X
    Categories: ทดลองอ่านธาราวสันต์ บุษบันจันทรามากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่สาม

หลี่มู่มองสบตานางอยู่ครู่หนึ่ง เขาดึงมือตนเองกลับพลางลุกขึ้นมานั่ง

เกาลั่วเสินก็ไม่เข้าใจตนเอง เหตุใดตนจึงบุ่มบ่ามถามคำถามนี้ออกมาในเวลาเช่นนี้

คำพูดเพิ่งออกจากปาก นางก็นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว

นางนอนหงายอยู่บนหมอน ปรายตามองเงาด้านหลังอันเคร่งขรึมภูมิฐานดุจขุนเขาของบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างผู้นั้น ใจเต้นระรัวอย่างรุนแรง

ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเขาเอ่ยปาก

นางหลับตา ‘เป็นข้าพูดผิดไปแล้ว หลางจวินไม่ต้องใส่ใจ’

‘เจ้าทราบความตั้งใจเดิมของข้าที่จะเข้าร่วมกองทัพในตอนนั้นหรือไม่’

เขาพลันย้อนถาม

เกาลั่วเสินลืมตา เห็นเขาหันหน้ามาแล้วก้มลงมองตน

นางเบิกตาโต ไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด

สายตาของเขากวาดผ่านดวงหน้างามดุจบุปผาของนาง แล้วยิ้ม

‘ในปีที่ข้าอายุสิบขวบ ป้อมปราการของครอบครัวถูกคนเหนือตีแตก บิดาของข้าตายในสนามรบ โชคดีที่ได้องครักษ์ในบ้านที่จงรักภักดีสู้ตายช่วยคุ้มกัน มารดาจึงมีโอกาสพาข้าหนีตายมา จนทุกวันนี้ข้ายังจำภาพตอนมารดาพาข้าข้ามแม่น้ำได้ ฝั่งแม่น้ำทางเหนือมีชาวหูหลู่ที่ไล่ตามมายิงธนูใส่ มีคนต้องธนูตกน้ำอยู่ตลอดเวลา เรือหาปลาที่แคบเล็กมีคนเบียดเสียดอยู่เต็มลำเรือ เสียงร้องไห้ดังสะเทือนถึงแผ่นฟ้า เรือลำที่อยู่ด้านข้างเนื่องจากมีคนขึ้นมามากเกินไป พอมาถึงกลางแม่น้ำก็ถูกคลื่นซัดพลิกคว่ำ เพื่อนบ้านที่หนีมาพร้อมกับข้าตลอดทางกระเสือกกระสนอยู่ในแม่น้ำส่งเสียงโหยไห้ ไม่นานก็ถูกคลื่นม้วนไปไม่เห็นแม้เงา…

ตอนยังอยู่ทางเหนือพวกเขาต่างเฝ้ารอให้ฮ่องเต้ของต้าอวี๋ส่งกำลังทหารมาตลอดเวลา เฝ้าหวังให้ขับไล่ชาวหูหลู่ออกไป ให้พวกเขาได้หมอบคารวะฮ่องเต้ของตน สวมใส่เสื้อผ้าของตน เพาะปลูกในที่ดินของตน เฝ้ารอมานานปีเพียงนั้น กองทัพต้าอวี๋เคยมาจริง ทว่าเพียงเลี้ยวมาแล้วก็จากไป อะไรก็มองไม่เห็น! มาถึงวันนี้ กระทั่งพื้นดินผืนสุดท้ายที่จะอยู่อาศัยก็ไม่มีแล้ว!

พวกเขาเพียงคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ขอตายอยู่ท่ามกลางสงคราม หลบพ้นจากการไล่ล่าสังหารตลอดทางจากคนทางเหนือมาได้ และไม่ถูกลูกธนูที่ยิงมาจากด้านหลัง ยามนั้นเพียงข้ามแม่น้ำสายนี้ไปได้ก็จะถึงดินแดนของชาวฮั่นที่เป็นฝ่ายตนแล้ว สิ่งเหล่านั้นมองเห็นอยู่ข้างหน้านี้เองแท้ๆ จู่ๆ กลับมีคลื่นลูกหนึ่งซัดมา สุดท้ายก็ไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้…’

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

‘นับแต่นั้นมาข้าก็บอกกับตนเอง วันหน้าถ้าข้าอยู่เหนือกว่าผู้อื่นได้ จะต้องระดมกำลังทหารไปปราบปรามทางเหนือ กอบกู้เมืองหลวงทั้งสอง ให้คนหูหลู่ไสหัวกลับไปดินแดนของตน ให้ชาวฮั่นได้ครอบครองผืนดินของบรรพบุรุษอีกครั้ง…เวลาผ่านมายี่สิบปีแล้วความตั้งใจเดิมของข้ายังไม่เคยเปลี่ยน’

น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบคล้ายกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน

‘นับแต่ต้าอวี๋ข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ วีรบุรุษก็ปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย ล้วนเป็นผู้อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์สกุลขุนนาง มีผู้โดดเด่นมากมายที่นำกองทัพไปกอบกู้ดินแดนของชาวฮั่น บิดาของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ เพราะเหตุใดหมิงกง ยกทัพไปปราบปรามทางเหนือหลายครั้งล้วนล้มเหลวขณะใกล้จะประสบความสำเร็จ ยังไม่ทันเห็นผลก็ล้มเลิก’

เกาลั่วเสินค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง

‘หาใช่ชาวใต้เรากองกำลังทหารไม่กล้าหาญ แม่ทัพขาดกลยุทธ์ หากแต่เพราะตระกูลที่มีคุณูปการมาหลายชั่วคนต่างมีแผนการของตน เห็นแก่การแก่งแย่งชิงดีระหว่างตระกูลเป็นสำคัญ ไม่ปรารถนาจะเห็นสกุลเกาของเจ้าได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเพราะสร้างคุณูปการใหญ่ในการปราบปรามทางเหนือ และพยายามขัดขวางจากทางด้านหลังทุกวิถีทาง

ถึงเป็นสกุลเซียวที่เป็นราชวงศ์ เกรงว่าก็คงไม่ปรารถนาจะเห็นหมิงกงปราบปรามทางเหนือได้สำเร็จ หลังจากคนสกุลเซียวข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ ตั้งมั่นอยู่บนแผ่นดินด้านซ้ายของแม่น้ำฉางเจียงได้แล้วก็ไม่มีความคิดจะช่วงชิงเมืองหลวงเก่ากลับคืนมาอีก เขาจะยอมเห็นขุนนางมีความดีความชอบเหนือกษัตริย์ กดข่มราชวงศ์ได้อย่างไร’

เขามองนางแวบหนึ่ง หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

‘ด้วยความสูงศักดิ์ของเจ้า วันนี้ยอมแต่งให้ข้าย่อมมีสิ่งที่เจ้ามุ่งหวัง ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากถามข้าแล้ว ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ เรื่องภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่จนถึงตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่ไม่จงรักภักดี’

เขาชะงักไปชั่วขณะ แล้วเพิ่มน้ำหนักเสียง ‘แต่…ใครก็ตามที่ขัดขวางข้าจากการปราบปรามทางเหนือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ย่อมถือเป็นศัตรูของข้าหลี่มู่ ข้าจะต้องกำจัดเสีย!’

เกาลั่วเสินนิ่งฟังเขาพูดมาโดยตลอด นางนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน

‘หลางจวิน เรื่องของราชสำนัก เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจ ข้ารู้เพียงว่าตอนนั้นที่บิดายังมีชีวิตอยู่ ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือยึดคืนดินแดนทางเหนือให้จงหยวน ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่จะต้องสนับสนุนหลางจวินแน่นอน’

หลี่มู่มองนางนิ่ง ประกายความพึงพอใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตา

‘ฟูเหริน…’

‘เรียกข้าอาหมีเถิด คนในครอบครัวต่างเรียกข้าเช่นนี้’

นางคลี่ยิ้มหวาน

‘อาหมี…’

หลี่มู่ประกายตาสั่นไหว เรียกชื่อนางเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง

เขาจับมือนาง ค่อยๆ รวบมือเข้ามา ในที่สุดก็กุมมือน้อยของนางไว้ในฝ่ามือที่ร้อนผ่าวเต็มไปด้วยรอยด้านหนาของตนแน่น

มือทั้งสองถูกฝ่ามือของเขากุมไว้แน่นเช่นนี้ ทำให้หัวใจของเกาลั่วเสินเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย

นางไม่กล้ามองสบสายตาร้อนแรงสองสายที่พุ่งมาที่ตน เพียงหลุบตาลง เมื่อนึกขึ้นได้จึงดึงมือของตนออกมาจากมือเขาเบาๆ แล้วลงจากเตียง

นางเดินไปถึงข้างโต๊ะ ยกป้านสุราขึ้นมา รินสุราลงในจอกสลักลายมงคลหยินหยางที่วางอยู่เงียบๆ บนโต๊ะคู่นั้น พอรินสุราเต็มทั้งสองถ้วยนางก็ยกขึ้นมา ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของเขา นางเดินทีละก้าวๆ กลับมาตรงหน้าเขา แล้วยื่นจอกสุราหยกใบที่สลักลายหยางให้กับเขา

‘นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตที่เหลืออยู่ของข้าภรรยา ขอฝากไว้กับหลางจวิน เชิญดื่มสุรามงคลจอกนี้’

นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงคลี่ออก ลมหายใจหอมกรุ่นดุจดอกกล้วยไม้

ชายแขนเสื้อแผ่ขยายดุจปุยเมฆ ข้อมือขาวผ่องดุจหยก สุรารสเลิศกับมือนวลเนียนดุจหยกแลสว่างพร่างพราวขับดุนซึ่งกันและกัน สุราผูเถา สาดประกายเรืองรองทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง

หลี่มู่มองจ้องนางนิ่ง ส่วนลึกในดวงตาเต็มไปด้วยความนุ่มนวลละมุนละไม

เขารับจอกสุรามงคล ฝ่ามือใหญ่จับจูงมือนางให้กลับมานั่งที่ขอบเตียง ทั้งสองคล้องแขนกัน มองสบประสานสายตากัน ต่างดื่มสุราในจอกของตน

ครั้นดื่มหมดเขาก็วางจอกสุราลง ส่งยิ้มสดใสให้นาง หัวคิ้วนัยน์ตาห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ใบหน้าอิ่มเอิบมีชีวิตชีวา

มุ้งผ้าดิ้นถูกปล่อยลงมาอีกครั้ง

เกาลั่วเสินรู้สึกได้ว่าริมฝีปากคู่นั้นแตะที่ติ่งหูตนเบาๆ ตอนหลับตา พลันคล้ายมีภาพคืนวันแต่งงานในอดีต ครานั้นลู่เจี่ยนจือยิ้มพลางเรียกนาง ‘อาหมี’ ด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง ดังวนเวียนอยู่ข้างหูนาง

ร่างของนางอดแข็งขึงน้อยๆ ไม่ได้

เขาคล้ายสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้น ปล่อยมือจากนาง

‘นอนเถิด’

เขากล่าวเสียงนุ่ม ช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางเบาๆ คลุมถึงลำคอ ในน้ำเสียงไม่มีความไม่พอใจเจืออยู่แม้แต่น้อย

เกาลั่วเสินหลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นมาเงียบๆ มองมาที่เขา

เขาหลับตาอยู่ เพียงนอนข้างกายนางเงียบๆ ลมหายใจหนักแน่นสม่ำเสมอคล้ายหลับไปแล้ว

แต่นางรู้…เขายังไม่หลับ

‘เพราะเหตุใดจึงดีต่อข้าเช่นนี้’

นางส่งเสียงขึ้นเบาๆ ถามอย่างคลุมเครือ

เขาลืมตา ก่อนหันหน้ามองมาทางนาง

แสงเทียนสีแดงลอดผ่านม่านมุ้งเข้ามา ดวงตาลึกล้ำของเขาทอประกายวิบวับจางๆ

หลายปีก่อน เมืองจิงโข่วมีเด็กชายวัยสิบขวบลี้ภัยหนีตายจากทางเหนือคนหนึ่ง ตอนมาถึงใหม่ๆ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน เพื่อจะหาค่ารักษาให้มารดาที่ป่วยหนัก ด้วยความอับจนหนทางจึงยอมรับจ้างใช้แรงงานด้วยค่าตอบแทนปีละสามสิบเฉียน เป็นเวลาหนึ่งปี ไปเป็นเด็กรับใช้ในเขตที่ดินศักดินาของสกุลจางตระกูลที่มีอำนาจมากในท้องถิ่นตระกูลหนึ่ง ทุกวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องตื่นขึ้นมาทำงานหนักงานสกปรกทุกอย่าง

เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีตอนที่เขาสามารถจากไปได้แล้ว พ่อบ้านกลับใส่ความว่าเขาขโมยเงินของผู้เป็นนาย จะส่งตัวเขาให้ทางการ ถ้าเขาไม่อยากไปก็ต้องเซ็นสัญญาขายตัวชั่วชีวิต

ต่อมาเขาจึงรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นเหล่านี้หลอกใช้ผู้ลี้ภัยไร้รากเหง้า เพื่อจ่ายค่าตอบแทนต่ำที่สุดกักตัวเด็กรับใช้ไว้ใช้งานในเขตที่ดินศักดินาของตน

ด้วยความโกรธแค้นเขาจึงซัดพ่อบ้านจนล้มคว่ำไปกับพื้น จากนั้นก็ถูกเหล่าคนรับใช้กรูเข้ามาจับตัวไว้ หลังจากซ้อมเขาอย่างหนักไปชุดหนึ่งก็เอาตะปูเหล็กตอกทะลุฝ่ามือเขา

เขาถูกตอกฝ่ามือติดกับเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างทางตรงปากประตูทางเข้าเขตที่ดินศักดินา ตากแดดตากลม ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู

กว่ามารดาของเขาหลูซื่อ จะได้ข่าวและเร่งรุดมา เขาก็ถูกตรึงอยู่ข้างถนนมาสามวันแล้ว ไม่มีน้ำไม่มีข้าวตกถึงท้อง ริมฝีปากแห้งแตกมีโลหิตไหลซึม คนก็ถูกแสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผาจนไม่ได้สติสมปฤดี

เขาฝืนร่างฟื้นขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องไห้พร่ำเพรียกหาของมารดา เห็นมารดาที่ร่างกายผ่ายผอมบอบบางคุกเข่าอยู่หน้าประตูเขตที่ดินศักดินาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล โขกศีรษะให้บรรดาทาสในครัวเรือนเหล่านั้น วิงวอนให้ไว้ชีวิตบุตรชายของนาง

ทาสในครัวเรือนเหล่านั้นกลับเท้าสะเอวหัวเราะเยาะ

มารดาของเขาหลูซื่อ เดิมเป็นบุตรีของตระกูลขุนนางทางเหนือ ตอนราชสกุลเซียวข้ามแม่น้ำลงใต้ สกุลหลูทั้งตระกูลไม่ได้ติดตามมาด้วย ภายหลังมาถึงด้านตะวันออกของแม่น้ำฉางเจียง อีกครั้งก็ช้าไปแล้ว ภายใต้การกดข่มของตระกูลขุนนางที่มีอำนาจราชศักดิ์ซึ่งหน้าที่การงานขึ้นสู่จุดสูงสุด คนสกุลหลูต้องตกอับกลายเป็นครอบครัวสามัญชนที่ยากจน หนทางที่บุตรหลานจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง หลายปีมานี้สมาชิกในครอบครัวแยกย้ายกระจัดกระจายต่างไปตามทางของตน ไม่มีใครยังจดจำได้ว่ามีสตรีในตระกูลผู้หนึ่งแต่งให้สกุลหลี่แห่งอำเภอซวีอี๋

มารดาไม่ควรถูกเหยียบย่ำให้เสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้

เขาอยากจะเรียกมารดาของตนให้ลุกขึ้นมา แต่ลำคอกลับแหบแห้งจนเปล่งเสียงไม่ออก

ในเวลานี้เองก็มีเสียงกระดิ่งทองแดงไพเราะชวนฟังดังมาตามสายลม

ไกลออกไปบนถนนฝั่งตรงข้าม มีรถเทียมวัวคันหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

วัวตอนตัวใหญ่แข็งแรงล่ำสัน ที่ลำคอมีกระดิ่งทองแดงสีเหลืองทองผูกอยู่อันหนึ่ง หน้าประทุนรถห้อยม่าน ตัวรถตกแต่งด้วยภาพวาดสีทองเคลือบเงา หน้าต่างที่อยู่ด้านข้างของประทุนรถเปิดออกครึ่งหนึ่ง คนบังคับนั่งตัวตรงอยู่หน้ารถ ฝีมือในการบังคับควบคุมยอดเยี่ยม ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวาของตัวรถ มีผู้คุมกันเดินเท้าติดตามมาสองแถว

เพียงเห็นก็รู้ นี่คงจะเป็นเจ้านายในตระกูลที่มีเงินและอำนาจของบ้านใดสักแห่งเดินทางผ่านมาทางนี้

ภาพที่เจ้านายเขตที่ดินศักดินาใช้อำนาจบาตรใหญ่ลงโทษทาสในเรือนเช่นนี้ บางทีสำหรับที่นี่อาจเป็นภาพที่เห็นกันจนเคยชินไม่ใช่เรื่องแปลก

รถเทียมวัวไม่ได้หยุดลง เพียงวิ่งผ่านข้างเสาที่ตอกตรึงฝ่ามือเขาต้นนั้นไป

ในอากาศทิ้งกลิ่นหอมของบุปผาจางๆ ไว้ระยะหนึ่ง

‘อาเจี่ย พวกเขาน่าสงสารเกินไปแล้ว ท่านช่วยพวกเขาสักหน่อยเถิด’

ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเด็กหญิงจากในรถเทียมวัวลอยมาตามสายลม ดังเข้ามาในหูเด็กหนุ่ม

เสียงนั่นคล้ายลูกนกขมิ้นที่เพิ่งหัดขับขาน เป็นเสียงไพเราะจับใจที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต

‘เราแค่เดินทางผ่านมา ยังคงอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นให้มากจะดีกว่า…’

เสียงเด็กสาวอีกคนที่ฟังดูอายุมากกว่าดังตามมา

‘แต่อาเจี่ย เขาดูไม่เหมือนคนเลว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก’

‘เจ้าก็ใจอ่อนเสียจริง ฟังอาเจี่ยนะ นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าได้ไปยุ่ง…’

เด็กหญิงคล้ายทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและอับจนปัญญา

เด็กหนุ่มแข็งใจเงยหน้าขึ้น มองรถเทียมวัวที่เพิ่งวิ่งผ่านไปข้างหน้าคันนั้น

มุมหนึ่งของหน้าต่างด้านข้างประตูรถปรากฏดวงหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กหญิงที่กำลังมองย้อนกลับมาพอดี

นางดูอายุราวหกเจ็ดขวบ สวมชุดสีเหลืองอ่อน ผิวพรรณขาวดุจหิมะ มีเส้นผมดำขลับ ดวงตากลมโตคู่หนึ่ง หน้าตานางงดงามยิ่ง ประดุจตุ๊กตาหิมะหยกตัวหนึ่ง

สายตาของนางในยามนี้มองจ้องมาที่ตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นอกเห็นใจ

เพียงชั่วแวบเดียวผ้าม่านผืนหนึ่งก็ถูกปล่อยลงมา ใบหน้าของเด็กหญิงหายไปจากด้านหลังหน้าต่าง

‘อาหมี ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะบอกอาหญิง ครั้งหน้าจะไม่พาเจ้าออกมาอีกแล้ว’

รถเทียมวัวค่อยๆ วิ่งไปไกล

‘ขอร้องพวกเจ้าแล้ว ปล่อยบุตรชายข้าก่อนเถิด ขืนยังไม่ปล่อยเขา เขาอาจจะตายได้…เงินที่เขาติดค้างพวกเจ้า ข้าต้องคิดหาวิธีใช้คืนแน่’

มารดายังอยู่ทางด้านนั้น หลั่งน้ำตาโขกศีรษะวิงวอนขอร้องเหล่าทาสเจ้าเล่ห์ ทั้งยังถูกหนึ่งในนั้นยกเท้าถีบไปที่ยอดอก นางล้มลงกับพื้น

‘เจ้าจะเอาอะไรมาชดใช้!’

อีกคนหนึ่งมองประเมินมารดา ‘ออกจะหยาบกร้านไปสักหน่อย แต่หากแต่งตัวขึ้นมาแล้วส่งไปปรนนิบัติคนก็น่าจะยังมีคนชื่นชอบอยู่!’

เสียงหัวเราะลามกสัปดนแซมด้วยเสียงร้องไห้อย่างสิ้นหวังของมารดาดังมาเข้าหูเขา

‘อาเหนียง ท่านไม่ต้องสนใจข้า’

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างจนเปลือกตาแทบฉีกขาด

ในช่วงเวลานี้เองไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากที่ใด เขาแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธออกมาคำหนึ่ง ออกแรงกระชาก ถึงกับดึงฝ่ามือข้างที่ถูกตอกติดกับเสาไม้ออกมาได้

ใจกลางฝ่ามือของเขามีโลหิตสดหยาดหยด แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

ดวงตาทั้งสองของเขาแดงก่ำ ขณะวิ่งเข้าไปคว้าท่อนไม้ที่พื้นมาท่อนหนึ่ง ปกป้องอยู่ข้างกายมารดาของตน

คนที่อยู่รอบข้างตกใจจนทึ่มทื่อ พอได้สติกลับคืนมาก็เดือดดาลพากันโอบล้อมเข้ามาร้องตะโกนจะตีเขาให้ตาย

ในเวลานี้เองเสียงกระดิ่งทองแดงติงตังๆ ก็ดังใกล้เข้ามาอีกครั้งแล้ว รถเทียมวัวที่วิ่งผ่านไปเมื่อครู่คันนั้นถึงกับวิ่งย้อนกลับมาแล้วหยุดอยู่ข้างถนน

คนผู้หนึ่งท่าทางเหมือนพ่อบ้านเดินเข้ามาถามถึงมูลเหตุ

หลูซื่อดุจเห็นฟางข้าวช่วยชีวิต ทางหนึ่งหลั่งน้ำตา ทางหนึ่งก็เล่าความเป็นมาของเรื่องราว

คนผู้นั้นออกคำสั่งให้ปล่อยคน

เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ย่อมไม่ยอม บอกอีกฝ่ายว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน ให้รีบจากไปเสีย

ฝ่ายตรงข้ามที่ดูเหมือนพ่อบ้านกลับยิ้มหยัน ‘เรื่องที่คนของบ้านเกากงต้องการจะยุ่งเกี่ยวก็เป็นเรื่องชาวบ้านหรือ’

ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่า ‘เกากง’ คือคำเรียกที่คนในสมัยนั้นเรียกเจ้าบ้านสกุลเกาด้วยความยกย่อง

เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ต่างตะลึงงันไปทันใด

สกุลจางแม้จะมีอำนาจอยู่ในเมืองจิงโข่ว พอจะกล้อมแกล้มจัดอยู่ในตระกูลขุนนางได้ แต่เปรียบกับสกุลเกาที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าแล้ว เกรงว่าแม้แต่หิ้วรองเท้าให้ก็ยังไม่คู่ควร

ถ้าคนที่อยู่ในรถเทียมวัวมาจากสกุลเกาจริง พวกตนย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟัง

แต่ใครจะรู้ได้ พวกเขาใช่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาคนหรือไม่ ถ้าปล่อยคนไปง่ายๆ เช่นนี้ วันหน้าข่าวแพร่กระจายออกไป สกุลจางจะเรียกคืนศักดิ์ศรีต่อหน้าตระกูลอื่นในจิงโข่วได้อย่างไร

ขณะที่เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น ก็มีเสียงเยียบเย็นของเด็กสาวดังมาจากในประทุนรถ ‘พวกเจ้าเป็นคนของสกุลจางหรือ ตอนท่านลุงของข้าอยู่เมืองเจี้ยนคังก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าสกุลจางของพวกเจ้ากับขุนนางเมืองจิงโข่วสมคบคิดกัน อ้างชื่อราชสำนักแอบเพิ่มภาษีกันเอง ราษฎรที่กลับมาจากทางเหนือที่จ่ายไม่ไหวเหล่านั้นล้วนถูกพวกเจ้าเรียกคืนที่นาที่ทางราชสำนักแจกจ่ายให้ทำกิน ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่คนก็ถูกบีบบังคับให้ขายตัวเป็นเด็กรับใช้ในเขตที่ดินศักดินาของสกุลจางเจ้า! สกุลจางหาผลกำไรจากเรื่องนี้ไปกี่ส่วน ราชสำนักต้องเสียหายไปกี่ส่วน! เดิมทีข้ายังไม่เชื่อ วันนี้ดูแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง! เดิมจิงโข่วเป็นเมืองสำคัญที่ราชสำนักจัดให้ผู้ลี้ภัยที่กลับมาจากทางเหนือได้ทำมาหากิน สกุลจางเจ้าไม่คิดจะแบ่งเบาภาระแก้ปัญหาให้ทางราชสำนักก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงกับฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์อันไม่สมควร กดขี่ราษฎรที่กลับจากทางเหนือของต้าอวี๋เรา ถ้ายังไม่ปล่อยคนกลับบ้านอีก คงรู้ถึงผลที่จะตามมา’

เด็กสาวอายุน่าจะไม่มากเท่าไรนักกลับมีน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง

เหล่าทาสเจ้าเล่ห์ไม่กล้าระแวงสงสัยอีก รีบปล่อยตัวเด็กหนุ่มทันที

รถเทียมวัวเคลื่อนตัวอีกครั้ง กลับหัวรถแล้ววิ่งไปข้างหน้า

‘อาเจี่ย ขอบคุณท่านมาก…’

เสียงเยาว์วัยของเด็กหญิงดังแว่วขึ้นมาอีกครั้ง ในน้ำเสียงเจือความดีใจอยู่หลายส่วน

‘จนปัญญากับเจ้าจริงๆ คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ เจ้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องมากมายเหล่านี้อย่างไรไหว…’

ท่ามกลางเสียงกระดิ่งทองแดงติงตังๆ เสียงนุ่มนวลของเด็กหญิงกับกลิ่นหอมของบุปผากลางสายลม ค่อยๆ จางหายไปในอากาศ…

ในเวลานั้นเด็กหนุ่มที่ถูกตะปูตอกทะลุฝ่ามือตรึงไว้ที่ข้างทางมีหรือจะกล้าเพ้อฝัน วันหนึ่งคนที่ต่ำต้อยเช่นเขาจะได้แต่งงานกับเด็กหญิงในรถเทียมวัวที่งามบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก เขาเคยเห็นเพียงแวบเดียวก็ประทับตราตรึงอยู่ในหัวใจอย่างลึกซึ้งผู้นั้น…

 

หลี่มู่ยิ้มบาง แววตาที่มองเกาลั่วเสินเปลี่ยนเป็นละมุนละไมยิ่งขึ้น แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกวิงเวียนตาลายขึ้นมา

เขาหลับตาลง ลองกำหมัดดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาได้เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว เจือความสิ้นหวัง และเจ็บปวดรวดร้าวคล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนึ่ง

‘เจ้าเล่นลูกไม้อะไรในจอกสุราของข้า’

เขาถามเสียงเฉียบขาดอย่างเน้นย้ำทีละคำ

บทที่สี่

เมื่อครู่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันในค่ำคืนนี้ นางได้เห็นเขายิ้มให้ตนอีกครั้ง

ยากจะจินตนาการได้ว่าต้าซือหม่าหลี่มู่ผู้มีอำนาจทั้งในราชสำนักและในหมู่ราษฎร ยามอยู่ในเรือนกับภรรยาจะเป็นคนอ่อนโยนละมุนละไมถึงเพียงนี้

นางถูกทำให้ตกใจจนตะลึงงันแล้ว และยิ่งตื่นตระหนกไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่ก่อนรอยยิ้มของเขากับแววตาที่มองมายังทำให้นางรู้สึกร้อนลวกที่หูอยู่แท้ๆ เพิ่งผ่านไปชั่วพริบตาเดียว เพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเพียงนี้ กระทั่งทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว

เกาลั่วเสินมองใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยความดุร้ายของหลี่มู่อย่างงุนงง ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ควรตอบอย่างไรดี

‘หลางจวิน…ท่านเป็นอะไรไป…ไม่สบายที่ตรงใดหรือ’

นางลังเลอยู่ชั่วขณะ ลองยื่นมือไปหาเขา แต่กลับถูกเขาปัดออก

นางยังไม่ทันตั้งสติได้ก็เห็นเขากระโดดลงจากเตียง คลุมเสื้อเปิดหน้าอก เดินเท้าเปล่าก้าวยาวๆ ไปยังชั้นวางอาวุธที่หน้าประตู ฝีเท้ากลับดูลอยๆ คล้ายคนเมาสุรา

ทว่าเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวหลี่มู่ก็พลันนึกขึ้นมาได้

คืนนี้เป็นคืนมงคลสมรส อาวุธถือเป็นสิ่งอัปมงคล ชั้นวางนั่นถูกยกออกไปแล้ว

‘ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา!’

เขาร้องเสียงเฉียบขาดออกไปทางด้านนอก ร่างพลันโงนเงนหัวไหล่เอียงวูบแล้วล้มทับไปบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้าง

จอกสุราและป้านสุราบนโต๊ะเตี้ยพากันร่วงหล่นลงกับพื้น เสียงแตกกระจายดังลั่น

ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ นางรีบคลุมเสื้อลงจากเตียง ไล่ตามมาคว้าแขนเขาพร้อมประคองไว้

‘หลางจวิน ท่านเป็นอะไรไป’

เขาไม่ได้ตอบ แต่แผดเสียงคำรามออกไปทางด้านนอก ‘เข้ามา!’ จากนั้นก็ผลักนางออกอีกครั้ง ล้มลุกคลุกคลานไปทางด้านนอกประตู

ทว่ายังไปไม่ถึงหน้าประตูคนก็หัวทิ่มล้มลงกับพื้น

มีเสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้นที่ด้านนอกประตู

ประตูถูกคนผลักเข้ามาอย่างรีบร้อน หญิงรับใช้ค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งของจวนสกุลหลี่ที่ก่อนหน้าถูกส่งตัวมาปรนนิบัติเกาลั่วเสินวิ่งเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว

‘ต้าซือหม่า แย่แล้ว!’

นางยังไม่ทันได้พูดจบก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนาคำหนึ่ง กระบี่คมกริบเล่มหนึ่งแทงทะลุแผ่นหลังออกมาที่หน้าอกของนาง คนล้มลงอยู่บนธรณีประตู

ตั้งแต่เล็กจนโตเกาลั่วเสินไหนเลยจะเคยเห็นภาพเช่นนี้ นางกรีดร้องออกมาคำหนึ่ง

ใบหน้าของหลี่มู่แนบพื้น สองตาปิดแน่น สีหน้าเจ็บปวดทรมาน เหงื่อเม็ดโตเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผากของเขา โลหิตสดสีแดงอมดำสายหนึ่งไหลซึมออกมาจากมุมปากของเขาช้าๆ

เกาลั่วเสินตะลึงงันไปแล้ว

ในเวลานี้เองทหารในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งก็กรูเข้ามาจากด้านนอกประตู ในมือของแต่ละนายถือกระบี่ถือดาบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พริบตาเดียวก็โอบล้อมหลี่มู่ไว้ตรงกลาง

เทียนมงคลวูบไหว แสงเทียนส่องสว่างดาบกระบี่และเสื้อเกราะบนร่างของทหาร แสงสีแดงฉานอันเย็นเยือกสาดประกายระยิบระยับ

ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ได้สติกลับคืนมา

‘พวกเจ้าเป็นคนของผู้ใด คิดจะทำอะไร!’ นางที่ตื่นตระหนกและเดือดดาลยิ่งตวาดเสียงเฉียบขาด ขณะกำลังจะวิ่งไปหาหลี่มู่ก็เห็นบุรุษสองคนเดินเข้าประตูมา

‘อาเส่า! ท่านไม่ต้องกลัว!’

บุรุษหนุ่มใบหน้างามดุจหยกในมือถือกระบี่ยาวผู้นั้นวิ่งมาที่ข้างกายเกาลั่วเสินอย่างรวดเร็ว จับแขนนางไว้ ก่อนออกแรงดึงนางไปจากข้างกายหลี่มู่ที่ฟุบอยู่กับพื้น

คนผู้นี้ก็คืออดีตน้องสามีของนาง ลู่ฮ่วนจือน้องชายของลู่เจี่ยนจือ

ตอนลู่เจี่ยนจือยังมีชีวิตอยู่ ลู่ฮ่วนจือเลื่อมใสศรัทธาพี่ชายคนโตผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง รักเขาก็รักคนของเขาด้วย กับเกาลั่วเสินเขาก็ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก หลังจากลู่เจี่ยนจือโชคร้ายตายจากการยกทัพไปปราบปรามซีสู่เมื่อเจ็ดปีก่อน เกาลั่วเสินก็ใช้ชีวิตในฐานะแม่ม่ายมาโดยตลอด ลู่ฮ่วนจือก็เรียกนาง ‘อาเส่า’ ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกหามาโดยตลอด

บุรุษวัยฉกรรจ์อีกคนก็คือซินอันหวังเซียวเต้าเฉิงผู้เป็นเชื้อพระวงศ์

ก่อนไท่คังฮ่องเต้จะสวรรคตในระหว่างทางหลบหนีภัย เขากับหลี่มู่ต่างถูกกำหนดให้ช่วยดูแลงานราชกิจของแผ่นดินร่วมกัน หลังจากหลี่มู่กุมอำนาจการบริหาร เซียวเต้าเฉิงถูกบีบให้ต้องคล้อยตาม คืนนี้หลี่มู่แต่งงานกับเกาลั่วเสิน เซียวเต้าเฉิงย่อมนั่งในตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติ

ทันทีที่เห็นลู่ฮ่วนจือกับเซียวเต้าเฉิง เพียงเวลาชั่วประกายไฟแลบเกาลั่วเสินก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในทันที

ยี่สิบกว่าปีมานี้นางมีบิดา พี่ชาย และคนในครอบครัวคอยปกป้องคุ้มครองอย่างดียิ่ง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้อะไรเลย

ที่แท้เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการที่อาเจี่ย เชื้อพระวงศ์ และสกุลลู่วางไว้ทั้งสิ้น

อาศัยการเกี่ยวดองผ่านการสมรสด้วยความปรารถนาอันดีมาสลายการป้องกันตัวของหลี่มู่

ส่วนนางรับหน้าที่เป็นคนที่ใช้ความงามหลอกล่อเย้ายวน เอาสุรารินลงในจอกที่มียาพิษส่งถึงมือหลี่มู่ ให้เขาดื่มลงไปอย่างไม่ระแวดระวังตัวแม้แต่น้อย

แขกเหรื่อที่ห้องโถงด้านหน้า ยามนี้ยังดื่มกินฉลองกันอย่างสนุกสนาน ใครเลยจะคาดคิดว่าในห้องหอด้านในอันงดงามถึงกับกำลังเปิดฉากแผนการร้ายที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ประกายดาบผุดวาบโลหิตไหลนองเช่นนี้

นางเย็นเฉียบไปทั้งร่าง สองขาอ่อนยวบแทบจะยืนไม่อยู่

เกาลั่วเสินได้ลู่ฮ่วนจือประคองไว้ตอนนางเดินผ่านข้างกายเขา นางมองเงาด้านหลังสูงใหญ่ที่ก้มงออยู่กับพื้นล่างนั้น

‘อาเส่า รีบไป!’

ลู่ฮ่วนจือดูตื่นเต้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยเร่งรัดเกาลั่วเสินไม่หยุด

ทางหนึ่งคืออาเจี่ย คนจากตระกูลของอดีตสามี ราชวงศ์ ทางหนึ่งคือคนแปลกหน้าที่นับคืนนี้เข้าไปด้วยก็เพิ่งเคยเจอหน้ากับตนเพียงสองครั้ง

ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว

ถึงแม้นางจะไม่ได้สมัครใจ แต่ถึงตอนนี้อะไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

นางหลับตา น้ำตาไหลพรากลงมา หันหน้าหนีไปด้วยร่างกายที่สั่นเทา ขณะก้าวเท้าจะตามลู่ฮ่วนจือจากไป พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง คว้าข้อเท้านางไว้ทันที มือที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงกุมข้อเท้านางแน่นจนรู้สึกเจ็บราวข้อเท้าจะแตก

เกาลั่วเสินก้มหน้าลงช้าๆ มองสบกับสายตาทั้งสองของหลี่มู่ที่อยู่บนพื้น

เขานอนอยู่ที่นั่นและลืมตาอยู่ ศีรษะหันมาทางนาง ใบหน้าซีดเผือด บิดเบี้ยว ส่วนลึกในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตที่แตก

โลหิตแดงฉานสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวจากในดวงตาของเขาลงมาตามใบหน้า อาบย้อมจนดูเหมือนแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีโลหิตไปแล้ว แววตาเหี้ยมโหดดุดันสีโลหิตนั่นจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของนางไม่ขยับ

‘ไม่ใช่…’ นางสั่นศีรษะ

ไม่ใช่นาง…

ทว่าเพิ่งจะเปิดปากเสียงพูดกลับสั่นเครือติดอยู่ในลำคอ ไม่ว่าอะไรก็พูดไม่ออกทั้งสิ้น มีเพียงประกายน้ำตาที่วิบวับอยู่ในดวงตาทั้งสอง

‘หลี่มู่ เจ้าสังหารญาติของข้า ข้าสาบานจะไม่อยู่ร่วมโลกกับเจ้า! คืนนี้ก็คือวันตายของเจ้า รับความตายเถิด!’

ลู่ฮ่วนจือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เงื้อกระบี่ในมือขึ้นแล้วฟันลงไปยังแขนของหลี่มู่ข้างที่จับข้อเท้าเกาลั่วเสินเอาไว้

‘ไม่!’

เกาลั่วเสินหลับตาลงทันที

พริบตาถัดมานางรู้สึกว่าข้อเท้าเบาโล่ง ตามมาด้วยเสียงปลายกระบี่แทงเข้าเนื้อดังฉึก ข้างกายมีคนล้มลงไป

นางตัวสั่นพั่บๆ น้ำตายิ่งไหลหนัก ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา ฉับพลันร่างนางก็ชะงักค้างไปทันที

นางเห็นหลี่มู่ถึงกับยันตัวขึ้นมา คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น

ในมือข้างหนึ่งของเขากุมกระบี่ยาวที่แย่งมาจากมือของลู่ฮ่วนจือเอาไว้แน่น หลังมือมีเส้นโลหิตปูดโปนอยู่เต็มไปหมด คล้ายว่ามันจะปริออกมาจากผิวหนัง

โลหิตสดไหลไปตามคมกระบี่ หยาดหยดจากปลายกระบี่ลงมาเป็นหยดๆ สู่พื้น

ส่วนลู่ฮ่วนจือล้มคว่ำอยู่ข้างเท้านางไปแล้ว

ร่างกายของเขาเกร็งกระตุกน้อยๆ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ขณะที่แววตาค่อยๆ เลื่อนลอย ในสีหน้าเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ตรงตำแหน่งหัวใจของเขามีรูแผลเพิ่มขึ้นมารอยหนึ่ง

กระบี่เดียวทะลุหัวใจ…

โลหิตไหลทะลักออกมา อาบย้อมเสื้อผ้าของเขาจนกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ ไหลลงมาที่พื้น

เกาลั่วเสินไม่อาจทานทนต่อไปได้อีก ร่างอ่อนระทวยลงกับพื้น หอบหายใจคำโตๆ ราวกับคนที่จมน้ำ

หลี่มู่กระอักโลหิตสีดำคล้ำออกมาคำโต จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เอาปลายกระบี่ยันพื้นประคองร่างไว้ กระทั่งยืนขึ้นมาช้าๆ ในที่สุดก็เหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง

‘ข้าอยู่ที่นี่! จะเอาชีวิตข้าก็เข้ามา!’

เขามองจ้องเซียวเต้าเฉิงที่อยู่ด้านหน้า นัยน์ตาโลหิตสาดประกายวิบวับ ตวาดเสียงเฉียบขาด

ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงันแล้ว ทหารชุดเกราะถูกจิตสังหารของเขาสั่นสะเทือนและสยบจิตใจลงได้ กระบี่และดาบที่เงื้ออยู่ในมือพากันชะงักค้างไปชั่วขณะ

‘สังหารเขาเสีย! ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม!’

เซียวเต้าเฉิงร้องขึ้น

ทหารชุดเกราะหันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วกรูเข้าไปหาหลี่มู่พร้อมกัน

จุดที่หลี่มู่กวัดแกว่งแขนไปนั้น ศีรษะที่สวมหมวกเหล็กศีรษะหนึ่งก็ถูกตัดร่วงลงพื้น

โลหิตฉีดพุ่งเป็นสายออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาด ประหนึ่งฝนโลหิตที่ตกลงมาเต็มท้องฟ้า สาดกระจายเต็มพื้น

‘ใครขวางข้า…ตาย!’

หลี่มู่นัยน์ตาแดงฉานไปด้วยโลหิต ในมือถือกระบี่ที่มีโลหิตหยาดหยด สืบเท้าทีละก้าวๆ มาข้างหน้า

เหล่าทหารชุดเกราะใบหน้าซีดเผือด

ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเซียวเต้าเฉิง เพื่อความมั่นใจว่าคืนนี้พอลงมือแล้วจะประสบผลแน่นอนจึงคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ไม่มีนายใดไม่องอาจห้าวหาญ

แต่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่ผู้นี้กลับเป็นเทพสงครามแห่งราชวงศ์ใต้ที่เคยนำทัพต้าอวี๋ไปปราบปรามทางเหนือมาหลายครั้งทำให้ชาวหูนับร้อยหมื่นเพียงได้ยินชื่อสีหน้าก็แปรเปลี่ยน

แม้เวลานี้เขาจะเป็นเสมือนสัตว์ที่อยู่ในกรง เป็นนกอินทรีปีกหัก แต่พละกำลังห้าวหาญน่าตื่นตะลึงของเขาก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัว และยิ่งถูกสยบด้วยพลานุภาพอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเขา เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหล่าทหารชุดเกราะก็จะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ถึงกับไม่มีคนกล้าเข้าขวางอีก

เซียวเต้าเฉิงคาดคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่ที่ถูกพิษร้ายแรงแล้วยังองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง หมุนตัวจะล่าถอย แต่ช้าไปเสียแล้ว หลี่มู่ขว้างกระบี่ยาวในมือมาที่แผ่นหลังเขาทันที

กระบี่ยาวดุจหัวธนูพุ่งตามมาถึงประหนึ่งดาวตก

การขว้างกระบี่ออกไปในครั้งนี้คล้ายรวบรวมพละกำลังครั้งสุดท้ายของหลี่มู่เอาไว้ทั้งหมด ตัวกระบี่ปักลึกเข้าไปในแผ่นหลังของเซียวเต้าเฉิง ทะลุหน้าอกออกมา เพราะพลังที่ส่งมายังเหลืออยู่ ผ่านไปพักใหญ่ ด้ามกระบี่ก็ยังคงสั่นน้อยๆ

ร่างของเซียวเต้าเฉิงล้มคว่ำไปกับพื้น

ทหารชุดเกราะนายหนึ่งในที่สุดก็ตั้งสติได้ แผดเสียงคำรามออกมาคำหนึ่ง แล้วแทงกระบี่จากทางด้านหลังเข้าไปที่แผ่นหลังของหลี่มู่

กระบี่แทงทะลุอกหลี่มู่ เขาค่อยๆ หมุนตัวมา มองจ้องทหารชุดเกราะที่จู่โจมตนนายนั้น แล้วยืนตระหง่านนิ่ง

รอบด้านเงียบสงัดราวกับตายกันไปหมดแล้ว มีเพียงเสียงโลหิตจากหน้าอกและแผ่นหลังของหลี่มู่หยดลงสู่พื้นดังติ๋งๆ เบาๆ

สายลมยามราตรีหอบหนึ่งพัดเข้ามา แสงเทียนแดงสั่นไหววูบวาบ ใบหน้าที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตสดของเขากึ่งมืดกึ่งสว่างอยู่ภายใต้แสงเทียน ประหนึ่งอสูรร้ายที่มาจากนรกอเวจี

ทหารชุดเกราะนายนั้นมองสบตาหลี่มู่อยู่ชั่วขณะ ใบหน้าค่อยๆ ปรากฏแววหวาดกลัว

‘ต้าซือหม่า โปรดไว้ชีวิตข้า…’

เขาปล่อยมือจากด้ามกระบี่ ล้มก้นกระแทกลงไปนั่งกับพื้น จากนั้นก็ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน หนีออกไป

หลี่มู่พลิกฝ่ามือดึงกระบี่ที่ปักอยู่บนแผ่นหลังอาบย้อมไปด้วยโลหิตของตนออกมา นัยน์ตาที่แดงฉานไปด้วยโลหิตทั้งสองข้างกวาดมองไปยังทหารรอบด้านที่เหลืออยู่ด้วยแววตาคมกริบดุจนกอินทรีดุดันดุจหมาป่า

ทหารทั้งหลายมองเขาด้วยความตื่นตระหนกหวาดผวา แล้วถอยหลังไปช้าๆ

ก็ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มต้นก่อน พริบตาเดียวก็แย่งชิงกันวิ่งออกไปจากห้อง

ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยโลหิต ในห้องที่ว่างเปล่าวังเวงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณหลายร่างนอนเกลื่อนกลาด

เคร้ง…มีเสียงดังขึ้น หลี่มู่โยนกระบี่ลงกับพื้น

เขากลืนรสคาวเค็มที่ทะลักจากหน้าอกขึ้นมาถึงลำคอไม่หยุด หันหน้ามาช้าๆ มองเกาลั่วเสินที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น

ใบหน้าของนางในยามนี้ซีดขาวราวกับคนตาย ดวงตางามทั้งสองเบิกกว้างทว่าดูว่างเปล่า เหม่อมองเขาที่เดินซวนเซทีละก้าวๆ มาถึงเบื้องหน้านาง สุดท้ายก็หยุดลงในระยะห่างจากนางเพียงชั่วหนึ่งตัวคน

ทั้งสองต่างจ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้

นางหลั่งน้ำตา…ส่วนเขาหลั่งโลหิต

โลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาไม่หยุด ร่างของเขาเริ่มโงนเงนแล้ว

ฉับพลันนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็ล้มลงมาดุจดังยอดเขาพังทลายลงทั้งลูก กดทับอยู่บนร่างของนาง

เกาลั่วเสินถูกร่างกายที่หนักอึ้งของเขากดทับจนหงายหลังล้มลงกับพื้น

ลมหายใจของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต…นั่นเป็นกลิ่นโลหิตของเขา

นางรู้สึกได้ถึงฝ่ามือเปียกชื้นเย็นเฉียบคู่หนึ่งค่อยๆ ลูบคลำมาถึงลำคอเรียวบางเกลี้ยงเกลาของนาง สุดท้ายก็บีบกระดูกคอด้านหลังของนางไว้ ลูบไล้อย่างทะนุถนอมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงบีบ

ความเจ็บปวดราวถูกคว้านหัวใจแผ่ลามขึ้นมาชั่วขณะ

ขอเพียงเขาออกแรงอีกเพียงนิดเดียว ลำคอที่อ่อนแอบอบบางของนางก็คงจะหักดุจต้นอ้อ

นางหลับตาลง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ

ผ่านไปครู่หนึ่งฉากที่คาดคิดไว้ก็ยังไม่เกิดขึ้น

มือคู่นั้นถึงกับค่อยๆ คลายออก

มีอะไรบางอย่างที่ทั้งร้อนผ่าวและชุ่มชื้นคล้ายหยาดน้ำฝนหยดกระเซ็นแหมะๆ ลงมาบนใบหน้าของนาง

เกาลั่วเสินลืมตาขึ้นมาช้าๆ ท่ามกลางดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา นางเห็นใบหน้าดวงนั้นของเขาหยุดอยู่เหนือหน้าผากตนเพียงระยะห่างครึ่งชุ่น

เขามองจ้องนางเขม็งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ โลหิตที่ไหลออกมาจากดวงตาหยดกระเซ็นลงบนใบหน้าของนาง

‘ต้าซือหม่า ปล่อยตัวอาเม่ย เดี๋ยวนี้!’

คล้ายเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และก็คล้ายเวลาผ่านไปนานชั่วกาล พลันมีเสียงตวาดด้วยความร้อนใจยิ่งดังมาจากด้านนอกประตูห้องหอ

เกาอิ้นญาติผู้พี่ชายร่วมสกุลของเกาลั่วเสินเร่งรุดมาถึงแล้ว

หลี่มู่ทำเป็นไขสือไม่ฟัง สองมือยังคงกุมอยู่ที่ลำคอของเกาลั่วเสิน มองนางโดยไม่ละสายตา เพียงแต่เส้นใยชีวิตสุดท้ายในดวงตาค่อยๆ จางลง กระทั่งเลือนหายไปในที่สุด

ศีรษะของเขาพลันอ่อนยวบทับลงมา หน้าผากแนบติดกับใบหน้าของนาง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีก

กระนั้นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยโลหิตนั่นกลับยังคงเบิกโพลงอยู่…ไม่เคยปิดลง

 

หลี่มู่เทพแห่งสงครามในตำนานแห่งราชวงศ์ใต้ ผู้ซึ่งเคยค้ำจุนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของใต้หล้าที่ขึ้นมาสูงตระหง่านด้วยกำลังของตนเองก็สิ้นชีพลงเช่นนี้ในค่ำคืนเข้าห้องหอของเขา

คนสนิทของเขา…ในค่ำคืนนั้นกว่าครึ่งเมามาย ทั้งหมดล้วนถูกกำจัด

และข่าวที่ว่าอาการบาดเจ็บเดิมของเขากำเริบจนเสียชีวิตนั้น หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งเดือนถึงได้ปล่อยข่าวออกมา

คนภายนอกเพียงบอกสวรรค์ริษยาผู้กล้า พูดถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการยกทัพไปปราบปรามทางเหนือที่เขาดำเนินการมานานปีว่าต้องล้มเหลวเอาเมื่องานใกล้สำเร็จ ไม่มีใครไม่ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย

เกาไทเฮาพาฮ่องเต้เยาว์วัยมาประกอบพิธีไว้อาลัยให้หลี่มู่ด้วยตนเอง แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ จัดงานศพให้อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ

เกาลั่วเสินป่วยหนักอยู่ระยะหนึ่ง

นางรู้ความจริงแล้ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของเหล่าหมัว ที่เกาไทเฮาส่งมาอยู่ข้างกายนางเพื่อช่วยจัดการเรื่องงานแต่งคนหนึ่ง ในคืนวันเข้าห้องหอคนผู้นั้นได้แอบเอาเฮ่อติ่ง ทาไว้ที่จอกสยง ใบนั้นไว้ มันไร้สีไร้กลิ่น เมื่อเจอน้ำก็ละลาย

หลังเกิดเรื่องเกาไทเฮาได้มาเยี่ยม โดยบอกกับเกาลั่วเสินว่าปกติหลี่มู่เตรียมการป้องกันรอบคอบยิ่ง ถ้าคิดจะกำจัดเขาต้องลงมือแล้วเห็นผลในครั้งเดียว หาไม่จะต้องถูกตอบโต้กลับ เท่ากับหาหนทางไปสู่ความตายให้ตนเอง

ใช้วิธีนี้กำจัดเขา นางเองก็ทำไปด้วยความจำใจ

ส่วนที่ไม่ได้บอกให้เกาลั่วเสินรู้ก่อน เพราะกลัวว่าหลังจากนางรู้เรื่อง คำพูดและการกระทำอาจผิดปกติ ด้วยความละเอียดรอบคอบของหลี่มู่ เกรงจะทำให้เขาเกิดความระแวงสงสัย ถึงตอนนั้นไม่เพียงไม่อาจกำจัดเขา กลับจะชักนำภัยมาถึงตัวได้

เกาไทเฮาบอกที่นางตัดสินใจทำเช่นนี้ หาใช่เพื่อเติงเอ๋อร์เสียทั้งหมด แต่ยังเพื่อสกุลเกาด้วย

ถ้าวันหน้าหลี่มู่ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เขาจะดีต่อเหล่าตระกูลขุนนางได้อย่างไร สกุลลู่กับสกุลจูในวันนี้คือหลักฐานที่เห็นได้ชัด

ตอนเกาไทเฮาชี้แจง เกาลั่วเสินหลับตาฟังอยู่ตลอด มีเพียงสีหน้าเฉยเมย

รอจนเกาไทเฮาชี้แจงจบ นางจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ ยิ้มอย่างเย็นชา

‘อาเจี่ย การยอมให้ชาวฮั่นต้องสูญเสียดินแดนทางเหนือไปตลอดกาล ก็ไม่ยอมให้ราชวงศ์สกุลเซียวต้องสูญเสียใต้หล้าที่สงบสุขผืนนี้ไป นี่จึงจะเป็นสิ่งที่ท่านคิดอยู่กระมัง’

เกาไทเฮาหน้าแดงเล็กน้อย นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

‘หวังว่าต้าอวี๋เราจะเจริญรุ่งเรืองยืนยาว เป็นเช่นที่ท่านปรารถนา เช่นนี้ข้าก็นับว่าได้ใช้คืนน้ำใจที่ท่านมีต่อข้าเมื่อก่อนแล้ว’

นางจ้องเกาไทเฮาพลางเอ่ยขึ้น

 

เกาลั่วเสินถูกน้ำที่ไหลทะลักมาจากสี่ทิศแปดทางโอบล้อมไว้

ถ้าชาติหน้ามีจริง บุรุษผู้นั้นก็จดจำเรื่องราวในอดีตได้ เมื่อพบหน้ากันอีกครั้งควรจะทำอย่างไรดี

ลมหายใจสุดท้ายในช่องอกหลุดลอยตามความคิดสุดท้ายที่ผุดวาบขึ้นมาในหัวเกาลั่วเสินแล้วจางหายไป

นางค่อยๆ จมลงไปในโลกที่มืดมิดไร้ขอบเขต ไปตามกระแสน้ำในฤดูใบไม้ผลิ

รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง

 

      คำเรียก                                                                       ความหมาย 

 อาเหยีย                                                                                “บิดา”

อาเหนียง / อาหมู่                                                                 “มารดา”

ต้าซยง                                                                                  “พี่ใหญ่”

อาซยง                                                                                   “พี่ชาย”

อาเจี่ย                                                                                    “พี่สาว”

 อาเม่ย                                                                                   “น้องสาว”

อาตี้                                                                                      “น้องชาย”

อาเส่า                                                                                    “พี่สะใภ้”

อาจยา                                                                                   “แม่สามี”

                                               หลางจวิน                                    คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: