหกสิบวัน?” พั่วเยวี่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ยังมีอีก! ยังมีอีก!” ตัวไหนที่มีนิ้วเท้าก็ชูนิ้วเท้า ตัวไหนไม่มีนิ้วเท้าก็ยื่นกรงเล็บ ตัวไหนไม่มีกรงเล็บก็เสียสละกีบเท้า
นางได้แต่บวกเพิ่มไปอีก “แปดสิบแปดวัน?”
“ยังมีอีก! ยังมีอีก!” ตัวไหนที่มีหางก็ยกก้นขึ้นสูงแล้วส่ายไปส่ายมาตรงหน้านาง
“…หนึ่งร้อยวัน?”
“ยังมีอีก! ยังมีอีก!” ตัวไหนที่ไม่มีหางอีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำก็นอนหงายท้องกับพื้น ชูสี่ขาขึ้นฟ้า
พั่วเยวี่ยมีสีหน้ากลัดกลุ้ม “เหตุใดถึงนอนลงไป”
“หัวนม บวกหัวนมไปด้วย”
บ้าเอ๊ย…นางอยากเตะเจ้าสัตว์โง่เง่าฝูงนี้ให้กระเด็นนักเชียว!
สรุปได้ว่าพอผ่านการคิดคำนวณสุดชุลมุนพักหนึ่ง นับรวมจากสัตว์หลากหลายชนิด แม้ว่าจะไม่แม่นยำเท่าไรกลับพอประมาณเวลาได้คร่าวๆ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะหลับไปนานถึงครึ่งปีเต็ม
เพียงแต่จะว่าไปแล้วความจริงการฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมไม่ต่างอะไรกับปลีกตัวบำเพ็ญเพียร เป็นการกระทำที่ต้องสิ้นเปลืองเวลาและพลังใจมากมาย การปลีกตัวนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนพริบตาเดียวอาจผ่านไปแล้วหลายปี พอลองเปรียบเทียบกันดูนางนอนหลับไปแค่ครึ่งปีนับว่าเร็วมากแล้ว
นางนอนอยู่บนเตียงมานานกว่าครึ่งปี บนร่างกายไม่มีกลิ่นเหม็นสาบสักนิด กลับยังเย็นสบายสดชื่น เสื้อผ้าก็สะอาดเอี่ยม ไม่เหมือนคนที่ไม่อาบน้ำมาครึ่งปีเลย เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ระหว่างที่ข้านอนหลับสนิทพวกเจ้าคอยปรนนิบัติดูแลหรือ”
พอเห็นเหล่าสัตว์เซียนพยักหน้านางก็คิดในใจว่า ก็จริงอยู่ ที่นี่ไม่มีใครอื่น ถ้าหากไม่ใช่พวกมันคอยดูแลข้าจะให้เป็นเจ้าต้วนมู่ไป๋นั่นหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
พั่วเยวี่ยคิดด้วยความมั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน แต่ไม่รู้ตัวเลยว่านางประเมินความเข้าใจของสัตว์เซียนสูงเกินไป และประเมินความสามารถในการตอบไม่ตรงคำถามของพวกมันต่ำเกินไปอีกแล้ว
อย่างไรสัตว์เซียนก็ยังเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้ว่าจะบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังขาดสติปัญญา การช่วยเหลือนางล้างหน้าบ้วนปาก ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกเสียจากว่าจะมีมนุษย์สั่งการ มิฉะนั้นสัตว์เซียนไม่มีทางเข้าใจและไม่รู้ว่าต้องจัดการเช่นไรด้วย เนื่องจากพวกมันทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียวจึงทำได้แค่งานที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ด้วยเหตุนี้คนที่คอยปรนนิบัตินางความจริงแล้วเป็นต้วนมู่ไป๋นั่นเอง
ผู้สำเร็จเป็นเซียนไม่แตะต้องธัญพืชทั้งห้ากายเซียนส่งกลิ่นหอมรวยรินโดยธรรมชาติ รักษาความสะอาดหมดจดไว้อยู่เสมอ ทว่าสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนร่างเช่นพั่วเยวี่ยนั้นไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรอยู่เลยจึงต้องกินดื่มและอาบน้ำเหมือนมนุษย์ปุถุชน
การยกน้ำและการหยิบเสื้อผ้าจึงเป็นหน้าที่ของสัตว์เซียน แต่การใช้ปากป้อนยาอิ่มทิพย์ คอยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดล้างทำความสะอาดร่างกายเป็นเรื่องที่ต้วนมู่ไป๋ลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด สำหรับเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่ใช้อาคมชำระกายทำความสะอาดร่างกายนางนั้นแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของเขา
แต่พั่วเยวี่ยไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้หรอก เพราะความเข้าใจของสัตว์เซียนก็เป็นเช่นนี้ เซียนหญิงถามเรื่องไหน พวกมันก็ตอบเรื่องนั้น เซียนหญิงไม่ได้ถามเรื่องท่านเซียนกระบี่ พวกมันจึงไม่มีทางเล่าว่าท่านเซียนกระบี่ทำความสะอาดเรือนร่างของนางทุกสัดส่วนอย่างละเอียดลออหรือว่าดูแลนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่ขาดตกบกพร่องเช่นไร
บางทีอาจเป็นเพราะผลไม้เซียนรวมพลังปราณสำแดงฤทธิ์แล้ว นางจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราครั้งนี้ นอกจากรู้สึกเกียจคร้านเมื่อแรกลืมตาตื่น หลังจากกินดื่มอิ่มหนำสำราญก็สัมผัสได้ว่าภายในกายมีพลังทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากนั้นร่างกายก็มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม
นางลองกระตุ้นลมปราณในร่าง กลับต้องประหลาดใจที่พบว่าเส้นชีพจรล้วนเปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกัน ไอร้อนสายนี้ไหลวนเวียนทั่วร่างเพราะแรงกระตุ้นจากนาง
ข้ามีลมปราณแล้ว!
พั่วเยวี่ยรู้สึกประหลาดใจระคนยินดีกับสิ่งที่พบจึงรีบออกไปหาต้วนมู่ไป๋ทันทีเพราะอดใจรอไม่ไหว แล้วก็เป็นเหมือนเช่นเคย ข้างหลังมีแมลงตามก้นน่ารำคาญฝูงหนึ่งตามติดหนึบไม่ห่างอีกแล้ว เพียงแต่วันนี้นางอารมณ์ดี ไม่คิดจะถือสาหาความ
นางเดินมาถึงเรือนลั่วสยาอย่างคึกคัก ก่อนย่างเท้าเข้าประตูก็เผยสีหน้าประดับรอยยิ้มหวานหยด
“อาจารย์เจ้าคะ…”
ต้วนมู่ไป๋ที่กำลังจรดปลายพู่กันเขียนอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสือได้ยินเสียงหวานละมุนปานน้ำผึ้งก็เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นดวงหน้านางสดชื่นกระจ่างใส ยิ้มแย้มงดงามปานบุปผา นัยน์ตาคู่งามฉายแววฉอเลาะเอาใจมากกว่าปกติ
มุมปากของเขาพลันยกโค้งขึ้น วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้วยื่นมือออกไปหานาง
“เป่าเอ๋อร์ มาหาข้าสิ” ท่าทางคล้ายตอบรับนาง ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าเย้ายวนกว่าที่เคย
ดูสิดู นัยน์ตาสีเข้มดุจน้ำหมึกแสนลึกล้ำคู่นั้นสะท้อนประกายวิบวับฉ่ำวาว มุมปากยังยกโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ ล่อลวงหัวใจจนคันยุบยิบไปหมด ที่แท้ต่อหน้าธารกำนัลบุรุษผู้นี้แสร้งมีจิตใจดีงามเปี่ยมคุณธรรม ส่วนลับหลังกลับมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับลูกศิษย์ตัวเอง ช่างเป็นบ่อเกิดหายนะชวนให้ลุ่มหลงโดยแท้
โชคดีนางไม่ชื่นชอบบุรุษประเภทนี้ จึงไม่มีทางหลงใหลจนจิตใจว้าวุ่นสับสน
เมื่อครั้งอยู่ในแดนมาร เวลาต้องรับมือกับจอมมารนางก็เสแสร้งแกล้งทำได้อย่างเชี่ยวชาญ ฉะนั้นสีหน้าเคารพนอบน้อมต่อผู้อาวุโสเช่นนี้จึงปั้นออกมาได้สมจริงสมจัง นางเดินมาอยู่ข้างกายเขาแล้วกอดแขนออดอ้อนอย่างน่าเอ็นดู
“อาจารย์ ผลรวมพลังปราณนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ ข้านอนหลับสนิทดีเหลือเกิน วันนี้พอตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไม่มีผิดเลยเจ้าค่ะ”
ต้วนมู่ไป๋มองสำรวจสีหน้าของนาง เขาพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทางนอนหลับเต็มอิ่มแล้วจริงๆ”
“นั่นสิๆ ศิษย์รู้สึกว่านอนพักฟื้นสะสมพลังงานไปนานมากก็เลยอยากยืดเส้นยืดสายแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเริ่มฝึกวิชาเซียนได้หรือเจ้าคะ”
ประโยคสุดท้ายสิถึงนับเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าขืนนอนหลับต่อไปกระดูกของนางคงขึ้นสนิมเป็นแน่ เริ่มสอนวิชาเซียนให้นางได้แล้วกระมัง พอไม่มีอิทธิฤทธิ์ทำอะไรก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงท่องเที่ยวทั่วแดนเซียน แม้กระทั่งกลับแดนมารก็ยากลำบากนัก
เขาตอบนางอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รออาจารย์ตรวจดูร่างกายเจ้าให้ดีก่อน” ฝ่ามือใหญ่หนากุมมือนางไว้ ดึงร่างบางเข้ามาอยู่ตรงหน้า ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้ใบหน้านางพร้อมโน้มกายไปข้างหน้า ใบหน้าของเขาเลื่อนเข้าประชิดไปทีละนิด จ้องมองนางด้วยแววตาร้อนแรงเจิดจ้า
คนทั้งสองอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ เขามองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตานางด้วยซ้ำ ทว่าแววตาของนางยังคงบริสุทธิ์สดใส หัวใจเต้นสม่ำเสมอมั่นคง ไร้ความเขินอายใดๆ จากการสัมผัสลูบคลำหรือสายตาจับจ้องของเขา
“เป่าเอ๋อร์”
“เจ้าคะอาจารย์”
น้ำเสียงก้องกังวานอีกทั้งยังชัดเจนสงบนิ่ง ไม่มีความประหม่าและอึดอัดเลยสักเศษเสี้ยว
เขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง ความคิดหวนย้อนไปถึงเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เขายังจดจำช่วงเวลาที่พบหน้านางเป็นครั้งแรกได้ดี นางยังลั่นวาจากับเขาอย่างฮึกเหิมว่าสักวันนางจะต้องช่วงชิงพรหมจรรย์ของเขา แล้วลักพาตัวกลับแดนมารไปเป็นสามีขุนพลมาร
นางเฝ้าตามเกี้ยวเขา ใช้สารพัดกลยุทธ์ หลากหลายไม่ซ้ำกันสักอย่าง
นางไม่ใช่สตรีคนแรกที่เปิดเผยความในใจกับเขา แต่กลับเป็นสตรีคนแรกที่เฝ้าล่อลวงเขาอย่างไร้ยางอายมานานกว่าหนึ่งร้อยปี
นางพร่ำบอกไม่ขาดปากว่าต้องการ ‘แต่ง’ เขาเข้าบ้าน ประกาศชัดเจนว่าเห็นหน้าเขาแล้วรู้สึกรักใคร่ชอบพอ บอกว่าท่าทางเย็นชาของเขาสง่างามน่าประทับใจ ขอเพียงนางสนใจใครเข้าแล้ว ต่อให้คนผู้นั้นจะยโสโอหัง เฉยเมยไร้อารมณ์ หรือฉุนเฉียวโมโหร้าย รุ่งเช้าไม่แปรงฟัน ขึ้นเตียงไม่ล้างเท้า ปากสุนัขคายงาช้างออกมาไม่ได้นางล้วนไม่ถือสา แม้กระทั่งกลิ่นผายลมของเขายังหอมชวนดม
ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดนางก็จะตามไปที่นั่น ไม่ว่าลมแรง ฝนตก หิมะโปรย หรือฟ้าผ่าเปรี้ยง นางก็โผล่หน้ามาให้เห็นอยู่ร่ำไป ถ้าหากวันไหนนางปลีกตัวมาไม่ได้ก็จะให้คนส่งดอกบัวดอกหนึ่งมาอยู่ข้างกายเขาแทนตัวนาง
กาลเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว คำบอกรักหวานซึ้งกับคำสาบานรักมั่นชั่วนิรันดร์ในวันวานยังดังก้องหูไม่จางหาย ขณะนี้คนทั้งสองอยู่ใกล้กันกว่าครั้งใด นางกลับไม่เขินอายหน้าแดง ลมหายใจไม่ติดขัด สติไม่เลื่อนลอย จิตใจไม่ว้าวุ่น
ผู้คนทั่วหล้าต่างรับรู้ว่าเซียนกระบี่เช่นเขาจิตใจเย็นชา แต่ในสายตาของเขาสตรีนางนี้ต่างหากที่ไร้หัวใจ
พั่วเยวี่ยรออยู่นานกลับไม่ได้ยินเขาเอ่ยประโยคถัดไปเสียที จึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างห้ามไม่อยู่
“อาจารย์ เป็นเพราะร่างกายข้ามีส่วนไหนยังไม่ฟื้นฟูดีใช่หรือไม่เจ้าคะจึงไม่เหมาะจะฝึกวิชา”
ต้วนมู่ไป๋จ้องมองนางเงียบๆ นางไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสน่ห์ของเขาเลยสักนิด กลับกระวนกระวายเพราะเป็นห่วงว่าจะไม่ได้ฝึกวิชา
เขายกมุมปากยิ้มพลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “วางใจเถอะ เจ้ามีลมปราณเต็มเปี่ยม พลังงานร่างกายอิ่มเอิบ แต่ว่าวันนี้เพิ่งตื่นขึ้นมาควรนั่งสมาธิโคจรลมปราณก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกวิชาเถอะ”
นางได้ยินแล้วก็รู้สึกปีติลิงโลด หัวใจที่เคยสงบนิ่งพลันเต้นตึกตักเหมือนมีกวางน้อยพุ่งชนเพียงเพราะคำพูดประโยคนี้ของเขา
“เจ้าค่ะอาจารย์ ข้าจะกลับไปนั่งสมาธิเดี๋ยวนี้”
“ไปเถอะ” เขาปล่อยตัวนางไป
พอได้รับคำอนุญาตจากเขารอยยิ้มของนางยิ่งสว่างเจิดจ้า ในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่นางส่งยิ้มให้เขาจากใจจริง จากนั้นก็รีบร้อนกลับห้องไปสงบจิตใจนั่งสมาธิ
เมื่อคล้อยหลังนางไปแล้วเงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต้วนมู่ไป๋
“ท่านเก็บนางไว้ รังแต่จะเป็นภัยในวันหน้า” น้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้างไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด แต่กลับแผ่รังสีเยือกเย็นชวนให้ผู้คนครั่นคร้าม
ต้วนมู่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ถ้าหากกล่าวว่าต้วนมู่ไป๋ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเงินตลอดตัวให้ความรู้สึกบริสุทธิ์สูงส่ง งามสง่าอยู่เหนือโลกีย์ เช่นนั้นอินเจ๋อที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทก็ให้ความรู้สึกมืดมนวังเวง เป็นดั่งคมดาบกระหายเลือด เปล่งประกายเย็นเยียบ
เขาเป็นวิญญาณกระบี่ เป็นราชันเหนือกระบี่ทั้งปวง ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน เปรอะเปื้อนคราบคาวเลือดมาไม่รู้เท่าใด หลังจากต้วนมู่ไป๋กำราบจนสิ้นฤทธิ์ก็ลงนามในพันธสัญญาร่วมกันกลายเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขา
ต้วนมู่ไป๋อาศัยการฝึกกระบี่สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า วิชากระบี่บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว อีกทั้งยังกำราบอินเจ๋อมาเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขาได้ นับตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนเขาใช้กระบี่ซื่อหมัวเอาชนะจอมมาร จึงได้ฉายาเซียนกระบี่มาด้วยเหตุนี้เอง
อินเจ๋อร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ไม่เคยเห็นเขาพูดจาไว้หน้าเซียนหญิงหรือปีศาจสาวตนใดมาก่อน จนกระทั่งพั่วเยวี่ยปรากฏกายขึ้น
ต้วนมู่ไป๋ตอบกลับอย่างไม่แยแส “นางไม่ใช่คนของแดนมารแล้ว”
อินเจ๋อแค่นเสียงฮึดฮัดคำหนึ่ง “ต่อให้นางเปลี่ยนร่างกายไปธาตุแท้ก็ยังเป็นเผ่ามาร ท่านไม่กลัวว่านางจะซุกซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้หรือ”
ต้วนมู่ไป๋กลับมองตอบอย่างหยอกเย้า “ปีนั้นมารกระบี่ที่ออกอาละวาดทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนยังยอมสวามิภักดิ์ข้าแล้ว ไยต้องหวั่นเกรงขุนพลเยี่ยนสื่อตัวเล็กๆ ในแดนมารด้วย”
มารกระบี่เป็นฉายาของอินเจ๋อในอดีต ก่อนถูกเซียนกระบี่กำราบเขาเปื้อนคราบคาวเลือดและดูดซับแรงอาฆาตของคนตายมากเกินไป สุดท้ายบำเพ็ญเพียรกลายร่างเป็นมารกระบี่ ก่อภัยพิบัติในแดนมนุษย์ จนกระทั่งต้วนมู่ไป๋กำราบเขาสำเร็จจึงได้รับการชำระล้าง กลายเป็นอาวุธวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในมือเซียนกระบี่มาตั้งแต่นั้น
แม้ว่าความจริงต้วนมู่ไป๋จะมีฐานะเป็นเจ้านาย แต่เขาตระหนักดีว่าอินเจ๋อนิสัยหยิ่งผยอง ในสนามรบฆ่าฟันศัตรูจนคลุ้มคลั่งไม่อาจคุมสติตัวเองได้ จะต้องมีอารมณ์แปรปรวนแน่ ไม่ว่าใครก็มีความทะนงตนทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณกระบี่ที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ย่อมต้องมีความหงุดหงิดฉุนเฉียวของแม่ทัพอยู่แล้ว
ต้วนมู่ไป๋เข้าใจศาสตร์แห่งการควบคุมคนอย่างถ่องแท้ จะกำราบคนต้องกำราบใจก่อน ถึงเขาจะใช้พลังยุทธ์เอาชนะอินเจ๋อได้ แต่สิ่งที่ทำให้อินเจ๋อยอมสวามิภักดิ์เขาอย่างแท้จริงกลับเป็นการวางตัวในฐานะมิตรสหายอย่างเท่าเทียม
แม้กระทั่งมารกระบี่ที่ธาตุไฟเข้าแทรกในตอนนั้นเขายังกำราบได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งแดนมาร ถ้าหากต้องการกล่าวถึงความเป็นมารจริงๆ อินเจ๋อมีเข้มข้นยิ่งกว่าหลายเท่า
“หึ เลี้ยงลูกเสือจะเป็นภัย!” อินเจ๋อไม่แสดงท่าทีชัดเจน
ต้วนมู่ไป๋กลับเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มระรื่น “ต่อให้เป็นแม่เสือโตเต็มวัยก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก”
อินเจ๋ออดกลอกตาอย่างเอือมระอาไม่ได้ บุรุษผู้นี้มีพฤติกรรมเช่นไรเขารู้เห็นกระจ่างแจ้ง สตรีนางใดถูกตาต้องใจเขา ไม่รู้ว่านับเป็นวาสนาหรือว่าเคราะห์กรรมกันแน่
ผู้คนรับรู้เพียงว่าพั่วเยวี่ยขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งแดนมารสิ้นชื่อใต้กระบี่ซื่อหมัวพิฆาตมาร แต่กลับไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เซียนกระบี่คิดคำนวณเอาไว้แล้ว
เขาสังหารสตรีที่รักอย่างสุดหัวใจ ปล่อยนางย้อนกลับมาเกิดใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากเส้นทางมาร หันหน้าเข้าสู่เส้นทางเซียน ในโลกนี้นอกจากพวกเขาสองคนที่รู้ความลับก็ไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้อีก
สำหรับพั่วเยวี่ยที่ถูกวางแผนหลอกตบตา นางไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอนว่าหนี้รักที่ตัวเองเป็นคนหว่านเอาไว้สุดท้ายจะมีคนจดจำบัญชีนี้ได้อย่างแม่นยำ ตัดสินใจตามทวงคืนจากนาง
คนเช่นนางมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนมีความพยายามเต็มเปี่ยม เมื่อเกิดในเผ่ามารแล้วก็ต้องเป็นมารผู้ยิ่งใหญ่และมีคุณค่า ฉะนั้นตลอดเส้นทางตั้งแต่เป็นมารตัวเล็กๆ ก็ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งขุนพลเยี่ยนสื่อ กลายเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลใหญ่ของจอมมาร
ในขณะเดียวกันเมื่อนางเคยลั่นวาจาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเกี้ยวเซียนกระบี่ นางก็ทำอย่างสุดกำลังความสามารถ
น่าเสียดายเซียนกระบี่ไม่เคยหลงกล นางตามตื๊อเขามาร้อยปี ทว่าเขาไม่เคยมองนางตรงๆ เลยสักครั้ง
ก็ได้ นางยอมรับว่าตัวเองล้มเหลว เรื่องเช่นนี้ไม่เห็นจะต้องเสียหน้า เพราะว่าบนโลกใบนี้สตรีที่ทำให้เซียนกระบี่สนใจยังไม่มาเกิด นางไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร นับตั้งแต่นี้ล้มเลิกความคิดจะล่อลวงเขาไปโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อรูปโฉมยั่วยวนไม่สำเร็จ เช่นนั้นไปประลองฝีมือกันในสนามรบก็แล้วกัน
ผลปรากฏว่าเขาจัดการนางอย่างเฉียบขาดในกระบี่เดียว ทำให้นางเกิดโทสะจน…
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจนานกว่าร้อยปีเพื่อเกี้ยวเขา ไม่ว่าจะเขียนกลอน มอบดอกไม้ มอบของขวัญ ทำเรื่องชวนขนลุก พูดจาหวานเลี่ยนมานับไม่ถ้วน แม้ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำ แต่อย่างน้อยก็เคยทุ่มเทความพยายาม
ต่อให้บุรุษแซ่ต้วนไม่รักหยกถนอมบุปผาแต่ก็ควรลังเลอยู่บ้างกระมัง นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้กระบี่ซื่อหมัวทำลายวิญญาณดั้งเดิมของนางโดยตรงทำให้วิญญาณแตกฉานซ่านเซ็น ช่างเป็นพวกเย็นชาไร้หัวใจ ไม่มีเยื่อใยไมตรีโดยแท้
โชคดีสวรรค์มีตานางถึงได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ บัญชีแค้นนี้นางจะต้องทวงคืนจากเซียนกระบี่ให้จงได้!
เช้าตรู่วันถัดมาพั่วเยวี่ยก็มารายงานตัวที่เรือนลั่วสยาอย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
“อาจารย์ ข้าเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” พั่วเยวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
นางเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อแขนแคบกางเกงขายาวเพื่อสะดวกแก่การเคลื่อนไหว เส้นผมยาวสลวยรวบขึ้นอย่างเรียบง่ายไว้ข้างหลังทิ้งตัวลงเป็นผมหางม้า นางแต่งกายคล้ายบุรุษ ท่าทางพร้อมต่อสู้
ต้วนมู่ไป๋มองสำรวจนางจากศีรษะจรดปลายเท้าแล้วส่ายหน้า “แต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะ อาจารย์เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะกับเจ้าเอาไว้ให้แล้ว ลองสวมดูเถอะ”
เขาไม่รอถามความเห็นนางสักคำก็โบกมือโดยพลัน แสงสีทองลอยออกมาจากกลางฝ่ามือวนเวียนอยู่รอบกายนาง จากนั้นนางก็ถูกแสงสีทองระยิบระยับโอบล้อมเอาไว้ จนกระทั่งแสงสีทองจางหายไปแล้วเสื้อแขนแคบกางเกงขายาวของนางก็หายลับไปด้วย เสื้อผ้าบนร่างถูกสับเปลี่ยนเป็นชุดสีงดงามนุ่มนวลแลดูพลิ้วไหวแทน
ในขณะเดียวกันนี้เองเบื้องหน้าพั่วเยวี่ยพลันปรากฏคันฉ่องเต็มตัวบานหนึ่งสะท้อนภาพนางที่มีไอเซียนแผ่ปกคลุมไปทั่วร่าง
นางในคันฉ่องสวมชุดกระโปรงปักลวดลายดอกบัว เนื้อผ้าน้ำหนักเบาเนียนนุ่ม สะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม เส้นผมยาวสลวยที่รวบขึ้นอย่างเรียบง่ายก็เปลี่ยนเป็นเกล้ามวยตกหลังม้า** ทิ้งตัวไปด้านหลัง เมื่อรวมกับชุดกระโปรงตัวนี้ไอเซียนบริสุทธิ์สูงส่งเสริมด้วยความลึกลับก็เพิ่มขึ้นมาอีกส่วน
พั่วเยวี่ยมองจนตะลึงงันไปชั่วขณะ ตัวนางในคันฉ่องเปล่งประกายโดดเด่น เสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนี้ยิ่งขับเน้นให้นางมีกลิ่นอายดั่งเซียน
“เสื้อผ้าเช่นนี้เหมาะกับเจ้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ ดูมีสง่าราศียิ่งกว่าเมื่อก่อน ต่อไปเจ้าก็สวมเสื้อผ้าเช่นนี้แล้วกัน”
พั่วเยวี่ยมองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังตัวเองในคันฉ่อง รู้สึกเขาพูดจาแปลกประหลาดพิกลราวกับว่าเขาและนางรู้จักกันมานานแล้ว อีกทั้งดูเหมือนเขาจะไม่พอใจเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางมาตลอดกระนั้น
นางปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีสายตาเฉียบคมอย่างแท้จริง นางชอบกระโปรงชุดนี้มากทีเดียว ไม่คิดว่าเขาจะเลือกเสื้อผ้าให้ลูกศิษย์ตัวเองด้วย นางเป็นฝ่ายรับประโยชน์ไปเต็มๆ
ต้วนมู่ไป๋หยิบเครื่องประดับศีรษะออกมาแล้วสวมให้นางกับมือ สิ่งนั้นก็คือสร้อยพร้อมจี้ห้อยเส้นหนึ่ง ส่วนบนของจี้ฝังหยกสีน้ำเงิน พอสวมประดับบริเวณหน้าผากแล้วนึกไม่ถึงว่าจะช่วยส่งเสริมความงามดั่งวาดมังกรเติมตาทำให้นางมีกลิ่นอายราวกับเทพธิดาและงดงามยิ่งกว่าเดิม
ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าเมื่อนางแต่งกายเช่นนี้แล้วมายืนเคียงคู่กับเขาช่างสอดคล้องกับคำกล่าวว่าบุรุษเก่งกาจควรคู่สตรีงามล้ำ สมเป็นคู่รักเทพเซียนจริงๆ
สายตาของคนทั้งสองสบประสานกันในคันฉ่อง ต้วนมู่ไป๋อมยิ้มพลางจ้องมองนาง แววตาราวกับดวงดาวพราวระยับ พั่วเยวี่ยมองตอบเขาด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า นัยน์ตาฉ่ำวาวของนางกับเขาส่องสะท้อนความงามซึ่งกันและกัน
พอยักคิ้วหลิ่วตาเช่นนี้มองดูก็รู้ว่าต้องเลยเถิดจนกลายเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของอาจารย์กับลูกศิษย์แน่
ต้วนมู่ไป๋ดีดนิ้วนิดเดียวคันฉ่องบานใหญ่ก็หายวับไป เขาจับจูงมือของนางแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
นางเพิ่งคิดในใจว่าต้องเลยเถิดจนกลายเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เจ้าคนหื่นกามก็โผล่หางออกมาแล้ว มองไม่ออกเลยนะ มองไม่ออกเลย ที่แท้บุรุษผู้นี้ก็เสแสร้งได้แนบเนียนนัก
ตอนแรกนางเห็นว่าเขาเป็นอาจารย์ที่รักใคร่เอ็นดูลูกศิษย์คนหนึ่ง เพียงแต่ยิ่งอยู่ร่วมกันยิ่งรู้สึกว่าท่าทีที่เขามีต่อลูกศิษย์ช่างคลุมเครือ
ประเดี๋ยวก็หาเสื้อผ้าอาภรณ์ ประเดี๋ยวก็หาเครื่องประดับให้ ตอนนี้ยังจูงมือนางด้วยซ้ำ
เรื่องจูงมือก็แล้วไปเถิด เขายังเรียกม้าสวรรค์มาตัวหนึ่งแล้วอุ้มนางขึ้นไปโดยให้นั่งอยู่ข้างหน้าตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ ส่วนมืออีกข้างคว้าสายบังเหียน
ในที่สุดนางก็มั่นใจแล้วว่าบุรุษผู้นี้คิดมิดีมิร้ายกับลูกศิษย์ของตัวเองจริงๆ ด้วย!
ก่อนหน้านี้นางยังไม่มั่นใจ เพราะว่าภาพลักษณ์แสนเย็นชาของเขาสลักลึกอยู่ในใจผู้คน หญิงงามสามดินแดนมีมากมายก่ายกองเขากลับไม่ชายตาแลมอง จะมาสนใจเยวี่ยเป่าที่มีรูปโฉมเช่นเด็กสาวงามพริ้มเพราได้อย่างไร
วันนี้นับว่านางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ไม่ใช่บุรุษทุกคนจะโปรดปรานอาหารชั้นเลิศเพียบพร้อมด้วยของป่าของทะเล บางคนอาจโปรดปรานโจ๊กรสจืดและกับแกล้ม ต้วนมู่ไป๋หาใช่บุรุษที่ไม่พึงชิดใกล้สตรี แค่ไม่พบคนที่ถูกตาต้องใจ ถ้าหากพบเข้าแล้วต่อให้เป็นเขาที่ไม่กินอาหารอย่างมนุษย์** ก็มีวันที่อยากกินเนื้อบ้างเหมือนกัน
นางก็คือเนื้อลูกแกะรสชาติอร่อยถูกปาก ในเมื่อได้ครอบครองร่างกายนี้แล้วนางจะต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าหน่อย
ระหว่างที่ความคิดของพั่วเยวี่ยหมุนวนไปเป็นร้อยรอบ ม้าสวรรค์ก็สยายปีกโผบินพุ่งทะยานสู่ทะเลเมฆ
“อาจารย์ พวกเราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ”
“ในฐานะลูกศิษย์ของข้า เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่ามีสถานที่แห่งใดบ้างเป็นที่ลับสำหรับปลีกตัวฝึกตน”
ท่านเซียนผู้นี้จะพูดอะไรก็พูดมา จำเป็นต้องแนบชิดกันปานนี้ด้วยหรือ ไอร้อนเป่ารดใบหูข้าจนคันยุบยิบไปหมดแล้ว มีเจตนาจะยั่วยวนกันกระมัง
ม้าสวรรค์พาคนทั้งสองเหาะเหินวนรอบแนวภูเขา หุบเขายิ่งใหญ่ตระการตา ป่าเขียวขจีทอดตัวยาว น้ำตกเป็นสายราวแถบผ้าไหม ทิวทัศน์ทั้งหมดพอมองเห็นด้วยสองตาแล้วทำให้หัวใจของนางอยากโบยบินไปในแดนเซียนซึ่งมีธรรมชาติงดงามดั่งภาพวาดและบทกวีนี้เหลือเกิน
ไม่ว่าคนของเผ่ามารหรือแดนเซียนต่างก็มีสถานที่ลับสำหรับปลีกตัวฝึกตนของตัวเอง ตอนนี้นางทำได้แค่เดินเที่ยวเล่นบนเขาด้วยสองเท้า จะไปไหนมาไหนยังมีขอบเขตจำกัด เดิมทีตั้งใจว่าวันข้างหน้าพอเรียนรู้วิธีขี่เมฆเหาะเหินได้แล้วค่อยสำรวจสภาพพื้นที่ให้ละเอียด ตอนนี้เหนือความคาดหมายนัก ท่านเซียนกระบี่ผู้สูงส่งเกินเอื้อมแนะนำให้นางรู้จักด้วยตัวเอง นับว่าลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อยเลย
ขณะกำลังชื่นชมทิวทัศน์ พั่วเยวี่ยไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังมองนางอยู่ ถึงขนาดก้มศีรษะลงขบเม้มลำคอระหงเบาๆ ด้วยซ้ำ
เอ๋?
นางหันกลับไปมองเขา ภาพที่ปรากฏกลับเป็นเสี้ยวหน้าด้านข้างหล่อเหลาเงยขึ้นปะทะสายลม แต่แล้วคล้ายรับรู้ได้ว่านางกำลังมองอยู่ เขาจึงถอนสายตาที่กวาดมองไปไกลกลับมาและหันมองตอบนางเช่นกัน ดวงตาสองข้างประดับรอยยิ้มหล่อเหลาจางๆ อย่างเปิดเผยมีชีวิตชีวา
พั่วเยวี่ยพลอยยิ้มไปกับเขาด้วย ก่อนจะถอนสายตากลับมาแล้วมองตรงไปข้างหน้า ยกมือขึ้นเกาตรงลำคออย่างไม่ใส่ใจนัก
ตลอดเส้นทางนี้ต้วนมู่ไป๋พานางเหาะเหินผ่านยอดเขาสูงตระหง่านยาวเหยียด ทะเลเมฆสะท้อนแสงอาทิตย์เรืองรอง น้ำตกดั่งธารน้ำจากสวรรค์ สะพานสายรุ้งของเทพเซียน จนกระทั่งมองเห็นทุ่งดอกไม้ ช่างงดงามเกินคำบรรยาย
นางไม่เพียงแค่ลอบจดจำสภาพพื้นที่ไว้ในใจ ยังอาศัยความออดอ้อนไร้เดียงสาเลียบๆ เคียงๆ สอบถามว่าตำแหน่งไหนกางข่ายอาคม ตำแหน่งไหนวางค่ายกลเอาไว้ ต้วนมู่ไป๋กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา ถามอะไรไปก็ตอบหมด
หึ รอให้ข้าคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่เสียก่อนจะนำกองทัพมารทำลายข่ายอาคม พังค่ายกล และกวาดล้างรังของเขาให้สิ้นซาก!
พั่วเยวี่ยก้มศีรษะลงเพราะไม่อยากให้เขามองเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของตัวเอง
หลังจากเหาะเหินเดินอากาศมาทั้งวัน พอกลับมาถึงเรือนที่พักนางก็สั่งสัตว์เซียนให้เตรียมน้ำ ชำระล้างร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจนสะอาดหมดจด เมื่อนางหยิบคันฉ่องมาส่องดูตัวเองก็สังเกตเห็นข้างลำคอมีรอยแดงอยู่จึงอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
นางต้องการมองเห็นให้ชัดเจนกว่านี้จึงเรียกเจ้าวานรเข้ามาช่วยถือคันฉ่อง จากนั้นนางก็พบว่าบริเวณหลังคอยังมีรอยแดงเล็กๆ ด้วยยิ่งทำให้นางฉงนสงสัย ครั้นเพ่งพินิจอย่างละเอียดแล้วก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที
ไอ้หยา! บุรุษผู้นั้นถึงขั้นแอบกินเต้าหู้ข้าเชียวรึ! ตอนนั้นนางแค่รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไร เพราะมัวแต่จดจำสภาพพื้นที่กับสอบถามสิ่งที่ต้องการรู้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าขโมยจุมพิตนาง!
พอคิดถึงท่าทางเสแสร้งของเขานางก็รู้สึกโมโหจนกัดฟันกรอดด้วยความอึดอัดไร้ทางระบาย
พั่วเยวี่ยกลอกตาไปมาจนความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้น เมื่อนางเช็ดตัวแห้งสนิท สวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างกับกระโปรงรัดอกพร้อมรองเท้าปักลายเสร็จก็ออกวิ่งตึงตังไปหาต้วนมู่ไป๋
“อาจารย์เจ้าคะ”
นางวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเขาโดยตรง ตอนนี้ต้วนมู่ไป๋เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวคอกลมแขนกว้าง เอนกายนอนอยู่บนตั่งไม้อ่านตำราม้วนหนึ่งอยู่ พอเห็นนางเดินเข้ามานัยน์ตาดำขลับที่ช้อนขึ้นมองก็สาดประกายสว่างวาบ
“เป่าเอ๋อร์ มานี่สิ” เขาตบลงบนตำแหน่งว่างข้างตั่งไม้ส่งสัญญาณให้นางเดินเข้ามานั่ง
เวลานี้ต้วนมู่ไป๋ปลดเครื่องประดับครอบมวยผมออกแล้ว เส้นผมยาวสยายปกคลุมไหล่ ท่าร่างเกียจคร้านไม่มีรังสีเข้มงวดเหมือนเช่นยามกลางวันกลับมีความผ่อนคลายในยามค่ำคืนเพิ่มขึ้นมา ช่างหล่อเหลาทรงเสน่ห์ปานล่มเมือง
พั่วเยวี่ยคิดในใจว่า เชิญท่านเสแสร้งต่อไปเถอะ ดูซิว่าท่านจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อไร!
นางเดินไปหยุดตรงหน้าเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ ข้าถูกกัดเข้าแล้ว”
ต้วนมู่ไป๋พลันหยุดชะงัก อดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “โอ้ ถูกกัดตรงไหนกันเล่า”
“ตรงนี้เจ้าค่ะ” นางปัดผมยาวสลวยไปทางหนึ่ง พลิกคอเสื้อเล็กน้อยเผยให้เห็นหลังคองามระหงขาวผุดผาด
นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ เรือนกายยังโชยกลิ่นหอมรวยริน หัวไหล่มนนวลเนียนโผล่พ้นร่มผ้าเล็กน้อย รอยแดงบนผิวกายขาวกำลังย้ำเตือนให้บุรุษรู้ว่าขณะเด็ดดมดอกไม้งามยามกลางวันรสชาตินั้นหวานล้ำตรึงใจเพียงใด
ต้วนมู่ไป๋จ้องมองรอยแดง ประกายในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ
“อาจารย์ ท่านดูสิเจ้าคะ ข้าถูกหมัดกัดตั้งหลายครั้ง”
ต้วนมู่ไป๋ชะงักงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปาก
“หมัด?”
“ใช่เจ้าค่ะอาจารย์” พั่วเยวี่ยหมุนตัวครึ่งรอบแล้วเอียงกาย กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสงสัยว่าม้าสวรรค์ตัวนั้นคงไม่ได้อาบน้ำมานานแล้วเป็นแน่ถึงได้มีหมัดบนตัวมัน”
“…” ชายหนุ่มพลันไร้วาจาเอื้อนเอ่ย
“อาจารย์ ท่านต้องตรวจดูหรือไม่เจ้าคะ เจ้าหมัดนี้ร้ายกาจนัก เวลากัดคนกลับไม่รู้ตัวเลย”
ต้วนมู่ไป๋นิ่งเงียบไปประเดี๋ยวหนึ่งก็คลี่ยิ้มจางๆ “อาจารย์มีไอเซียนคุ้มกาย”
พั่วเยวี่ยแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจ “อา ข้าโง่เขลาเอง ลืมไปว่าเซียนทั้งหลายจะมีไอเซียนคุ้มครอง ร้อยพิษไม่กล้ำกราย นับประสาอะไรกับการถูกแมลงกัด” พอกล่าวถึงเรื่องนี้นางก็ปั้นสีหน้าอิจฉา “อาจารย์ ข้าก็อยากขับไล่แมลงป้องกันยุงได้บ้าง ท่านสอนข้าเถอะนะเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่ถูกกัดอีก”
หลังนางออดอ้อนอยู่พักหนึ่งต้วนมู่ไป๋ก็โยนตำราวิชาเซียนเล่มหนึ่งให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อพั่วเยวี่ยได้ตำราเซียนมาครองดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้า วันนี้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดวัน ทั้งร่วมชมทิวทัศน์ ทั้งถูกโอบกอด ทั้งถูกขโมยจุมพิต ต่อให้ดาวเด่นประจำหอนางโลมมานั่งเป็นเพื่อนก็ยังต้องตกรางวัลไม่ใช่หรือ ได้ตำราวิชาเซียนจากมือเขาเล่มหนึ่งนับว่าไม่ถูกเอาเปรียบไปเปล่าๆ แล้ว
นางรับตำราวิชาเซียนเอาไว้ กล่าวคำขอบคุณต้วนมู่ไป๋ด้วยสีหน้าแช่มชื่นยินดีก่อนจะรีบร้อนกลับห้องตัวเอง ตั้งใจว่าจะศึกษาตำราตลอดทั้งคืน
ต้วนมู่ไป๋มองส่งนางจากไปแล้วก็หลุดหัวเราะพลางส่ายหน้า เล่ห์อุบายตื้นๆ ที่แม่เด็กน้อยคิดเขามองไม่ออกสิถึงจะแปลก กล้าด่าว่าเขาเป็นหมัด? บัญชีนี้วันหน้าจะทยอยสะสางกับนางแน่นอน
เขาเก็บงำรอยยิ้ม น้ำเสียงจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบปานน้ำแข็ง
“อาฝู”
อาฝูเป็นชื่อเล่นของสัตว์เซียนวานร เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานมันก็พลันปรากฏกาย แต่กลับต้องตกตะลึงกับรังสีกดดันไร้รูปที่แผ่ซ่านมาจากเจ้านายจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างลนลาน
“ท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย!” อาฝูตกใจจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำความผิดใดกัน
“ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมองเรือนร่างของนาง” น้ำเสียงแม้จะแผ่วเบา ทว่าไอเย็นเยียบที่แฝงอยู่กลับทำให้คนฟังต้องหวาดผวาขนลุกชัน
อาฝูยิ่งตื่นตระหนกจนหมอบกราบราบคาบ คุกเข่าคว่ำหน้าแนบพื้น รังสีกดดันไร้รูปข่มขวัญจนมันพูดอะไรไม่ออก เมื่อมันใกล้จะหายใจไม่ทันแรงกดดันบนร่างกลับเบาหวิวไปอย่างกะทันหัน พลังสายนั้นถูกดึงกลับไปแล้ว
อาฝูหอบหายใจคำโต มองหน้าเจ้านายด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำตาเอ่อคลอ
ต้วนมู่ไป๋จ้องหน้ามันเขม็งอย่างเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่างเถอะ เมื่อก่อนที่นี่ไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนเข้ามา แม้พวกเจ้าจะกลายร่างเป็นมนุษย์แต่ก็ยังไม่เข้าใจลักษณะนิสัยมนุษย์อีกหลายอย่าง ถือเป็นความสะเพร่าของข้าเอง”
อาฝูฟังไม่เข้าใจเท่าไรนัก ได้แต่มองหน้าผู้เป็นนายอย่างสับสน
“จำเอาไว้ นับจากวันนี้ไปขอแค่เป็นตัวผู้จะไม่มีสิทธิ์สอดส่องห้องนอนของเป่าเอ๋อร์ และยิ่งไม่มีสิทธิ์แอบมองเรือนร่างของนางโดยเด็ดขาด”
อาฝูพยักหน้ารับอย่างร้อนรน แม้จะไม่เข้าใจ แต่เจ้านายสั่งอะไรพวกมันก็พร้อมทำตามอยู่แล้ว
พอเห็นเจ้านายโบกมือสั่งให้ถอยออกไปมันก็รีบถอยหลังเดินออกจากห้องทันทีเพื่อไปแจ้งเตือนสัตว์เซียนทุกตัว
“ท่านเซียน แล้วข้าล่ะ”
เสียงเอ่ยถามเป็นของอามู่ เนื่องจากอามู่ไม่ใช่สัตว์เซียน แต่เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตยืนยาวนับพันปี จึงไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
ต้วนมู่ไป๋ก้มศีรษะมองตอไม้อ้วนป้อม นิ่งเงียบไร้วาจาอยู่สักพักก็สั่งว่า “นอกจากนางจะตกอยู่ในอันตราย ไม่อย่างนั้นห้ามแอบมองเรือนร่างนางส่งเดช”
อามู่ยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม “ท่านก็เป็นตัวผู้ เหตุใดท่านต้องสอดส่องเรือนร่างนางด้วยล่ะขอรับ”
อามู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเขา ย่อมรู้ดีว่าสัมผัสทิพย์ของท่านเซียนกระบี่ติดตามแม่นางเยวี่ยเป่าตลอดเวลา นับตั้งแต่วันนั้นที่เซียนกระบี่อุ้มนางเข้ามาในยอดเขาวั่งเยวี่ย ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืนท่านเซียนกระบี่ก็เอาแต่เฝ้ามองแม่นางเยวี่ยเป่า แม้กระทั่งเวลานางเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วท่านเซียนกระบี่ยังช่วยชำระล้างร่างกายให้นาง
“อามู่”
“ขอรับท่านเซียน”
“เรื่องนี้…ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ถ้าหากเยวี่ยเป่ารู้เข้าข้าจะโยนเจ้าเข้ากองเพลิงพิสุทธิ์เผาให้เป็นถ่านไม้หมื่นปี”
อามู่หน้าถอดสีในพริบตา คำพูดประโยคนี้ทำให้มันตกใจจนใบไม้บนร่างชี้ชันขึ้นมา
มันไม่หวาดกลัวไฟธรรมดา แต่หวาดกลัวเพลิงฌานพิสุทธิ์ของท่านเซียนกระบี่ เพลิงพิสุทธิ์นั้นสามารถเผาวิญญาณดั้งเดิมของมันได้ พลังบำเพ็ญเพียรนับพันปีจะอันตรธานหายไป
“อามู่ไม่กล้า ต่อให้ตายอามู่ก็ไม่มีทางบอกคนอื่น!” พอกล่าวจบก็วิ่งตึงตังหนีไป กลายร่างเป็นม้านั่งไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงแกล้งตายเสียเลย
ต้วนมู่ไป๋เพ่งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบตำราขึ้นมา เอนนอนกลับลงไปบนตั่งไม้อย่างเกียจคร้าน แม้สายตาจะจ้องมองตำรา แต่ภาพที่ปรากฏในห้วงความคิดกลับเป็นเงาร่างอรชรของหญิงงามที่กลับถึงห้องแล้ว
อิทธิฤทธิ์ยิ่งสูงส่งเท่าใด สัมผัสทิพย์จะยิ่งขยายกว้างขวาง ขอบเขตสัมผัสครอบคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาวั่งเยวี่ย ขอแค่เขาอยากเห็นก็จะเห็นได้หมด
ความเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ สีหน้าทุกห้วงอารมณ์ของนางล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น รวมถึงเรือนร่างของนางไม่มีส่วนใดที่เขาไม่เคยเห็นผ่านตา แม้กระทั่งดวงจิตและวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างเขายังมองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เพียงแค่นางไม่เคยรับรู้ก็เท่านั้น
วันนี้พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนสัตว์พาหนะตัวเดียวกัน ยามนางแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดเขายังไม่ตื่นเต้นยินดีเท่ากับตอนกอดตำราวิชาเซียนเล่มนั้นเลย เด็กสาวคนนี้สองตาจดจ่ออยู่กับตำราวิชาเซียนนานกว่าจ้องมองใบหน้าเขาด้วยซ้ำ
“ช่างไม่รู้จักเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาเสียเลย” ต้วนมู่ไป๋ถอนหายใจ น้ำเสียงฟังผิวเผินเหมือนจนใจ กลับแฝงด้วยความรักใคร่ไม่สิ้นสุด
ดวงจันทร์ยามค่ำคืนลอยเด่นบนฟากฟ้า นางนั่งอ่านตำราวิชาเซียน ส่วนเขาเฝ้ามองนางเงียบๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.