บทที่ 5
เซียวฉางหนิงแม้จะมีฐานะยิ่งใหญ่ไม่เท่าเมื่อก่อน แต่อย่างไรเสียก็เป็นองค์หญิงใหญ่ของแผ่นดิน กินอาหารอร่อยชั้นเลิศนอนบนเตียงงามชั้นดี คาดไม่ถึงว่าคืนแรกที่แต่งเป็นภรรยาของขันทีชั่วกลับได้นอนบนตั่งพักเท้าทั้งคืนราวกับสาวใช้ พูดออกไปเกรงว่าคงจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้กระมัง
จนกระทั่งตอนเซียวฉางหนิงตื่นมาปวดเอวปวดหลังก็รู้สึกราวกับฝันถึงเรื่องไร้สาระครั้งหนึ่ง
“องค์หญิงใหญ่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ” นางกำนัลหลายคนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงผลักเปิดประตูเดินเข้ามาอย่างระวังตัว
นางกำนัลที่เซียวฉางหนิงพามาจากตำหนักสี่ปี้มีทั้งหมดสามคนคือซย่าลวี่ ชิวหง ตงซุ่ย ในจำนวนนี้ชิวหงเป็นสาวใช้ติดตามการแต่งงานที่เหลียงไทเฮามอบให้ การพูดจาเคารพนบนอบอย่างยิ่ง แต่สนิทสนมไม่พอ ส่วนซย่าลวี่กับตงซุ่ยเป็นสาวใช้คนสนิทที่เติบโตมากับเซียวฉางหนิงตั้งแต่เด็ก ความกังวลถูกวาดไว้ในดวงตา
เห็นเซียวฉางหนิงนั่งอยู่บนตั่งพักเท้าด้วยท่าทางเป็นทุกข์ตงซุ่ยก็ขอบตาแดง แล้วจึงดึงตัวนางมามองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “องค์หญิงใหญ่ไม่สบายตรงที่ใดเพคะ เขาทำอะไรท่านหรือไม่”
เซียวฉางหนิงหมุนคอที่ปวดเมื่อยก่อนจะส่ายหน้า “ถือว่ามีชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งวัน…ซี้ด ซย่าลวี่มานวดไหล่ให้ข้าที ตั่งพักเท้าแข็งเกินไป นอนแล้วเมื่อยยิ่งนัก”
“ตั่งพักเท้าหรือเพคะ” ซย่าลวี่ที่กำลังนวดไหล่ให้เซียวฉางหนิงสุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางพูดเสียงสะอื้น “เขาให้องค์หญิงใหญ่บรรทมบนตั่งพักเท้าหรือ…ทรงเป็นถึงองค์หญิงใหญ่นะเพคะ!”
เซียวฉางหนิงพูดว่า “ในห้องนี้มีเตียงใหญ่เพียงหลังเดียว ข้าไม่นอนตั่งพักเท้า จะให้นอนกับขันทีจริงหรือ”
ราวกับเซียวฉางหนิงนึกอะไรขึ้นมาได้ นางกลอกตา กุมมือของซย่าลวี่แล้วถามว่า “จริงสิ พวกเจ้าพักอยู่ห้องด้านข้างฟากตะวันตกใช่หรือไม่ มีทั้งหมดกี่ห้อง”
ซย่าลวี่พูด “สองห้องเพคะ หม่อมฉันกับตงซุ่ยอยู่หนึ่งห้อง พี่ชิวหงนอนคนเดียวหนึ่งห้อง”
“พอดีเลย” เซียวฉางหนิงรวบมวยผมของตัวเอง ลุกขึ้นมาเปลี่ยนกระโปรงบุซับในสีแดงสดตัวใหม่ พูดสั่งการว่า “พวกเจ้าสามคนนอนเบียดกันสักนิด นอนห้องเดียวก็พอ แล้วเอาอีกห้องหนึ่งที่ว่างมาให้ข้าพัก”
“องค์หญิงใหญ่ นี่เกรงว่าคงไม่เหมาะกระมังเพคะ” ชิวหงเป็นคนข้างกายเหลียงไทเฮา ความคิดย่อมไม่ธรรมดา นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทั้งสองเป็นคู่แต่งงานใหม่ หากแยกห้องกันนอน เกรงว่าผู้บัญชาการเสิ่นคงจะไม่พอใจ จะกล่าวโทษองค์หญิงใหญ่ได้นะเพคะ”
เซียวฉางหนิงกวาดตามองนางกำนัลหน้าหยกผู้นี้ปราดหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างฉลาดจริง คิดการณ์ไกลอย่างยิ่ง เพิ่งเข้าประตูสำนักบูรพาก็รู้จักพึ่งพาคนอื่นแล้ว”
ชิวหงรู้ว่าตนเองทำเกินขอบเขตแล้ว จึงรีบก้มหน้าอย่างรู้ความผิด
“เสิ่นเสวียนอันตรายเกินไป เขาฆ่าคนมามากมายเช่นนั้น ยึดอำนาจโอรสสวรรค์สั่งการขุนนางราชสำนัก ข้าอยู่ข้างกายเขามักกังวลว่าจะทำอะไรผิดจนนำภัยมาถึงชีวิต สู้ไม่พบหน้าดีกว่า” เซียวฉางหนิงพูดพลางลุกขึ้น มองตนเองที่แต่งตัวเรียบร้อยงดงามในคันฉ่อง ถอนใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “เปิดประตู ยกอาหารมา”
แม้จะตายก็ต้องเป็นผีที่อิ่มท้อง
อาหารที่สำนักบูรพายกมาให้เรียบง่ายนัก ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนในตำหนักสี่ปี้ ทว่าเรื่องรสชาติกลับเหนือกว่า เวลานี้เรือนภายในหน่วยสงบเงียบ เซียวฉางหนิงกินพออิ่มเจ็ดแปดส่วน นางเห็นรางๆ ว่ามีคนมาใกล้นอกประตูจึงช้อนตามองไป ก็เห็นขันทีอายุน้อยคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลดิ้นเงิน
ขันทีรุ่นเยาว์เคาะประตู ประกบหมัดพูดว่า “ฮูหยินผู้บัญชาการ หลินฮวนขอพบขอรับ”
หลินฮวน…
เซียวฉางหนิงเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง หัวหน้าหน่วยเต่าดำที่อายุน้อยที่สุดในสำนักบูรพา จอมดาบอายุน้อยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์
แต่นางคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าหน่วยเต่าดำที่เลื่องชื่อจะเป็นหนุ่มน้อยหน้ากลมอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่ง ทั้งยังมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ผิวขาวสะอาด ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกใส เวลานี้หลินฮวนยืนอยู่หน้าประตู แบกดาบโค้งเล่มหนึ่งไว้บนบ่าตลอดเวลา ปอยผมข้างหูสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูแล้วเหมือนหนุ่มน้อยข้างบ้านที่มีความเป็นมิตรคนหนึ่ง ไม่เหมือนฉายาจอมดาบสำนักบูรพากินเนื้อดื่มเลือดสดที่ลือกันเลยสักนิด
เซียวฉางหนิงส่งโจ๊กเข้าปากอีกคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอันใด”
หลินฮวนเม้มปากยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ ข้างมุมปาก พูดว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการให้ข้าน้อยมาถามฮูหยินว่าอาหารถูกปากหรือไม่ขอรับ”
พอพูดถึงเสิ่นเสวียนเซียวฉางหนิงก็ทั้งกลัวทั้งเกลียด นางกลัวชื่อเสียงบารมีของเขา และเกลียดที่เขาควบคุมราชสำนัก ทำเรื่องเหลวไหลในโลกนี้ทุกอย่าง
เซียวฉางหนิงหมดความอยากอาหารไปในทันที ตัดสินใจใช้ผ้าเปียกเช็ดนิ้วมือ พูดอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “อาศัยวาสนาของผู้บัญชาการเสิ่น แม้จะมีอาหารรสเลิศ แต่ไม่กินก็ไม่รู้รส”
หลินฮวนไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนี้ยังคงนิ่งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเกาศีรษะแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่เคยเรียนหนังสือ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ฮูหยินหมายความว่าอาหารอร่อยหรือขอรับ”
นางได้พูดเสียดสีระบายออกมาประโยคหนึ่ง ไฟคุกรุ่นในใจก็มอดดับไป นางเหล่มองขันทีอายุน้อยตรงประตูปราดหนึ่ง “ผู้บัญชาการของพวกเจ้าเล่า”
หลินฮวนพูดว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการกำลังปรึกษางานที่โถงประชุม จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อยมานำฮูหยินไปเดินสำรวจในสำนักบูรพา ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมขอรับ”
ได้ยินว่าเสิ่นเสวียนไม่อยู่ เซียวฉางหนิงก็มีความกล้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่อึดอัดเท่าใดแล้ว “ข้าไม่อยากเดินดู และไม่อยากทำความคุ้นเคย”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่”
“ฮูหยิน…”
“ข้าไม่ใช่ ‘ฮูหยิน’ อะไรทั้งนั้น ตามประเพณีเจ้าต้องเรียกข้าว่า ‘องค์หญิงใหญ่’ ”
“…”
หลินฮวนลังเลอีกครั้ง และรับรู้ถึงความเป็นปรปักษ์เล็กน้อยของเซียวฉางหนิง
เขาตัดสินใจยกเลิกการพูดคุยด้วยคำพูดแล้วหุบยิ้มลง ดวงตาโตที่ไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยคู่นั้นเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันใด นิ้วโป้งกดลงบนฝักดาบ ชักดาบออกมาเล็กน้อย คมดาบมีประกายเย็นเยือกราวน้ำค้างแข็ง
“ใต้เท้าผู้บัญชาการบอกแล้วว่าถ้าฮูหยินไม่เชื่อฟัง ก็ให้ข้าน้อยดำเนินการตามสถานการณ์”
เซียวฉางหนิงวางช้อนชามลงอย่างรวดเร็ว เช็ดทำความสะอาดมุมปาก พูดอย่างยืดได้หดได้ “หลินกงกงเชิญนำทาง พวกเราไปทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อมประเดี๋ยวนี้เลย”
สิ้นเสียงคมดาบกลับเข้าฝัก หลินฮวนก็เปลี่ยนกลับมามีท่าทางไร้พิษภัยต่อคนและสัตว์ก่อนหน้านี้ในพริบตา แล้วยิ้มอย่างขัดเขิน “ฮูหยินเชิญตามข้าน้อยมาเถิดขอรับ”
เซียวฉางหนิงมือเท้าเย็นเฉียบ เดินตามหลินฮวนไปราวกับวิญญาณล่องลอย
ภายในห้อง ซย่าลวี่กับตงซุ่ยกอดกันร้องไห้ “ฮือ เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาน่ากลัวเหลือเกิน!”
บริเวณเรือนของสำนักบูรพาเงียบจนเหมือนน้ำนิ่งบ่อหนึ่ง หลินฮวนพาดฝักดาบไว้บนบ่าราวไม้หาม สองมือห้อยบนฝักดาบอย่างสบายอารมณ์ ก้าวเดินถอยหลัง น้ำเสียงมีความสดใสของคนหนุ่ม “นี่เป็นสถานที่ที่ข้าน้อยชอบที่สุด”
เซียวฉางหนิงมองไปตามสายตาของเขา เห็นเพียงป้ายชื่อเคลือบสีแดงแผ่นหนึ่งอยู่ใต้ชายคาที่แขวนเนื้อแห้งและกระเทียมเต็มไปหมด บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า ‘ห้องครัว’ ก็จนคำพูด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดว่า “เจ้าชอบกินมากหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าเสิ่นเคยพูดว่า ‘ราษฎรเห็นอาหารสำคัญเหนือฟ้า’ ถ้ากินของอร่อยไม่ได้ มีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร” ระหว่างพูดหลินฮวนก็แวะไปหยิบซาลาเปาเนื้อสองลูกในหม้อนึ่งบนเตา แล้วเอาลูกหนึ่งยัดเข้าปากไปทั้งลูก
เซียวฉางหนิงรู้สึกตกใจ นางมองสองแก้มที่พองออกของหลินฮวน ไม่กล้าเชื่อว่าปากของเขาสามารถยัดซาลาเปาเนื้อที่ใหญ่กว่ากำปั้นเข้าไปได้อย่างไร
เห็นเซียวฉางหนิงจ้องตรงมาที่ตนเองหลินฮวนก็เกิดความเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด เขามองซาลาเปาในมือ แล้วมองเซียวฉางหนิงที่ตกตะลึง จากนั้นก็มองซาลาเปาในมืออีกครั้งเหมือนชั่งใจอย่างยากลำบาก ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงทำเหมือนตัดสินใจได้ ยื่นซาลาเปาไปตรงหน้าเซียวฉางหนิงอย่างอาลัยอาวรณ์ “ใต้เท้าเสิ่นบอกแล้วว่าท่านเป็นหงส์ขนร่วงที่เทียบไม่ได้แม้แต่ไก่ ไม่ว่าเรื่องใดต้องดูแลท่านมากสักนิด…ซาลาเปานี้ข้าน้อยให้ท่าน”
ถูกเรียกว่าเป็น ‘หงส์ขนร่วง’ เซียวฉางหนิงก็โกรธจนอึดอัดใจขึ้นมา
ทว่านางกลับไม่กล้าด่าเสิ่นเสวียน ทำได้เพียงกัดฟันยิ้มเย็น “ข้าไม่หิว เจ้ากินเถิด”
หลินฮวนดวงตาเปล่งประกาย ซาลาเปาราวกับกลายเป็นเงาสายหนึ่ง ถูกเขากลืนลงท้องไปในพริบตา เขาเลียนิ้วมืออย่างยังไม่หายอยาก แต่เมื่อเห็นเซียวฉางหนิงจ้องตัวเองอยู่ เขาจึงเม้มปากยิ้มอย่างขัดเขิน “ข้าน้อยตอนเด็กหิวจนกลัวแล้ว จึงมีความยึดติดกับการกิน”
เซียวฉางหนิงยังจมอยู่กับคำตอกย้ำความทุกข์ของเสิ่นเสวียน จึงรู้สึกไม่ชอบหลินฮวนอย่างมากไปด้วย แต่พอได้ยินเขาพูดว่า ‘ตอนเด็กหิวจนกลัว’ ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางจึงเกิดใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย
สำนักบูรพามีพื้นที่กว้างมาก ทั้งสองเดินชมอยู่ครึ่งชั่วยาม เซียวฉางหนิงเหนื่อยจนยืดหลังไม่ขึ้น หลินฮวนกลับยิ่งเดินยิ่งเร็วราวกับกำลังเหาะเหิน ว่องไวดั่งวานร
“ซ้ายมือเป็นหอเก็บตำรา ข้างหน้าเป็นลานฝึกยุทธ์ ใต้เท้าเสิ่นกับพวกเรามักจะฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ที่นั่นเป็นประจำ” หลินฮวนหันหน้ามา ถามอย่างตั้งความหวังว่า “ฮูหยินจะไปดูหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เดินแล้ว ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” เซียวฉางหนิงนั่งลงบนม้านั่งหินใต้เงาไม้ นวดข้อเท้าที่บอบบาง “ข้าไม่เคยเดินไกลเช่นนี้มาก่อน เกี้ยวสักหลังก็ไม่มี”
“ในหน่วยมีเพียงม้าชั้นดี ไม่มีเกี้ยว หากนั่งเกี้ยวจะไม่มีที่ให้หลบหลีก นั่นย่อมถูกศัตรูลอบสังหารได้ง่าย” หลินฮวนพูดคำน่ากลัวอย่างจริงจัง เหล่มองเซียวฉางหนิงที่มีเหงื่อผุดเต็มหน้าผากปราดหนึ่ง “ฮูหยินร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้ว ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมให้มากนะขอรับ”
“ฝึกซ้อมไร้สาระอันใด” เซียวฉางหนิงทั้งเหนื่อยและอึดอัด นางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ พูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ใต้บัญชาพวกเจ้า”
หลินฮวนส่งเสียง “อ้อ”
แสงแดดอบอุ่น เงาไม้พลิ้วไหว บนชายคาไม่ไกลออกไปมีเสียงแมวร้องสองทีดังลอยมาทันใด
เซียวฉางหนิงดวงตาเปล่งประกาย มองไปตามเสียง “หู่พั่ว!”
“เหมียว” แมวกระดองเต่าที่หายตัวไปหนึ่งวันบิดขี้เกียจอยู่บนสันหลังคาอย่างเกียจคร้าน ขนสีดำน้ำตาลสะท้อนเป็นมันวาวใต้แสงแดด
เซียวฉางหนิงคิดอยากจะช่วยแมวของตนเอง นางวิ่งไปใต้ชายคาโดยไม่คิดอะไร และไม่ได้สังเกตเลยว่าใต้ชายคานั้นมีป้ายชื่อป้ายหนึ่งเขียนอักษรสีทองตัวใหญ่ว่า ‘โถงประชุม’
“ช้าก่อนขอรับ ที่นั่นคือ…”
หลินฮวนอยากจะยับยั้ง แต่เซียวฉางหนิงเดินตามทางใหญ่เข้าไปในเขตโถงประชุมแล้ว ประตูห้องโถงปิดสนิท เซียวฉางหนิงยืนอยู่ในชายคาเงยหน้ามองเจ้าแมวที่เดินเล่นอยู่บนกระเบื้องปูหลังคา ขณะที่นางกำลังจะส่งเสียงเรียกก็ได้ยินเสียงแสดงความเห็นของเหล่าขันทีดังลอยมา
“หน่วยหงส์แดงปรับปรุงคันธนูนี้แล้ว สามารถยิงต่อกันได้สิบดอก แต่ละดอกมีพิษ”
“หน่วยพยัคฆ์ขาวประดิษฐ์พิษใหม่ได้หนึ่งชนิดเช่นกัน ไร้สีไร้กลิ่น ตอนพิษกำเริบอวัยวะภายในจะเจ็บปวด แขนขาเกร็งกระตุก แต่ยังทำให้คนมีสติอยู่ เหมาะอย่างมากในการใช้สอบสวนนักโทษ”
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ หน่วยมังกรครามคิดค้นเครื่องลงทัณฑ์ใหม่ได้ชนิดหนึ่ง สามารถทุบเส้นเอ็นหักกระดูกได้…”
“ตามรายงานของสายสืบ ระยะนี้ไช่เฟิงแห่งกรมทหารไม่อยู่นิ่ง ลอบรับนักสู้พเนจรในยุทธภพกลุ่มหนึ่งเข้าเมือง เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์ร้าย จะดำเนินการอะไรหรือไม่ขอรับ”
“อืม” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยนั้นเป็นของเสิ่นเสวียน “ไช่เฟิงมีใจคิดคดไม่ใช่วันสองวัน ควรจะจัดการบ้างแล้ว”
ดวงตะวันฤดูใบไม้ร่วงสดใส เซียวฉางหนิงกลับมีเหงื่อออกท่วมตัวด้วยความตกใจ
น่า…น่ากลัวเหลือเกิน! ขันทีสำนักบูรพากลุ่มนี้ปรึกษาหัวข้อน่ากลัวเช่นนี้กลางวันแสกๆ
“…เป็นโถงประชุมของใต้เท้าผู้บัญชาการขอรับ” หลินฮวนกัดนิ้วมือพุ่งเข้ามา พูดเสริมครึ่งประโยคสุดท้ายจนสมบูรณ์
เซียวฉางหนิงถอยหลังหนึ่งก้าว อาจเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เสียงภายในห้องจึงหยุดลงทันที จากนั้นเสียงทุ้มต่ำของเสิ่นเสวียนก็ดังลอยมา “ใคร!”
เสิ่นเสวียนเปิดประตู บังเอิญเห็นแผ่นหลังหนึ่งวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
บนบันไดมีผ้าที่งานปักประณีตผืนหนึ่งตกอยู่ เห็นชัดว่าเป็นของนายหญิงหนึ่งเดียวในสำนักบูรพา
เขามองไปทางหลินฮวน “นางได้ยินหรือ”
“ได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคก็ตกใจหนีไปแล้วขอรับ” หลินฮวนหันมองทางที่ฮูหยินของตนเองวิ่งจากไป พูดอย่างสงสัยว่า “ฮูหยินยังบอกว่าตนเองไม่มีแรงแล้ว นี่วิ่งได้เร็วมากมิใช่หรือ”
เสิ่นเสวียนดูเหมือนไม่กังวลที่เซียวฉางหนิงได้ยินความลับ เพียงแค่ก้มลงหยิบผ้าสีไข่มุกที่ตกอยู่บนบันไดนั้นขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงพูดเสียงเรียบว่า “ระยะนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสงบนัก คอยติดตามนางไว้”
บทที่ 6
เซียวฉางหนิงหนีกลับถึงในห้องก็รีบปิดประตู หันหลังพิงประตูหายใจหอบไม่หยุด หัวใจเต้นราวรัวกลอง
นางเคยได้ยินมานานว่าสำนักบูรพาทุกต้นเดือนจะนัดประชุมลับ หนึ่งคือเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร สองคือยืนยันเป้าหมายที่จะดำเนินการในเดือนหน้า เพื่อจับตาดูใครบางคน หรือเพื่อลอบสังหารสายสืบ สำนักบูรพาก็เหมือนสัตว์ป่าที่จำศีลอยู่ท่ามกลางความมืดกลุ่มหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะกระโจนมากัดหลอดลมของเจ้าจนขาดเมื่อใดก็ได้
เซียวฉางหนิงรู้สึกว่าตนเองระยะนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ แม้แต่จะจับแมวสักตัวยังไปเจอเข้ากับการวางแผนลับของสำนักบูรพาได้อีก
ซย่าลวี่ยกน้ำชาเย็นหนึ่งกามา แล้วหยิบผ้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เซียวฉางหนิง พูดอย่างเป็นห่วงว่า “องค์หญิงใหญ่เพคะ สีพระพักตร์ของท่านเหตุใดจึงแย่เช่นนี้ คับข้องใจสิ่งใดอยู่หรือเพคะ”
เซียวฉางหนิงหมอบอยู่บนโต๊ะอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางยกน้ำชาเย็นขึ้นดื่มสองอึก จึงสงบสติลงได้เล็กน้อย “ข้า…ไม่ระวังได้ยินความลับของสำนักบูรพาเข้า อาจจะถูกฆ่าปิดปากก็ได้”
“หา!” ซย่าลวี่ร้องตกใจ ถอยหลังก้าวหนึ่งลงคุกเข่า ร้องไห้พูดว่า “องค์หญิงใหญ่ แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดีเพคะ! หรือว่าพวกเราคิดวิธีหนีออกไปเถอะเพคะ!”
“หนีหรือ ที่นี่มีอันตรายซ่อนอยู่รอบด้าน เจ้าหน้าที่อยู่เต็มไปทั่ว เจ้าข้าไม่มีอาวุธติดมือสักชิ้น จะหนีไปที่ใดได้” เซียวฉางหนิงถอนใจพูดว่า “เจ้าอย่าร้องไห้ ให้ข้าสงบสติสักครู่ ใช้ความคิดสักนิด”
ณ โถงประชุม
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ในเมื่อแผนการถูกองค์หญิงใหญ่ฉางหนิงได้ยินเข้าแล้ว จะปรึกษาการดำเนินการใหม่หรือไม่ขอรับ” ผู้ที่พูดเป็นขันทีวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทางมีเมตตาอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ขาวที่ปรุงยาพิษใหม่ที่ไร้สีไร้กลิ่นออกมาผู้นั้น แซ่อู๋ชื่อโหย่วฝู
เสิ่นเสวียนเผยอริมฝีปากบางเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น”
“ท่านเชื่อใจนางเพียงนี้เชียวหรือ” ฟางอู๋จิ้งหมุนมีดเล็กตรงร่องนิ้ว ใช้คมดาบที่แหลมคมเป็นคันฉ่อง ส่องใบหน้าซ้ายขวาดูรอบหนึ่ง แล้วพูดเย้าด้วยรอยยิ้ม “ไทเฮาคงกดดันนาง ให้นางลอบเอาชีวิตของท่านแน่นอน ท่านไม่กลัวนางจะหักหลังท่านหรือ อย่างไรเสียไม่มีองค์หญิงปกติองค์ใดที่ยินดีแต่งกับคนอย่างพวกเราอยู่แล้ว”
“ข้าน้อยเข้าใจความคิดของใต้เท้าผู้บัญชาการแล้ว” อู๋โหย่วฝูจับยาลูกกลอนสีเขียวอ่อนด้วยปลายนิ้ว ยิ้มหยีตาพูดว่า “ถ้าองค์หญิงใหญ่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ยอมให้คนอื่นชักใย แต่ไม่มีสติปัญญาวางแผนใด คนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่หากองค์หญิงใหญ่เป็นคนฉลาด ย่อมไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
พูดจบนกกระจอกตัวหนึ่งก็บินโผลงมา ใช้บ่าของอู๋โหย่วฝูเป็นสถานที่พักผ่อน แต่เพียงชั่วครู่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น นกกระจอกที่ยังกระโดดไปมาบนบ่าของเขาเมื่อครู่อ้าจะงอยปากในทันใด ส่งเสียงร้องแหลมดังเหมือนมีอะไรอุดหลอดลม จากนั้นก็กระพือปีกตกลงพื้น ขนนกแห้งหลายอันลอยขึ้นมา นกน้อยที่ตกลงพื้นกรงเล็บหงิกงอ ดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ก็ขาดใจตายโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครมองนกตายตัวนี้เลย ราวกับเห็นวิธีการลงมือร้ายกาจของอู๋โหย่วฝูมาจนชินแล้ว
เสิ่นเสวียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่กดดาบคู่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวแล้วพูดว่า “สำนักบูรพาต่อสู้ฆ่าฟันกันทั้งวัน ไม่มีความสนุกมานานแล้ว เลี้ยงนางไว้เล่นสนุกข้างกายก็น่าสนใจดี”
ฟางอู๋จิ้งหัวเราะเสียงดัง “ใต้เท้าผู้บัญชาการนี่ไม่เพียงทำตัวเดียวดายอยากแสวงหาความพ่ายแพ้ ยามนี้ยังแสวงหาไปถึงอ้อมกอดหญิงงามแล้ว!”
เสิ่นเสวียนปรายตามองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ฟางอู๋จิ้งหุบยิ้มในพริบตา “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยไม่ควรจะหัวเราะเยาะใต้เท้าผู้บัญชาการ!”
แมวกระดองเต่าบนชายคาที่ลงมาไม่ได้ร้อนใจจนข่วนหลังคา ส่งเสียงร้อง “เหมียวๆ” ทำให้สุนัขดำตัวใหญ่ที่เสิ่นเสวียนเลี้ยงไว้ตัวนั้นเห่าไม่หยุด
“แมวของนาง” เสิ่นเสวียนขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้า ส่งแมวคืนไปให้นางที”
“ได้ขอรับ! เรื่องจับตัว สำนักบูรพาของพวกเราถนัดที่สุดแล้ว!” ฟางอู๋จิ้งพูดพลางถลกแขนเสื้อ กระโดดลอยตัวไม่กี่ทีปีนขึ้นบนคานไม้ แล้วพลิกตัวกระโดดขึ้นบนหลังคาไปจับแมวน้อย
เสิ่นเสวียนพูดกับอู๋โหย่วฝูว่า “วันหน้าของมีพิษอย่าทิ้งส่งเดชไปทั่ว ระวังหญิงสาวไม่รู้ความจะเก็บไปแล้วตายโดยเปล่าประโยชน์!”
อู๋โหย่วฝูประกบหมัด หัวเราะเสียงอบอุ่นหนึ่งที “ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”
ภายในห้องพัก
“องค์หญิงใหญ่เพคะ หม่อมฉันยังอยากจะปรนนิบัติท่านอีกสองปี ยังอยากจะมีชีวิตนานอีกสักนิด…ฮือๆ”
ซย่าลวี่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก เซียวฉางหนิงกลับหัวเราะ
“ก็ไม่แน่ว่าจะถูกฆ่าปิดปาก เมื่อครู่ข้าตื่นเต้นเกินไปจึงพูดโพล่งออกไปก็เท่านั้น เจ้าอย่าคิดเป็นจริงไป” พักผ่อนไปครึ่งชั่วยาม เซียวฉางหนิงจึงสงบสติลงได้โดยสิ้นเชิง พูดวิเคราะห์ว่า “สำนักบูรพาแม้จะทำการโหดเหี้ยม แต่ใช่จะไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ แค่ไช่เฟิงรองเสนาบดีกรมทหารเพียงคนเดียว พูดถึงฐานะและคุณค่าแล้วเทียบข้าไม่ได้สักนิด เสิ่นเสวียนไม่มีทางทำลายข้อตกลงเพียงเพื่อคนตำแหน่งเล็กๆ เช่นนี้หรอก”
“จริงหรือเพคะ” ซย่าลวี่สะอื้น เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“จริง” เซียวฉางหนิงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ถามว่า “จริงสิ ห้องพักด้านข้างนั้นเก็บกวาดให้ข้าหรือยัง”
“เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเพคะ แต่ห้องเรียบง่ายไปบ้าง เพราะเดิมทีเป็นห้องที่ไว้ให้เหล่าสาวใช้พัก แสงสว่างก็ไม่ค่อยพอ” ซย่าลวี่เช็ดน้ำตา ถามอย่างระมัดระวังว่า “องค์หญิงใหญ่จะทรงแยกห้องกับผู้บัญชาการเสิ่นจริงหรือเพคะ”
“ก็แค่ขันที ไม่มีความสามารถทำเช่นคนทั่วไป อย่างไรก็ใช้ร่างกายของข้าไม่ได้ เช่นนี้ข้าจะไปหาเรื่องอัปยศใส่ตัวด้วยเหตุใดกัน” เซียวฉางหนิงลุกขึ้น นวดน่องที่ปวดหนึบๆ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “เดินเล่นมาครึ่งค่อนวัน เหนื่อยล้ายิ่งนัก ข้าจะไปพักก่อนสักนิด อาหารกลางวันกับอาหารเย็นยกมาในห้องข้า ถ้าเสิ่นเสวียนสงสัย เจ้าก็บอกว่าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ไปร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้”
ซย่าลวี่กระตือรือร้นแหวกเปิดม่านมุกให้เซียวฉางหนิง แล้วก้มหน้าพูดว่า “เพคะ หม่อมฉันจะทำตามคำสั่งทุกอย่าง”
ด้วยเหตุนี้ตอนที่เสิ่นเสวียนเพิ่งกลับถึงในเรือนเล็กก็ได้ยินเรื่องที่เซียวฉางหนิงย้ายไปอยู่ห้องด้านข้างที่ให้บ่าวพักแล้ว
“จะจับฮูหยินกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านหรือไม่ขอรับ” หลินฮวนยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือน้ำตาลกรอบที่ห่อกระดาษน้ำมันเอาไว้ กินจนผงน้ำตาลติดเต็มปาก เอ่ยถามเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน
มือของเสิ่นเสวียนที่กุมถ้วยชาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น ถ้านางทนทุกข์เช่นนั้นได้ก็ปล่อยนางไป อย่าเกิดเรื่องวุ่นวายก็พอ นางหาเรื่องได้ไม่กี่วันหรอก”
“ถ้าฮูหยินก่อเรื่องเล่า” หลินฮวนออกแรงกัดก้อนน้ำตาลในปากจนแหลก เกิดเป็นเสียงกุบที่น่าขนลุก ทว่าท่าทางของเขากลับไร้เดียงสาแลดูไร้พิษภัย “จะให้ข้าน้อยจัดการตามวินัยทหารหรือไม่ขอรับ”
เสิ่นเสวียนเอ่ยโดยไม่ได้ช้อนตาขึ้นมา “เสี่ยวหลินจื่อ เจ้านอกจากกินกับฆ่าแล้ว ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรือ”
“ยังนอนเป็นขอรับ” หลินฮวนพูดอย่างไม่เก้อเขิน
เสิ่นเสวียนออกแรงที่ข้อมือ ใช้ถ้วยชาเป็นอาวุธลับซัดออกไป พุ่งเข้าใส่หน้าหลินฮวน
หลินฮวนตีลังกาถอยหลังหนึ่งทีอย่างคล่องแคล่ว หลบอาวุธลับที่พุ่งมา ก่อนหยุดลงตรงบันไดอย่างมั่นคง ขนมน้ำตาลกรอบในมือไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
เสิ่นเสวียนลุกขึ้น กดดาบสองเล่มที่ข้างเอว พูดอย่างแฝงความหมายว่า “ลือกันว่าชาวนาชาวไร่เพื่อกำราบฝูงวัวที่ขี้หงุดหงิดแล้วจะปล่อยลูกแกะที่อ่อนแอหนึ่งตัวไว้ในฝูงวัว ใช้ประโยชน์ในการกำราบปรับสมดุลเพื่อลดจิตวิญญาณการต่อสู้ของวัว เสี่ยวหลินจื่อ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าองค์หญิงใหญ่ฉางหนิงก็คือลูกแกะที่เข้ามาปะปนในสำนักบูรพาตัวนั้น”
หลินฮวนคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็เลียเศษน้ำตาลบนนิ้วมือ “ข้าน้อยฟังไม่เข้าใจขอรับ”
“ต้องเรียนหนังสือให้มาก” เสิ่นเสวียนแนะนำ
เซียวฉางหนิงนอนหลับอย่างสบายใจหนึ่งตื่น จนกระทั่งท้องรู้สึกหิวจึงลุกขึ้นมากินอาหารอย่างเกียจคร้าน
กินอาหารกลางวันในห้องตามลำพังแล้วเซียวฉางหนิงก็รู้สึกเบื่อ จึงลงมือเก็บสินเดิมที่ตนเองนำมาด้วย ของส่วนใหญ่สาวใช้ประจำกายเก็บให้นางเรียบร้อยแล้ว มีเพียงหีบไม้แดงเล็กใบหนึ่งที่ยังปิดผนึกไว้ ในนั้นใส่ของล้ำค่าที่สุดของนางเอาไว้ เหล่าสาวใช้จึงไม่กล้าเคลื่อนย้ายเอง
เซียวฉางหนิงหยิบกุญแจมาไขกลอนแล้วเปิดหีบออก ในนั้นวางของหลายอย่างเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีผีเสื้อหยกและพระราชโองการลายพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ที่แต่งตั้งและมอบศักดินาแก่นางที่ดำรงศักดิ์เป็น ‘องค์หญิงฉางหนิง’ ยังมีถุงหอมสีเขียวสนใบเล็กน่ารักหนึ่งใบ เป็นของชิ้นสุดท้ายที่อวี๋กุ้ยเฟยปักด้วยตนเองและทิ้งไว้ให้นาง
เซียวฉางหนิงเอาถุงหอมมาห้อยติดตัว และเมื่อหยิบพระราชโองการขึ้นมาคลี่ออกอ่าน อักษรของบิดาที่คุ้นตาปรากฏแก่สายตา ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหนึบที่ขอบตา
บนนั้นเขียนทีละขีดทีละเส้นอย่างชัดเจนว่าในวันเดือนปีหนึ่งแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงฉางหนิง มีพื้นที่ทำกินในครอบครองสามร้อยครัวเรือน…ภายหลังอวี๋กุ้ยเฟยป่วยตาย อดีตฮ่องเต้ทุกข์ระทม เพิ่มพื้นที่ทำกินในครอบครองให้เซียวฉางหนิงอีกสามร้อยครัวเรือน ถือเป็นศักดินาเทียบเท่าองค์หญิงใหญ่
แต่เวลานี้นางกลายเป็นองค์หญิงใหญ่แล้ว ทั้งยังมีที่ทำกินหกร้อยครัวเรือนตามเดิม แต่ฮ่องเต้ที่สุภาพอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักที่พร้อมจะมอบให้นางผู้นั้นกลับนอนหลับยาวอยู่ใต้ดินตลอดกาลแล้ว
เซียวฉางหนิงดวงตารู้สึกปวดหนึบ นางม้วนเก็บพระราชโองการไว้อย่างดีแล้วปิดหีบลง
ครึ่งวันบ่ายนี้เซียวฉางหนิงรู้สึกสบายเป็นอิสระ และรู้สึกถึงความสงบอย่างบอกไม่ถูก
ความสงบเช่นนี้ดูไม่ปกติอยู่บ้าง…เซียวฉางหนิงมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมารางๆ และเป็นจริงดังคาด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เสิ่นเสวียนที่อดกลั้นมาตลอดวันก็ลงมือแล้ว
เพราะเซียวฉางหนิงไม่ยินดีมากินอาหารร่วมกับเขาในโถง เสิ่นเสวียนจึงสั่งคนยกเลิกอาหารของนางไปเสีย ในห้องครัวใหญ่ไม่มีแม้แต่โจ๊กร้อนสักคำเหลือให้นาง
“ใต้เท้าผู้บัญชาการบอกไว้ว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่ยินดีจะอยู่ในห้องของบ่าวรับใช้ ก็ถือว่าไม่เห็นตนเองเป็นนายหญิงของสำนักบูรพา การกินสวมใส่ใช้สอยย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้ อาหารเย็นนี้ต้องลงมือทำด้วยตนเองจึงจะถูก”
ได้ฟังดังนั้นเซียวฉางหนิงก็โกรธมาก
จะให้นางลงมือทำอาหารเองนั้นเป็นไปไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงเซียวฉางหนิง แม้แต่เหล่านางกำนัลที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังแต่เด็ก เพียงปรนนิบัติเจ้านายสวมใส่ชำระล้างร่างกายเท่านั้น ต่างไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ส่วนอาหารปกติก็ไปเอาที่ปรุงสำเร็จมาจากห้องเครื่อง แล้วเช่นนี้จะทำอาหารเป็นได้อย่างไร
ภายในห้องครัวมีเสียงปึงๆ ปังๆ ควันลอยคลุ้ง มีเสียงกระแอมน่าเวทนาดังออกมาบ่อยครั้ง ส่วนในห้องนอนที่ห่างไปเพียงหนึ่งช่วงเรือน ภายในห้องมีแสงไฟอบอุ่นเงียบสงบ เสิ่นเสวียนสยายผมดำขลับกึ่งหนึ่งสวมเสื้อคลุมนั่งอยู่ข้างโต๊ะ นิ้วที่เรียวยาวคีบหมากดำไว้ตัวหนึ่ง
เขาวางหมากดำตัวหนึ่งลงบนกระดานหมาก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “อย่างมากก็ทนได้ถึงพรุ่งนี้”
อาหารมื้อนี้สุดท้ายนางก็ทำไม่สำเร็จ เซียวฉางหนิงจำต้องนอนหิวอยู่คืนหนึ่ง
เช้าวันต่อมานายบ่าวสี่คนมีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง ส่งสายตามองกันไปมา เซียวฉางหนิงถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง “ช่างเถิด คนฉลาดไม่ยอมเสียเปรียบในสถานการณ์ไม่อำนวย! ในเมื่อข้าทำให้เสิ่นเสวียนขายหน้า ไปยอมรับผิดเสียหน่อยก็ได้…”
ด้วยเหตุนี้เซียวฉางหนิงจึงคิด ‘แผนเมืองร้าง’ อยู่ในใจ เค้นน้ำตาเศร้าใจ ล้างหน้าบ้วนปากอย่างเศร้าสลดแล้วสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างเชื่องช้า สุดท้ายสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนก้าวเดินอย่างเบาเท้าไปยังโถงใหญ่ที่เสิ่นเสวียนกินอาหารอยู่…
ไม่ยอมจำนนให้ผลประโยชน์เพียงน้อยนิดหรือ
นั่นเป็นเรื่องที่ปราชญ์เท่านั้นจะทำ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ม.ค. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.