X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่สิบเอ็ด

“ส่งข้ากลับไป!” หลังเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้น อี๋อวี้ลุกพรวดขึ้นนั่ง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างจับจ้องไปข้างหน้า เห็นหลูซื่ออ้าปากน้อยๆ มองนางอยู่อย่างตกใจ มือข้างหนึ่งที่ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

อี๋อวี้ลำคอตีบตันอย่างสุดระงับเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตานี้ นางโผเข้าไปซบอกมารดาสูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคยแล้วปล่อยโฮร้องไห้ออกมา หลูซื่อตกใจเพราะนางเป็นคำรบที่สอง หากพริบตาเดียวก็นึกไปว่าก่อนหน้านี้บุตรสาวเสียขวัญจนหมดสติไป ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหวาดกลัวถึงเป็นเช่นนี้ นางนึกในใจว่าลูกคนนี้ปกติทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่เวลาร้องไห้ยังคงมีท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยู่ ก็พาให้สายตาอ่อนโยนยิ่งขึ้น นางใช้มือหนึ่งกอดตอบพร้อมตบหลังบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบขวัญ

จวบจนหลิวเซียงเซียงซึ่งนั่งนิ่งอยู่ด้านข้างเห็นอี๋อวี้ร้องไห้เป็นเวลาสองถ้วยชาแล้วไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซ้ำยังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ นางก็กระแอมไอเบาๆ สองที ก่อนเอ่ยปรามด้วยวาจานุ่มนวล “เสี่ยวอวี้ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราปลอดภัยแล้ว ขืนเจ้าร้องไห้อีก เกรงว่าท่านแม่เจ้าจะหลั่งน้ำตาตามไปด้วย”

อี๋อวี้ได้ยินคำพูดนี้แล้วค่อยๆ หยุดสะอึกสะอื้นทีละน้อย สองแก้มร้อนซู่ยามเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของมารดา นางเพิ่งสำเหนียกถึงความผิดปกติ และเสียงครืดคราดที่ดังริมหู จึงตระหนักได้ว่าขณะนี้ทุกคนอยู่บนรถม้า นางรับผ้าเช็ดหน้าที่หลูซื่อยื่นให้มาเช็ดหน้าลวกๆ ครั้นในห้วงสมองมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ประดังประเดเข้ามา นางก็ผินหน้ามองไปที่เงามืดฝั่งตรงข้าม

 

ภายในตัวรถม้าคันนี้กว้างขวางมาก มีเบาะนุ่มๆ กว้างหนึ่งฉื่อเศษวางรองพื้นทั้งสามด้าน อี๋อวี้อิงแอบอยู่ในอ้อมอกหลูซื่อ ส่วนหลิวเซียงเซียงนั่งอยู่ข้างๆ แม้พวกนางสามคนยึดครองพื้นที่เพียงมุมเดียวก็ไม่รู้สึกเบียดเสียด

ผนังตัวรถม้ามีหน้าต่างเล็กๆ กว้างครึ่งฉื่ออยู่ทั้งสองฝั่ง ยามนี้แสงขาวหม่นมัวจับท้องฟ้าด้านนอกแล้ว รถม้าแล่นตะบึงเร็วรี่ ลมแรงด้านนอกพัดม่านหน้าต่างผืนเล็กปลิวขึ้นเป็นระยะ บันดาลให้ในรถม้าที่มืดสลัวตอนแรกมีแสงสว่างรำไรๆ

อี๋อวี้หันไปมองเห็นคนผู้หนึ่งนั่งเงียบเชียบอยู่อีกด้าน ลำแสงนอกผ้าม่านที่เล็ดลอดเข้ามาส่องกระทบดวงหน้าคมคายสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุ ขนคิ้วมีสีอ่อนแต่ดกหนาพาดยาวถึงขมับ ดวงตาปิดอยู่แต่แพขนตาขยับเบาๆ จมูกงุ้มแต่โด่งเป็นสันตรง ริมฝีปากบางแต่เนียนนุ่มชุ่มชื้น เรือนผมสีดำรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยอวดหน้าผากโหนกนูน ตรงมวยเหนือศีรษะมีเกี้ยวครอบผมหยกดำสลักลายขนาดเท่ากำปั้นทารกครอบตรึงไว้ อาภรณ์ตัวนอกเป็นเสื้อคลุมยาวผ้าแพรลายเมฆาสีน้ำเงินแก่ ตกแต่งรอบคอเสื้อด้วยขนสัตว์นุ่มละเอียด

รูปโฉมและการแต่งกายล้วนไม่สามัญ เขาต้องเป็นคุณชายหนุ่มน้อยของตระกูลใดแน่นอน หากดูแค่หน้าตาคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับหลูจื้อ แต่เค้าหน้าเจ้าทิฐิยังแฝงความเยาว์วัยไว้จางๆ ขณะที่เรือนกายของเขาสูงไล่เลี่ยกับหลูจวิ้น แต่รูปร่างผอมบางกว่า เวลานี้เขานั่งเหยียดหลังตรงหลับตาอยู่ แม้ไม่เห็นเขาลืมตา ทว่าพิศจากรูปลักษณ์ผิวพรรณกลับไร้ที่ติใดๆ ถ้ามิใช่ว่าปีกจมูกขยับเบาๆ ยามหายใจ อี๋อวี้ยังนึกไปว่าคนผู้นี้เป็นรูปปูนปั้นจริงๆ เขานับเป็นหนุ่มน้อยคนแรกซึ่งมีรูปโฉมโนมพรรณไม่ด้อยกว่าพี่ชายสองคนเท่าที่นางได้เคยพบเห็นในตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“เสี่ยวอวี้ ท่านนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้ คุณชายฉาง” หลูซื่อจับผมที่หลุดรุ่ยร่ายของบุตรสาวให้เข้าที่พลางเอ่ยบอกเสียงเบาๆ

อี๋อวี้ย่อมรู้ว่าพวกนางนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างปลอดภัย จะต้องเป็นอีกฝ่ายช่วยเอาไว้ เพียงแต่นางเพิ่งตื่นขึ้นมาเห็นมารดาแล้วในใจกำลังเต็มตื้น อีกทั้งยังมีเรื่องที่วิญญาณหลุดลอยกลับสู่ร่างเดิมในภวังค์ฝันอีก พอหลูซื่อเอ่ยขึ้นในตอนนี้ นางถึงกล่าวกับคุณชายหนุ่มน้อยอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ”

หนุ่มน้อยตรงหน้ายังหลับตาไม่กล่าวตอบดุจเดิม แต่นางเห็นทางหางตาว่าเขาพยักหน้าน้อยๆ อี๋อวี้เป็นคนช่างสังเกตสังกามาแต่ไหนแต่ไร จึงสัมผัสได้ว่ารอบกายเขาแผ่กลิ่นบางอย่างที่ไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ นางจะชวนสนทนาต่อก็ใช่ที่ แล้วเมื่อได้ยินหลูซื่อกระซิบอธิบายตรงข้างหูว่าคุณชายฉางไม่ชมชอบวิสาสะกับผู้อื่น เลยหันไปพูดกับมารดาไต่ถามถึงเหตุการณ์หลังจากตนเองสิ้นสติไป

อี๋อวี้ใช้นิ้วโป้งถูไถกับนิ้วชี้เบาๆ ขณะฟังคำบอกเล่าของหลูซื่ออย่างตั้งใจ

หลังจากนางหมดสติไปในตอนสถานการณ์คับขัน พวกบ่าวผู้ชายในตระกูลจางทางด้านหลังไล่ตามมาทันแล้ว แต่ละคนถืออาวุธพวกเหล็กง่ามไม้พลองไว้ในมือ และจูงสุนัขดุร้ายที่เห่ากระโชกไม่หยุดมาตีวงล้อมพวกนางกับรถม้าคันนี้ไว้ หมายบังคับให้พวกนางตามกลับไปแต่โดยดี หลูซื่อซึ่งยอมรับชะตากรรมว่าหนีไม่พ้นคราวเคราะห์แล้วกลับได้ยินสารถีกระโดดลงมา เขาเล่นงานบ่าวผู้ชายตัวใหญ่กำยำสิบกว่าคนลงไปนอนหมอบกับพื้นทั้งหมดในอึดใจเดียว จากนั้นเชิญพวกนางสามคนขึ้นรถม้าแทนผู้เป็นนาย ระหว่างนั้นได้ยินเขาอธิบายให้ฟัง ถึงรู้ว่าหนุ่มน้อยผู้เงียบขรึมด้านในมีแซ่ว่า ‘ฉาง’

หลูซื่อไม่ถือสาท่าทีเฉยเมยของอีกฝ่าย เมื่อสารถีซักถาม นางก็เล่าเรื่องที่ถูกนายตำบลบังคับขู่เข็ญรอบหนึ่งอย่างคร่าวๆ และบอกว่าตนเองตั้งใจจะกลับไปหมู่บ้านเค่าซานเอาสัมภาระกับทรัพย์สิน หลังสารถีถามคุณชายฉาง เขาเพียงนิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องกับการพาพวกนางส่งกลับไป ส่วนอี๋อวี้ฟื้นสติขึ้นมาหลังจากสลบไสลไปนานครึ่งชั่วยาม

ขณะนี้ขบวนของพวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเค่าซาน รถม้าคันนี้แล่นเร็วเหลือหลาย หลูซื่อไม่กลัวว่าตอนกลับไปหยิบสัมภาระที่เรือน คนของสกุลจางที่รู้ว่าพวกนางหลบหนีไปจะเร่งรุดมาถึงก่อน เมื่อรถม้าชะลอความเร็วลงทีละน้อย นางเลิกมุมผ้าม่านขึ้นมองทิวทัศน์สองข้างทาง เห็นว่ามาถึงเขตด้านนอกของหมู่บ้านแล้ว

ยามรถม้าแล่นเข้าไปในหมู่บ้าน ฟ้ายังไม่สว่าง อีกทั้งหลายวันนี้ในแปลงนาไม่มีงานสำคัญอะไรต้องตื่นไปทำแต่เช้า ด้วยเหตุนี้ยังไม่มีเรือนไหนตื่นนอนทำให้เรื่องง่ายขึ้นไม่น้อย

หลูซื่อลงจากรถม้าเดินเข้าสู่ลานเรือนอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง ครั้นเห็นจากภายนอกว่าประตูปิดมิดชิดดี แต่พอผลักทีเดียวก็เปิดอ้าออก นางทำสีหน้าหนักอึ้งขณะก้าวเท้าเข้าไปสำรวจทั่วทั้งเรือน แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าไม่มีข้าวของชิ้นใดสูญหายไป กระทั่งถุงสะพายที่ใส่เงินไว้ยังวางอยู่บนเตียงดังเก่า นางระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจัดเก็บสัมภาระอยู่ข้างในกับหลิวเซียงเซียง ทิ้งอี๋อวี้ไว้ด้านนอก…รับรองแขก

“ผู้มีพระคุณ ท่านกระหายน้ำหรือไม่เจ้าคะ”

“…”

“ผู้มีพระคุณ ท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ”

“…”

“ผู้มีพระคุณ ท่านหนาวหรือไม่เจ้าคะ”

“…”

อี๋อวี้แลมองคนที่นั่งหลับตาอยู่บนเสื่อด้วยสีหน้าแปลกใจน้อยๆ นางซาบซึ้งใจมากที่เขาช่วยพวกนางเอาไว้ ด้วยตอนนั้นมีอันตรายจวนตัวจริงๆ หากมิใช่คนตรงหน้ากับสารถีคนนั้น พวกนางสามคนคงถูกจับตัวกลับไป และไม่พบกับจุดจบที่ดีอะไรแน่นอน นางตกลงใจแน่วแน่ว่าวันหน้าจะทดแทนบุญคุณของเขาให้ได้

ตอนที่ทุกคนลงจากรถม้าเมื่อครู่นี้ นางเห็นคุณชายฉางหลับตาให้สารถีประคองลงมา ยังนึกว่าเขาเป็นคนตาบอด ดีที่สารถีให้ความกระจ่างว่าเจ้านายของเขาได้รับบาดเจ็บที่ตาเลยโดนแสงไม่ได้เท่านั้น อี๋อวี้ถึงห้ามตนเองไว้ได้ทัน ไม่แสดงความสงสารเห็นใจออกไป

เมื่อแรกที่เขาเดินตามเข้ามา อี๋อวี้คิดว่าเขาจะสั่งกำชับอะไร ทว่านางถามไถ่ไปแล้วหลายคำก็ไม่ได้รับคำตอบใด ถ้าไม่เห็นสารถีขยับเข้าไปใกล้เอียงหูฟังคำสั่งของเขาหลังลงจากรถม้า นางคงนึกว่าเขาเป็นคนใบ้อีกด้วยจริงๆ

ไม่ใช่คนตาบอดกลับลืมตาไม่ได้ ไม่ใช่คนใบ้กลับไม่พูดไม่จา ไม่ใช่คนหูหนวกกลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แม้จะคิดว่าหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณตรงหน้าออกจะทำเกินไปอยู่บ้าง อี๋อวี้ก็ยังคงจัดให้เขาอยู่ในจำพวกคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์

เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดตอบ อี๋อวี้ก็ไม่ถามอะไรต่อไป เพียงเบิ่งดวงตาสุกใสทั้งคู่จ้องมองรอยสีเขียวจางๆ ใต้ขอบตาของเขาแล้วปล่อยความคิดลอยไปไกล ประเดี๋ยวคิดถึงเรื่องที่วิญญาณหลุดออกจากร่างในภวังค์ฝัน ประเดี๋ยวคิดถึงการเสี่ยงอันตรายระทึกขวัญเมื่อคืนนี้ ประเดี๋ยวคิดถึงตอนตนเองตายแล้วมองเห็นเหล่าไป๋เสี่ยวเฮยสองพี่น้อง

ดีที่หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงมือไม้ว่องไว เลือกสิ่งของที่ไม่ใคร่ได้ใช้ทิ้งไว้ จัดห่อสัมภาระเหลือแค่สามห่อย่อมๆ

ตอนหลูซื่อออกมาเห็นบุตรสาวเหม่อมองหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณจนตาลอยอย่างไร้มารยาทยิ่ง จึงรีบกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่งเรียกสตินางคืนมา และกล่าวกับคุณชายฉาง “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกข้าไว้ ได้โปรดบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่าน วันหน้าเมื่อเอ้อร์เหนียงมีโอกาสจะได้ตอบแทนบุญคุณท่านในคราวนี้”

หลูซื่อหาได้ยกตนเป็นผู้อาวุโสเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มเยาว์วัย นางแสดงคารวะต่อคุณชายฉางอย่างจริงใจ อี๋อวี้เห็นดังนั้นก็รีบไปยืนอยู่ข้างมารดาและโค้งคำนับเขาพร้อมกับหลิวเซียงเซียง

คุณชายฉางไม่ทัดทาน หลังรับการคารวะจากพวกนางยังไม่กล่าววาจาอยู่ดี หลูซื่อจึงเอ่ยขึ้นอีก “ถ้าคุณชายไม่สะดวกใจจะบอกชื่อเสียงเรียงนาม ทุกปีเอ้อร์เหนียงจะไปที่วัดไหว้พระขอพรให้ท่านปลอดภัยแข็งแรงและสมหวังดังใจในทุกสิ่ง”

คุณชายฉางพยักหน้าน้อยๆ หลูซื่อถึงเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมพูด “ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณจะไปที่ใด เห็นทีว่าพวกข้าทำให้การเดินทางของท่านล่าช้าไปไม่น้อย ตอนนี้ข้าจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ในเรือนมีเกวียนสำหรับเดินทางไกลได้ หากท่านมีเรื่องสำคัญก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่อีก เชิญออกเดินทางเถอะ”

หลูซื่อใคร่ครวญว่าหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณคนนี้พาพวกนางมาส่งแล้วยังรอคอยจนเก็บสัมภาระเสร็จ เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงว่าคนของสกุลจางกลุ่มนั้นจะมารังควานอีก แต่ตอนนี้พอพวกนางได้ออกเดินทางก็จะหนีพ้นจากการจับกุมของสกุลจางแล้ว จึงไม่ต้องการถ่วงเวลาของอีกฝ่ายต่อไป

คาดไม่ถึงว่าคุณชายฉางกลับส่ายหน้าเบาๆ ซ้ำยังเปล่งเสียงพูดขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของอี๋อวี้ “ไปด้วยกัน”

อี๋อวี้ได้ยินเสียงของผู้มีพระคุณเป็นคราแรก เด็กหนุ่มในวัยนี้เริ่มเสียงแตกแล้ว ทว่ากลับไม่แหบพร่าระคายหู ตรงกันข้ามสุ้มเสียงที่เจตนากดให้เบาลงนี้ฟังดูหนักแน่นผิดสามัญ แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้อี๋อวี้ยิ่งขึ้นคือ แม้จะแค่สามคำ นางยังจับสำเนียงได้ว่าเขาพูดภาษากลาง!

อี๋อวี้กระหายใคร่รู้เป็นอันมากว่าเขาเป็นคนถิ่นไหนถึงพูดภาษากลางเป็น กระนั้นอี๋อวี้งุนงงสงสัยในความหมายของถ้อยคำนี้มากกว่า ‘ไปด้วยกัน’ หมายความว่าอะไร พวกเขากำลังเร่งเดินทางอยู่มิใช่หรือ แล้วรู้หรือว่าพวกนางจะไปที่ใด หากมิใช่ทางเดียวกันไยต้องพูดว่าไปด้วยกัน แต่ถ้าทางเดียวกันแล้วจะไปด้วยกันอย่างไร เป็นเกวียนตามหลังรถม้า หรือว่ารถม้าแล่นตามเกวียน

ชะรอยว่าคุณชายฉางจะหยั่งเดาความกังขาในใจของทุกคนออก เขาหันกายไปทางหน้าประตู และกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงคงเดิม “อาเซิง”

สารถีเป็นผู้มีโสตประสาทฉับไวมาแต่กำเนิดหรืออย่างไรก็สุดจะรู้ได้ เสียงทุ้มต่ำปานน้ำก็ยังได้ยิน เขากระโดดลงจากรถม้าตรงลานด้านนอกก้าวพรวดๆ เข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายในชั่วพริบตา เห็นคุณชายฉางชี้มาที่พวกอี๋อวี้พลางพูดซ้ำคำเดิม “ไปด้วยกัน”

สารถีนามว่าอาเซิงเข้าใจความหมายทันใด เขาหมุนกายไปกล่าวกับหลูซื่ออย่างมีไมตรี “ฮูหยิน พวกท่านออกจากที่นี่แล้วจะไปที่ใดขอรับ”

แม้หลูซื่อจะฉงนใจ ยังคงเอ่ยตอบตามสัตย์จริง “พวกข้าจะเดินทางเข้าด่านไปยังละแวกใกล้ๆ เมืองฉางอัน”

อาเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญโดยแท้ เจ้านายของข้ากำลังจะไปเมืองฉางอันเช่นเดียวกัน พาพวกท่านไปส่งได้พอดี หากฮูหยินเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราขึ้นรถม้ากันเถอะขอรับ”

หลูซื่อถึงกระจ่างแจ้งว่าอีกฝ่ายต้องการให้พวกนางนั่งรถม้าไปจากที่นี่พร้อมกัน นางสั่นศีรษะพลางพูด “แบบนี้ไม่ได้หรอก พวกข้ารบกวนมามากแล้ว ไหนเลยจะกล้าทำให้พวกท่านวุ่นวายมากขึ้น”

อาเซิงได้ยินนางปฏิเสธ เขาหุบยิ้มแล้วกล่าวกับหลูซื่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยิน ท่านคิดว่าการเดินทางสายนี้ง่ายดายนักหรือ แม้บัดนี้แผ่นดินอยู่ในยุครุ่งเรืองสงบสุข แต่พวกพ่อค้าทาสกับโจรปล้นสะดมกลางทางกลับมีอยู่ไม่น้อย อิสตรีสามคนอย่างพวกท่านคิดจะเดินทางข้ามเมืองข้ามถิ่นเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยจริงๆ มิสู้ไปพร้อมกับพวกข้า ดีชั่วข้าก็เป็นวรยุทธ์ พวกเราจะได้ช่วยเหลือดูแลกันระหว่างทางนะขอรับ”

อี๋อวี้ฝืนเก็บงำสีหน้าประหลาดใจ ฟังอาเซิงพูดภาษากลางหว่านล้อมมารดาด้วยสำเนียงไม่แปร่งเพี้ยนจนจบ ในใจนางเห็นพ้องกับเขากันว่าทุกคนเดินทางด้วยกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด

พอหลูซื่อได้ยินอาเซิงเอ่ยถึงพ่อค้าทาสกับโจรปล้นสะดมก็หน้าเปลี่ยนสี ใจลอยหวนรำลึกถึงตอนพาลูกๆ ระหกระเหินตลอดทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร นางสองจิตสองใจครู่เดียว ก่อนจะค้อมกายต่ำคำนับคุณชายฉางพร้อมกล่าว “รบกวนท่านผู้มีพระคุณแล้ว”

นางยกตัวขึ้นแล้วคารวะอาเซิง และเอ่ยขึ้นอีก “รบกวนท่านผู้กล้า” อี๋อวี้กับหลิวเซียงเซียงด้านหลังโค้งคำนับพวกเขาตามไปด้วย นายบ่าวสองคนรับการคารวะโดยไม่อิดเอื้อน

ในเมื่อจะเดินทางด้วยกัน หลูซื่อจึงไม่ลุกลี้ลุกลนอีก นางนำสิ่งของติดตัวไปเพิ่มขึ้นตามคำเสนอแนะของอาเซิง และวางไว้ในช่องลับข้างใต้เบาะบนรถม้า จากนั้นทุกคนขึ้นรถม้าออกจากหมู่บ้านเค่าซานมุ่งหน้าสู่ด่านใน

เมื่อมองดูหมู่บ้านเค่าซานที่เลือนรางห่างไกลออกไปทุกทีๆ จากทางนอกหน้าต่าง ไม่ว่า ณ เสี้ยวเวลานี้จิตใจของสตรีทั้งสามบนรถม้าจะรู้สึกเช่นไร ชีวิตตลอดหลายปีที่ผ่านมาในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำได้ชั่วนิรันดร์

หลังขบวนเดินทางออกจากหมู่บ้านเค่าซาน ถึงอี๋อวี้จะง่วงงุน แต่ด้วยหวั่นเกรงว่าหลับไปแล้วไม่รู้จะไปยังที่ใดอีก ทำให้นางฝืนข่มความง่วงเลิกม่านหน้าต่างขึ้นมองทิวทัศน์ด้านนอกที่เลื่อนผ่านสายตาไปอย่างเร็วรี่ พลางคิดคำนึงถึงเรื่องราวระหว่างที่ตนเองหมดสติไป ความรู้สึกที่เป็นจริงปานนั้นไม่คล้ายความฝัน จะบอกว่าวิญญาญหลุดออกจากร่างคงไม่ผิดกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะยังได้ยินเสียงสนทนาของเหล่าไป๋เสี่ยวเฮยพี่น้องคู่นั้น นางแทบจะมั่นใจได้ว่าตนเองสลบไปแล้วกลับเข้าร่างเดิมอีกครั้ง ทั้งได้ยินเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อนในครั้งนั้นโดยไม่ตั้งใจ

หากจะพูดว่าความรู้สึกแรกคือความตกตะลึงโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อสงบอกสงบใจลงได้แล้วกลับเป็นความสำนึกเสียใจ หลังจากได้อยู่ในยุคโบราณเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่มีมารดารักใคร่และพี่ชายเอ็นดูมานานห้าปี นางไม่เป็นคนเก็บตัวมากเท่าในกาลก่อน ยามนี้ได้ย้อนทบทวนความหลัง นางนึกเสียใจที่ตอนนั้นปิดกั้นตนเอง ถึงที่สุดแล้วล้วนมีต้นเหตุมาจากการดูแคลนตนเอง ก่อนข้ามภพสู่อดีต จิตใจของนางอาจจะเข้มแข็งและเป็นคนอดทนไม่ย่อท้อสักปานใด จนแล้วจนรอดยังคงเป็นหญิงสาวที่มีปมด้อยคนหนึ่ง

แม้นนางจะภาคภูมิใจในตนเองด้วยเรื่องต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความขยันหมั่นเพียร ยืนหยัดยึดมั่น สุขุมเยือกเย็นหรือเปิดเผยซื่อตรง แต่นางมีปมด้อยมากมายเช่นกัน ทั้งเรื่องความจำไม่ดี หน้าตาธรรมดา และฐานะเด็กกำพร้า ในวัยเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอด นางมิได้เรียนรู้ที่จะใช้ด้านที่แหลมคมของตนเป็นอาวุธป้องกัน กลับเคยชินกับการทนอะไรได้ก็ทนไป เห็นตนเองด้อยค่าและรู้จักแต่อดกลั้นฝ่ายเดียว เป็นเหตุให้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตนางเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเรื่องที่นางถูกอาจารย์ที่ปรึกษากับเฉินอิ๋งกดขี่ข่มเหง ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะไม่เชื่อในคุณค่าและความสามารถของตน โดยไม่เคยคิดที่จะตั้งข้อสงสัยกับการเลือกและการตัดสินใจของผู้อื่นซึ่งๆ หน้า

ครั้นนางมีโอกาสได้ย้อนเวลากลับมาตั้งต้นใหม่อย่างไม่คาดฝัน บัดนี้ดูไปแล้วความอดกลั้นและปมด้อยของตนเองละม้ายเรื่องชวนขัน คนที่ตายแล้วเกิดใหม่ย่อมมองเห็นเรื่องต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง ราวกับว่านางสมควรเป็นคนเฉกนี้แต่แรก ยังคงขยันหมั่นเพียรหากรู้จักผ่อนคลาย ยังคงยืนหยัดยึดมั่นหากเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ยังคงสุขุมเยือกเย็นหากไม่ขาดความร่าเริงสดใส ยังคงเปิดเผยซื่อตรงหากไม่ไร้เล่ห์กลอุบาย แล้วนิสัยใจคอของนางในตอนนี้ มิใช่เพียงเพราะนางฉลาดมากขึ้น หรือรูปโฉมนางไม่สามัญดาษดื่นอีกต่อไป หรือนางมีญาติพี่น้องแล้ว มันไม่ใช่เพราะได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้เท่านั้น หากนางได้ปลดเปลื้องจากพันธนาการที่คล้ายโซ่ตรวนหนักอึ้งนั่นไปแล้ว

บางครั้งคนเราก็เป็นเช่นนี้เอง เรื่องที่ทึกทักไปเองว่าคิดไม่ตก เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ได้มองย้อนกลับไปในอดีตด้วยแง่มุมที่เปลี่ยนไป ก็จะปล่อยวางได้เองและไม่ยึดติดกับเรื่องที่ผ่านมาอีก

หลังจากปลงตกได้ อี๋อวี้ปลอดโปร่งใจขึ้นทันใด พอเหลือบเห็นหลิวเซียงเซียงเอนพิงหลูซื่อหลับไปอย่างทนไม่ไหว นางก็ต้านทานความง่วงงุนได้ยากเย็นขึ้นทุกที พอสติเริ่มพร่าเลือนจึงเอนกายลงในอ้อมแขนของหลูซื่อเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วย

อาชาสองตัวที่เทียมรถคันนี้ผิดแผกจากทั่วไปอย่างมาก ต่อให้มีสตรีสามนางกับสัมภาระเพิ่มขึ้น พวกมันยังห้อตะบึงไปได้ดุจเดิม ยามอี๋อวี้ตื่นขึ้นมาอีกครา ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว รถม้าคันนี้แล่นมาได้ราวสองร้อยลี้เป็นอย่างน้อย จากที่อาเซิงบอกไว้ตอนนี้ผ่านอำเภอชิงหยางที่ขึ้นอยู่กับเมืองฮั่นโจวมาแล้ว และเข้าสู่เขตแดนเมืองหร่านโจว

ตอนเพิ่งตื่นแรกๆ อี๋อวี้ยังรู้สึกหวาดผวาที่ตนเองหลับไป เคราะห์ดีที่ไม่เกิดเรื่องประหลาดอะไรอีก นางจึงค่อยๆ ผ่อนคลายจิตใจลง เลิกม่านขึ้นมองออกไปข้างนอก

เพื่อไม่ให้รถม้าสะเทือนโคลงเคลง พวกเขาเดินทางบนถนนหลวงเจี้ยนหนานที่มีพื้นทางราบเรียบ พอเข้าสู่หร่านโจวได้ไม่นานก็พบด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งต้องจ่ายตามจำนวนคนไม่ว่าอายุเท่าไหร่คนละสิบอีแปะ หลูซื่อชิงลอดตัวลงจากรถม้าตัดหน้าอาเซิง หยิบค่าผ่านทางของห้าคนยื่นส่งให้เจ้าหน้าที่ประจำการด่านนี้ หลังกลับเข้าไปในรถม้านางอธิบายให้อี๋อวี้ที่ทำหน้างุนงงว่าการเดินทางเข้าออกระหว่างมณฑลจะต้องจ่ายค่าผ่านทางตามบัญญัติของราชสำนัก

พวกนางสามคนนั่งชิดผนังด้านหนึ่งของตัวรถม้าดังเก่า ด้านคุณชายฉางที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับไปทางไหนนับแต่อี๋อวี้หลับไปตื่นหนึ่ง นางเห็นแล้วยังรู้สึกเมื่อยขบแทนเขาอยู่บ้าง อ้าปากจะถามไถ่หลายครั้งหลายหน แต่พอเห็นสีหน้าที่นิ่งเฉยเป็นนิจนั่น ทั้งนึกถึงที่อีกฝ่าย ‘แสร้งหูหนวกเป็นใบ้’ ตอนอยู่ที่เรือนสกุลหลู นางก็ข่มใจกลืนคำพูดกลับลงไป อี๋อวี้หาได้รู้ไม่ว่าระหว่างที่นางหลับสนิทอยู่ มารดาเคยคะยั้นคะยอให้คุณชายฉางนอนหลับพักผ่อนบ้างอยู่เหมือนกัน ทว่าเขากลับส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ

หลังจากเดินทางต่อไปอีกหลายสิบลี้ อี๋อวี้ทนเสียงท้องร้องประท้วงไม่ไหว ยื่นหน้าไปกระซิบชิดริมหูมารดาว่าตนเองหิวแล้ว หลูซื่อได้แต่หยิบน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้นางดื่มรองท้องก่อน ยังพูดกับนางเบาๆ ว่าตนเองก็หิวแล้วเหมือนกัน และบอกให้นางอดทนไว้สักหน่อย

อี๋อวี้เพิ่งดื่มน้ำไปสองอึก รถม้าพลันชะลอความเร็วทีละน้อยจนจอดสนิท อาเซิงแง้มม่านขึ้นมุมหนึ่ง ชะโงกศีรษะเข้ามา เอ่ยถามคุณชายฉางด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา “คุณชาย ข้าจดจำได้ว่าข้างหน้ามีตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเรามิสู้หยุดพักที่นั่นชั่วครู่ จะได้ถือโอกาสให้อาหารม้าด้วยนะขอรับ”

คุณชายฉางพยักหน้าน้อยๆ อาเซิงถึงหันไปพูดกับพวกหลูซื่อ “ฮูหยิน ไปต่ออีกไม่ถึงหนึ่งเค่อจะเป็นตำบลแห่งหนึ่ง พวกเราหยุดกินอาหารพักผ่อนราวครึ่งชั่วยามค่อยออกเดินทางต่อ ได้หรือไม่ขอรับ”

หลูซื่อย่อมพยักหน้าตกลงแน่นอน อี๋อวี้รอจนอาเซิงหันศีรษะออกไปแล้วจึงลอบชำเลืองมองคุณชายฉางด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ เมื่อครู่ตอนนางดื่มน้ำ เหลือบเห็นทางหางตาอย่างชัดเจนว่าคุณชายฉางเคาะนิ้วชี้กับผนังตัวรถเบาๆ สองที จากนั้นอาเซิงก็หยุดรถม้า

หรือว่าคุณชายฉางได้ยินที่ข้ากระซิบกระซาบกับท่านแม่ ถึงได้

อี๋อวี้กลืนน้ำลายทีหนึ่ง ลอบพยักหน้ากับตนเอง การคาดคะเนนี้มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว ด้วยเหตุฉะนี้ในใจของอี๋อวี้ หนุ่มน้อยผู้มีพระคุณท่านนี้ได้รับการเลื่อนขั้นจากคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์ที่แสร้งหูหนวกเป็นใบ้มาเป็นคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์ที่แสร้งหูหนวกเป็นใบ้ทว่าช่างเอาใจใส่นิดหน่อย

อาณาบริเวณของตำบลแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ไปกว่าตำบลจางสักเท่าไหร่ ทว่าสภาพโดยรอบของร้านอาหารที่อาเซิงพาพวกนางไปนั้นไม่เลวเลย พอก้าวผ่านประตูเข้าไป ทางซ้ายมือเป็นโต๊ะหน้าร้านทำด้วยไม้ตัวหนึ่ง ในโถงร้านมีโต๊ะเตี้ยๆ ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วทุกมุม วางกระบอกใส่ตะเกียบไม้ไผ่ไว้โต๊ะละหนึ่งกระบอก ลูกค้านั่งกันเป็นกลุ่มเล็กๆ บนเบาะรองนุ่มนิ่ม ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเดินสวนกันไปมา เมื่อได้ยินหลงจู๊ตะโกนเรียก พวกเขาถึงเห็นกลุ่มของพวกนางเข้ามา ก็กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ

พวกนางเลือกนั่งที่โต๊ะตรงมุมผนังมองเห็นด้านนอกได้ อาเซิงถามไถ่หลูซื่อว่าจะกินอะไร นางทั้งหิวข้าวทั้งกระหายน้ำจึงสั่งบะหมี่น้ำสามชาม อาเซิงก็สั่งเพิ่มอีกสองชามตามอย่างกัน เขาชี้ไปที่รถม้านอกร้านพร้อมกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ช่วยให้อาหารม้า ทั้งยังแอบยัดเยียดเงินเหรียญใหญ่หลายเหรียญให้เสี่ยวเอ้อร์ลับหลังหลูซื่ออีกด้วย

คนในร้านอาหารร้านนี้ทำงานกันได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บะหมี่น้ำส่งควันฉุยห้าชามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะแล้ว

อี๋อวี้นั่งติดกับหลูซื่อ ตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ร้อนๆ ในชามตรงหน้า ท้องที่ร้องประท้วงด้วยความหิวโหยถึงสงบลงได้ในที่สุด นางยิ่งกินยิ่งเร็วโดยไม่ใส่ใจที่บะหมี่ชามนี้มีรสชาติจืดชืด พอกินเส้นซดน้ำแกงดังสูดสาดจนเกลี้ยงชาม นางได้ยินหลูซื่อถามขึ้นเสียงเบาๆ ด้วยน้ำใจไมตรี

“ผู้มีพระคุณ ไฉนไม่กินสักหน่อย ไม่หิวหรือว่าไม่ถูกปาก”

นางถามจบแล้วไม่เห็นคุณชายฉางกล่าวตอบก็ถอนหายใจแผ่วๆ หันหน้าไปพูดกับอี๋อวี้ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ “เหตุใดถึงกินเร็วแบบนี้ อย่าให้ท้องอืดอีกนะ”

สิ้นเสียงนาง หลิวเซียงเซียงกับอาเซิงที่เดิมทียังกินบะหมี่อยู่เงียบๆ พากันหยุดชะงักแล้วมองไปทางอี๋อวี้

พอสายตาของคนอื่นมองกวาดมาที่ตนเอง อี๋อวี้ถึงพบว่าผู้มีพระคุณซึ่งนั่งเฉยๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามยังไม่ได้ขยับตะเกียบเลย พอมองต่อไปยังชามบะหมี่ที่กินไปครึ่งเดียวของหลิวเซียงเซียงกับชามของมารดาที่กินไปไม่กี่คำ รวมถึงชามของอาเซิงที่ยังเหลือน้ำแกงติดก้นชามบ้าง จากนั้นมองดูชามตรงหน้าตนเองตาปริบๆ นางอดรู้สึกไม่ได้ว่ากระทั่งผักสองใบที่ลอยอยู่ในชามของผู้มีพระคุณคล้ายกำลังหัวเราะเยาะที่ก้นชามของนางสะอาดเกลี้ยงดีแท้

แม้อี๋อวี้นับว่าเป็นคนหน้าหนา แต่อย่างไรยังไม่บรรลุถึงขั้นหน้าด้านหน้าทน ในเวลาอย่างนี้นางรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง ผู้มีพระคุณยังไม่กินสักคำ แล้วนางเป็นอย่างไรล่ะ ขาดก็แค่เลียชามเท่านั้น

อี๋อวี้รู้ดีว่าเผลอตัวกระทำเรื่องที่เสียมารยาทเยี่ยงนี้สมควรทบทวนตนเอง นางส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้มารดาแล้วตั้งใจจะทบทวนตนเองดีๆ เพียงแต่นางเพิ่งก้มหน้าลง ก็เห็นชามใบหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้าสายตา หรือที่ถูกต้องคือชามใส่บะหมี่ใบหนึ่ง หรือให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมีมือข้างหนึ่งยกชามที่ใส่บะหมี่ชามหนึ่งปรากฏตรงหน้านาง

อี๋อวี้มองเห็นนิ้วโป้งที่สวมปลอกนิ้วหยกเขียวนิ้วนั้นค่อยๆ เลื่อนออกจากขอบชาม พร้อมด้วยฝ่ามือเรียวเห็นข้อนิ้วชัดข้างนั้นหายไปจากสายตาพร้อมกัน นางถึงเงยศีรษะขึ้นมองคุณชายฉางผู้มีพระคุณตรงหน้าอย่างวุ่นวายใจ

นี่หมายความว่าอะไร เขาไม่อยากกินแต่กลัวสิ้นเปลืองอาหาร ทั้งเห็นว่านางค่อนข้างกินจุ ดังนั้นต้องการให้นางจัดการกับบะหมี่ชามนี้เสีย? ทว่ากระเพาะน้อยๆ ของนางรับบะหมี่สองชามใหญ่ๆ ไม่ไหวจริงๆ นะ

อี๋อวี้ยุ่งยากใจครู่หนึ่ง นางคิดคำอธิบายอย่างอื่นไม่ออกอีก จำต้องพูดกับอีกฝ่ายเสียงอ่อยๆ “ผู้มีพระคุณ ข้าอิ่มมาก กินไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้ที่ประหลาดใจกับการกระทำของคุณชายฉางมิใช่นางคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด ด้านอาเซิงนั้นนับว่ามีปฏิกิริยาฉับไว หลังตั้งสติได้เขารีบยกชามที่เพิ่มขึ้นมาเบื้องหน้าอี๋อวี้ใบนั้นมาตรงหน้าตนเองพร้อมหัวเราะแหะๆ ก่อนกล่าว “ข้ากินไม่พอ ส่วนเจ้ากลับอิ่มเสียแล้ว” ว่าแล้วก็พูดกับคุณชายฉาง “คุณชาย บะหมี่ชามนี้มอบให้ข้าเถอะ ข้าหิวจนตาลายเลยขอรับ”

คุณชายฉางไม่ตอบ ริมฝีปากก็ไม่ขยับสักนิด ปล่อยให้อาเซิงพูดเองเออเองอยู่นานสองนานจนกินบะหมี่ชามนั้นหมดเกลี้ยง

หลูซื่อกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะเริ่มอบรมสั่งสอนอี๋อวี้เสียงเบาๆ “กินข้าวกินแค่ให้อิ่มเจ็ดส่วน แม่บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว เจ้ากินไม่ลงคืออิ่มสิบส่วน กินอิ่มเกินไปก็จะท้องอืด พวกเรากำลังเร่งเดินทางอยู่ ถ้าเจ้าปวดท้องกลางทาง จะพาเจ้าไปหาหมอที่ไหน ถ้า…”

อี๋อวี้ฟังเสียงมารดาเทศนายาวเป็นชุดเบาๆ อยู่ข้างหู พลางมองท่านผู้มีพระคุณซึ่งเป็นตัวการใหญ่ด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่าแวบหนึ่ง ดูเหมือนนางชักไม่สบายท้องแล้วจริงๆ ในกระเพาะเริ่มปั่นป่วน อาการพะอืดพะอมระลอกหนึ่งทำให้นางไม่นำพาว่าหลูซื่อยังกล่าววาจาอยู่ เอามือสอดเข้าไปในอกเสื้อล้วงถุงผ้าปักใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา แก้เชือกรัดออกแล้วจ่อไว้ใต้จมูกสูดดมแรงๆ ถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง

อี๋อวี้ทำถุงผ้าพื้นแดงใบนี้เมื่อสองปีก่อน นางปักแค่ลายดอกอิ๋งชุนสีเหลืองอ่อนกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักขนาดเท่าเล็บนิ้วสองสามดอกไว้ตรงมุมหนึ่ง เพราะช่วงอากาศหนาวจะเผาถ่านในเรือน เปิดหน้าต่างแล้วก็ยังมีกลิ่นอยู่ นางเลยเย็บถุงใบเล็กๆ กะทัดรัดแล้วเด็ดใบปั้วเหอในแปลงผักมาล้างให้สะอาดใส่ลงไป สามารถเก็บรักษากลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันไว้ได้นานถึงแปดเก้าวัน นำมาดมยามวิงเวียนคลื่นไส้จะช่วยบรรเทาอาการได้

หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ใบปั้วเหอในลานเรือนถูกตัดเก็บหมดแล้ว ส่วนใหญ่ให้หลูจื้อเอาไปลอยน้ำดื่ม ที่เหลืออยู่บ้างก็เอามาใส่ในถุงผ้าปักใบนี้หมด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องบังคับแต่งงานขึ้นกะทันหัน ดีที่นางยังมีถุงที่ทำเสร็จแล้วใบนี้พกติดตัวไว้

หลูซื่อเห็นท่าทางของบุตรสาวแล้วนึกเสียใจที่ตนเองดุแรงเกินไป จึงโอบนางหลวมๆ ตั้งท่าจะไถ่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลันได้ยินเสียงคนโพล่งขึ้น

“เอาอะไรออกมา”

อี๋อวี้ได้ยินเสียงทุ้มต่ำนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณอย่างแปลกใจ พอคิดตามทันว่าเขาถามตนเอง นางก็ลอบนึกในใจว่าเขาจมูกไวน่าดู ทว่าปากกลับเอ่ยตอบอย่างเรียบร้อย “เป็นถุงผ้าปักใบหนึ่งเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นนางมองเห็นฝ่ามือที่มีเส้นลายมือมากมายข้างหนึ่งตรงหน้า หลูซื่อมีปฏิกิริยาไวกว่าบุตรสาว ดึงถุงผ้าปักในมือนางไปวางบนมือข้างนั้นเบาๆ อี๋อวี้ถึงได้เห็นผู้มีพระคุณท่านนี้แสดงสีหน้าแบบที่สองนับแต่ได้รู้จักกันมา นั่นก็คือ…ขมวดคิ้ว

คุณชายฉางรับถุงผ้าปักเล็กๆ ใบนั้นมาจรดปลายจมูกดมกลิ่นก่อน อี๋อวี้มองเห็นปีกจมูกสองข้างของเขาขยับเบาๆ จากนั้น…จากนั้นคุณชายฉางก็เอามันเก็บเข้าไปในอกเสื้อตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เมืองฉางอัน ถนนจูเชวี่ยตะวันตกสายที่สี่ หัวถนนฝั่งขวาติดกับประตูเมืองจิ่งเย่าทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของซิวเต๋อฟาง

ณ มุมทิศเหนือภายในย่านนี้มีวัดสงบเงียบแห่งหนึ่งนามว่า ‘วัดหงฝู’

ช่วงระหว่างการสอบคัดเลือกเดือนสอง โดยมากผู้เข้าสอบจากต่างเมืองจะพำนักอยู่ที่เรือนพักแขกตามอารามวัดต่างๆ ของเมืองฉางอัน ในเมืองหลวงมีวัดพุทธทั้งสิ้นหกสิบสี่แห่ง แบ่งออกเป็นสามระดับโดยพินิจจากขนาดที่ตั้งและผู้กราบไหว้บูชาว่าคึกคักหรือซบเซา เนื่องจากทิศใต้ของวัดหงฝูตรงกับประตูฟางหลิน ทิศตะวันออกติดกับวังเยี่ยถิง ส่งผลให้ถูกบรรดาเหล่าปัญญาชนและผู้เข้าสอบรับราชการยกให้เป็นสถานที่ที่มีพลังอินรุนแรงเล็กน้อย ฉะนั้นบัณฑิตซึ่งพักอยู่ที่วัดแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไร้ที่พึ่งพาอาศัย

หลูจื้อกับหลูจวิ้นมาถึงเมืองฉางอันตอนบ่ายของวันที่สิบเอ็ด พวกเขาเช่ารถม้าในอำเภอชิงหยางร่วมกับผู้เข้าสอบคนหนึ่งแซ่จี้นามเต๋อ ชื่อรองอีเหยียน ซวีซุ่ย ยี่สิบเอ็ดปี ตอนแรกที่รู้จักกัน จี้เต๋อตกตะลึงมากเมื่อรู้อายุของหลูจื้อ ภายหลังได้อยู่ร่วมกันหลายวัน แม้นอายุต่างกัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่าคบหา จึงเริ่มนับพี่นับน้องกัน

จี้อีเหยียนเคยเข้าร่วมการสอบคัดเลือกมาแล้วสองครั้ง นับเป็นผู้มีประสบการณ์คนหนึ่ง เขาสาธยายถึงปัญหายุ่งยากจุกๆ จิกๆ ในขั้นตอนการสอบเข้ารับราชการให้หลูจื้อฟังตลอดทาง

ถึงจี้เต๋อมีฐานะดีกว่าหลูจื้อ แต่ล้วนมาจากตระกูลยากจนดุจเดียวกัน เมื่อเขาเสนอแนะขึ้น ทั้งสามก็ไม่เสาะหาที่พำนักอื่น บ่ายหน้าตรงไปขออาศัยที่วัดหงฝูในซิวเต๋อฟางทันที

วัดแห่งนี้มีอาณาเขตแค่ไม่กี่สิบหมู่ แม้นที่นี่จะเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไร้ชื่ออื่นๆ เช่นคำกลอนที่ว่า ควันธูปลอยเบาบางดุจเมฆริ้ว ผืนผ้ายันต์พลิ้วปลิวตามลมโชย’ ทว่าสภาพรอบๆ สงบเงียบเป็นธรรมชาติ ต้นสนเขียวชอุ่มทั่วอาณาบริเวณของอาราม ในโถงรับรองประดับประดาด้วยผ้าแขวนผนังบันทึกตัวอักษร เสียงสวดมนต์แผ่วเบาแว่วลอยมากระทบหู คละเคล้ากลิ่นอายสดชื่นของน้ำค้างยามแรกรุ่งลอยอวลตรงปลายจมูก

ทั้งสามพำนักอยู่ในห้องพักแขกของวัด วันถัดมาก็ไปที่กรมอากรยื่นหนังสือส่งตัวจากอำเภอชิงหยาง และรับใบสำคัญประจำตัวมา เพียงรอเข้าพบผู้คุมสอบของกรมพิธีการเพื่อขอรับสารเสนอชื่อ

ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะไปขึ้นทะเบียนที่กรมอากร เมื่อได้เป็นจวี่เหรินแล้ว ไม่สำคัญว่าจะมาจากชนชั้นปัญญาชน ชาวนา ช่างฝีมือหรือพ่อค้า ล้วนสามารถเป็นขุนนางได้ นี่คือเส้นทางการเข้าสอบรับราชการของกลุ่มเซียงก้ง

อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากสำนักศึกษาในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ บัณฑิตเหล่านี้สามารถข้ามขั้นตอนเข้าพบผู้คุมสอบของกรมพิธีการ เข้าร่วมการสอบชุนเหวยได้เลยโดยตรง นี่คือเส้นทางการเข้าสอบรับราชการของกลุ่มเซิงถู

กลุ่มที่สามคือผู้ศึกษาในสำนักการศึกษา เป็นลูกหลานของขุนนางเมืองหลวง เมื่อเล่าเรียนครบสี่ปี หลังผ่านการสอบเพื่อสำเร็จการเล่าเรียนสามารถข้ามขั้นตอนการสอบชุนเหวย และขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครองได้เลยโดยตรง

สองกลุ่มแรกคือจวี่จื่อกับเซิงถู จะเข้าร่วมการสอบชุนเหวยในเดือนสี่ หลังการสอบจะคัดหนึ่งร้อยคนจากทุกๆ ศาสตร์วิชาขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครอง แล้วเลือกเฟ้นผู้โดดเด่นที่สุดกลุ่มละสิบคนเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งร่วมกับผู้โดดเด่นจากทุกแขนงซึ่งคัดเลือกมาจากสำนักการศึกษาสายละสิบคน

สุดท้ายฮ่องเต้จะเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งเกียรติยศบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งได้แก่ จ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา

ส่วนจวี่เหรินที่ยังมีอายุไม่ครบสิบหกปีต้องผ่านการคัดเลือกของกรมพิธีการส่งตัวไปที่สำนักศึกษาชื่อว่า ซื่อเหมินเสวีย ภายใต้สังกัดของสำนักการศึกษาเพื่อศึกษาเล่าเรียนขั้นสูงกับพวกลูกหลานขุนนาง ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการสอบชุนเหวย รอเมื่อสอบจบการศึกษาแล้วถึงขึ้นบัญชีข้าราชการในกรมปกครองได้

กองการคัดเลือกรับหน้าที่เสนอชื่อผู้เข้าสอบรับราชการทุกปีโดยเฉพาะ ในกองงานนี้มีผู้คุมสอบยี่สิบแปดคน แบ่งระดับไปตามคุณงามความดีและชื่อเสียง ระดับล่างเสนอชื่อได้ห้าสิบคน ระดับสูงเสนอชื่อได้สองร้อยคน ดังนั้นมีจวี่เหรินที่ได้รับเสนอชื่อรวมทั้งสิ้นหนึ่งพันสามร้อยหกสิบคน ทุกปีเซียงก้งที่เข้าสู่เมืองหลวง จะต้องเตรียมงานเขียนต้นฉบับสำหรับยื่นเข้าร่วมสอบตามระดับศาสตร์วิชา จะเป็นความเรียงหรือบทกลอนก็ได้ เพื่อให้ผู้คุมสอบคัดเลือก

หากไม่ได้รับการเสนอชื่อจากกองการคัดเลือก บัณฑิตยังสามารถนำงานเขียนไปแนะนำตนเองกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ปราดเปรื่องมากความสามารถในราชสำนักได้ แค่ว่าในหนึ่งพันคนอาจมีเพียงหนึ่งหรือสองคนที่ได้สมดังใจหวัง

วันที่สิบสาม หลูจื้อกับจี้เต๋อตื่นแต่เช้า นำม้วนงานเขียนกับใบสำคัญประจำตัวไปที่กองการคัดเลือกของกรมพิธีการ หลังยื่นสองสิ่งนี้ไปพร้อมกับเทียบชื่อแล้ว เพียงรอฟังข่าวอยู่ในวัดที่พำนักอยู่ ห้าวันให้หลังจะได้รับเสนอชื่อหรือไม่ก็จะได้รู้กัน

เมื่อส่งงานเขียนไปแล้ว จี้เต๋อชวนหลูจื่อไปพบสหายที่รู้จักตอนสอบเข้ารับราชการเมื่อปีที่แล้วด้วยกัน ครั้นถูกหลูจื้อปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เขาก็แยกไปตามลำพังโดยไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ

หลูจื้อกับหลูจวิ้นสองคนกลับถึงวัดหงฝู พอเข้าสู่เรือนพักแขกซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราว คนหนึ่งอ่านตำราอยู่ในห้อง คนหนึ่งรำมวยอยู่ในลาน ทว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีฝ่ายหนึ่งอดรนทนไม่ไหวก่อน

“เฮ้อ…เบื่อ! พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้พี่จี้ชวนพวกเราไปเยี่ยมเยียนสหายด้วยกัน ไฉนจึงปฏิเสธเล่า” หลูจวิ้นเดินพูดตัดพ้อต่อว่าจากลานด้านนอกเข้ามาในห้องแล้วก้าวไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หน้าโต๊ะหนังสือของพี่ชาย

หลูจื้อไม่ขุ่นใจที่เขาขัดจังหวะตนเองอ่านตำรา เหลือบตาขึ้นเหล่มองน้องชายแวบหนึ่งก่อนกล่าว “คำพูดตามมารยาทยังแยกแยะไม่ออก เจ้ายังไม่เข้าใจผู้คนได้เท่าเสี่ยวอวี้เลยนะ”

“เอ๊ะ? นั่นเขาพูดตามมารยาทหรือ ข้าฟังไม่ออกจริงๆ”

“ต่อให้มิใช่คำพูดตามมารยาท การไปเยี่ยมสหายกับเขา ย่อมต้องร่วมกินอาหารดื่มน้ำชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเจ้าจะกินดื่มของเขาเปล่าๆ โดยไม่ละอายใจหรือไร ในเมื่อเป็นการเที่ยวเล่น ก็ต้องใช้สอยเงินทอง แม้ค่าเดินทางที่ท่านแม่ให้มาจะเพียงพอ แต่ในเรือนกลับเหลืออยู่ไม่กี่มากน้อย หากเจ้าอยากไปเที่ยวเล่น ลองตรองดูเสียก่อนว่าท่านแม่กับเสี่ยวอวี้ทำงานหาเงินอย่างไรเถอะ”

กล่าวจบหลูจื้อไม่แยแสเขาอีก พลิกตำราในมือที่เก่าจนเหลืองซีดอย่างเบามือ และท่องเสียงดังกังวานต่อไป ถึงหลูจวิ้นเป็นคนโผงผาง หากแต่ยังรู้ดีรู้ชั่ว เมื่อได้ยินพี่ชายอธิบายเช่นนี้ เขานึกถึงคำกำชับกำชาของมารดาก่อนออกเดินทาง จึงล้มเลิกความคิดที่จะออกไปข้างนอกโดยพลัน

 

ยามบ่ายวันเดียวกันที่กองการคัดเลือก ผู้คุมสอบหลายคนกำลังชุมนุมกันอ่านม้วนงานเขียนหลายฉบับอย่างคร่ำเคร่ง ในบรรดานั้นงานชิ้นที่เป็นถกเถียงมากที่สุดคือความเรียงในศาสตร์วิชาระดับจิ้นซื่อ ซึ่งกล่าวถึงระเบียบการคัดเลือกขุนนางของราชวงศ์นี้ และวิพากษ์สถานภาพของลูกหลานขุนนางกับบัณฑิตยากจน

“ตัวอักษรเขียนได้ดียิ่งนัก เพียงแต่ถ้อยความกลับเพ้อเจ้อเลอะเทอะ”

“เหลวไหลทั้งเพ”

“ถูกต้อง! ใต้เท้าทั้งหลายโปรดดู ในใบสำคัญของบัณฑิตผู้นี้บันทึกไว้ว่าเพิ่งมีอายุสิบสี่ปีเต็ม เห็นชัดว่าเป็นวาจาเหิมเกริมลำพองของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

“แค่ก!” เสียงกระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นตัดบทผู้คุมสอบที่ตบโต๊ะฉีกกระดาษด้วยความโกรธา เห็นผู้อาวุโสมีโหนกแก้มเป็นสันนูนเด่นคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา ทุกคนพากันกุลีกุจอลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวเตี้ยอย่างสำรวม และค้อมกายคารวะทักทายผู้อาวุโสท่านนั้นอย่างเคารพนบนอบ

“ใต้เท้าเจิ้ง”

“อืม ใต้เท้าทุกท่านกำลังถกเถียงเรื่องใดกันอยู่หรือ ข้าอยู่ห่างจากประตูห้าจั้งก็ได้ยินเสียงโต้เถียงของพวกท่านแล้ว” ใต้เท้าเจิ้งผู้คุมสอบนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด และความสามารถโดดเด่นที่สุดของกองการคัดเลือก แต่เพราะสูงวัยมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงอนุญาตเป็นพิเศษให้เขามาทำงานที่กองหลังยามเซิน ทุกวัน

“ใต้เท้า ตรงนี้มีความเรียงของบัณฑิตคนหนึ่ง ถ้อยความที่เขียนมีนัยจะสร้างความปั่นป่วนให้กับระเบียบแบบแผนของราชสำนักจริงๆ พวกข้ากำลังโกรธเคืองด้วยเรื่องนี้ ถึงเสียกิริยาไปขอรับ”

“เอามาให้ข้าอ่านสิ”

ผู้คุมสอบที่เอ่ยปากอธิบายคนนั้นหมุนกายไปหยิบความเรียงแผ่นนั้นมายื่นส่งให้ใต้เท้าเจิ้งอย่างพินอบพิเทา

ใต้เท้าเจิ้งกวาดสายตาอ่านความเรียงซึ่งมีความยาวไม่กี่ร้อยคำแผ่นนี้ผ่านๆ ก่อน จากนั้นสีหน้าของเขาคลายความเคร่งขรึมลง พูดกล่อมคนที่อยู่เบื้องหน้าหลายคนด้วยวาจานุ่มนวล

“ใต้เท้าทั้งหลายไม่ต้องมีน้ำโหจนเสียกิริยาเพราะบัณฑิตที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มันมิใช่สิ่งที่คนระดับพวกเราพึงกระทำจริงๆ ใต้เท้าจาง หาเทียบชื่อกับใบสำคัญของบัณฑิตที่เขียนความเรียงนี้ให้ข้าที ข้าจะไปถอนชื่อที่สำนักระเบียบการด้วยตนเอง วันหลังพวกท่านคิดขึ้นมาจะได้ไม่ขุ่นเคืองอีก”

สิ้นเสียงเขา ผู้คุมสอบแซ่จางหยิบของสองสิ่งนั้นยื่นส่งให้

ใต้เท้าเจิ้งรับมาทีละชิ้นแล้วเอ่ยกับทุกคน “ข้ายังต้องไปดูที่อื่นอีก ใต้เท้าทุกท่านทำงานต่อเถอะ”

พวกคนที่อยู่ด้านหลังค้อมกายอีกคราเป็นการคารวะส่ง ใต้เท้าเจิ้งถึงก้าวออกไปด้วยฝีเท้าเนิบนาบอยู่บ้าง

ราตรีนี้ ภายในจวนหลังใหญ่กำแพงสูงแห่งหนึ่งของเมืองฉางอัน ผู้อาวุโสสวมอาภรณ์ลำลองสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าโต๊ะฝังหยกลายพยัคฆ์ในห้องหนังสือ ชี้ม้วนกระดาษในมือคนหนึ่งไปพลาง สนทนากันเบาๆ ไปพลาง

“…น่าเสียดายๆ ไฉนความเรียงชั้นนี้ถึงส่งไปที่กองการคัดเลือกของพวกเจ้าเสียได้”

“เอ๊ะ! เจ้าเฒ่าผู้นี้ ข้าอุตส่าห์เอาของดีๆ มาให้ดูถึงเรือน เจ้ากลับเหน็บแนมกองการคัดเลือกของข้าซะแล้ว”

“ฮ่าๆ ลู่กงอย่าได้ฉุนเฉียว หยอกเล่นเท่านั้น นี่ข้ามิใช่คับแค้นเหลืออดหรือไร หากบัณฑิตผู้นั้นส่งมาทางข้า ต้องได้รับเสนอชื่อเข้าสอบชุนเหวยทันที เผอิญกลับส่งไปทางพวกเจ้า เกรงว่าคงทำให้พวกหัวโบราณคร่ำครึโมโหเจียนคลั่งตายได้หลายคน”

“แค่กๆ อย่าออกนอกเรื่อง ข้าถามเจ้าคำเดียว บัณฑิตคนนี้เจ้าต้องการหรือไม่”

“ต้องการ! ทำไมจะไม่ต้องการเล่า แต่ว่า…เจ้าหักใจได้หรือ”

“เฮ้อ…มิใช่ข้าจะไม่รู้ว่าขณะนี้กองการคัดเลือกไม่อาจเทียบกับในกาลก่อนได้แล้ว แม้คำพูดของข้ายังพอมีน้ำหนักอยู่ ทว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าอีกสองคนนั่น หากดึงดันเก็บใบสำคัญของบัณฑิตผู้นี้ไว้ ข้าหวั่นใจว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้เขาแทนน่ะสิ”

“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าให้เจ้าโยกย้ายไปที่อื่น เจ้ากลับไม่รู้ฟัง ถ้ามิใช่เจ้าปฏิเสธพระประสงค์ของฮ่องเต้หลายครั้งหลายครา ไหนเลยจะสร้างความขุ่นเคืองให้เขา”

“ตอนแรก…ตอนแรกข้าคิดว่าสามารถทำประโยชน์ให้บัณฑิตยากจนพวกนั้นได้บ้าง มาบัดนี้เพิ่งรู้ว่าหาใช่ข้าคนเดียวทำได้ไม่…”

“เอาล่ะ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เรื่องนี้เค่อหมิงรับหน้าที่ไว้แล้ว รับรองว่าจะเอาตัวเขาเข้าไปได้แน่นอน”

“เช่นนั้นก็ขอบใจมาก”

“ขอบใจอะไรกัน ขอบใจที่ข้าแย่งบัณฑิตดีๆ คนหนึ่งจากเจ้าหรือ ฮ่าๆๆๆ”

“เฒ่าอย่างเจ้านี่นะ เฮ้อ…ช่างเถิดๆ…”

การสนทนาอันยาวนาน ณ ราตรีกลางวสันตฤดูของสหายร่วมสำนักศึกษาในวันวานทั้งสองได้เบิกทางอีกสายหนึ่งให้แก่บัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่เกือบถูกตัดเส้นทางการเป็นขุนนางไปแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: