X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 13

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่สิบสาม

ยามที่ทุกคนเดินทะลุผ่านลานด้านหน้ามาถึงเรือนโถงกลาง อี๋อวี้ชายตามองสำรวจเครื่องเรือนและการประดับตกแต่งในห้องโถง โต๊ะเก้าอี้ไม่เหมือนในเรือนคนทั่วไปที่ใช้พวกโต๊ะตัวเตี้ยวางบนเสื่อปูพื้น หากแต่เป็นเก้าอี้มีพนักพิงทาสีแดงทำจากไม้อะไรก็สุดรู้ กับโต๊ะน้ำชาไม้แดงสูงเท่าครึ่งตัวคนตั้งอยู่ด้านข้าง รูปทรงและฝีมือล้วนงดงามประณีตกว่าที่นางเห็นในเรือนนายตำบลจางเป็นอย่างมาก

คุณชายฉางนั่งบนเก้าอี้ตัวกลางตรงผนังทิศเหนือที่แขวนม้วนภาพวาดในห้องโถง หลูซื่อจูงอี๋อวี้ไปนั่งฝั่งซ้าย บนเก้าอี้จะวางเบาะรองปักลายไว้ นั่งลงไปแล้วนุ่มๆ นิ่มๆ ทำให้พวกหลูซื่อที่เคยชินกับการนั่งบนเสื่ออึดอัดไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้ พวกคนรับใช้ที่พาทุกคนเข้ามา มีสองคนถือสัมภาระของพวกนางยืนอยู่ข้างนอก ส่วนเด็กรับใช้หน้าดำคนนั้นยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างในกับอีกคนหนึ่ง

อาเซิงยืนห่างจากข้างกายคุณชายฉางไปสองก้าว เห็นพวกนางนั่งลงหมดแล้วถึงกล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องระวังตัวนัก ที่นี่เป็นคฤหาสน์พักผ่อนในตำบลหลงเฉวียนของคุณชายฉางขอรับ”

ยามอี๋อวี้ย่างเข้าประตูใหญ่มาก็มองเห็นแผ่นป้ายด้านบนที่มีอักษรสี่ตัวคำว่า ‘คฤหาสน์เสียนหรง’ แล้ว เมื่อวานตอนอาเซิงออกความคิดให้หลูซื่อ มิได้บอกชัดว่าพวกเขามีเหย้าเรือนที่นาอยู่ในตำบลนี้ ไม่รู้ว่าจงใจไม่เอ่ยถึงหรือว่าลืมบอกไปจริงๆ

ใบหน้าของหลูซื่อแฝงรอยฉงนใจ นางตั้งท่าจะเอ่ยถาม ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมาระลอกหนึ่ง สาวใช้สวมเสื้อตัวสั้นนุ่งกระโปรงสีขาวอมชมพูสองนางประคองถาดสีน้ำตาลเดินเข้ามาจากนอกโถง พวกนางวางกาน้ำชากับถ้วยลงบนโต๊ะเล็กด้านข้างแต่ละคน แล้วค่อยๆ เทน้ำชาร้อนจนเต็มถ้วยด้วยกิริยาสำรวมนอบน้อม

หางตาของอี๋อวี้เหลือบไปเห็นสาวใช้หน้าตาหมดจดคนหนึ่งในนั้นแอบชำเลืองมองพวกนางตอนรินน้ำชา แววตาทอประกายดูแคลนจางๆ ทำให้นางลอบย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างสุดระงับ ก่อนหน้านี้อาเซิงเอ่ยว่าจะหาเรือนหลังหนึ่งในตำบลนี้ให้พวกนางอาศัยอยู่ไปก่อน คงมิใช่คฤหาสน์เสียนหรงนี้กระมัง แล้วที่แห่งนี้ใช่เรือนคนทั่วไปที่ไหนกัน เทียบกับเรือนใหญ่ในจวนของนายตำบลจางแล้วยังโอ่โถงกว่ามาก

“ฮูหยิน ข้าให้คนเก็บกวาดเรือนเล็กที่แยกออกไปให้พวกท่านหลังหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ทว่ามีพร้อมพรั่งทุกอย่าง พวกท่านพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวดีหรือไม่ขอรับ” คำกล่าวของอาเซิงยืนยันการคาดเดาของอี๋อวี้ กระนั้นใจนางไม่ใคร่อยากจะพำนักอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อคืนนางกับหลูซื่อหารือกันแล้วว่าพอถึงตำบลหลงเฉวียนจะจ่ายค่าเช่าบางส่วนก่อน และพักในเรือนที่อาเซิงหาให้ รอเมื่อหาซื้อที่นาและขึ้นทะเบียนราษฎร์ได้สำเร็จ จะทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีพพร้อมกับทำงานฝีมือไปขายเป็นเงินจุนเจือค่าใช้สอยในเรือนดังเช่นที่ผ่านมา เมื่อเก็บหอมรอมริบได้มากพอแล้ว ต้องมีเรือนเป็นของตนเองไม่ว่าจะสร้างหรือจะซื้อก็ได้ทางใดทางหนึ่ง อาเซิงกลับจะให้พวกนางพักในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่หลังนี้ก่อน ซ้ำยังจัดเรือนเล็กให้อยู่ต่างหากอีกด้วย พวกนางจะขออาศัยอยู่เปล่าๆ ก็กระดากใจ แต่ค่าเช่าต้องจ่ายเท่าไหร่จึงจะดีเล่า

หลูซื่อคิดตรงกับอี๋อวี้ นางได้ยินอาเซิงกล่าวอย่างนี้ นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกข้าเป็นคนชนบท พำนักอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้เกรงจะไม่เหมาะไม่ควร มิสู้เช่าเรือนชาวบ้านสักระยะ รอสะสมเงินได้มากพอแล้วค่อยคิดอ่านกันอีกที”

อาเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ฮูหยินเห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว คุณชายของพวกข้ายังรอให้บุตรสาวคนเล็กของท่านปลูกต้นปั้วเหออยู่มิใช่หรือ พักอยู่ด้วยกันก็ช่วยเหลือกันได้สะดวกนะขอรับ”

หลูซื่อยิ้มฝืดๆ “ของนั่นมีราคาค่างวดอันใด ถึงกับคุ้มค่าพอให้แบ่งเรือนให้พวกข้าพักแยกต่างหาก นี่กลับเป็นพวกข้าเอารัดเอาเปรียบเกินไป อีกอย่างหากพำนักที่นี่จริงๆ หวั่นใจว่าต้องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าครึ่งปี จะเป็นการรบกวนพวกท่านโดยใช่เหตุ” แม้หลูซื่อพูดจาอ้อมค้อม หากน้ำเสียงฉายรอยเด็ดเดี่ยว อาเซิงมองออกว่านางไม่ยอมตอบตกลงเป็นอันขาด

“คุณชายขอรับ” เขาหมุนกายไปเรียกขานคำหนึ่งอย่างลำบากใจเพราะเหตุนี้ ทุกคนพากันเลื่อนสายตาตามไป

อี๋อวี้หันหน้าไป มองเห็นท่าทาง ‘ธุระมิใช่’ ของคุณชายฉางตรงที่นั่งเจ้าของเรือน อาภรณ์สีน้ำเงินบนตัวเขามีรอยยับนิดหน่อย ผมตรงจอนสองข้างรุ่ยลงมาบางเส้น นางอดมิได้ที่จะเปรียบเทียบลักษณะของเขาในยามนี้กับร่างงามสง่าจับตาที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมฝูหยวน รู้สึกว่าแม้ขณะนี้เขายังนั่งเด่นเป็นสง่า แต่ท่วงท่าของร่างกายเผยวี่แววอ่อนล้าเฉื่อยชาไว้รางๆ ถ้ามิใช่มือเขากุมถ้วยน้ำชาไว้เบาๆ ชวนให้นึกว่าเขานอนหลับไปแล้วจริงๆ

ขณะที่อี๋อวี้เพ่งพิศเขาอยู่นั่นเอง คุณชายฉางพลันยอมเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ไม่อยู่ที่นี่ ก็ไปซะ”

ถ้อยคำของเขาดังขึ้น คนอื่นๆ ในห้องโถงมีสีหน้าต่างๆ กันไป ใบหน้าของหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงทอแววอับอาย อี๋อวี้ขมวดคิ้ว อาเซิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน เป็นคราแรกที่ไม่รู้ว่าสมควรกล่าวตอบผู้เป็นนายเช่นไรดี

บรรยากาศตกอยู่ในความตึงเครียด เวลานี้เองมีคนผู้หนึ่งวิ่งเหยาะๆ จากด้านนอกมาถึงหน้าประตูอย่างเร่งร้อน ดึงสายตาของทุกคนไป

อาเซิงเห็นคนที่วิ่งมาถึงหน้าประตูแล้วชะงักกึกไป ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มอีกครั้ง ขณะส่งเสียงเรียก “พ่อบ้านหลี่”

บุรุษที่นอกโถงผู้นี้ดูจากใบหน้าอยู่ในวัยราวสี่สิบ เรือนกายผอมสูง หน้าเหลี่ยมเป็นสัน เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวอมน้ำตาล สวมรองเท้าหุ้มข้อสีน้ำตาล พอได้ยินอาเซิงเรียกขานตนเอง เขารีบดึงชายเสื้อคลุมให้เรียบไปพลาง พยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับอีกฝ่ายไปพลาง เมื่อจัดอาภรณ์และผมเผ้าเข้าที่ ถึงยกเท้าก้าวเข้ามา ไม่เหลือท่าทีลุกลี้ลุกลนอย่างเมื่อครู่นี้อีก

“คุณชายขอรับ” พ่อบ้านหลี่ยืนอยู่เบื้องหน้าคุณชายฉางห่างออกไปห้าก้าว กุมสองมือไว้ตรงกลางลำตัว และโค้งกายเล็กน้อยเป็นการแสดงคารวะ คนที่นั่งอยู่ตอบรับด้วยการผงกศีรษะเบาๆ ทีเดียว

“ข้ายังนึกสงสัยอยู่ว่าไฉนเมื่อครู่มาถึงหน้าประตูก็ไม่เห็นท่าน เข้ามาพักใหญ่แล้วท่านถึงวิ่งมา ยุ่งอะไรอยู่หรือ”

พ่อบ้านหลี่มิได้ตอบคำถามเขา เพียงส่งยิ้มอย่างขอลุแก่โทษให้ จากนั้นสืบเท้าไปข้างหน้าหลายก้าว ยื่นหน้าไปพูดที่ข้างหูคุณชายฉางเสียงอู้ๆ อี้ๆ อี๋อวี้เงี่ยหูฟังก็ยังไม่ได้ยินชัดแม้แต่ครึ่งคำ จนกระทั่งพ่อบ้านหลี่กระซิบรายงานจบ คุณชายฉางผุดลุกขึ้นโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาวางมือข้างหนึ่งบนแขนที่ยื่นมาของอาเซิง และสาวเท้าเร็วรี่ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับพ่อบ้านหลี่ที่ก้มหน้าค้อมตัวติดตามอยู่ด้านหลัง

พวกหลูซื่อนิ่งอึ้งไป ยังพูดจากันไม่จบก็ทิ้งพวกนางไว้ที่นี่ได้อย่างไร ครั้นจะไล่ตามไป ยังไม่ทันลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนตัวตรง พวกนางถูกเด็กรับใช้หน้าดำที่เฝ้าอยู่ตรงประตูด้านในคนนั้นก้าวเข้ามาสกัดไว้ เขาเอ่ยกับหลูซื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินโปรดตามข้าน้อยมา ข้าน้อยจะพาท่านไปดูที่เรือนเล็ก เห็นทีว่าคงจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”

กล่าวจบเขาเบี่ยงตัวส่งสายตาบอกบ่าวสองคนที่ถือสัมภาระอยู่นอกโถง แล้วหันกลับมาทำท่าผายมือนำทางให้พวกนาง หลูซื่อชายตาเห็นคนที่ถือสัมภาระของพวกนางไว้หายไปไม่เห็นเงา ได้แต่เดินตามเด็กรับใช้หน้าดำออกจากเรือนโถงกลางไปอย่างจำใจ

เขาพาพวกนางเดินไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่โถงรับรองผ่านระเบียงทางเดินเชื่อมฝั่งซ้ายขวามาถึงสวนดอกไม้เล็กๆ งามวิจิตรแห่งหนึ่ง เมื่อตรงไปข้างหน้าอีกหลายสิบก้าวเลี้ยวไปทางทิศเหนือ ถึงพบเรือนเล็กประตูเดียวหลังหนึ่ง แผ่นป้ายบนคานประตูมีอักษรคำว่า ‘โยวย่วน’ ประตูเรือนเปิดอ้ากว้าง เมื่อทุกคนก้าวเข้าไป ก็เห็นบ่าวสองคนที่ถือสัมภาระให้พวกนางก่อนหน้านี้ยืนรออยู่ เด็กรับใช้หน้าดำถามพวกเขาเสียงเบาๆ สองสามคำ ก่อนจะบอกให้กลับไป

อี๋อวี้ซึ่งถูกหลูซื่อจูงมือไว้ปรายตามองสำรวจเรือนเล็กหลังนี้ ภายในมีห้องปีกด้านข้างสองห้องหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กติดกันอยู่ทางฝั่งทิศเหนือ แม้เป็นตัวเรือนชั้นเดียว แต่มีความสูงมากกว่าบ้านเรือนทั่วไปที่นางมองเห็นตอนแรกที่เข้ามาในตำบลนี้ หลังคาลาดสองด้านมุงกระเบื้องสีดำสนิทเรียงกันเป็นระเบียบ ทางมุมตะวันออกยังมีศาลารับลมทรงสี่เหลี่ยมหลังคาแหลม ตรงกลางลานปลูกต้นหยาง ไว้ และมีไม้ดอกไม้ใบอีกหลายพุ่ม

เด็กรับใช้พาพวกนางเดินไปทางห้องที่ใหญ่กว่า เขาผลักประตูไม้สลักลายออก ได้กลิ่นชื้นลอยมาจางๆ ระลอกหนึ่ง ฝั่งทิศเหนือในห้องประดับภาพท่องสวนยาวห้าฉื่อ ใต้ภาพมีเก้าอี้ไม้สลักลายสองตัวตั้งอยู่ คั่นกลางด้วยโต๊ะหน้าเล็กขาสูงทำจากไม้แดงตัวหนึ่ง ทางฝั่งขวาดูท่าทางจะเป็นห้องนอน บนประตูห้องกว้างสองช่วงบ่าแขวนม่านผ้าแพรลายมงคลไว้

“ฮูหยิน ต้องการให้เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้สักสองคนหรือไม่ขอรับ” เด็กรับใช้รออยู่ด้านข้างอย่างสงบ พอพวกนางดึงสายตาที่มองสำรวจไปรอบๆ กลับมา ถึงปริปากไถ่ถาม

เดิมทีหลูซื่อตามมาอย่างไม่มีทางเลือก ได้ยินเขาถามขึ้นย่อมบอกปัดแน่นอน

“อาหารเย็นจะยกมาให้ตอนยามซวี ห้องที่อยู่ติดกันเป็นห้องครัวเล็กๆ แต่ว่าต้องปัดกวาดในวันพรุ่งนี้จึงจะใช้งานได้ ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ หากฮูหยินมีอะไรจะสั่งกำชับก็ออกไปที่ด้านนอกเรือนได้เลย จะมีคนรอรับใช้อยู่ทุกเวลา” กล่าวจบเขาหมุนกายถอยออกจากห้องอย่างรีบเร่งโดยไม่รอให้หลูซื่อถามไถ่อะไรอีก ปล่อยให้คนทั้งสามในเรือนมองตากันปริบๆ

คฤหาสน์หลังใหญ่ ณ เมืองฉางอัน

ยามไฮ่ สามเค่อ ในห้องหนังสือที่มีแสงตะเกียงไหววูบวาบ ร่างที่นั่งทำงานง่วนอยู่ตรงหน้าโต๊ะมาเกือบสองชั่วยาม วางพู่กันลงด้านข้างในที่สุด เหยียดแขนบิดขี้เกียจทีหนึ่งแล้วตะเบ็งเสียงบอกไปทางนอกห้อง “อาฝู ยกอาหารมื้อดึกเข้ามา”

เสียงขานรับดังขึ้นนอกประตู คนที่อยู่ในห้องถึงลุกขึ้นเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้อง นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่ปูพรมขนสัตว์ เอื้อมมือไปหยิบม้วนงานเขียนฉบับหนึ่งที่ส่งมาให้วันนี้ เพียงไล่สายตาอ่านคร่าวๆ ก็ขมวดคิ้วมุ่น

“เพ้อเจ้อเลื่อนเปื้อน!”

หลังสบถด่าคำหนึ่ง เขานึกถึงเรื่องที่คนที่ถูกส่งไปสืบข่าวกลับมารายงานให้รู้ ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น จากนั้นหยิบความเรียงอีกม้วนหนึ่งมาคลี่ออกอ่าน เพียงแต่หนนี้มิได้ดูผ่านๆ แล้วบริภาษอย่างเมื่อครู่ กลับอ่านอย่างตั้งใจยิ่งขึ้นทุกที เมื่ออ่านจนจบทั้งฉบับ เขาลุกพรวดพราดไปที่ชั้นหนังสือด้านข้าง หยิบความเรียงที่รัดไว้ด้วยเชือกสีแดงม้วนหนึ่งลงมาคลี่เปิดออก และนำทั้งสองฉบับมาวางเทียบกันบนโต๊ะ

จวบจนมีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ เขาดึงความคิดคืนมาเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาใต้เรียวคิ้วหนาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยแววตื่นเต้นยินดี

ใต้แสงเทียน ม้วนงานเขียนสองฉบับบนโต๊ะวางเคียงกันซ้ายขวาหาได้มีอันใดผิดแผกแตกต่างกัน แค่ว่าตรงตอนท้ายของฉบับที่อยู่ด้านขวามีถ้อยความเพิ่มขึ้นมาสองสามประโยคว่า

 

เหตุที่เขียนงานขึ้นสองฉบับพร้อมกัน ฉบับหนึ่งยื่นต่อกองการคัดเลือก หากวันใดมิเห็นสารแจ้งข่าว คงเพราะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เสนอชื่อเป็นแน่แท้ อันว่าอุดมการณ์ต่าง ไยต้องร่วมทางเดียวกัน แต่ไรมาได้ยินคำกล่าวขวัญถึงความเป็นผู้มีใจซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในคุณธรรม วันถัดมาจึงส่งอีกฉบับแก่ท่านผู้ทรงภูมิ หากท่านมีใจประสงค์ สามารถขอฉบับแรกจากกองการคัดเลือก ด้านหลังของแผ่นกระดาษทั้งสองล้วนมีตราประทับหมึกดำ ได้เทียบทานกันเพื่อพิจารณาตัดสิน’

 

เรือนหลังของวัดหงฝู

หลูจื้อนั่งอยู่ข้างหน้าต่างพลิกอ่านตำราพงศาวดารเล่มหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจไยดีหลูจวิ้นที่ถอนใจเฮือกๆ มาพักใหญ่อยู่เบื้องหน้า

“เฮ้อ…พี่ใหญ่ เหตุใดพี่ไม่ร้อนใจสักนิด ส่งม้วนงานเขียนไปเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ยังไม่มีข่าวเลย พี่จี้ได้รับใบสำคัญประจำตัวไปลงนามที่กรมอากรแล้ว พี่ยังมีแก่ใจอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้อีกหรือ”

หลูจวิ้นทำหน้าม่อยมองหลูจื้อที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเหยียดมือไปแย่งหนังสือในมือพี่ชายมาอย่างอดรนทนไม่ไหวในที่สุด เพื่อให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังตนเองพูด

“พี่ใหญ่ พวกเรายังเหลือเงินทองอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อวานพี่จี้บอกว่าพอมีลู่ทางไม่ใช่หรือ ข้าว่าพวกเราส่งสินน้ำใจไปเบิกทางบ้างดีกว่า”

เมื่อหนังสือถูกดึงไป หลูจื้อเพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากห้องไปอย่างเอื่อยเฉื่อยโดยไม่แยแสหลูจวิ้นที่ตะโกนเสียงดังไล่หลัง

เสียงสวดมนต์จากหอด้านหน้าลอยแว่วมาถึงในเรือน ขณะนี้เป็นเวลารุ่งเช้า ทั้งยังอยู่ในช่วงพฤกษชาติเริ่มผลิใบสีเขียวอ่อนๆ พุ่มต้นอิ๋งชุนแอบแตกยอดอ่อนสีเหลืองอยู่ตรงกำแพงทิศใต้ ลำพังแค่ดูสีหน้าไม่อาจหยั่งเดาจิตใจของหลูจื้อได้แม้สักนิดว่าร้อนรุ่มกระวนกระวายหรือไม่ หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้รับข่าวจากกองการคัดเลือก เช่นนั้นก็หมดวาสนากับการสอบชุนเหวยแล้ว

“ทองพิสุทธิ์แรกส่องประกาย วสันต์เฉิดฉายเสน่หา มิอาจเทียบหลันเซียงงามสง่า ผลิบานช้ายิ่งกว่าเหมยเหมันต์” หลูจื้อเอื้อนกลอนบทหนึ่งเบาๆ จบ คลายยิ้มบางๆ อย่างเยาะหยันตนเอง เขาเพิ่งจะหมุนกายเดินกลับไป ก็ได้ยินเสียงหัวร่อดังกังวานระลอกหนึ่ง

“ดอกอิ๋งชุนช่อหนึ่งเล็กๆ ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจถึงเพียงนี้ หรือที่แท้เป็นคุณชายมีความคับข้องอยู่ในใจ”

หลูจื้อหันกลับไปมองเห็นบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ทางทิศตะวันตกตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ เขาก้มหน้าซ่อนประกายที่จุดวูบขึ้นในดวงตา สาวเท้าเนิบนาบเข้าไปหา

“ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านฟังออกได้อย่างไรว่าข้ามีความคับข้องในใจ”

บุรุษชุดดำไม่กล่าวตอบเขา กลับย้อนถาม “เหตุใดถึงเรียกขานข้าว่าใต้เท้า”

“พิศโฉม หยั่งจิต” เมื่อสี่คำนี้ดังขึ้น แววชื่นชมที่วาบผ่านนัยน์ตาอีกฝ่ายไม่อาจหลุดลอดจากสายตาของหลูจื้อไปได้

“ดีๆๆ” หลังพูดคำนี้ติดๆ กันสามครั้ง สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนละมุนลง “พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีหรือไม่”

สิ้นเสียงนี้ หลูจื้อผายมือเล็กน้อยเป็นเชิงเชื้อเชิญ จากนั้นออกเดินนำอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องพักแขกของวัดที่ตนพำนักชั่วคราว หลูจวิ้นอยู่ในห้องเห็นพี่ชายพาคนผู้หนึ่งเข้ามา นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบไปรินน้ำชา หลูซื่ออบรมสั่งสอนพวกเขามาหลายปี แม้จะอาศัยอยู่ในชนบท แต่นางเข้มงวดเรื่องธรรมเนียมมารยาทไม่เคยขาด

“นี่คือ…”

“น้องชายข้าเองขอรับ มารดาไม่วางใจที่ข้าจะเข้าเมืองหลวงลำพัง ก็เลยเดินทางมาพร้อมกับเขา”

บุรุษวัยกลางคนพยักหน้าแล้วจับจ้องดวงหน้าแฝงเค้าเยาว์วัยจางๆ ของหลูจื้อ พอหลูจวิ้นยกถ้วยน้ำชามาให้ เขาปริปากบอกจุดประสงค์ที่มาเยือน “ข้ามาเพราะงานเขียนของเจ้า”

หลูจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเป็นฉบับไหนขอรับ”

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หลังจากทั้งคู่สบตากันยิ้มๆ ก็เริ่มต้นสนทนากันอย่างจริงจัง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเขียน หาใช่สิ่งที่คนมากมายยอมรับได้?” บุรุษวัยกลางคนมองหลูจื้อพร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้

“หากไม่ล่วงรู้ ข้าคงไม่เขียนขึ้นสองฉบับจนดึกดื่นและส่งไปให้ใต้เท้าหรอกขอรับ” หลูจื้อตอบเรียบๆ ใบหน้าสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมไหวสักกระผีก

บุรุษวัยกลางคนกล่าวต่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้รับฉบับใดก่อน”

หลูจื้อมีความมั่นอกมั่นใจอยู่แต่เดิม ครั้นอีกฝ่ายถามอย่างนี้กลับบังเกิดความหลากใจอยู่ลึกๆ ลอบคาดเดาถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง เขากล่าวเสียงเบา “ไม่สำคัญว่าเป็นฉบับใด ด้วยล้วนไปถึงมือใต้เท้าแล้ว”

บุรุษวัยกลางคนเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น “ดี นิสัยใจคออย่างนี้สิ ก่อนหน้านี้เป็นข้าเข้าใจผิดไปเอง เพราะได้รับงานเขียนที่เจ้าส่งไปที่กองการคัดเลือกก่อน เพียงนึกว่าเจ้าเป็นพวกวางแผนรบบนกระดาษ คนที่ข้าส่งมาเฝ้าดูพฤติกรรมยามปกติของเจ้ามิได้กล่าวเกินจริงเลย…” จากนั้นยังไขความให้ฟังว่าได้รับงานเขียนของหลูจื้อเช่นไร และส่งคนมาสืบถามถึงความประพฤติของเขาเช่นไรอย่างละเอียดแล้ว เขากล่าวตบท้าย “ทว่าวันนี้ข้ากลับมิได้มาด้วยเรื่องเสนอชื่อเจ้า”

หนังตาของหลูจื้อพลันกระตุกทีหนึ่ง เขาจะขยับปากพูด ก็ได้ยินบุรุษวัยกลางคนเอ่ยต่อ “ผู้เป็นขุนนาง ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ แม้เจ้าจะรู้ว่าแบบแผนการบริหารราชการมีจุดไม่เหมาะสมอยู่มาก แต่กลับไม่เข้าใจว่านี่เป็นสภาวการณ์ดังคำกล่าวว่าดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าถึงข้าชื่นชมเจ้า ถึงเจ้าได้เข้าร่วมการสอบชุนเหวย หากแต่วันที่จะได้ลืมตาอ้าปากกลับห่างไกลจนไม่รู้จะมาถึงเมื่อไร”

หลูจื้อนิ่งเงียบไม่พูดจา รอเขากล่าวสืบไป “เจ้ามองดูขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น ขอแค่เป็นคนที่มาจากตระกูลยากจน เว้นแต่เป็นผู้ติดตามซึ่งร่วมเป็นร่วมตายเมื่อครั้งอยู่ในวังตะวันออก มีสักกี่คนกันที่สามารถทำการใหญ่และทูลทัดทานฮ่องเต้ได้จริงๆ หากพินิจจากอุดมการณ์ของเจ้า ได้รับเสนอชื่อเข้าร่วมการสอบชุนเหวยมิใช่หนทางที่ดีที่สุด ข้ายังมีอำนาจอยู่ในมือ จึงจะส่งเจ้าไปอยู่ในหมู่ลูกหลานขุนนาง รออีกสี่ปีให้หลังค่อยสอบอีกครั้ง เมื่อนั้นแม้เจ้ามีชาติตระกูลต่ำต้อย กลับไม่มีคนกล้าดูแคลน หรือไม่ยังสามารถคบหาผูกมิตรกับเชื้อพระวงศ์ได้ ไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบอีก”

กล่าวถ้อยคำนี้จบ บุรุษวัยกลางคนดื่มชาไปเงียบๆ ขณะที่ในหัวของหลูจื้อขบคิดทบทวนไปมาหลายสิบตลบ เมื่อเขาดื่มชาหมดถ้วย หลูจื้อลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับเขาอย่างยกย่อง

บุรุษวัยกลางคนหัวเราะร่า ยื่นมือไปปลดป้ายหยกม่วงชิ้นหนึ่งตรงบั้นเอวมาวางลงในมือหลูจื้อพลางกล่าว “สองสามวันนี้ไปหาข้าที่จวนได้” ว่าแล้วก็หมุนกายเดินอาดๆ จากไป

หลูจวิ้นนั่งอยู่ไม่ไกลเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกัน เพียงแต่คนคู่นี้คล้ายทายคำปริศนากันก็ไม่ปาน กล่าววาจากำกวมไม่ชัดเจน ทุกถ้อยทุกคำล้วนแฝงนัยเปรียบเปรย มิใช่ง่ายกว่าเขาจะฟังสองสามคำสุดท้ายเข้าใจ บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นอำลากลับไปแล้ว

“พี่ใหญ่ มันเรื่องอะไรกัน พี่รู้จักคนผู้นั้นหรือ” สองพี่น้องยืนอยู่หน้าประตูมองส่งบุรุษวัยกลางคนเดินห่างไปไกล หลูจวิ้นถึงฉุดหลูจื้อเข้าไปในห้อง และไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เขาคือใต้เท้าตู้ เสนาบดีกรมปกครองคนปัจจุบัน ตู้หรูฮุ่ย” หลูจื้อยกมุมปากขึ้น พลางเก็บหยกพกรูปพยัคฆ์ชิ้นนั้น

“หา?!” หลูจวิ้นเบิกตากว้างอ้าปากค้าง “ขะ…ขะ…เขาก็คือตู้ต้วน คนนั้น?”

หลูจื้อเดินไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะตัวเตี้ย ยกการินน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้วดื่มจนหมด รอเมื่อหลูจวิ้นหายจากอาการตกตะลึง เขาค่อยเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น

ที่แท้ในคืนวันที่สิบเอ็ดหลังจากหลูจื้อเข้าพำนักที่วัดหงฝู ได้ซักถามเรื่องขุนนางในราชสำนักจากจี้เต๋อที่ไปเยี่ยมเยือนสหายกลับมา หลังจากนั้นเขาคัดลอกงานเขียนที่ตระเตรียมไว้ก่อนสองฉบับโดยมีเนื้อความเหมือนกันทุกประการอยู่ทั้งคืน ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของการคัดเลือกขุนนางในราชวงศ์นี้ รวมถึงข้อเสียของระเบียบแบบแผนการเสนอชื่อบัณฑิตเข้าร่วมการสอบ ยังแจกแจงสภาพการเล่าเรียนและการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินของบัณฑิตยากจนกับทายาทผู้สูงศักดิ์ รวมถึงจาระไนผลร้ายต่างๆ นานาออกมาเป็นข้อๆ ได้สิบเอ็ดข้อ

หลังจากเขียนทั้งสองฉบับเสร็จ ทั้งที่รู้ว่าความเรียงที่เขียนขึ้นอาจใช้ถ้อยคำรุนแรง อีกทั้งมีเนื้อความขัดกับขนบดั้งเดิมเกินไป เขายังคงส่งฉบับหนึ่งไปที่กองการคัดเลือก เพียงจะใช้งานเขียนชิ้นนี้หยั่งดูปฏิกิริยาของกองงานที่เสนอชื่อบัณฑิตในปัจจุบันเท่านั้น หากว่าผู้คุมสอบส่วนใหญ่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์โบราณ จะต้องมาหาเขาตั้งแต่วันแรกเพราะสิ่งที่เขียนบรรยายอยู่ในนั้น ถ้าไม่เป็นดังนั้น เขาก็จะเอาฉบับที่สองที่เขียนเตรียมไว้ล่วงหน้าส่งไปยังจวนของตู้หรูฮุ่ย ขุนนางชื่อดังผู้ทรงคุณธรรมและมีอำนาจบารมีของราชวงศ์นี้ โดยเดิมพันว่าผู้ปราดเปรื่องแห่งราชสำนักจะยอมรับของความคิดของเขาได้ และค้นพบความสามารถและสติปัญญาของเขา

ฉบับที่ส่งไปที่กองการคัดเลือกถูกปฏิเสธในวันนั้นดังคาด เพียงคิดไม่ถึงว่ากลับมีผู้คุมสอบคนหนึ่งหยิบไปให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทรงอำนาจซึ่งเป็นสหายร่วมสำนักศึกษาของตนเองท่านหนึ่งอ่าน และขอให้เสนอชื่อเขา แม้นขุนนางท่านนั้นจะชื่นชอบความเรียงของหลูจื้อ แต่เขาส่งงานเขียนไปยังกองการคัดเลือกที่คร่ำครึก่อนเลยบังเกิดความไม่พึงใจต่อเขาอยู่บ้าง ด้วยนึกว่าเขาไม่เข้าใจงานราชการ เป็นพวกวางแผนการรบบนกระดาษ ถึงต่อหน้าจะตกปากรับคำผู้คุมสอบคนนั้น ลับหลังกลับส่งคนไปสืบดูประพฤติกรรมของเขาในวัดที่อาศัยอยู่

เมื่อวานคนที่มาสืบข่าวกลับไปรายงานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านนั้น เมื่อได้รู้ว่าเขามีความประพฤติดี และหลายวันมานี้มิได้แสดงท่าทางเย่อหยิ่งถือดีหรือร้อนรนใดๆ ถึงได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขา ทว่าเมื่อคืนตอนขุนนางท่านนี้อ่านงานเขียนที่ถูกส่งมาที่จวนทุกวัน กลับพบชิ้นหนึ่งที่เหมือนกับฉบับก่อนหน้านั้นทุกประการ มันเป็นงานเขียนฉบับที่สองที่หลูจื้อส่งมาให้ หลังจากเขาเทียบงานเขียนสองฉบับของหลูจื้อที่ตกมาอยู่ในมือเขาทั้งก่อนและหลัง ก็ตรึกตรองอยู่ตลอดราตรีถึงตกลงปลงใจได้ และตั้งใจมาหาหลูจื้อในวันนี้ หลูจื้อเองเพิ่งได้รู้จากปากอีกฝ่ายว่าได้เห็นงานเขียนฉบับแรกของตนก่อน

แล้วขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ก็คือตู้หรูฮุ่ยนั่นเอง

“โอ๊ย! ซับซ้อนยอกย้อนแบบนี้ ข้าฟังจนเวียนศีรษะไปหมด พี่ใหญ่ วันนี้ใต้เท้าตู้นั่นมาแจ้งให้รู้ว่าพี่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยได้แล้วหรือ”

“มิใช่ ข้าไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยแล้ว” น้ำเสียงของหลูจื้อเจือรอยผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก

“อะไรนะ!” หลูจวิ้นตกใจจนลุกพรวดขึ้นเอะอะโวยวายทันที “พี่บอกว่าพี่ไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวย แล้วพี่ตั้งใจจะทำอะไร”

“เล่าเรียนต่อ”

“เอ๊ะ! หือ?” หลูจื้อสงสัยว่าหูของตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ไฉนเขาได้ยินพี่ชายพูดว่าจะเล่าเรียนต่อ

“ที่สำนักศึกษาหลวง ข้าจะเล่าเรียนต่อในสำนักศึกษาหลวง” หลูจื้อรินน้ำชาอีกถ้วยหนึ่งดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะตัวเตี้ย

หลังจากพวกหลูซื่อพำนักอยู่ในคฤหาสน์เสียนหรงแล้วไม่ได้พบหน้าคุณชายฉางติดต่อกันหลายวัน ถามไถ่บ่าวไพร่ก็ได้รับคำตอบแค่ว่าไม่รู้ ไปหาพ่อบ้านหลี่หลายหน เขาล้วนตอบเฉไฉว่าคุณชายออกไปสะสางธุระข้างนอก ยังไม่กลับมาทุกคราไป

เรื่องทะเบียนเรือนกลับจัดการได้อย่างราบรื่นในไม่กี่วันต่อมา ตอนพ่อบ้านหลี่นำมาให้ ยังพาไปนอกเมืองดูที่นาอุดมสมบูรณ์ที่ปันส่วนให้พวกนางสิบหมู่ หลูซื่อยกภูเขาออกจากอกได้ในที่สุด แม้ยังหวังว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นขนาดนี้ และหวนนึกถึงคำพูดเย็นชาของคุณชายฉางในห้องโถงวันนั้น นางค่อยๆ เลิกรบเร้าถามว่าเขาไปไหนอีก

อี๋อวี้เริ่มต้นปลูกต้นปั้วเหอในวันที่สองที่ย้ายเข้ามา เด็กรับใช้หน้าดำนามว่า ‘หลี่เล่อ’ ถูกพ่อบ้านหลี่ซึ่งเป็นบิดาเขาส่งตัวมาเป็นลูกมือ เมื่อได้รับคำร้องขอจากอี๋อวี้ ต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่รู้ชื่อทางทิศตะวันตกของเรือนโยวย่วนถูกถอนออกจนโล่งเตียน ทั้งยังส่งคนมาพรวนดินและถมหน้าดินให้โดยเฉพาะ ปรับเปลี่ยนให้เป็นแปลงดอกไม้ที่ใหญ่กว่าแปลงผักเล็กๆ ในลานเรือนสกุลหลูที่หมู่บ้านเค่าซานถึงสองเท่ากว่า

หลูซื่อมีใจสำนึกบุญคุณ กลัวว่าพอเปลี่ยนที่ทาง เจ้าต้นนี้จะปลูกไม่ขึ้น ทำให้ผู้อื่นหลงดีใจเปล่า พอเริ่มเพาะเมล็ดแล้วยังเฝ้าเอาใจใส่เสียยิ่งกว่าบุตรสาว หาได้รู้ไม่ว่านางลักลอบทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างอยู่ใต้จมูกตน

การทำไร่ไถนาในพื้นที่ด่านในโดยมากจะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ หลูซื่อใจจดใจจ่อกับเรื่องการทำนา เมื่อหลายวันก่อน นางว่าจ้างชาวนาสามสี่คนจากหมู่บ้านในละแวกตำบลหลงเฉวียน จากนั้นไปอยู่ที่แปลงนากับหลิวเซียงเซียงทุกวัน ดังนั้นตอนกลางวันจึงเหลืออี๋อวี้อยู่ในเรือนหลังเล็กคนเดียว

ตำบลหลงเฉวียนนี้กว้างใหญ่กว่าตำบลจางสี่ห้าเท่า ตั้งแต่เข้ามาอาศัยได้ครึ่งเดือน อี๋อวี้ออกจากเรือนไปเดินเที่ยวรอบๆ เสมอ และได้รู้ว่าวันแรกที่พวกนางมาถึงนั้นเข้ามาจากด้านท้ายตำบล จะอย่างไรที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง จึงคึกคักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอำเภอชิงหยางที่สู่จงเลย ฝั่งปากทางเข้าตำบลเป็นร้านรวงต่างๆ มากกว่าครึ่ง ยังมีร้านอาหารกับโรงเตี๊ยมสองแห่ง ถัดเข้ามาตรงกลางจะเป็นเรือนใหญ่โตแบบเดียวกับคฤหาสน์เสียนหรงทั้งหมดห้าหลัง ส่วนท้ายตำบลเป็นเรือนชาวบ้านเรียงรายติดกันหลายแถวที่พวกนางมองเห็นเมื่อแรกมาถึง

นอกจากซื้อเมล็ดพันธุ์และจ้างคนแล้ว หลูซื่อยังเหลือเงินอีกสองก้วน นางก็ซื้อหมึกกับพู่กันจากร้านค้าในตัวตำบลมาให้อี๋อวี้ฝึกเขียนตัวอักษร ครั้นหลิวเซียงเซียงที่ไม่รู้หนังสือสักตัวได้แต่มองดูอี๋อวี้ตื่นนอนแต่เช้าหัดคัดลายมือด้วยแววตาอิจฉาตกอยู่ในสายตาของหลูซื่อ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะกลับมาถึงเย็นย่ำปานใด นางจะสอนให้เด็กสาวอ่านเขียนคำที่ใช้บ่อยๆ ทุกวัน

 

วันนี้หลังจากหลูซื่อออกไปข้างนอกพร้อมกับหลิวเซียงเซียง อี๋อวี้นั่งอยู่ในห้องปีกด้านข้างคัดตัวอักษร ในห้องโถงไม่มีเครื่องเรือนอย่างโต๊ะหนังสือ แต่มีโต๊ะไม้แดงตัวใหญ่ รวมถึงม้านั่งหุ้มต่วนตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับโต๊ะยาวขาเตี้ยมุมขอบสากขรุขระที่นางใช้ในกาลก่อนแล้ว นับว่าสภาพดีกว่ามิใช่แค่สองเท่า

เพราะไม่ได้หยิบหนังสือตำราในเรือนติดตัวมา นางเลยเขียนบทประพันธ์ที่หลูจื้อท่องจำเมื่อก่อนจากความทรงจำ ตัวอักษรที่เขียนวันนี้ไม่ใช่ตัวบรรจงปกติที่มีรูปทรงเหลี่ยมๆ แข็งๆ เหมือนที่ผ่านมา หากแต่เป็นตัวบรรจงเล็กที่อ่อนช้อยกว่า กระนั้นจะบอกว่าเป็นตัวบรรจงเล็กก็ยังมีที่ข้อต่างกันอยู่ ยุคโบราณมีนักเขียนอักษรวิจิตรโด่งดังอยู่หลายคน ทว่าคนที่ช่ำชองการเขียนตัวอักษรแบบนี้มีอยู่คนสองคนเท่านั้น ทั้งยังเป็นอักษรเสี่ยวข่ายหัวแมลงวัน* ทั้งสิ้นอี๋อวี้เคยเห็นแผ่นคัดตัวอักษรประเภทนี้มาก่อน แต่ไม่ใคร่จะชอบลายเส้นที่เบียดชิดกันเกินไป อีกอย่างนางสั่งสมพื้นฐานได้แน่นแล้ว เลยมีความคิดที่จะศึกษาวิธีการเขียนตัวบรรจงขนาดเล็กมาแต่แรก เพียงแค่ว่าพักนี้เพิ่งมีเวลาว่างถึงได้เริ่มต้นฝึกฝน

นางตั้งสมาธิแน่วแน่อยู่กับการตวัดปลายพู่กันลงบนกระดาษจนลืมเลือนสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ จวบจนเขียนเต็มหน้ากระดาษอีกแผ่นหนึ่ง ถึงได้ยินเสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังมาจากนอกเรือน นางหยิบถ้วยชาเปล่าทับกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องโถง

เพิ่งก้าวไปถึงหน้าเรือนตั้งท่าจะเปิดประตู กลับได้ยินเสียงสนทนาของคนสองคนจากอีกฟากหนึ่ง นางอดหยุดนิ่งไปไม่ได้

“ท่านพ่อก็จริงๆ เลย เหตุใดต้องให้พวกเรามาส่งของด้วย เนิ่นนานปานนี้ยังไม่มาเปิดประตู ข้าเคาะจนเมื่อยมือไปหมดแล้ว ช่างน่าชังเสียจริง”

“นั่นน่ะสิ กลางวันแสกๆ ไม่รู้ว่าปิดประตูทำอะไร”

สุ้มเสียงของเด็กสาวสองนางนี้แปลกหูมาก อี๋อวี้มั่นใจว่าตนเองไม่เคยได้ยินมาก่อน สำหรับเหตุผลว่าเพราะอะไรต้องปิดประตูเรือนนั้น ต้องเท้าความไปเมื่อวานซืนมีแมวป่าแอบวิ่งเข้ามาทางหน้าประตู ต้นปั้วเหอที่นางเพิ่งปลูกในแปลงดอกไม้เกือบถูกมันคุ้ยเขี่ยจนล้มระเนระนาด จึงต้องปิดประตูทุกวันเพื่อกันเจ้าแมวป่าตัวนั้น

“ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายคิดอย่างไรกัน จะรับคนบ้านนอกพวกนี้ไว้ก็ช่างเถิด ยังยกเรือนโยวย่วนให้พวกนางพักอีก เป็นการเหยียบย่ำสถานที่ดีๆ แห่งนี้เปล่าๆ” เสียงพูดของนางไพเราะรื่นหู แต่วาจาเจือรอยเหยียดหยัน

“พี่ฮวนฮวน พี่ว่าคุณชายคงจะไม่ได้ถูกตาต้องใจแม่นางคนที่คางแหลมๆ นั่นกระมัง”

คางแหลมๆ?

อี๋อวี้จับๆ ที่ปลายคางสั้นๆ กลมๆ ของตนเองโดยไม่ทันคิด รู้ดีแก่ใจว่าคนที่ปากพวกนางเอ่ยถึงคือหลิวเซียงเซียง

“เพ้ยๆๆๆ พูดเหลวไหลอะไร คุณชายถูกตาต้องใจนางได้อย่างไรกัน อายุมากกว่าพวกเราตั้งหลายปีไม่ว่า ยังดูมีจริตมารยาไม่เหมือนบุตรสาวในตระกูลดีๆ อย่ากล่าวส่งเดช ข้าได้ยินน้องชายข้าบอกว่าคุณชายให้พวกนางอยู่ที่นี่ เพราะต้นที่ชื่อว่า…ชื่อว่า…เฮ้อ ข้าช่างลืมง่ายเสียจริง เอาเป็นว่าเป็นต้นไม้ดอกไม้อะไรสักอย่างหนึ่งก็แล้วกัน รอประเดี๋ยวข้าไปถามนางอีกที”

อี๋อวี้มุ่นหัวคิ้วแน่น ไฉนสาวใช้สองนางนี้ปากเปราะอย่างนี้ หลิวเซียงเซียงมีจริตมารยาที่ไหนกัน ในสายตานางกลับเห็นว่าโฉมงามผุดผาดมาก

“คิกๆ ข้าว่าไว้ไม่ผิด คนอย่างคุณชายของพวกเรา มิใช่พวกหญิงชาวบ้านพูดจาแปร่งๆ จะคู่ควร…”

สาวใช้คนนั้นยังกล่าวไม่จบ เห็นประตูเรือนตรงหน้าเปิดออกกะทันหันก็อ้าปากค้าง นางกับสาวใช้อีกคนหนึ่งที่หยุดเสียงหัวเราะเยาะไม่ทันพากันหันไปมองคนที่อยู่ด้านในประตูอย่างตะลึงงัน พอเห็นอี๋อวี้ยืนจ้องพวกนางด้วยหน้าตามึนตึง บันดาลให้ทั้งสองหน้าแดงก่ำทันใด

“มิใช่อะไรนะ” อี๋อวี้ฟังพวกนางยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าหูถึงเปิดประตูออก นางเงยหน้าขึ้นเหยียดมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาคมปลาบดุจมีดเล่มน้อยมองตวัดไปที่ร่างเด็กสาวทั้งสอง จดจำได้ทันทีว่าพวกนางคือสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้ตอนเพิ่งมาถึงที่นี่ คนทางซ้ายมีวงหน้างามน่ารักสักหน่อย ดูเหมือนว่าในวันนั้นก็เป็นนางที่ทำสายตาแปลกๆ

“เมื่อครู่นี้พี่สาวทั้งสองพูดกันอย่างสนุกปากเลยมิใช่หรือ เหตุใดไม่คุยกันต่อเล่า ข้าจะได้ฟังด้วย” เห็นพวกนางไม่กล่าวตอบ เพียงก้มหน้าลอบเหลือบตามองมา รอยยิ้มของอี๋อวี้ขยายกว้างยิ่งขึ้นขณะกล่าว “ข้ายังนึกว่ามีแต่สตรีปากมากอายุสี่ห้าสิบที่ชมชอบซุบซิบนินทาคนอื่นลับหลัง คิดไม่ถึงว่าพี่สาวโฉมงามเหมือนดอกไม้ทั้งสองจะเป็นแบบเดียวกัน”

สาวใช้สองนางยิ่งก้มหน้างุด ต่างมิได้สังเกตว่าอี๋อวี้พูดด้วยสำเนียงชาวเมืองหลวงอย่างชัดถ้อยชัดคำ

อี๋อวี้รู้ดีว่าจากสภาพการณ์ในยามนี้ ตนเองยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง อีกทั้งผู้ที่มีบุญคุณต่อพวกนางแม่ลูกไม่ใช่สาวใช้เหล่านี้ นางไม่มีความคิดจะก้มหน้าเจียมตน ปล่อยให้คนอื่นนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ได้ และเพื่อป้องกันมิให้คนถ่อยปากเปราะพูดจาว่าร้ายพวกนางแม่ลูกสามคนจนไม่เหลือชิ้นดี เลยหมายใจจะให้บทเรียนกับพวกนาง

ดังนั้นนางชะโงกตัวออกไป ยื่นหน้าเล็กๆ เข้าไปใกล้กะทันหันจนห่างจากพวกนางสามสี่ชุ่น แล้วค่อยๆ แย้มปากอวดไรฟันขาววาววับ กระซิบพูดกับพวกนาง “พี่สาวทั้งสองรู้อะไรไหม ได้ยินว่าพวกปากไม่ดีแล้วยังชอบนินทาลับหลัง พอตายแล้วต้องตกนรกขุมที่ถูกดึงลิ้น” เห็นพวกนางหน้าเผือดลงทันควัน อี๋อวี้หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น พูดต่อไปด้วยสุ้มเสียงเบาลงๆ “ที่นั่นนะ จะมีผีน้อยหน้ายาวมาง้างปากพวกท่าน ใช้คีมเหล็กยาวๆ หนีบลิ้นดึงออกมา แล้วไม่ใช่ดึงให้หลุดออกมาทีเดียวนะ แต่จะดึงให้ยืดออกมายาวขึ้นทีละน้อยๆ ช้าๆ…”

พูดอยู่ดีๆ นางพลันเหลือกตาขึ้น อ้าปากแลบลิ้นออกมายาวๆ

“ว้าย!” ตอนแรกสองสาวใช้ถูกอี๋อวี้จับผิดได้ จะตัดบทนางก็ใช่ที่ จำต้องฟังไปเรื่อยๆ แต่นางยิ่งเล่ายิ่งน่ากลัว ซ้ำจู่ๆ ยังทำแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีก สุดท้ายทั้งคู่กรีดร้องขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ โยนของในมือทิ้งแล้ววิ่งหนีไปเลย

อี๋อวี้มองตามแผ่นหลังของสาวใช้สองคนที่วิ่งห่างไปไกล ค่อยๆ เลิกทำหน้าผีหลอก นางแค่นเสียงขึ้นจมูกดังฮึ ก้มลงเก็บถุงสะพายสีเข้มที่พวกนางทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาปัดฝุ่นที่ติดอยู่ออก และเดินกลับเข้าไปข้างในพร้อมปิดประตูเรือนเสียงดังปึ้ง

 

อี๋อวี้วางถุงสะพายบนโต๊ะไม้แดงแล้วเปิดออก ข้างในเป็นเข็มกับด้ายและผ้าเนื้อดีที่หลูซื่อไหว้วานให้พ่อบ้านหลี่ซื้อมาจากเมืองฉางอันดังคาด

นางนึกไปถึงบทสนทนาของสาวใช้สองนางนั้นอีกครา คลับคล้ายว่าหนึ่งในนั้นที่มีรูปโฉมสะสวยกว่าจะเป็นบุตรสาวของพ่อบ้านหลี่ พี่สาวของหลี่เล่อเด็กรับใช้หน้าดำ นางเปรียบเทียบกิริยาวาจาของพวกเขาสามคนแล้วนึกอยู่ในใจว่าไม่เหมือนคนครอบครัวเดียวกันจริงๆ

นางเก็บของขึ้นอย่างเรียบร้อยแล้วคิดจะคัดลายมือต่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขัดอารมณ์ไม่มากก็น้อย หลังจากนางตวัดพู่กันเขียนอักษรตัวที่สองผิดก็หยุดมือ คิดคำนึงว่าตอนมารดาไปเมื่อเช้านี้บอกว่าจะกลับมาตอนกลางวัน ขณะนี้จวนเที่ยงตรงรอมร่อ ได้เวลาสมควรจุดเตาแล้ว นางเก็บของบนโต๊ะแล้วลุกไปยังห้องครัวที่อยู่ติดกัน

สิ่งที่อี๋อวี้ถูกอกถูกใจในเรือนหลังนี้ที่สุดเห็นทีว่าจะเป็นห้องนี้ เทียบกับห้องครัวโกโรโกโสตอนพวกนางอยู่ที่ชนบท ห้องครัวนี้ทั้งกว้างขวางกว่า และมีเครื่องไม้เครื่องมือหุงหาอาหารครบถ้วน

อี๋อวี้เพิ่งหอบฟืนมาจะจุดไฟ ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางวิ่งออกไปเปิด เห็นหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงยืนเช็ดเหงื่ออยู่หน้าประตู

“ทำไมกลับมาเร็วแบบนี้เจ้าคะ” เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว นางกระวีกระวาดรินน้ำยกมาให้คนทั้งสอง

หลูซื่อดื่มน้ำในถ้วยหมดรวดเดียว นางยกแขนเสื้อโบกลมพลางกล่าวตอบ “เกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้านของคนที่พวกเราว่าจ้างมาทำนาน่ะสิ มีเด็กคนหนึ่งมาส่งข่าวที่แปลงนา พวกเขาเลยกลับไปกันหมด”

อี๋อวี้ถามด้วยความอยากรู้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”

“ดูเหมือนเป็นเพราะไร่ผืนหนึ่งที่เชิงเขาทิศใต้” หลูซื่อถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ปีก่อนหลายๆ ครอบครัวในหมู่บ้านของพวกเขารวมเงินกันซื้อไร่ตรงเชิงเขาทิศใต้ผืนหนึ่งตั้งใจจะปลูกต้นหม่อน พอเข้าฤดูหนาวก็เพาะต้นกล้า แต่ถึงฤดูใบไม้ผลิกลับเริ่มเน่าตาย ดูเหมือนว่าวันนี้ตอนคนที่คอยดูแลอยู่ไปดูแล้วมีตายเพิ่มขึ้นมาก ถึงได้เริ่มใจคอไม่ดี ลูกจ้างทำนาของพวกเราล้วนมีส่วนอยู่ในไร่ผืนนั้นด้วย พวกเขาเอะอะว่าจะกลับเรือนแล้วไปหาคนขายพร้อมกับคนในหมู่บ้านเพื่อขอเงินคืน”

หลิวเซียงเซียงกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง “จะว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก หลังจากพวกเขาไปแล้ว ข้าคุยกับเด็กที่มาส่งข่าวคนนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนขายไร่เป็นใคร ก็จวนสกุลสวี เรือนฝั่งตรงข้ามกับเรือนที่พวกเราอยู่ตอนนี้อย่างไรเล่า ข้าดูพวกเขามีทั้งเงินทองอิทธิพล ในเมื่อขายไปแล้ว เกรงว่าไม่มีทางคืนเงินให้พวกเขาเด็ดขาด”

อี๋อวี้ฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อจบ มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้าในหัวแต่แรก บัดนี้ได้ฟังคำพูดของหลิวเซียงเซียงอีก เพียงรู้สึกว่าความคิดวูบนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วลุกไปทำอาหารในห้องครัว ทิ้งนางนั่งเท้าคางใจลอยอยู่ตามลำพังในห้อง

 

กินอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ทั้งสามคนนั่งทำงานฝีมืออยู่ในห้องนอน หลิวเซียงเซียงอยู่ในตำบลจางนานสี่ปี ทุกวันแค่คอยดูแลการกินการอยู่ของเจิ้งลี่ ไม่เคยได้ฝึกเย็บปักถักร้อย วันนี้เห็นหลูซื่อเตรียมของออกมา บอกว่าจะสอนวิชาปักผ้าประจำตระกูลให้ นางร่ำไห้ด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีอย่างสุดระงับ จนโดนอี๋อวี้จงใจพูดหยอกล้อสองสามคำถึงห้ามน้ำตาไว้ได้

หลูซื่อเลือกเข็มกับด้ายพร้อมกับสะดึงขนาดกลางวงหนึ่งยื่นส่งให้อี๋อวี้พลางบอก “ยังไม่ได้ซื้อสะดึงวงใหญ่ เจ้าปักลายง่ายๆ ทำเป็นพวกผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้าก่อน ฝีมือเย็บปักของเจ้าใช้ได้แล้ว รอไว้พวกเราเก็บเงินซื้อโต๊ะปักผ้าได้ ค่อยสอนเจ้าปักลายใหญ่”

อี๋อวี้ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย หลายปีมานี้นางปักพวกลายง่ายๆ จนเบื่อหน่ายแล้ว ข้อแรกเพราะในเรือนไม่มีโต๊ะปักผ้า ข้อสองคือหลูซื่อพูดเสมอว่าฝีมือของนางยังไม่ช่ำชองพอ ทำให้ไม่มีโอกาสปักลายใหญ่เรื่อยมา หญิงสาวคนอื่นๆ จะคิดเช่นไรก็สุดรู้ แต่อี๋อวี้เห็นการทำงานปักผ้าเป็นความสนุกรื่นรมย์ ทั้งฝึกฝนความอดทน ทั้งเป็นการฆ่าเวลา พอทำเสร็จแล้วยังขายแลกเป็นเงินได้อีก มันจึงเป็นความชื่นชอบสนใจอีกอย่างหนึ่งของนางนอกเหนือจากคัดลายมือ

แม้หลิวเซียงเซียงเย็บปักถักร้อยไม่เป็น กลับรู้ว่างานที่ทำด้วยโต๊ะปักผ้าต้องยากกว่าใช้สะดึงอย่างมาก นางไม่แจ่มแจ้งเรื่องฝีมือของอี๋อวี้ ตอนแรกที่ได้ยินหลูซื่อกล่าวเช่นนี้ เพียงนึกไปว่าอีกฝ่ายล่อหลอกอี๋อวี้เล่นๆ รอเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามเศษ นางได้รับคำชี้แนะจากหลูซื่อจนปักลายดอกท้อออกมาได้หนึ่งดอกแบบถูๆ ไถๆ แล้วแบ่งความสนใจไปดูอี๋อวี้ มองเห็นบนสะดึงในมือเด็กหญิงมีนกน้อยหางยาวหัวสีขาวประณีตน่ารักขนาดเท่าหัวแม่มือคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมา ลำตัวนกน้อยสองตัวปักด้วยด้ายสีเขียวสดแทรกสลับกับสีแดง ดูสมจริงราวกับมีชีวิตโดยแท้

“ท่าน…ท่านแม่บุญธรรม” เมื่ออี๋อวี้ถอดสะดึงออกแล้วเริ่มเย็บริมผ้า หลิวเซียงเซียงถึงหันหน้าไปถามหลูซื่ออย่างตะกุกตะกัก “นี่…นี่เสี่ยวอวี้หัดมานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ”

เข็มกับด้ายในมือของหลูซื่อไม่หยุดชะงัก นางเอ่ยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “สักสี่ห้าปีแล้ว”

หลิวเซียงเซียงชี้ไปที่อี๋อวี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางถาม “พักก่อนเสี่ยวอวี้เพิ่งฉลองวันคล้ายวันเกิดครบเก้าขวบมิใช่หรือ นางเริ่มหัดทำสิ่งนี้ตอนสี่ขวบ?”

หลูซื่อเงยหน้าส่งยิ้มให้นาง “ไม่นับว่าเร็วเกินไป ข้าเองก็เริ่มฝึกเย็บปักถักร้อยตอนห้าขวบ เพียงแต่นางมีความจำดีกว่า ผิวหนังถลอกก็ไม่ร้องเจ็บ ตอนข้าเล็กๆ นะถือเข็มกับด้ายไปร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลกับท่านแม่เป็นประจำเลย” ว่าแล้วก็หันไปมองอี๋อวี้ เห็นเด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้ายิ้มยิงฟันให้ สีหน้านางยิ่งอ่อนโยนขึ้น

หลิวเซียงเซียงรู้ว่าอี๋อวี้เคยปัญญาอ่อนอยู่นานหลายปี หลูซื่อนั้นย้ายมาจากต่างถิ่นตอนนางเยาว์วัย หลังจากพบว่าอี๋อวี้สติปัญญาไม่สมประกอบ ในหมู่บ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนบังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่มากก็น้อย ทั้งเห็นอกเห็นใจ รังเกียจเดียดฉันท์ และสมน้ำหน้า นางเป็นคนค่อนข้างสุภาพอ่อนน้อม ถึงยามนั้นอายุยังน้อย ก็ไม่ได้เรียกอี๋อวี้ว่า ‘คนปัญญาอ่อน’ ตามพวกเด็กเกเร แค่นึกสงสารแม่นางน้อยที่พูดไม่เป็นคนนี้อยู่ในใจ

ต่อมาเป็นปีใดก็จำไม่ได้แล้ว จู่ๆ อี๋อวี้ก็หายเป็นปกติ สกุลหลิวกับสกุลหลูนั้นเรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันออก เรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันตก ธรรมดาไม่ใคร่ได้ไปมาหาสู่กัน อี๋อวี้ในความทรงจำของนางยังคงเป็นวันนั้นที่เจิ้งลี่ส่งคนมาที่หมู่บ้านแล้วหลูซื่อชักจูงให้ชาวบ้านระดมเงินให้ครอบครัวนาง นางมองเห็นหลูจื้อกับอี๋อวี้นั่งอยู่ด้วยกันตรงธรณีประตูพูดคุยกันอย่างสนิทสนมในลานเรือนสกุลหลู คนที่ถูกพี่ชายแท้ๆ เอาไปขายอย่างนาง เพียงรู้สึกอิจฉาสุดจะเปรียบ

ไม่คาดว่าสี่ปีให้หลังกลับได้พบกับพวกนางแม่ลูกอีกครั้งหนึ่งในจวนสกุลจาง ทั้งเกิดเหตุพลิกผันจนต้องหลบหนีออกมาด้วยกัน ในครั้งนั้นนางซาบซึ้งใจในตัวหลูซื่ออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากว่าจะรับนางเป็นบุตรสาว นางถึงตอบตกลงอย่างปราศจากความลังเลใดๆ

มาตรว่าจะละทิ้งบ้านเดิมมายังสถานที่แปลกถิ่นแห่งนี้ ช่วงที่ผ่านมานางยังต้องลงนาทำงานทุกวัน เหนื่อยล้าจนกลับมาก็อยากทิ้งตัวลงนอน มิได้สุขสบายกว่าตอนเป็นสาวใช้ห้องข้างของเจิ้งลี่ ทว่านางชมชอบชีวิตเช่นนี้ มีญาติพี่น้องห่วงใย มีคนพูดคุยด้วยความเข้าอกเข้าใจ ยังมีคนสอนให้นางอ่านออกเขียนได้ ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงชีวิตแบบนี้เลยด้วยซ้ำ

“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะเย็บชุดให้พี่เซียงเซียง จะใช้ผ้าสีไหนเจ้าคะ” อี๋อวี้วางของในมือลงด้านข้าง ชะโงกตัวไปรื้อในถุงสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย มองเห็นผ้าสำหรับทำอาภรณ์สองสีจึงถามขึ้น

“สีบัวโรย ส่วนชิ้นสีขาวงาช้างนั่นตั้งใจจะทำเป็นเสื้อตัวในให้พวกเจ้าสองคน” หลูซื่อเงยหน้ามองอี๋อวี้แวบหนึ่งแล้วสังเกตเห็นว่าหลิวเซียงเซียงใจลอยอยู่ นางหัวร่อแผ่วๆ ตบหน้าผากบุตรสาวบุญธรรมแล้วพูด “เป็นอะไรไป ทำตามอย่างอี๋อวี้เสียแล้ว ชอบเหม่อลอยบ่อยๆ”

แววเลื่อนลอยเคว้งคว้างในดวงตาของหลิวเซียงเซียงเพราะหวนประหวัดถึงอดีตจางหายไป นางหมุนกายไปเม้มปากยิ้มกับหลูซื่อ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม ท่านสอนตรงนี้ให้ข้าอีกทีเถอะ ข้าปักไม่ดีอยู่เรื่อย” กล่าวจบนางชี้นิ้วไปที่ลายดอกท้อบิดๆ เบี้ยวๆ บนสะดึงที่ถืออยู่ ก้มศีรษะน้อยๆ ทำท่าตั้งใจฟัง

หลูซื่อเริ่มชี้แนะนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หาได้สังเกตเห็นประกายน้ำที่วาบขึ้นในดวงตานางตอนก้มหน้าลง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: