บทที่หนึ่ง
ริมเกาะไป๋ลู่ ไถเฉิงปลายฤดูใบไม้ผลิ
เป็นอีกปีที่แถบเจียงหนาน งดงาม ดอกซิ่งโปรยปรายดุจสายฝน ดอกหลีผลิบานดุจปุยเมฆ ผึ้งและผีเสื้อบินว่อนดอมดมกลิ่นหอมของดอกไม้
เกาลั่วเสินนั่งอยู่ในห้องอันเงียบสงบในอารามเต๋าซึ่งตนพักอยู่ตามลำพังมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว
“พวกเจ้าไปเถิด หนีไปได้ไกลเท่าใดยิ่งดี…”
นางกล่าวกับนักพรตหญิงตรงหน้าหลายคนที่ยังไม่จากไป ทว่าพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ขึ้น องครักษ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอกธรณีประตู
“ฟูเหริน! ชาวเจี๋ยตีประตูเมืองแตกแล้ว! มีข่าวลือว่าไทเฮากับฝ่าบาทถูกจับเป็นเชลยที่ถนนหนานซย่า หรงคังกำลังนำกองทหารเจี๋ยเร่งรุดมาทางด้านนี้ น่ากลัวจะไม่เป็นผลดีต่อฟูเหริน! ถ้าฟูเหรินยังไม่รีบหนีก็จะไม่ทันแล้วขอรับ!”
ทุกคนต่างรู้ดี กองทัพเจี๋ยโหดร้ายทารุณไร้มนุษยธรรม ทุกครั้งที่ตีเมืองของราชวงศ์ใต้แตกเมืองหนึ่ง จะต้องเผาเมืองปล้นฆ่าข่มขืน ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่ไม่ทำ ฮ่องเต้ของชาวเจี๋ยในเวลานี้ยิ่งไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย กล่าวกันว่าเคยเอาเชลยหญิงชาวราชวงศ์ใต้ไปต้มหม้อเดียวกับเนื้อกวาง แล้วสั่งให้แขกผู้ร่วมกินอาหารแยกแยะรสชาติหาความสนุกสนาน
เหล่านักพรตหญิงเดิมก็ตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อนอยู่แล้ว ครั้นได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็ยิ่งไร้สีเลือด พากันพิลาปร่ำไห้ หลายคนที่ขวัญอ่อนก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
เกาลั่วเสินหลับตาลง
แสงเทียนวูบไหวส่องสะท้อนเงาร่างเดียวดายผ่ายผอมในชุดนักพรตของนางเกิดเป็นเงาทอดยาวอยู่บนผนัง ยิ่งเพิ่มความอ้างว้างเศร้าวังเวง
บ้านเมืองถูกข้าศึกยึดครอง ชนต่างเผ่าเข้ามารุกรานย่ำยี ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเหยียบย่ำเมืองหลวงเก่าสองแห่งที่งดงามอุดมสมบูรณ์
ภายใต้การชะเง้อคอรอคอยของผู้เฒ่าที่เคยอยู่ทางเหนือ คนราชวงศ์ใต้เคยยกทัพไปปราบปรามทางเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผลในท้ายสุดบ้างก็กลับมาโดยไม่มีผลงาน บ้างก็พ่ายแพ้กลางคัน ล้มเหลวเอาเมื่อใกล้จะประสบความสำเร็จก็มี
เมื่อความฝันที่จะยึดคืนแผ่นดินเกิดสูญสลายไปแล้ว สิ่งที่คนของราชวงศ์ใต้ทำได้ก็มีเพียงอาศัยสันคูร่องลึกชัยภูมิอันเป็นอันตรายตามธรรมชาติของแม่น้ำฉางเจียงรักษาผืนแผ่นดินทางด้านซ้ายของแม่น้ำเอาไว้ เพื่อรักษาเส้นใยสุดท้ายของความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอาไว้ จึงได้สถาปนาแผ่นดินหวาซย่า ก่อตั้งราชวงศ์และตั้งตนเป็นอิสระ หมดหวังที่จะยึดคืนเมืองหลวงทั้งสอง ได้แต่อาศัยเสื้อผ้าการแต่งกายและขนบธรรมเนียมประเพณีมาหวนรำลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น
ทว่ามาบัดนี้แม้แต่สิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ชัยภูมิอันเป็นอันตรายตามธรรมชาติที่เคยเข้าใจว่าแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็กก็ไม่อาจสกัดกั้นการบุกลงใต้ด้วยการเดินเท้าของชาวเจี๋ยได้
หรงคังผู้นั้นเคยเป็นผู้ปกครองหัวเมืองชายแดนปาตง เมื่อหลายปีก่อนหลังจากสูญเสียภรรยา เนื่องจากชื่นชมในชื่อเสียงของเกาลั่วเสินแห่งสกุลเกา จึงถือดีว่าตนเองมีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ราชสำนักต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่มาก ถึงกับมาขอแต่งงานกับนาง
สกุลเกาที่เป็นสกุลสูงศักดิ์มีหรือจะยอมเกี่ยวดองด้วยการสมรสกับแม่ทัพชายแดนเช่นหรงคัง
อีกอย่างนับแต่เกาลั่วเสินเข้าสู่อารามเต๋าเมื่อสิบปีก่อนก็สาบานไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงานอีก
เกาไทเฮาซึ่งเป็นญาติผู้พี่หญิงร่วมสกุลของนาง รู้สึกติดค้างนางอยู่เพราะเรื่องเก่าเมื่อสิบปีก่อนเรื่องนั้น จึงไม่กล้าบังคับฝืนใจนาง
หรงคังขอแต่งงานไม่สำเร็จ เขารู้สึกเสียหน้า นับแต่นั้นก็เจ็บแค้นอยู่ในใจ ปีถัดมาก็นำทหารก่อกบฏ หลังถูกปราบปรามก็หนีไปทางเหนือบากหน้าไปพึ่งพาชนเผ่าเจี๋ย ได้รับมอบหมายให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ
ชนเผ่าเจี๋ยเคลื่อนทัพใหญ่บุกลงใต้ในครั้งนี้ หรงคังเป็นทัพหน้า นำกองทัพเจี๋ยบุกลงใต้โจมตีเมือง โอ้อวดแสนยานุภาพ ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่ไม่ทำ
“ข้าไม่ไป พวกเจ้าไปเถิด”
เกาลั่วเสินลืมตาขึ้นมาช้าๆ พูดขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางสงบนิ่ง
“ฟูเหริน รักษาตัวด้วย…”
นักพรตหญิงทั้งหลายพากันคุกเข่าโขกศีรษะให้นาง หลังจากลุกขึ้นมาก็ช่วยประคับประคองกัน ทางหนึ่งก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ทางหนึ่งก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเร่งร้อน
ไม่นานอารามจื่ออวิ๋นที่ใหญ่โตกว้างขวางก็เหลือเกาลั่วเสินอยู่เพียงผู้เดียว
เกาลั่วเสินเดินออกจากประตูด้านหลังอารามตามลำพังมาถึงริมแม่น้ำ ยืนอยู่บนโขดหินสูงก้อนหนึ่ง เบิกตามองผิวน้ำกว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าที่แบ่งแยกดินแดนทั้งเก้า ออกเป็นเหนือใต้ผืนนี้
ดวงจันทร์สีเงินยวงลอยอยู่บนท้องฟ้า ลมแม่น้ำพัดโชย แขนเสื้อของนางสะบัดไหวดุจจะปลิวไปตามสายลม
กลางดึกในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ นางอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำเช่นนี้ ทอดสายตามองไปยังคลื่นในแม่น้ำที่อยู่ในที่ไกล แลคล้ายเส้นสีเงินเส้นหนึ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับดวงจันทร์ค่อยๆ พัดเคลื่อนเข้ามา
คลื่นในแม่น้ำใต้แสงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลินอกเขตไถเฉิงสายนี้ นางคุ้นเคยเป็นที่สุดแล้ว
นับครั้งไม่ถ้วนยามตื่นจากฝันร้ายตอนกลางดึก ขณะที่ไม่อาจหลับต่อไปได้อีก สิ่งเดียวที่อยู่ข้างหูเป็นเพื่อนนางก็คือเสียงของคลื่นในแม่น้ำที่ซัดเข้ากระทบฝั่งอยู่ทุกค่ำคืน คืนแล้วคืนเล่า…เป็นเดือนๆ ปีๆ
ทว่าค่ำคืนนี้เสียงคลื่นในแม่น้ำฟังดูแล้วกลับคล้ายเสียงกลองดังสะท้านสะเทือนในกองทัพเจี๋ยที่เคลื่อนลงใต้
เกาลั่วเสินคล้ายได้ยินเสียงกรีดร้องอันตื่นตระหนกของเหล่านักพรตหญิงที่หนีไม่ทันกับเสียงแผดคำรามและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของทหารเจี๋ยดังมาจากที่ไกล
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…
ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามของราชวงศ์ใต้ เกียรติยศของวงศ์ตระกูล รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง ล้วนแต่ต้องจบสิ้นลงในค่ำคืนนี้
ทหารเจี๋ยที่อยู่ทางด้านหลังรุกใกล้เข้ามาทุกที เสียงที่ลอยมาตามสายลมสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้ว
เกาลั่วเสินไม่ได้หันกลับไปมอง
น้ำในแม่น้ำโหมซัดกระโปรงของนางลอยขึ้นเล็กน้อย ดูคล้ายบุปผาที่แผ่กระจายดอกหนึ่ง ร่างที่ผ่ายผอมแบบบางดุจไม้ไผ่ถูกคลื่นลมผลักไปมา ร่างโงนเงนอยู่กลางสายลม
นางช้อนตาขึ้นมองคลื่นในแม่น้ำที่กำลังโถมทะลักเข้าหาตน แล้วก้าวออกไปทีละก้าวๆ เดินตรงไปข้างหน้า เดินลุยน้ำมุ่งไปยังกลางแม่น้ำ
นับแต่เกาลั่วเสินจำความได้ บิดาก็มักพานางมาที่เมืองสือโถว ที่อยู่ริมแม่น้ำนี้เสมอ
ระหว่างภูเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่าน มีกำแพงเมืองสูงตั้งอยู่ เมืองสือโถวตั้งอยู่ริมแม่น้ำฉางเจียง ทางตะวันตกของเมืองหลวง เพื่อพิทักษ์เมืองหลวงแล้ว ที่นี่ถึงกับมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งรักษาการณ์อยู่ตลอดปี
บิดามักจับจูงมือน้อยของนางมองไปยังทิศเหนืออันไกลโพ้นที่มีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ จ้องมองอยู่นาน
ยกทัพไปตีทางเหนือยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไป กอบกู้แผ่นดินฮั่นกลับคืนมา ถือเป็นความมุ่งมาดปรารถนาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตนี้ของบิดา
มีเรื่องเล่าว่าในคืนก่อนที่มารดาจะให้กำเนิดนาง บิดาฝันว่าได้กลับไปเมืองหลวงตะวันออก…ลั่วหยาง ในฝันนั้น เขารู้สึกราวกับเป็นจริงว่าได้ไปเดินเอ้อระเหยอยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่ว ขับร้องเพลงสนุกสนานอย่างเต็มที่ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ทว่ากลับต้องเศร้าระทมเป็นเท่าทวีคูณ
เกาลั่วเสิน เคยคาดเดาว่าบิดาตั้งชื่อให้นางเช่นนี้ ในชื่อนี้ใช่จะไม่มีความหมายของการหวนระลึกถึงอดีต คะนึงถึงปัจจุบัน และห่วงพะวงถึงกาลข้างหน้า เหมือนกับสายน้ำที่มาบรรจบรวมกัน
เพียงแต่บิดาคงคาดคิดไม่ถึงว่าช่วงสุดท้ายในชีวิตของนางจะจากไปกับสายน้ำเช่นนี้
ก็เป็นเช่นดังชื่อนี้ ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เหนือการควบคุม นี่อาจจะเป็นการทำนายชะตาชีวิตของคนเราอย่างหนึ่งก็ได้
คลื่นในแม่น้ำตอนกลางดึกประหนึ่งมังกรยักษ์ตัวหนึ่งกำลังแผดเสียงคำรามก้องสยบวิญญาณคนภายใต้แสงจันทร์
มันแผดเสียงคำราม คุกคามเข้ามาใกล้นางขึ้นทุกทีๆ ราวต้องการจะกลืนกินนางลงไปอย่างไรอย่างนั้น
นางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ในชีวิตนี้คนที่นางรักหลายต่อหลายคนได้จากนางไปก่อนแล้ว
รัชศกซิงผิงปีที่สิบห้า ตอนที่นางอายุได้สิบหก นางได้รู้ถึงรสชาติของการตายจากเป็นครั้งแรก ปีนั้นเกาหวนน้องชายญาติผู้น้องร่วมสกุลอายุสิบห้าปีซึ่งสนิทสนมกับนางดุจพี่น้องแท้ๆ โชคร้ายตายไปในการต่อสู้ปราบกบฏหลินชวนหวังผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
ถัดจากนั้นรัชศกไท่คังปีที่สอง ยามที่นางอายุได้สิบแปดปี นางก็สูญเสียลู่เจี่ยนจือ สามีที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานไป
รัชศกไท่คังปีที่สาม ขณะที่นางเป็นแม่ม่ายใหม่ยังจมอยู่ในความเศร้าโศกของการสูญเสียคนรัก สวรรค์ก็ช่วงชิงบิดาและมารดาของนางไปอย่างโหดร้าย ปีนั้นดินแดนสามอู๋ เกิดเหตุการณ์จลาจลวุ่นวาย ทหารกบฏปิดล้อมเมือง มารดาถูกกักขัง บิดาต้องการจะช่วยมารดา จนสุดท้ายทั้งสองคนล้วนถูกสังหารกันทั้งคู่
และวันนี้หลังจากเวลาผ่านไปสิบกว่าปี ในช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานท่านอาและพี่ชายซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของนางที่เฝ้าประคับประคองต้าอวี๋และสกุลเกาจนถึงช่วงสุดท้ายก็ทยอยสู้รบจนตัวตายในการทำศึกกับกองทัพเจี๋ยที่มุ่งลงใต้ ณ เมืองเซียงหยาง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียง
ภาพต่างๆ เหล่านี้ผุดวาบขึ้นมาตรงหน้าเกาลั่วเสิน
ท้ายที่สุดในสมองของนางพลันมีใบหน้าของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นเป็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง โลหิตอาบย้อมใบหน้าที่องอาจหล่อเหลาของเขาเต็มไปหมด
โลหิตสดกลับยังหยาดหยดจากขอบตาของเขาไม่หยุด กระเซ็นถูกใบหน้าของนางหยดแล้วหยดเล่า ดวงหน้างามดุจบุปผาของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต
ช่วงเวลานั้นนางถูกเขาโถมเข้าใส่ล้มอยู่กับพื้น ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ดวงตาทั้งสองของเขามองจ้องนางไม่กะพริบ ทั้งที่มีโลหิตหยาดหยดอยู่อย่างนั้น ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุดและความชิงชังอย่างลึกซึ้ง
ท่าทางเขาเหมือนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายและกำลังเคียดแค้นอย่างหนักราวกับพริบตาถัดมาก็จะฉีกร่างนางเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนกินลงไป
แต่สุดท้ายนางกลับยังมีชีวิตอยู่ต่อมา…อยู่มาจนถึงวันนี้
ส่วนเขา…ในที่สุดก็สิ้นใจตายอยู่บนร่างของนางเช่นนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกาลั่วเสินพยายามจะลบใบหน้าบุรุษที่มีโลหิตหยาดหยดจากขอบตาดวงนั้นออกไปจากความทรงจำ จะดีที่สุดถ้าสามารถลืมได้อย่างหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือ
ทว่าสิบปีมานี้นับครั้งไม่ถ้วนที่นางถูกฝันร้ายทำให้ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก ขณะที่เสียงคลื่นในแม่น้ำดังแว่วมาจากที่ไกลอยู่ข้างหู เกาลั่วเสินได้แต่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
นึกถึงค่ำคืนเข้าห้องหอที่เต็มไปด้วยโลหิตและแผนการร้าย
หลังจากผ่านมาหลายปีกระทั่งถึงวันนี้นางยังคงขบคิดไม่เข้าใจ
ตอนนั้นในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเขาจะขาดใจ เหตุผลที่เขาไม่ได้หักคอนาง แท้จริงแล้วเป็นเพราะแรงไม่เป็นใจ หรือเขาละเว้นนางกันแน่
เกาลั่วเสินก็เคยถามตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ และทำทุกอย่างได้อีกครั้งนางยังจะยอมรับการจัดการเช่นนั้นหรือไม่
นางยิ่งเคยคิด ถ้าเมื่อสิบปีก่อนบุรุษที่ชื่อหลี่มู่ผู้นั้นไม่ได้ตายไป หากเขายังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ เช่นนั้นเจียงจั่ว ในวันนี้จะเป็นเช่นใด
ชาวเจี๋ยที่อยู่ทางตอนเหนือเหล่านี้ยังจะมีโอกาสโจมตีเมืองเจี้ยนคังแตก จับตัวไทเฮากับฮ่องเต้ของต้าอวี๋เป็นเชลยเช่นวันนี้หรือไม่
“จับตัวนางกลับมา มีรางวัลให้อย่างงาม!” เสียงดังบาดแก้วหูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังมาจากด้านหลัง
ทหารเจี๋ยไล่ตามมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแล้ว พร้อมส่งเสียงตะโกนเอะอะ และมีคนลุยน้ำไล่ตามนางมาด้วย
คลื่นแม่น้ำระลอกหนึ่งซัดมาตรงหน้า นางหลับตาลงก่อนโผร่างเข้าไปรับ
แค่ชั่วพริบตาเดียวร่างทั้งร่างของนางตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ถูกกระแสน้ำกลืนหายไปไม่เห็นร่องรอย
คลื่นในแม่น้ำไม่เหมือนเมื่อครู่ก่อน จู่ๆ ก็เกรี้ยวกราดขึ้นมา พัดม้วนฟองสีขาวขึ้นมาเป็นชั้นๆ โอบล้อมนางไว้ทั้งตัว
ตัวของนางลอยไปมาอยู่ในน้ำ คล้ายได้รับการคุ้มครองอย่างอ่อนโยนละมุนละไมที่สุดจากครรภ์มารดา
ในลมหายใจของนาง สิ่งสุดท้ายที่ได้กลิ่นคือกลิ่นคาวจางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของกระแสน้ำในฤดูใบไม้ผลิ
กลิ่นนี้ทำให้นางนึกถึงกลิ่นสุดท้ายของบุรุษที่ตายอยู่บนร่างนางในครานั้นเหลือทิ้งไว้ให้นางจดจำ นั่นเป็นกลิ่นของโลหิต
ประหนึ่งเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายเช่นนั้น ได้พานางกลับไปยังช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่เจียงหนานเมื่อสิบปีก่อน…
ปีนั้นนางอายุยี่สิบห้า เป็นช่วงวัยที่กำลังสาวและงดงาม แต่นางกลับเป็นม่ายมาเจ็ดปีแล้ว
สกุลเกาเป็นตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์สูงในเจียงจั่ว เป็นตระกูลขุนนางที่โดดเด่น
เกาเฉียวบิดาของเกาลั่วเสิน ตลอดชีวิตเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบุคคลที่ลุ่มลึกสูงส่งสง่างาม เคยดำรงตำแหน่งขุนพลผู้นำทหาร ขุนพลผู้พิทักษ์แผ่นดิน ราชเลขาธิการ และเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้ากรมโยธา ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเซี่ยงกง มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้า
มารดา…เซียวหย่งจยา เป็นพี่สาวของฮ่องเต้ซิงผิง มีพระนามว่า ‘องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ’
หากตัดเรื่องวงศ์ตระกูลออกไป เกาลั่วเสินคงไม่ต่างอะไรจากชื่อ นางเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญา ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเจี้ยนคัง เจ็ดปีมานี้มีผู้มาทยอยทาบทามสู่ขอกันอย่างไม่ขาดสาย ล้วนเป็นบุตรหลานขอตระกูลขุนนางที่ทัดเทียมคู่ควรกับสกุลเกาเกือบทั้งสิ้น
แต่เกาลั่วเสินจิตใจสงบนิ่งดุจน้ำ เก็บเนื้อเก็บตัวยิ่ง น้อยครั้งนักที่จะออกจากบ้าน
กระทั่งวันหนึ่งนางถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง
นับแต่นั้นชีวิตที่เงียบสงบก็ถูกทำลายแล้ว…
บทที่สอง
คนที่เรียกตัวเกาลั่วเสินเข้าวังก็คือไทเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เกายงหรง ญาติผู้พี่หญิงสกุลเดียวกันของเกาลั่วเสิน
หลังจากฟังเกายงหรงพูดจบ เกาลั่วเสินก็ตะลึงงัน ในใจเต็มไปด้วยความงงงวย
เกายงหรงบอก นางหวังว่าเกาลั่วเสินจะรับปากแต่งงานกับหลี่มู่…
หลี่มู่ นามรองจิ้งเฉิน บรรพบุรุษเคยเป็นผู้ว่าการเขตหงหนง เนื่องจากสร้างสมคุณงามความดีเอาไว้มากจึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นกง
เมื่อแผ่นดินถูกข้าศึกยึดครอง ราชวงศ์ต้าอวี๋อพยพข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ บรรพบุรุษสกุลหลี่ไม่สมัครใจจะติดตามลงใต้ จึงพาครอบครัวย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอซวีอี๋ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำไหว
นับแต่ราชวงศ์ทิ้งแผ่นดินจงหยวน และข้ามแม่น้ำฉางเจียงลงมาทางใต้ ดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงซึ่งอยู่ตอนใต้ของแม่น้ำไหวก็กลายเป็นสมรภูมิที่ต่อสู้โจมตีกันไปมาของทั้งสองฝ่าย บ้านเมืองวุ่นวายโจรผู้ร้ายชุกชุม ขอเพียงเป็นชาวบ้านชายแดนที่ยังพอมีทางไป ก็พากันหนีไปหมด
หลังจากปู่ของหลี่มู่กลับมาบ้านเกิด ได้สร้างป้อมปราการขึ้นและรับผู้ลี้ภัยที่ไม่มีที่ไปไว้ จัดตั้งกองกำลังทหาร ต่อต้านการโจมตีก่อกวนจากทัพชาวหู และโจรผู้ร้าย ช่วงที่อำนาจกล้าแกร่งที่สุดถึงกับเคยมีกองกำลังทหารเกือบหมื่นนาย
บรรพบุรุษของหลี่มู่ทางหนึ่งก็อาศัยกำลังของตนปกป้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแถบนั้น ทางหนึ่งก็เฝ้ารอให้ราชสำนักนำกองทัพขึ้นเหนือ กอบกู้แผ่นดินจงหยวน
แต่ทว่าหลังจากเฝ้าป้องกันด้วยความยากลำบากอยู่หลายสิบปีก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกองทัพหลวง พร้อมๆ กับชาวเจี๋ยที่อยู่ทางเหนือก่อตั้งการปกครองขึ้น ในที่สุดป้อมปราการของสกุลหลี่ก็เป็นเช่นน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เดินสู่ความตกต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยี่สิบปีก่อนป้อมปราการของสกุลหลี่ถูกตีแตก บิดาของหลี่มู่เสียชีวิตท่ามกลางความโกลาหล มารดาของหลี่มู่พาเขาที่อายุเพียงสิบขวบในตอนนั้นตามผู้ลี้ภัยหนีตายข้ามแม่น้ำมาถึงเจียงจั่ว ตั้งบ้านเรือนที่เมืองจิงโข่ว เริ่มผ่านวันเวลาไปอย่างยากลำบาก
อายุสิบสามหลี่มู่ก็สมัครเข้าเป็นทหาร เริ่มจากเป็นอู่จ่าง ที่ต่ำที่สุด ค่อยๆ เลื่อนขั้นขึ้นมา ในที่สุดก็ได้เป็นบุคคลที่เป็นแกนนำหลักของกองกำลังทหารอิ้งเทียน
ช่วงสิบกว่าปีนี้เขาได้ยกทัพออกจากเจียงหนานไปสามครั้ง โจมตีซีสู่ หนานจิง และเมืองอื่นที่อยู่ในปกครองของคนทางเหนือ ทยอยยึดคืนดินแดนกว่าครึ่งในแถบเหอหนานรวมถึงเหยี่ยนโจว ขับไล่ชาวหูไปถึงเหอเป่ย
คุณูปการยิ่งใหญ่ในการปราบข้าศึกทางเหนือ เรียกได้ว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า
เมื่อเอ่ยชื่อเขาออกมา ชาวหูได้ยินแล้วเป็นต้องถอยหนี ชาวฮั่นไม่มีใครไม่เงยหน้ามองด้วยความชื่นชม
สองปีก่อนหลี่มู่ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองเหยี่ยนโจว และแม่ทัพใหญ่เจิ้นจวิน กำลังตระเตรียมจะยกทัพไปปราบทางเหนืออีกครั้ง นับเป็นครั้งที่สี่ในชีวิตของเขา และเป็นการโจมตีครั้งที่ใหญ่ที่สุดในแผนการที่วางไว้ ทว่าตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์และปกครองเมืองจิงโจวมาหลายชั่วคนได้ฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้น
ไม่นานกองกำลังฝ่ายกบฏก็รุกโจมตีเข้ามาในเมืองเจี้ยนคัง เพื่อหลีกเลี่ยงคมอาวุธ พี่เขยของเกาลั่วเสิน หรือไท่คังฮ่องเต้ในตอนนั้นได้ถูกบีบบังคับให้หนีออกจากไถเฉิง* ด้วยความตื่นตระหนกเคียดแค้นรวมกับความวิตกกังวลและหวาดกลัว ไม่นานพระองค์ก็ประชวรและสวรรคตไป หลี่มู่ทราบข่าวก็พักแผนการยกทัพไปปราบทางเหนือไว้ชั่วคราว เขารีบยกทัพกลับมา หลังจากปราบกบฏสกุลสวี่จนสงบราบคาบลงแล้วก็รับฮองเฮาเกายงหรงกับองค์รัชทายาทเซียวสวินซึ่งมีพระชันษาไม่ถึงสิบชันษาที่ลี้ภัยอยู่ข้างนอกกลับมา
ปีนั้นเซียวสวินได้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เกายงหรงเลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา ในที่สุดต้าอวี๋ก็กลับคืนสู่ความสงบสุข
แต่เนื่องจากภัยพิบัติในครั้งนี้ นับแต่นั้นอำนาจภายในของราชสำนักได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เหล่าวงศ์ตระกูลขุนนางที่กุมอำนาจราชสำนักอยู่ในมือ มีลูกหลานลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีอำนาจราชศักดิ์และอิทธิพลมากพอที่จะคัดค้านกับราชวงศ์ได้ในอดีตเหล่านั้น หลังจากผ่านการปราบกบฏในครั้งนี้ ล้วนแต่ถูกหลี่มู่กวาดล้างอย่างไม่ไว้หน้า
สกุลสวี่ สกุลลู่ สกุลจู ตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์เคยเป็นผู้นำในราชวงศ์ใต้ ผู้คนในสมัยนั้นต้องแหงนหน้ามองด้วยความเลื่อมใส ยามนี้พลังชีวิตบอบช้ำอย่างหนัก นับวันมีแต่ยิ่งตกต่ำ
หลี่มู่ยึดและเข้าแทนที่ ดำรงตำแหน่งต้าซือหม่า บัญชาการทหารทั้งนอกและใน รั้งตำแหน่งสมุหนายก คุมอำนาจทั้งราชสำนักและฝ่ายทหารทั้งหมด อำนาจและอิทธิพลบรรลุถึงจุดสูงสุดที่ขุนนางผู้หนึ่งจะไปถึงได้
‘อาเจี่ย เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว เหตุใดท่านจึงมีความคิดเช่นนี้ ท่านก็รู้ หลังจากลู่หลาง* จากไป ข้าก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานใหม่อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้ากับต้าซือหม่าก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าเขามีเจตนาจะช่วงชิงบัลลังก์จริง ถึงข้าแต่งให้เขา เขาก็คงไม่ล้มเลิกความคิดเพราะข้าสตรีผู้หนึ่งหรอก’
ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ได้สติกลับคืนมา และกล่าวขึ้น
นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก ไม่ใช่คนที่ถูกบิดามารดาทะนุถนอมอยู่ในใจกลางฝ่ามือเช่นเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้นอีกแล้ว
สตรีในตระกูลสูงศักดิ์เช่นนาง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตนเอง แต่ไรมาล้วนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลเป็นสำคัญ
ที่เป็นเช่นนางในครานั้นซึ่งได้แต่งกับบุรุษที่ตนปรารถนา ทั้งสองคนต่างถูกตาต้องใจกัน ทั้งยังมีฐานะทัดเทียมกัน นับว่ามีให้พบเห็นน้อยมาก…นางคิดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้จึงได้ทำให้สวรรค์ริษยา เพิ่งแต่งงานได้เพียงปีเดียวสกุลลู่ก็ต้องสูญเสียบุตรหลานที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลไปคนหนึ่ง นางเองก็สูญเสียสามี ต้องเป็นม่ายมาจนทุกวันนี้
หลายปีที่ผ่านมานี้คนที่มาขอแต่งงานกับนางมีมาไม่ขาดสาย แต่คนในสกุลเกาไม่เคยบีบบังคับนาง
วันนี้ในเมื่อเกายงหรงเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว เกาลั่วเสินมีหรือจะไม่รู้สิ่งที่นางคิด นางจึงพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม
‘อาหมี คนอื่นทำไม่ได้ แต่เจ้าน่าจะลองดูได้’
เกายงหรงจับตามองน้องสาวของตน กล่าวเน้นทีละคำ
ดวงตาของเกาลั่วเสินมีประกายงุนงง
‘อาหมี เจ้ายังจำเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนตอนสกุลสวี่ก่อกบฏ เจ้าติดตามข้ากับอดีตฮ่องเต้ลงใต้ แล้วหลี่มู่มาช่วยฝ่าบาทให้รอดพ้นจากอันตรายได้หรือไม่’
เกาลั่วเสินถูกนางเตือนสติ เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดขึ้นมาก็ยังมีความทรงจำอยู่บ้างจริงๆ
ตอนนั้นทหารกบฏของสกุลสวี่ไล่ตามมาข้างหลังอย่างไม่ลดละ ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย รถม้าที่นางนั่งพลิกตกจากเส้นทางบนภูเขา เนื่องจากอาการบาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่สะดวก กลัวจะทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาในตอนนั้นต้องพลอยเดือดร้อนจึงขอแยกทาง
นางถูกส่งตัวไปที่เมืองเซวียนเฉิงที่อยู่ละแวกใกล้เคียง พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นชั่วคราว หลังจากนั้นกองกำลังฝ่ายกบฏก็ไล่ตามมาถึงที่นั่น และทิ้งกองกำลังส่วนหนึ่งให้โจมตีเมืองเซวียนเฉิง ปิดล้อมเมืองเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน
ในขณะที่ในเมืองเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน ทหารป้องกันเมืองสูญเสียขวัญกำลังใจ เมืองอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงอันตราย หลี่มู่ก็ประหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า นำกองทัพมาด้วยตนเอง ช่วยเมืองจากการปิดล้อมของข้าศึกไว้ได้
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังตามหาเกาลั่วเสินที่ตอนนั้นซ่อนตัวอยู่ในห้องลับด้วยตนเองจนพบ แล้วมอบหมายให้ทหารนายสนิทคุ้มกันนางไปส่งยังที่ปลอดภัย กระทั่งการก่อกบฏยุติลงแล้ว เขาก็ส่งนางกลับเมืองเจี้ยนคัง
‘เมืองเซวียนเฉิงไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร ถึงสูญเสียไปชั่วคราวก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรต่อสถานการณ์โดยรวมในการปราบกบฏ ตอนนั้นเขาเพิ่งนำกองทัพจากตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงกลับลงมาทางใต้ ไม่ไปช่วยเมืองเจี้ยนคังที่สำคัญที่สุด กลับมาช่วยเมืองเซวียนเฉิงก่อน หลังเสร็จเรื่องยังเข้าเมืองไปตามหาเจ้าด้วยตนเอง เขาอายุสามสิบแล้ว ข้ากลับได้ยินว่าเขายังไม่เคยแต่งภรรยา ถ้าจะบอกว่าเขามีใจต่อเจ้า คงไม่เกินไปกระมัง’
คำพูดของเกายงหรงทำให้เกาลั่วเสินรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย นางสั่นศีรษะ
‘อาเจี่ย ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับต้าซือหม่าไม่เคยรู้จักกัน ก่อนเจอกันที่เมืองเซวียนเฉิง แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากกลับมาเมืองเจี้ยนคังก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก เขาจะมีใจให้ข้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นข้าจำได้อย่างชัดเจน วันนั้นหลังจากช่วยเมืองเซวียนเฉิงจากการปิดล้อมของข้าศึกไว้ได้แล้ว ตอนเขาหาตัวข้าพบ ก็เพียงสั่งกำชับไม่กี่คำ ไม่มีอะไรเกินเลยมารยาทอันควรแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่มีคำพูดที่เกินจำเป็น กระทั่งจะมองข้ามากหน่อยก็ไม่มี แล้วจะเอาคำว่า ‘มีใจ’ มาจากที่ใด’
เกายงหรงยิ้มบาง
‘อาหมี ด้วยสติปัญญาและรูปโฉมของเจ้า รวมกับชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสกุลเกาเรา บุรุษจะแอบชื่นชอบเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขายังไม่ได้แต่งภรรยา ทั้งไม่เจ้าชู้ เมื่อก่อนมีคนมอบหญิงงามเด็กหนุ่มรูปงามให้เขา เขาล้วนปฏิเสธไม่รับ เรื่องนี้ก็ช่างเถิด ช่วงหลายปีนี้เขาเปี่ยมอำนาจและอิทธิพล มีตระกูลขุนนางไม่น้อยยินดีจะละทิ้งฐานะวงศ์ตระกูล เป็นฝ่ายเสนอที่จะเกี่ยวดองกับเขาด้วยการสมรส เขากลับอ้างเหตุผลยังปราบปรามทางเหนือไม่ลุล่วง ยังไม่ปรารถนาจะมีเหย้ามีเรือนปฏิเสธไปทั้งหมด แต่เมื่อสองวันก่อนข้าส่งคนไปพบเขา บอกข่าวเรื่องต้องการให้เจ้าแต่งกับเขา เพื่อจะลองหยั่งเสียงเขาดู เขากลับรับปากแล้ว’
‘อะไรนะ! อาเจี่ย ท่านพูดกับเขาแล้วหรือ เหตุใดท่านไม่บอกข้าให้รู้ก่อนเล่า’
เกาลั่วเสินตื่นตะลึงอีกครั้ง
เปรียบกับเกาลั่วเสินที่ยั้งสติไม่อยู่ สีหน้าเกายงหรงกลับไร้คลื่นลมใดๆ
บางทีอาการตอบสนองของญาติผู้น้องอาจจะอยู่ในความคาดการณ์ของนางอยู่แล้ว
ในตำหนักมีเพียงพวกนางสองพี่น้อง
เกายงหรงเดินมาถึงข้างกายญาติผู้น้อง จับจูงมือนางพาเดินไปนั่งที่ตั่งเตี้ย ตนเองก็นั่งลงที่ด้านข้าง
‘อาหมี ก่อนหน้านี้อาเจี่ยเพียงหยั่งเสียงต้าซือหม่าดู จึงไม่ได้บอกให้เจ้ารู้ ตอนนี้เรียกเจ้าเข้าวังมาก็ไม่ใช่เพื่อจะปรึกษาหารือกับเจ้าหรือ อี้อันกับเจ้าเดิมเป็นคู่ที่ทุกคนต่างอิจฉา แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เขาจากไปเร็ว จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปกว่าเจ็ดปีแล้ว เจ้าเองก็เพิ่งอายุยี่สิบห้า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของสตรี หรือว่าจะยอมเหี่ยวเฉาโรยราอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตเช่นนี้ ถ้าดวงวิญญาณของอี้อันรับรู้ได้ จะต้องไม่ยินดีเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แน่ หลี่มู่แม้จะมีชาติกำเนิดในตระกูลสามัญชน แต่มาถึงวันนี้ไม่พูดถึงสกุลเกาของเรากับสกุลเซียวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทอดสายตามองไปทั่วแผ่นดินต้าอวี๋ มีวงศ์สกุลใดบ้างที่สามารถสั่นคลอนฐานะของเขาได้แม้ครึ่งส่วน ให้เจ้าแต่งกับเขา แม้ไม่เป็นธรรมต่อเจ้าก็จริง! แต่เจ้าก็เคยเห็นมาด้วยตาของตนเองแล้ว รูปร่างหน้าตา หรือความรู้ความสามารถของเขาก็หาได้ด้อย กับเจ้าก็นับว่าเหมาะสมคู่ควร…’
‘อาเจี่ย ท่านไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ไม่เหมาะสม! ข้าไม่รับปากแน่!’
เกาลั่วเสินจิตใจสับสนว้าวุ่น ตัดบทคำพูดโน้มน้าวของเกายงหรง
รอยยิ้มบนใบหน้าเกายงหรงเลือนหายไปแล้ว สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
นางลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปถึงด้านหน้าหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ทางด้านใต้ในตำหนัก เหม่อมองไปด้านนอกเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวมา
‘อาหมี ตั้งแต่เล็กจนโต อาเจี่ยปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร’
เกาเฉียวแต่งองค์หญิงใหญ่เป็นภรรยา สองสามีภรรยาแม้จะรักบุตรสาวดุจสิ่งล้ำค่า แต่ความสัมพันธ์ไม่กลมเกลียวกัน ทั้งสองเพียงให้กำเนิดนางผู้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว
เกายงหรงแม้จะเป็นญาติผู้พี่หญิงร่วมสกุล แต่เนื่องจากโตกว่าเกาลั่วเสินห้าปี ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดีต่อเกาลั่วเสินดุจน้องสาวแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ ขอเพียงมีของดีจะต้องให้เกาลั่วเสินเป็นคนเลือกก่อน
สิ่งของนอกกายเหล่านี้ก็ยังพอทำเนา
ปีที่เกาลั่วเสินอายุแปดขวบ ระหว่างออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ไม่ระวังไปชนถูกรังต่อเข้า ตอนตัวต่อไล่ต่อยนาง เกายงหรงไม่คำนึงถึงสิ่งใดโถมตัวเข้าไปบังนางให้อยู่ใต้ร่าง ถอดเสื้อของตนออกมาปิดบังใบหน้าและศีรษะนางไว้ รอจนบ่าวไพร่ไล่ตัวต่อไป เข้ามาช่วยพวกนางสองคน เกาลั่วเสินก็ยังปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย ส่วนเกายงหรงกลับถูกต่อต่อยอย่างหนัก หลังจากกลับไปก็หมดสติไปหลายวัน ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังได้ยาดีก็เกือบจะต้องจบชีวิตลงแล้ว
ความดีที่อาเจี่ยมีต่อนางแต่ละเรื่อง เกาลั่วเสินจะลืมได้อย่างไร
‘อาเจี่ย ท่านดีต่อข้ายิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ ทุกวันนี้ข้าก็ยังจำได้ ปีที่ข้าอายุแปดขวบ เพื่อจะช่วยข้า ท่านเกือบต้องจบชีวิต’
เกายงหรงมองจ้องเกาลั่วเสินนิ่ง พลันเดินมาตรงหน้าเกาลั่วเสิน แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้านาง
‘อาเจี่ย ท่านรีบลุกขึ้นมา! นี่ท่านจะทำอะไร!’
เกาลั่วเสินตระหนกตกใจรีบเข้าไปประคองเกายงหรง
‘อาหมี อาเจี่ยไม่เคยขอร้องอะไรเจ้า แต่ครั้งนี้อาเจี่ยขอร้องเจ้าแล้ว! หลี่มู่อาศัยความดีความชอบในการกรีธาทัพไปปราบทางเหนือ หลายปีมานี้ชื่อเสียงบารมีดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน สองปีก่อนก็ฉวยโอกาสที่สกุลสวี่ก่อกบฏสังหารพวกสกุลลู่กับสกุลจูที่ชอบขัดขวางเขา วิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต ทำทุกวิถีทางไม่เลือก มาบัดนี้ต้าอวี๋ของเราไม่มีใครสามารถบังคับหรือควบคุมเขาได้แล้ว เรื่องทุกอย่างในราชสำนักถูกหลี่มู่ควบคุมก็แล้วไปเถิด แต่ไม่ช้าก็เร็ว ใต้หล้านี้อาจต้องเปลี่ยนเป็นใต้หล้าของสกุลหลี่เขา’
‘อาเจี่ย…ต้าซือหม่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น…ถ้าเขามีใจคิดกบฏ สองปีก่อนก็ไม่จำเป็นต้องรับท่านกับเติงเอ๋อร์กลับมา…’
เกาลั่วเสินพึมพำขึ้น
แม้จะกำลังปลอบใจเกายงหรงให้คลายกังวล แต่น้ำเสียงกลับเจือความลังเล เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกหวาดระแวงและร้อนใจ
เกายงหรงแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
‘อาหมี ปกติเจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวน้อยครั้งจะออกจากเรือน จะรู้ได้อย่างไรว่าใจคนสุดหยั่งรู้ เขายกทัพไปปราบทางเหนือหลายครั้ง เจ้าเข้าใจว่าเขาคิดแต่จะยึดคืนดินแดนเดิมจากมือชาวหูหลู่ ให้เราหรือ เขาก็แค่กำลังรวบรวมจิตใจของผู้คน สะสมชื่อเสียงบารมีเท่านั้น! นับแต่ปฐมฮ่องเต้ข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ เพราะรู้ว่ามีทั้งคนสนับสนุนและคัดค้านจึงอาศัยข้ออ้างในการยกทัพไปปราบปรามทางเหนือ สร้างชื่อเสียงบารมีแล้วค่อยมาโจมตีคู่ต่อสู้ในภายหลัง พฤติการณ์เช่นนี้ตอนนั้นสกุลสวี่ สกุลลู่ ตระกูลขุนนางใหญ่อันดับหนึ่งเหล่านี้ มีตระกูลใดบ้างไม่เคยทำ อย่างสกุลเกาเราตอนเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ท่านลุงอยู่ในตำแหน่งสูง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า จุดเปลี่ยนพลิกผันก็ไม่ใช่เพราะลูกหลานสกุลเกาเราสร้างความดีความชอบในการทำศึกกับชาวเจี๋ยหรอกหรือ’
ทุกวันนี้แม้ต้าอวี๋จะเพียงรักษาดินแดนเจียงจั่วไว้ได้ แต่สกุลเซียวปกครองบ้านเมืองต่อเนื่องกันมานานสองร้อยปีแล้ว สองร้อยปีมานี้มีคนมากเพียงใดที่จ้องอยากจะได้ราชบัลลังก์ พยายามจะเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นราชนิกุลทายาทสกุลสูงศักดิ์ หรือตระกูลขุนนางที่มีอำนาจราชศักดิ์ เจ้าเคยเห็นว่ามีใครทำสำเร็จหรือไม่ สายโลหิตของราชวงศ์อันสูงศักดิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์จะให้คนธรรมดาทั่วไปเข้ามาผสมปนเปได้อย่างไร!’
พูดมาถึงตรงนี้เกายงหรงก็เหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง ในดวงตามีความหยิ่งทระนงเจืออยู่รำไร
‘โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่มู่ผู้นี้เกิดในครอบครัวสามัญชนที่ต่ำต้อย เดิมเป็นเพียงขุนพลทหารในดินแดนรกร้างห่างไกล เขามีหรือจะไม่รู้ ถ้าไม่ได้สั่งสมอำนาจบารมีและชื่อเสียงมากพอ บุ่มบ่ามชิงราชบัลลังก์ ด้วยชาติกำเนิดและคุณสมบัติของเขาจะสยบใจผู้คน แล้วนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างไร
ตอนนั้นเขารู้ตัวว่าชื่อเสียงบารมีของตนยังไม่เพียงพอ อย่าว่าแต่ยังมีสกุลสวี่เป็นอุทาหรณ์เตือนใจเลย ถึงไม่ได้รีบร้อนช่วงชิงราชบัลลังก์ หาไม่หลังจากปราบปรามกบฏสกุลสวี่แล้ว เพราะเหตุใดจึงอดใจรอไม่ไหว อ้างเหตุนี้สังหารญาติผู้พี่ของอี้อันและตระกูลขุนนางปัญญาชนหลายคนที่ต่อต้านคัดค้านเขา นี่ยังไม่ใช่เพราะสกุลลู่ สกุลจูขัดขวางเขาหรือ มาบัดนี้เขาก็ไม่คำนึงว่าขุนนางในราชสำนักคัดค้าน ดึงดันจะทำตามความต้องการของตน ชูธงตีเกราะเคาะกลองใหญ่โต จะต้องทุ่มเทกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด เอาผืนแผ่นดินต้าอวี๋เป็นเดิมพัน เสี่ยงภัยไปปราบปรามทางเหนืออีกครั้ง ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด รอเขาประสบความสำเร็จกลับมาก็ถึงเวลาที่ข้าแม่ม่ายลูกกำพร้าต้องเข้าตาจนแล้ว…’
สองตาของเกายงหรงค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น มีประกายน้ำตาวิบวับ
‘อาหมี อาเจี่ยขอร้องเจ้าแล้ว เจ้าก็คิดเสียว่าช่วยข้าอีกแรง รับปากด้วยเถิด!’
‘อาเจี่ย…ถึงข้าจะแต่งงานกับเขา แต่จะทำอะไรเพื่อท่านได้’
ผ่านไปครู่หนึ่งเกาลั่วเสินก็เอ่ยถามเสียงต่ำ น้ำเสียงเจือความอ่อนแรง
‘เขาประคับประคองเติงเอ๋อร์ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้ ก็ย่อมปลดเติงเอ๋อร์ตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ปลดหรือตั้งทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ชั่ววูบเดียวของเขา อาเจี่ยคิดอยู่ ในเมื่อเขาเลื่อมใสศรัทธาเจ้า ถ้าเจ้าแต่งให้เขา มีความเกี่ยวดองกันผ่านการสมรส อีกทั้งอาศัยกำลังของเจ้าช่วยไกล่เกลี่ยปรับความเข้าใจ วันหน้าถึงหลี่มู่จะเลียนแบบสกุลสวี่คิดจะเปลี่ยนราชวงศ์ ข้าแม่ม่ายลูกกำพร้าไม่แน่อาจยังพอมีชีวิตรอดปลอดภัย ได้อยู่จนแก่ตายในชีวิตนี้ หาไม่เขาคงไม่ละเว้นพวกเราแม่ลูก เพียงกลัวว่าถึงตอนนั้นอาจต้องตายโดยไร้ที่กลบฝัง!’
เกาลั่วเสินก้มหน้าลง ร่างคล้ายแข็งทื่อไปแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เกายงหรงมองนางนิ่ง ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรอีก
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าถี่เบาดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
เกาลั่วเสินหันหน้าไปตามเสียง เห็นเซียวสวินหลานชายอายุสิบกว่าปีของตนผู้นั้นสวมชุดคลุมมังกรตัวเล็กๆ บนร่าง วิ่งออกมาจากประตูบานหนึ่งทางด้านหลังตำหนัก วิ่งมาถึงเบื้องหน้านางแล้วคุกเข่าลงไป
‘ถ้าท่านน้าไม่ยอมช่วยข้า เติงเอ๋อร์ก็จะไม่ลุกขึ้น!’
ฮ่องเต้เยาว์วัยน้ำเสียงเจือความไร้เดียงสา สองมือจับชายเสื้อนางไว้แน่น ดวงตาเบิกโตพลางแหงนหน้าขึ้นมองนาง สองตาไม่กะพริบ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน รัชศกหลงหยวนปีที่สอง ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เพื่อการยกทัพไปปราบปรามทางเหนืองานใหญ่ที่หลี่มู่จัดเตรียมมานานจะสามารถเคลื่อนทัพได้ตามกำหนดที่วางไว้ งานแต่งงานระหว่างเกาลั่วเสินกับเขาก็แทบจะเรียกได้ว่าลุล่วงไปอย่างฉุกละหุก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นงานแต่งงานยิ่งใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วทั้งเมือง
ผู้หนึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์ รูปโฉมสติปัญญาความสามารถไม่เป็นสองรองใคร บทกวีรำลึกถึงอดีตเพียงบทเดียวที่นางเคยแต่งไว้ตอนเข้าเรียนพร้อมกับพี่ชายน้องชายผู้เป็นญาติในสกุลเดียวกันในสมัยยังเป็นเด็กสาวได้แพร่กระจายออกสู่ภายนอก จนถึงทุกวันนี้ตามร้านหนังสือยังคงคัดลอกกันอยู่
ผู้หนึ่งคือต้าซือหม่า ในใจผู้คนของราชวงศ์ใต้ทั่วไป เขาก็คือเทพแห่งสงครามผู้เป็นตัวแทนของจิตใจอันฮึกเหิมและเกียรติยศอันสูงสุดของชาวใต้ อยู่ใต้คนหนึ่งคน อยู่เหนือคนนับหมื่น
หลังพิธีแต่งงานอันยืดยาดยาวนาน เกาลั่วเสินในชุดเจ้าสาวนั่งอยู่ตามลำพังในห้องหอในจวนต้าซือหม่าที่จัดเตรียมขึ้นมาเพื่อค่ำคืนนี้โดยเฉพาะ รอคอยการมาถึงของสามีคนที่สองในชีวิตของตนอยู่เงียบๆ
หลี่มู่ไม่ได้ปล่อยให้นางต้องรอนาน
การมาถึงของเขาเร็วกว่าที่นางคิดไว้มาก
นี่เป็นการกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากนางได้เขาส่งตัวออกจากเมืองเซวียนเฉิงเมื่อสองปีก่อน
รูปร่างหน้าตาของเขาดูต่างไปจากในความทรงจำของนางอยู่บ้าง
ตอนนั้นอาจเพราะยุ่งอยู่กับการเตรียมการสู้รบในเจียงเป่ย ทั้งยังรีบร้อนนำกำลังทหารกลับมาช่วยเจ้าเหนือหัว เขาไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงเรื่องปลีกย่อยอื่น หลี่มู่ในความทรงจำของเกาลั่วเสินนั้น สวมเสื้อเกราะที่เปรอะเปื้อนคราบโลหิต ไว้หนวดเครารุงรังยาวราวชุ่น กว่า ทำให้บดบังใบหน้าของเขาไปครึ่งหนึ่ง
กลิ่นคาวโลหิตจางๆ ใต้คิ้วมีดวงตาที่ดูลุ่มลึกคู่หนึ่ง ทั้งหมดนี้คือภาพของข้าหลวงเมืองเหยี่ยนโจวที่มาช่วยกอบกู้เมืองในตอนนั้น ซึ่งอยู่ในความทรงจำของนาง
แต่ในคืนนี้บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากภาพในความทรงจำของเกาลั่วเสินอย่างสิ้นเชิง
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำหมวกทรงสูง เอวคาดสายรัดเอวใหญ่ฝังหยก หนวดเคราที่บดบังใบหน้าหายไปแล้ว ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ด้านข้างของขากรรไกรทั้งสองมีเพียงแนวเขียวจางๆ หลังการโกนหนวดซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของบุรุษในวัยผู้ใหญ่ เผยให้เห็นเส้นสายแนวสันกรามเรียวงามแข็งแรง ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายแวววาว ทั่วทั้งร่างดูหล่อเหลาและมีชีวิตชีวา
ลักษณะของเขาดูแตกต่างจากลู่เจี่ยนจือ รวมถึงบิดาหรือบรรดาพี่ชายที่เกาลั่วเสินคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
ตอนลู่เจี่ยนจือยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เพียงเป็นผู้โดดเด่นในบรรดาคนหนุ่มบุตรหลานตระกูลขุนนางในเมืองเจี้ยนคัง เขายังเป็นทหารที่สร้างผลงานอันหาได้ยากยิ่งด้วย
มือของเขาทั้งจับพู่กันขีดเขียนอย่างสง่างาม และทั้งจับกระบี่สังหารผู้คน
แต่แม้จะเข้าร่วมกองทัพเช่นกัน มีคุณูปการยอดเยี่ยม แต่ในตัวของลู่เจี่ยนจือกลับขาดจิตสังหารแบบหลี่มู่
ไม่เกี่ยวกับการสวมใส่อะไร…มีเพียงต้องผ่านทะเลโลหิตซากศพกองเป็นภูเขา ดื่มโลหิตลุยคมดาบจึงจะมีพลังอำนาจที่ซึมซาบเข้าไปในโลหิตและกระดูกทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรง
หลังจากเขาเข้ามาก็มายืนอยู่เบื้องหน้านาง มองจ้องนางโดยไม่ได้เอ่ยปากพูด และไม่ได้เข้ามาใกล้
เกาลั่วเสินรู้ว่าคืนนี้ตนเองมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่งฟันขาว ดูงดงามยิ่ง
ตั้งแต่เจ็ดปีก่อนหลังจากลู่เจี่ยนจือจากไป คืนนี้นับเป็นครั้งแรกที่นางแต่งเนื้อแต่งตัวงามหรูออกมาให้ผู้คนเห็น
รอบด้านเงียบสงบจนออกจะน่ากลัว เกาลั่วเสินได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจเข้าออกของเขา
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด
ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าหาญเงยหน้าขึ้น มองสบสายตากับเขา
หลังจากมองประสานสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยักโค้งมุมปากขึ้นช้าๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เขา
เขาคล้ายลังเลไปชั่วขณะ ไหล่ขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ปลดหมวกด้วยตนเอง สาวเท้าเดินมาที่ข้างกายนาง
ช่วงฤดูกาลเช่นนี้ ถ้าสวมเสื้อผ้าบางไปตอนกลางคืนยามมีลมพัดมาบางครั้งเกาลั่วเสินก็ยังรู้สึกหนาว
คงเพราะดื่มสุรามา เขากลับเหมือนรู้สึกร้อน มีเหงื่อบางๆ ซึมออกมาจากตัวเสื้อด้านหลัง
ครั้นลังเลอยู่ชั่วขณะเกาลั่วเสินก็เอ่ยถามเสียงต่ำ ‘จะเปลี่ยนเสื้อหรือไม่’
เขายกมือขึ้น ขณะจะปลดสายรัดเอวที่คาดเอวเส้นนั้น แขนเขาก็พลันหยุดชะงักหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
มือขาวผ่องเรียวงามข้างหนึ่งยื่นมาที่เอวของเขา ปลายนิ้วแตะไปที่ตะขอสายรัดเอวแล้วหยุดนิ่ง
เขามองมาที่นาง…
เกาลั่วเสินลุกขึ้นมาจากขอบเตียงแล้ว นางตัวสูงเท่าหัวไหล่ของเขา เมื่อมายืนอยู่ข้างหน้าเขาเช่นนี้ก็ยิ่งดูตัวเล็กแบบบาง
แพขนตาคู่หนึ่งสั่นไหวน้อยๆ นางหลุบเปลือกตาลงไม่ได้มองเขา
หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ มือเรียวงามดุจหยกข้างนั้นก็ปลดตะขอสายรัดเอวให้เขา แล้วค่อยๆ ปลดสายรัดเอวออกจากร่างของเขา
เขาไม่ขยับ เพียงก้มศีรษะเล็กน้อย มองนางช่วยถอดเสื้อให้เขาต่อไปเงียบๆ คอยหมุนตัว ยกมือทั้งสองขึ้นให้ความสะดวกแก่นาง
เสื้อตัวนอก เสื้อตัวกลาง เมื่อเสื้อตัวในที่ด้านหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อถอดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่ามือที่แตะอยู่บนหัวไหล่ด้านหลังของเขาโดยมีเสื้อกั้นขวางอยู่ข้างนั้นหยุดนิ่งลง
เขารออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นผละออกไปจากหัวไหล่ด้านหลังของตน
เขาหันหน้าไปช้าๆ เห็นสีหน้าของนางแข็งทื่อเล็กน้อย สายตาทั้งสองจับนิ่งอยู่ที่แผ่นหลังของเขาคล้ายได้เห็นอะไรที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก
‘ข้าทำให้เจ้ารังเกียจและหวาดกลัวหรือ’
เสียงของเขาฟังดูแหบแห้งและฝาดฝืนยิ่ง
บนแผ่นหลังของเขามีรอยแผลเป็นหลายรอยที่เกิดจากการทำศึกในอดีต ล้วนแต่ไม่ใช่แผลตื้นๆ ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะรอยแผลตรงหัวไหล่ด้านซ้ายนั้นเป็นรอยดาบยาวจากหัวไหล่ลงมาถึงเอว ความรุนแรงของบาดแผลในตอนนั้นหวิดจะเอาชีวิตของเขาไปเสียแล้ว มาบัดนี้แม้จะหายดี แต่ผิวเนื้อตรงแผลยังคงไม่ราบเรียบ แลดูเหมือนมีตะขาบสีม่วงอมดำตัวหนึ่งเกาะอยู่ เห็นแล้วน่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด
เกาลั่วเสินช้อนตาขึ้นมองสบดวงตาหม่นขรึมคู่นั้นของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็สั่นศีรษะน้อยๆ
‘ข้ากำลังคิดว่าตรงนี้ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือไม่’ นางถามเขาเบาๆ
ในดวงตางามคู่นั้นไม่มีความรังเกียจและหวาดกลัวอยู่ หากแต่หลังจากคลายจากความตื่นตระหนกก็เผยความอ่อนโยนและความเวทนาสงสารไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ความหม่นขรึมในส่วนลึกของดวงตาเขาจางหายไปทันที
‘หายเจ็บนานแล้ว’
เขาจ้องมองนางแล้วกล่าวเสียงต่ำ น้ำเสียงเบาและนุ่มนวลยิ่งคล้ายกำลังปลอบขวัญนาง
เกาลั่วเสินค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา ก่อนหมุนตัวไปหยิบเสื้อชั้นในสะอาดตัวหนึ่ง เห็นเขาถอดเสื้อที่เปียกเหงื่อออกด้วตนเองแล้ว เผยให้เห็นร่างช่วงบนที่กำยำล่ำสันก็อดใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ นางไม่กล้ามองมาก เพียงหลุบตาลงเล็กน้อย ยื่นเสื้อไปให้
เขารับไปสวมใส่และคาดสายรัดเอวเรียบร้อย
หลังจากผ่านการสนทนากัน ความรู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นเคยระหว่างคนทั้งสองในช่วงก่อนหน้านี้คล้ายค่อยๆ หายไป ไม่เพียงเกาลั่วเสิน แม้แต่หลี่มู่ก็ดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาก
‘ต้าซือหม่า…’ นางชะงักแล้วเปลี่ยนคำพูด ‘เมื่อก่อนหลางจวิน เคยช่วยข้าจากภัยอันตราย ข้ากลับไม่มีโอกาสได้กล่าวขอบคุณท่าน หวังว่ากล่าวขอบคุณตอนนี้คงไม่สายเกินไป’
‘เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไยต้องขอบคุณด้วย’ เขายิ้มน้อยๆ
อาจเพราะมีแสงอบอุ่นจากเทียนสีแดงส่องสะท้อนอยู่ด้านข้าง ยามนี้แววตาที่เขามองนางจึงดูอ่อนหวานละมุนละไมยิ่ง
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดูแตกต่างกันอย่างมากกับต้าซือหม่าที่เล่าลือว่ามีวิธีการอันโหดเหี้ยมอำมหิต กำจัดคนที่เห็นต่างจากตน และทำทุกอย่างเพื่อวางแผนช่วงชิงราชบัลลังก์ผู้นั้น
มีเวลาสั้นๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่งที่นางรู้สึกฉงนใจจึงนิ่งเงียบลง
เขาคล้ายมองออกถึงความรู้สึกของนางจึงไม่เปิดปากอีก เพียงมองนางไม่วางตา
ระหว่างคนทั้งสองความรู้สึกผ่อนคลายในช่วงสั้นๆ ก่อนหน้านี้เลือนหายไปแล้ว บรรยากาศกลายเป็นชะงักงันไปอีกครั้ง
เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งทำลายความนิ่งเงียบ ‘เจ้าคงเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด’ เขาพูดขึ้นอีก ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ‘ข้ารู้เจ้าแต่งกับข้า หาได้มาจากความยินยอมพร้อมใจ เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงเจ้าไม่สมัครใจ ข้าก็จะไม่บีบบังคับเจ้า’
ส่วนลึกในใจของเกาลั่วเสินพลันเกิดความรู้สึกอดสูใจคล้ายถูกคนมองทะลุความลับส่วนตัวอย่างหนึ่ง
นางรู้ว่าเขากำลังมองนางอยู่จึงหันหน้าหนีไป หันหลังให้เขาแล้วปลดเสื้อตัวนอกของตนออกช้าๆ
มุ้งผ้าดิ้นถูกปล่อยลงมา ทั้งสองนอนเคียงกันอยู่บนหมอน
นางหลับตา สองแก้มแดงปลั่ง
เขาขยับเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ปลดเสื้อตัวในบนร่างของนางอย่างลองหยั่งเชิง
ฝ่ามือใหญ่ที่เคยจับกระบี่แม่ทัพสังหารคนมานับไม่ถ้วนข้างนั้นยามนี้ถึงกับสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าหลังพยายามอยู่หลายครั้งเขาก็ไม่อาจปลดผ้ารัดเอวได้
จนกระทั่งครั้งสุดท้าย…ในที่สุดเขาก็ปลดผ้ารัดเอวได้อย่างราบรื่น แต่มือข้างนั้นของเขาพลันถูกมือของนางกดไว้เบาๆ
‘หลางจวิน วันหน้าท่านคิดจะช่วงชิงราชบัลลังก์เหมือนสกุลสวี่หรือไม่’
นางลืมตาขึ้นช้าๆ เอียงคอมองบุรุษข้างหมอนที่คลื่นอารมณ์กำลังทะลักพรั่งพรูผู้นั้น
* เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง
เป็นสำนวนจีน หมายถึงทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม
ฟูเหริน คือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางขั้นหนึ่งและขั้นสอง
**** ชาวเจี๋ย เป็นชนต่างเผ่าในสมัยโบราณของจีน เป็นเชื้อสายหนึ่งของชนชาติซยงหนู อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลซานซีในปัจจุบัน
หวาซย่า เป็นชื่อดินแดนจีนในสมัยดึกดำบรรพ์
ปาตง อยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียง ปัจจุบันอยู่ในมณฑลหูเป่ย
ดินแดนทั้งเก้า หรือจิ่วโจว หมายถึงแผ่นดินจีนในสมัยโบราณซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวฮั่น ได้แก่ 冀州 (จี้โจว) 兖州 (เหยี่ยนโจว) 青州 (ชิงโจว) 徐州 (สวีโจว) 扬州 (หยางโจว) 荆州 (จิงโจว) 豫州 (อวี้โจว) 梁州 (เหลียงโจว) 雍州 (ยงโจว) เป็นบริเวณใจกลางประเทศในปัจจุบัน
เมืองสือโถว ปัจจุบันอยู่ในเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู
ลั่วเสิน คือเทพแห่งแม่น้ำลั่ว มีตำนานเล่าว่าเทพแห่งแม่น้ำลั่วก็คือมี่ บุตรสาวของฝูซี เนื่องจากจมแม่น้ำลั่วตายจึงกลายเป็นเทพแห่งแม่น้ำลั่ว
ดินแดนสามอู๋ เป็นคำเรียกดินแดนตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงในสมัยโบราณ ได้แก่ เมืองอู๋จวิ้น เมืองอู๋ซิ่ง และเมืองไคว่จี
เซียงหยาง เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของมณฑลหูเป่ย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑล มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
เจียงจั่ว เป็นคำเรียกผืนแผ่นดินทางด้านซ้ายของแม่น้ำฉางเจียง หรือก็คือดินแดนที่ราชวงศ์ใต้ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน
กง คือลำดับ หนึ่งในบรรดาศักดิ์ 6 ขั้นของจีนในสมัยโบราณ โดยเรียงลำดับบรรดาศักดิ์จากเล็กไปใหญ่ได้ดังนี้ ‘หนาน’ เทียบได้กับขุน ‘จื่อ’ เทียบได้กับหลวง ‘ป๋อ’ เทียบได้กับพระยา และ ‘กง’ เทียบได้กับเจ้าพระยา
เขตหงหนงอยู่ทางตะวันตกของมณฑลเหอหนาน เนื่องจากตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำหวง อยู่ระหว่างเมืองฉางอันกับเมืองลั่วหยาง จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
จงหยวน หรือตงง้วน แปลว่าที่ราบตอนกลาง หมายถึงดินแดนจีนในสมัยโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางไปจนถึงตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำหวงเหอ
ชาวหู เป็นคำเรียกชนต่างเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่น ที่อาศัยทางชายแดนทิศเหนือและทิศตะวันตกของจีน
อู่จ่าง หัวหน้าหน่วยทหารที่เล็กที่สุด มีทหารในบังคับบัญชา 5 นาย
ซีสู่ หรือดินแดนสู่ตะวันตก คือมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน
แม่ทัพใหญ่เจิ้นจวิน คือตำแหน่งแม่ทัพที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารและข้าหลวงของเมืองใดเมืองหนึ่ง มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปกครองและทุกข์สุขของประชาชนในท้องถิ่น
รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง
คำเรียก ความหมาย
อาเหยีย “บิดา”
อาเหนียง / อาหมู่ “มารดา”
ต้าซยง “พี่ใหญ่”
อาซยง “พี่ชาย”
อาเจี่ย “พี่สาว”
อาเม่ย “น้องสาว”
อาตี้ “น้องชาย”
อาเส่า “พี่สะใภ้”
อาจยา “แม่สามี”
หลางจวิน คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 พ.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.