บทที่สิบเจ็ด
เมื่อวันที่ห้าเดือนสามในปีรัชศกเจินกวนที่หนึ่ง สำนักการศึกษาของราชวงศ์นี้ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อใช้เป็นสถานที่ที่เล่าเรียนคัมภีร์และศาสตร์ความรู้ต่างๆ ของสำนักข่งจื่อ สำนักการศึกษายังเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าสำนักศึกษาหลวง มีสำนักศึกษาภายใต้สังกัดห้าสำนัก คือ ไท่เสวีย ซื่อเหมินเสวีย ซูเสวีย ซ่วนเสวีย และลวี่เสวีย ในบรรดาห้าสำนักนี้ สำนักไท่เสวียกับสำนักซื่อเหมินเสวียซึ่งรับแต่บัณฑิตที่เข้าสอบรับราชการในระดับหมิงจิงกับจิ้นซื่อมีจำนวนลูกศิษย์มากที่สุด และนอกจากสำนักลวี่เสวียแล้ว สี่สำนักที่เหลือล้วนรับเฉพาะเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีอายุสิบสี่ถึงสิบเก้าปีเท่านั้น
คัมภีร์สำนักข่งจื่อแบ่งเป็นต้นกลางปลายสามระดับรวมเก้าเล่ม ลูกศิษย์ของทั้งห้าสำนักต้องเลือกอย่างน้อยสองเล่ม อย่างมากห้าเล่มเพื่อศึกษาท่องจำ ส่วนศาสตร์ทั้งหกของสำนักข่งจื่อได้แก่ จารีต ดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า เขียนอักษร และคำนวณล้วนต้องเรียนรู้ฝึกฝน
เมื่อแรกที่ก่อตั้งสำนักไท่เสวียขึ้นมีลูกศิษย์ห้าร้อยคน เป็นลูกหลานของเหล่าเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางขั้นสามขึ้นไป ขณะที่สำนักซื่อเหมินเสวียมีลูกศิษย์หนึ่งพันสามร้อยคน เป็นลูกหลานของขุนนางเมืองหลวงขั้นเจ็ดขึ้นไป
รัชศกเจินกวนปีที่สาม เถาเหวินเจี้ยน เสนาบดีกรมพิธีการได้ถวายฎีกาทูลขอให้สำนักการศึกษาเริ่มรับสามัญชนที่มีสติปัญญาล้ำเลิศและยังมีอายุไม่ครบสิบหกปีเข้าเล่าเรียนศึกษา โดยให้ผู้ปราดเปรื่องทรงคุณธรรมชื่อดังเสนอชื่อแล้วส่งตัวเข้าสู่สำนักซื่อเหมินเสวียเป็นที่แรก
ในสำนักศึกษาหลวงจัดการสอบสามประเภทคือ สอบย่อยทุกสิบวัน สอบใหญ่ปลายปี และสอบไล่เพื่อสำเร็จการเล่าเรียน ผู้มีผลสอบประจำปีดีเด่นของสำนักซื่อเหมินเสวีย จะได้รับเลือกเข้าสู่สำนักไท่เสวียสามคน ในทางกลับกันผู้มีผลสอบต่ำที่สุดของสำนักไท่เสวียก็ต้องถูกย้ายไปที่สำนักซื่อเหมินเสวีย
ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงคนใดก็ตามที่เล่าเรียนครบสี่ปีและเป็นผู้มีผลสอบดีเด่นจากการสอบไล่ และผ่านการพิจารณาคุณสมบัติแล้ว ขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสำนักการศึกษาหรืออาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาหลวงจะคัดเลือกสิบคนเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งของปีนั้นได้โดยตรง
เด็กหนุ่มรูปงามในชุดเสื้อคลุมยาวซ้อนผ้าโปร่งสีม่วงอ่อนมือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งถือตำราอ่านอยู่ในศาลารับลมทรงสี่เหลี่ยมมุงกระเบื้องสีเทาอมเขียว เสียงโห่ร้องของบุรุษคละเคล้าเสียงร้องด้วยความตกใจของสตรีดังลอยมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ ทว่าไม่อาจรบกวนสมาธิของได้แม้สักกระผีก
ตราบจนเสียงฝีเท้าสับสนปะปนเสียงถกเถียงกันระลอกหนึ่งดังเข้ามาใกล้ เขาถึงขมวดคิ้วน้อยๆ เบนสายตาออกจากตำราในมือ
เด็กหนุ่มเด็กสาววัยสิบห้าสิบหกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาตามระเบียงเขียนลายที่พันพาดไปด้วยกิ่งไม้เขียวขจี สองคนที่สาวเท้านำอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี ดวงตาเป็นประกายสดใส รูปโฉมหล่อเหลา ถึงแม้เด็กสาวข้างกายจะแต่งกายด้วยชุดแพรไหมก็ไม่อาจบดบังรัศมีของเขาในอาภรณ์เรียบง่ายได้ นางมีเรือนร่างอรชร อิริยาบถงดงาม มาตรว่าท่วงท่าเยื้องย่างปราดเปรียว แต่สีหน้าทะนงตน
ทั้งคู่เดินโต้เถียงกันมาตลอดทางจนถึงศาลารับลม มีคนเดินกระจัดกระจายตามหลังพวกเขาไม่ต่ำกว่าสิบคน ชั่วอึดใจโถงศาลางามวิจิตรที่คับแคบแต่เดิมก็แลดูแออัดเบียดเสียดขึ้นมา
หลูจื้อปิดตำราในมือ ลุกขึ้นยืนโค้งกายน้อยๆ คารวะเด็กสาวที่นั่งลงด้านข้างตนเองผู้นั้นอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม “องค์หญิง”
เด็กสาวเบื้องหน้าผู้นี้คือพระธิดาน้อยที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานที่สุด…องค์หญิงเกาหยาง นับแต่หลูจื้อย้ายจากสำนักซื่อเหมินเสวียเข้าสู่สำนักไท่เสวียเมื่อหนึ่งปีก่อน ก็ต้องพบปะพูดคุยกับพระธิดาผู้สูงส่งซึ่งมักเป็นฝ่ายมาหาเขาเองพระองค์นี้
ใบหน้าของเกาหยางยังฉายแววฉุนเฉียว ขณะถลึงตาใส่หลูจวิ้นที่ทำหน้าข่มกลั้นความโกรธไว้ดุจเดียวกัน ยามนางหันไปมองหลูจื้อถึงมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องมากพิธี ข้าบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้พี่จื้อเรียกข้าว่าเกาหยางก็ได้”
หลูจื้อหยักยิ้มไม่ขานตอบ เขาหันไปมองหลูจวิ้นพลางถาม “เจ้าไปทำอะไรให้องค์หญิงกริ้วอีกแล้ว”
“พี่ใหญ่ เป็นองค์หญิงมาตอแยข้าก่อนนะ ข้ากำลังดูอาจารย์หวังรำมวยอยู่ จู่ๆ องค์หญิงก็เข้ามาบอกข้าว่าอาจารย์หวังมีวิชายุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ! ข้าย่อมต้องมีน้ำโหเป็นธรรมดา…”
“ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจ้าจะพูดว่าข้ายังไม่ดีเท่าเด็กตัวเหม็นคนหนึ่งไม่ได้กระมัง”
“ก็ทรงไม่ดีเท่าเสี่ยวอวี้จริงๆ แล้วเสี่ยวอวี้มิใช่เด็กตัวเหม็นด้วย เสี่ยวอวี้ทั้งฉลาดทั้งรู้จักมารยาท ส่วนองค์หญิงทรงไม่รู้จักว่าอะไรคือให้เกียรติผู้อื่นสักนิด”
“ข้าไม่ให้เกียรติผู้อื่นที่ใดกัน ก็เขามีวิชายุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ จริงๆ ยังเทียบองครักษ์ที่เสด็จพ่อทรงประทานให้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำไป เสี่ยวอวี้อะไรๆ ที่เจ้าว่านั่นนะ นางดีกว่าข้าตรงไหนเล่า”
หลูจื้อมองคนคู่นี้ที่พูดขัดหูคำเดียวก็เริ่มทะเลาะกันอีกอย่างอับจนถ้อยคำ หลังวันปีใหม่เขาพาหลูจวิ้นกลับมาที่สำนักศึกษา องค์หญิงเกาหยางผู้นี้ก็ไม่ตามตื๊อตนเองอย่างในกาลก่อนอีก กลับหันเหเป้าหมายไปที่ตัวหลูจวิ้น ไม่รู้ว่าน้องชายเขาไปตอแยนางได้อย่างไร เอาเป็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้านี้เห็นบ่อยๆ จนมิใช่เรื่องแปลกแล้ว
จำได้ว่าตอนแรกที่เห็นสองคนนี้ปะทะฝีปากกัน หลูจื้อยังกังวลใจว่านิสัยโผงผางของหลูจวิ้นจะยั่วโทสะของเกาหยาง แต่หลังจากผ่านไปสี่ห้าครั้ง นางหาได้ใช้อำนาจเล่นงานหลูจวิ้น กลับทำตัวเหมือนเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ทุกคราที่ทะเลาะกันจบ ไม่ถึงสองวันก็ไปตอแยหลูจวิ้นใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หลูจื้อ เจ้าว่ามาสิ ระหว่างข้ากับเสี่ยวอวี้อะไรนั่นนะ ใครดีกว่ากัน”
หลูจื้อยิ้มบางๆ เป็นเหตุให้เด็กสาวหลายคนรอบเขาหน้าแดงซ่านไปตามๆ กัน “ทูลองค์หญิง เสี่ยวอวี้เป็นน้องสาวของกระหม่อม พระองค์ทรงมีฐานันดรสูงศักดิ์ ไม่อาจนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกันได้พ่ะย่ะค่ะ” ในใจกลับรำพึงว่า แม้บางครั้งเสี่ยวอวี้จะดุร้าย แต่ไหนเลยจะเกะกะระราน พาลเกเรเอาแต่ใจอย่างท่าน
“เอ๊ะ?” สีหน้าของเกาหยางนิ่งขึงไป จากนั้นกล่าวตะกุกตะกัก “เสี่ยว…เสี่ยว…เสี่ยวอวี้อะไรนั่นน่ะเป็นน้องสาวของเจ้าหรือ” เห็นหลูจื้อพยักหน้า นางหันไปถามหลูจวิ้นด้านข้าง “ไฉนเมื่อครู่นี้เจ้าไม่บอกว่าเสี่ยวอวี้อะไรนั่นเป็นน้องสาวของเจ้า”
หน้าตาของหลูจวิ้นยังบูดบึ้งดังเก่า ครั้นถูกหลูจื้อขึงตาปราม เขาถึงฝืนใจปริปากพูด “เป็นเสี่ยวอวี้ ไม่ใช่เสี่ยวอวี้อะไรนั่น ก็ทรงไม่ถาม ไยข้าต้องบอกพระองค์ด้วย”
ครานี้ราวกับเกาหยางมองไม่เห็นสีหน้าง้ำงอของเขา กลับซักไซ้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เสี่ยวอวี้อะไร…เสี่ยวอวี้นั่นน่ะเป็นน้องสาวเจ้า แล้วนางดีอย่างที่เจ้าว่าปานนั้นจริงๆ หรือ”
หลูจวิ้นได้ยินนางเอ่ยถามเรื่องของน้องสาวตนเอง ใบหน้าก็ฉายแววภาคภูมิใจรางๆ “ถูกต้อง”
เกาหยางเห็นเขาตอบอย่างฉับไว เริ่มจะชักสีหน้าขึ้นมาอีก นางตั้งท่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกชื่อหลูจื้ออยู่ไกลๆ
“หลูจื้อ!” ร่างร่างหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาทางศาลารับลม “ท่าน…ท่านแม่ของท่าน…มา…มาเยี่ยมพวกท่านแล้ว”
หลูจื้อหน้าชื่นตาบานทันใด เดินสองก้าวเข้าไปจับไหล่ผู้ที่มา “อยู่ที่ใด”
“อยู่…อยู่…อยู่ที่ประตูหลัง…” ไม่รอให้คนที่หายใจหอบแฮกๆ เบื้องหน้ากล่าวจบ หลูจวิ้นวิ่งลิ่วๆ ไปแล้ว
หลูจื้อกำหนังสือในมือแน่น ค้อมกายน้อยๆ คารวะเกาหยางอีก “องค์หญิง พวกกระหม่อมขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ว่าแล้วก็หันหลังสาวเท้าเร็วรี่จากไป ทุกคนที่ยังอยู่รอบๆ ศาลารับลมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ต่างลอบชำเลืองมององค์หญิงเกาหยางที่หน้าตาบึ้งตึงไปกะทันหัน
เกาหยางรอจนสองคนนั้นห่างไปไกลแล้วตบโต๊ะหินทีหนึ่งเต็มแรง นางไม่หยุดนึกเสียใจทีหลังว่ามือเจ็บ ร้องด่าคนที่วิ่งมาบอกความ “เฉิงเสี่ยวหู่ เจ้าคนตาบอด ไม่เห็นข้าอยู่ที่นี่หรือ เข้ามานี่!”
สองพี่น้องลัดเลาะผ่านระเบียงทางเดินยาวเหยียดเข้าสู่เรือนพักศิษย์ที่ลานด้านหลังทางประตูเล็ก จากนั้นวิ่งทะยานไปที่ประตูหลัง พอถึงหน้าประตู มองปราดแรกก็เห็นคนสองคนที่ยืนอยู่บนแท่นบันไดหินอ่อน
“ท่านแม่ เสี่ยวอวี้”
อี๋อวี้คุยเรื่องตอนไปที่เรือนหลิวเซียงเซียงเมื่อวานกับหลูซื่อเสียงเบาๆ พลันได้ยินเสียงตะโกนลอยมา นางหลบไปอยู่ข้างหลังมารดาตามสัญชาตญาณ ถึงรอดพ้นฝ่ามือสองข้างที่เหยียดมาตรงหน้าไปได้อย่างหวุดหวิด
“พี่รอง” อี๋อวี้ซ่อนอยู่ข้างหลังหลูซื่อ เพียงโผล่ศีรษะน้อยๆ ออกมา “พี่กล้ายกตัวข้าลอยจากพื้นอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะขอให้ท่านแม่พาพี่กลับทันที”
ทุกคราที่หลูจวิ้นลอบจู่โจมสำเร็จ ตัวนางต้องถูกชูขึ้นหมุนไปรอบๆ นานพักใหญ่ ตามมาด้วยอาการวิงเวียนตาลายแล้วยังต้องอกสั่นขวัญหาย เผอิญหลูจวิ้นที่โตแต่ตัวสมองไม่โตกลับจดจำคำเตือนของนางไม่ได้อยู่ร่ำไป
หลูจวิ้นหัวเราะแหะๆ ชักมือกลับอย่างเก้อกระดาก ตอนนี้เขายังไม่อยากกลับบ้าน อาจารย์หวังซึ่งมาเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนวิชายิงธนูปีนี้มีฝีมือลายไม้พอตัวจริงๆ เขายังดูไม่จุใจเลย
เห็นอี๋อวี้ก้าวจากข้างหลังมารดาออกมายืนในที่สุด หลูจื้อผ่อนลมหายใจแผ่วๆ ยื่นมือไปลูบหัวของเด็กสาวที่สูงแค่หัวไหล่ตนเอง ก่อนจะกล่าวกับมารดาด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ไม่ได้มาหาพวกข้าเกือบสองเดือน ไฉนวันนี้นึกขึ้นได้ว่ายังมีบุตรชายอยู่อีกสองคนล่ะขอรับ”
หลูซื่อเม้มปากยิ้ม ตบไหล่เขาเบาๆ ทีหนึ่ง “ชอบพูดเหลวไหล ไปเถอะ หาที่เงียบๆ สักแห่ง แม่มีเรื่องคุยกับพวกเจ้า”
เมื่อสามปีก่อน ครอบครัวสี่คนได้พบกันครั้งแรกที่เมืองฉางอัน ดื่มชากาละสองอีแปะ สั่งผัดผักจานหนึ่งราคายี่สิบอีแปะ ต้องเดินเท้าจากฟากทิศเหนือไปยังทิศใต้ของเมืองนานครึ่งค่อนชั่วยาม
แต่บัดนี้มารดากับบุตรสาวสองคนเช่ารถม้าที่ดีที่สุดของตำบลหลงเฉวียน ค่าเช่าตลอดวันสองตำลึง สุดแท้แต่จะว่าจ้างรถม้าไปที่ใด สารถีก็จะพาไปส่งทุกที่ เมื่อรับบุตรชายสองคนสกุลหลูที่เรือนพักศิษย์แล้ว รถม้าพาชาวสกุลหลูทั้งครอบครัวไปยังอันอี้ฟางตรงถนนแยกที่สามฟากตะวันออกของถนนจูเชวี่ย จ่ายเงินห้าตำลึงจับจองห้องส่วนตัวในหอสุราแห่งหนึ่ง
หลูจื้อดื่มชาเขียว หูได้ยินอี้อวี้สั่งอาหารที่เห็นชัดว่าราคาไม่ถูกทีละอย่างๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มาตรว่าในใจมีข้อกังขา กลับไม่เอื้อนเอ่ยออกจากปาก
“เอาล่ะ พอเท่านี้” อี๋อวี้เบนสายตาออกจากป้ายไม้ไผ่สลักชื่ออาหารที่แขวนเรียงเป็นแถวบนผนังห้อง มองเห็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าตะลึงงัน นางล้วงเศษก้อนเงินไม่กี่ก้อนในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “ยกอาหารมาให้ว่องไวสักหน่อย”
เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นถึงยิ้มจนตาหยี ขานตอบว่าขอรับๆ ไม่ขาดปาก เขาหยิบเศษก้อนเงินจากบนโต๊ะ เดินอ้อมฉากกั้นถอยออกไป
หลูจวิ้นรอจนเขาไปแล้วยากจะอดทนต่อไปได้ไหวอีก “เสี่ยวอวี้ ไฉนเจ้าสั่งอาหารแพงขนาดนี้ ซ้ำยังให้เงินเสี่ยวเอ้อร์ทำไม”
อี๋อวี้ปิดปากหัวเราะ “พี่รอง ที่นี่คือหอจวี้เต๋อนะ มาร้านนี้แล้วไม่สั่งอาหารยี่สิบสามสิบตำลึงขึ้นไป เกรงจะถูกไล่ตะเพิดน่ะสิ ที่ข้าให้เงินเสี่ยวเอ้อร์ เพราะจะให้เขาเร่งทางห้องครัวยกอาหารมาให้พวกเราเร็วหน่อย พี่ดูชั้นล่างมีคนมากมายปานนั้น เมื่อไหร่จะวนมาถึงพวกเราเล่า”
ปีที่แล้วอี๋อวี้กับหลูซื่อตระเวนเร่ขายถังหูลู่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอัน เป็นธรรมดาที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวชีวิตผู้คนที่น่าสนใจไม่น้อย แม้นหอจวี้เต๋อแห่งนี้เทียบมิได้กับร้านขึ้นชื่อลือชาที่พวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปกันบ่อยๆ แต่เป็นหอสุราที่ขึ้นหน้าขึ้นตาเหมือนกัน ตอนอยู่ที่เรือน นางต้องพูดกับหลูซื่อนานสองนาน ถึงได้รับอนุญาตให้พาพี่ชายสองคนมาที่นี่
“อะไรนะ” ดวงตาคู่โตใต้คิ้วดกหนาเบิกกว้าง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องกินแล้ว นี่มิใช่ตุ้มตุ๋นกันหรือ” หลูจวิ้นเป็นคนจิตใจใสซื่อ จับน้ำเสียงล้อเล่นกึ่งจริงกึ่งเท็จของอี๋อวี้ไม่ได้แม้สักนิด เขาจะตบโต๊ะเดินออกไปรอมร่อ หลูจื้อที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบรั้งเอาไว้
“เจ้าคนทึ่ม คำพูดจริงหรือเท็จยังฟังไม่ออกหรือไร” หลูจื้อนั้นไม่เคยเป็นฝ่ายมาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายในสถานที่แบบนี้เอง ทว่าบางคราวสหายร่วมสำนักศึกษาที่สนิทสนมกันชักชวนแล้วบอกปัดไม่ได้ เขาจึงเคยไปสถานที่โอ่อ่าหรูหรากว่าหอจวี้เต๋อนี้มาก่อนบ้าง
อี๋อวี้เห็นสายตาไม่ชอบใจของมารดา ยังมีสีหน้าที่ยังฉงนสนเท่ห์เต็มทีของหลูจวิ้น นางถึงอธิบายอย่างจนใจ “พี่รอง ข้าหยอกพี่เล่น แน่นอนว่าพี่มาที่นี่จะสั่งแค่น้ำชากาหนึ่งโดยไม่กินอะไรก็ได้ แต่วันนี้พวกเราจะฉลองกัน นานๆ ทีก็ฟุ่มเฟือยสักหนเถอะ”
หลูจวิ้นถามอย่างงุนงง “ฉลองอะไร”
เพราะยังพอมีเวลาก่อนอาหารจะถูกยกมาวางขึ้นโต๊ะ หลูซื่อเล่าเรื่องที่พวกตนทำสัญญากับร้านผลไม้แห้งต้าซิ่งให้ฟังอย่างละเอียด เด็กหนุ่มสองคนฟังจบแล้วมีสีหน้าต่างกันไป
หลูจวิ้นหน้าแดงก่ำ ถามละล่ำละลัก “ท่าน…ท่าน…ท่านแม่บอกว่าตอนนี้พวกเรามีเงินห้าพันตำลึงหรือ” เห็นหลูซื่อพยักหน้า เขาหันไปพูดกับอี๋อวี้อีก “เสี่ยวอวี้ เจ้าหยิกข้าทีหนึ่งสิ…โอ๊ย! ไยเจ้าต้องมือหนักปานนั้นด้วย”
พอมารดาขึงตามองมา อี๋อวี้หัวเราะแห้งๆ ปล่อยมือจากแก้มของหลูจวิ้น ไม่อยากยอมรับว่านางสบช่องเอาคืนหลูจวิ้นเรื่องที่โยนตัวนางเล่นเหมือนเหรียญอีแปะมาหลายครั้งหลายหน
สีหน้าของหลูจื้อกลับอ่านได้ยาก เขารอจนน้องชายกับน้องสาวเลิกเย้าแหย่กัน ถึงยิ้มขื่นๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าอยู่บ้าง “ท่านแม่ เวลานี้ลูกเพิ่งประจักษ์ได้ว่าตนเองไม่เอาไหนมากจริงๆ”
เมื่อหลูซื่อกับอี๋อวี้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลูจื้อ สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนเป็นจริงจัง หลูซื่อเอื้อมมือไปกุมมือที่กำเป็นหมัดอยู่บนโต๊ะของเขาไว้แน่น กล่าวเสียงนุ่ม “จื้อเอ๋อร์ อย่าดูแคลนตนเอง ในสายตาของแม่ เจ้ากับจวิ้นเอ๋อร์ล้วนดีที่สุด”
อี๋อวี้คิดไม่ถึงว่าหลูจื้อจะพูดอย่างนี้ แต่เมื่อหยุดคิดเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจเหตุผลที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ไรมาหลูจื้อถือเอาการทำให้ความเป็นอยู่ของสกุลหลูดีขึ้นและไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงอีกต่อไปเป็นภาระหน้าที่ของตน หลังจากเกิดเรื่องนั้นที่หมู่บ้านเค่าซาน ยิ่งทำให้เขาต้องอัดอั้นตันใจ
เขาจวนเจียนจะสอบสำเร็จการเล่าเรียนในปีหน้า หลังจากนั้นจะมีโอกาสรับราชการแล้ว แต่มารดากับน้องสาวกลับดูแลครอบครัวจนรุ่งเรืองเฟื่องฟู เปรียบได้ดั่งคนผู้หนึ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายกับการเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อของชิ้นหนึ่ง ทว่าตอนที่ขาดอีกไม่กี่ตำลึง กลับพบว่าของชิ้นนั้นถูกคนซื้อกลับมาวางไว้บนมือแล้ว ใครก็ตามที่ประสบกับเรื่องพรรค์นี้ ล้วนต้องรู้สึกจนปัญญาไม่มากก็น้อย
เมื่อได้ขบคิดลึกไปถึงชั้นนี้ อี๋อวี้ขยับตัวเบียดหลูจวิ้นออกไปแล้วนั่งลงบนเบาะรองข้างกายหลูจื้อ คว้ามืออีกข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา “พี่ใหญ่ ท่านแม่พูดถูก นี่พี่ดูแคลนตนเองแล้ว ข้ากับท่านแม่เพียงหาเงินได้บ้าง ให้พวกเราได้กินดีอยู่ดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรตระกูลเรามีทรัพย์สินบารมีน้อยนิด ถ้าเจอปัญหาอะไรจริงๆ ยังมิใช่ถูกคนอื่นฆ่าแกงตามชอบใจหรือ หากปีหน้าพี่สอบผ่าน ได้เป็นขุนนางสักตำแหน่ง เช่นนั้นพวกเราจะเป็นญาติพี่น้องของขุนน้ำขุนนาง ย่อมเหนือกว่ามีเงินเป็นหมื่นตำลึงนะ เมื่อมีศักดิ์มีฐานะ คนทั่วไปก็ไม่กล้ารังแกพวกเราโดยง่าย”
หลูจื้อแค่คิดไม่ตกชั่วครู่ชั่วยาม ถึงที่สุดแล้วเขาเป็นคนฉลาดเฉลียว เมื่อมารดากับน้องสาวกล่าวปลอบประโลม สีหน้าเขาไม่ขมขื่นอย่างเมื่อครู่นี้ กลับเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ “เอาล่ะ เมื่อครู่นี้เป็นข้าคิดไม่ตกไปเอง ท่านแม่กับน้องเล็กไม่ต้องเป็นห่วง มันเป็นความคิดที่บังเกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้นเอง”
อี๋อวี้เห็นเขาปราศจากท่าทางสลดหดหู่จริงๆ นางสองจิตสองใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ เสี่ยวอวี้มีเรื่องอยากถามพี่คำหนึ่ง พี่ต้องตอบข้าตามสัตย์จริงนะ” หลูจื้อกุมมืออี๋อวี้ พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นางถามได้ หลูซื่อกับหลูจวิ้นด้านข้างต่างเผยสีหน้าสนใจใคร่รู้
“พี่ใหญ่ พี่อยากสอบเข้ารับราชการ แค่ทำเพื่อครอบครัวเรา หรือว่าพี่อยากจะเดินทางสายนี้จริงๆ” ข้อสงสัยนี้ของนางเพิ่งบังเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ กระทั่งหลูซื่อ นางก็ยังไม่เคยบอก เมื่อครู่เห็นสีหน้าอย่างนั้นของหลูจื้อแล้วทำให้นางคิดขึ้นได้ ถ้าหลูจื้อมีใจอยากเดินไปในเส้นทางขุนนางจริงๆ ก็แล้วกันไป ถ้าเขาแค่ชมชอบอ่านตำรา ชิงชังการเป็นขุนนาง แต่เพียงเพราะคนทั้งครอบครัวถึงรับราชการ ยังมิสู้ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือยังสุขสำราญใจกว่า
“ไม่ใช่” หลูจื้อตอบคำถามนี้อย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว อี๋อวี้รับรู้ว่าได้ว่าฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือนางไว้กระชับแน่น ยังเห็นใบหน้าของเขาฉายแววแน่วแน่อย่างบอกไม่ถูก “ข้าอยากเป็นขุนนางจริงๆ บางทีอาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นอีก แต่ประการสำคัญที่สุดคือตัวข้าเองอยากเป็น มีเพียงเป็นขุนนางเท่านั้น ข้าจึงมีกำลังความสามารถกระทำให้เรื่องที่ตนเองต้องการ”
ยามกล่าววาจานี้ นัยน์ตาสุกใสมีชีวิตชีวาของหลูจื้อเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นสุดจะกล่าว ราวกับมันสาดส่องดวงหน้าที่หล่อเหลาอยู่เดิมให้เปล่งประกาย แลดูสง่ามาดมั่นยิ่งขึ้น
อี๋อวี้ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ด้านหลูซื่อมีรอยปลาบปลื้มฉายฉานในดวงตา ขณะที่หลูจวิ้นแสดงสีหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างหาได้ยาก ในเวลานี้เองเสียงเคาะประตูสองทีดังมาจากด้านหลังฉากกั้น หลูจื้อเก็บงำความรู้สึกบนใบหน้าโดยพลัน
“เข้ามา” เขากล่าวคำหนึ่งด้วยเสียงที่ดังขึ้น เสี่ยวเอ้อร์ซึ่งรับใช้อยู่ด้านข้างตอนสั่งอาหารประคองถาดใบเขื่องเดินเข้ามาด้วยมือเดียวอย่างชำนิชำนาญ
เขาเดินเข้าเดินออกเช่นนี้สองรอบ ถึงวางจานใส่อาหารเรียงรายเต็มโต๊ะตัวเตี้ยเบื้องหน้าจนละลานตา เสี่ยวเอ้อร์ไต่ถามอย่างพินอบพิเทาอีกว่ายังมีอะไรกำชับอีกหรือไม่ หลูจื้อก็โบกมือให้เขาออกไป
การกินอาหารร่วมกับคนในครอบครัวไม่ต้องถือพิธีรีตองมากมายปานนั้น พวกเขาต่างคนต่างคีบกับข้าวให้แก่กันพลางพูดคุยสัพเพเหระ หลูซื่ออาศัยจังหวะนี้ บอกกล่าวเรื่องการจัดแบ่งเงินห้าพันตำลึงนั่นให้บุตรชายสองคนได้รับรู้
ร้อยตำลึงที่แบ่งให้หลิวเซียงเซียง ตอนแรกนางไม่ยอมรับไว้ ยังเป็นหลูซื่อยกคำขู่ว่าวันหลังจะไม่ไปมาสู่กับนางอีก นางถึงรับไว้ด้วยรอยยิ้มจนใจ
เงินส่วนที่เหลือรวมกับเงินที่เก็บออมมาหลายปีของครอบครัวแล้วมีห้าพันตำลึง หลูซื่อตั้งใจจะแบ่งสามพันตำลึงซื้อโรงนาให้บุตรชายคนละหนึ่งแห่งใกล้ๆ กับตำบลหลงเฉวียน และจ้างคนมาดูแลผลเก็บเกี่ยว ถือเป็นทรัพย์สมบัติให้พวกเขา
ส่วนอีกสองพันตำลึงซื้อเป็นพวกเครื่องประดับเงินทอง เพื่อตระเตรียมสินเจ้าสาวให้อี๋อวี้ล่วงหน้า ในเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรหลูซื่อก็ไม่ฟังเสียงท้วงติงของบุตรสาว
ครั้นบัดนี้บอกเล่าให้บุตรชายสองคนฟัง ยังได้รับความเห็นชอบในทางเดียวกันหมด อี๋อวี้จะคัดค้านสักเพียงไหน เสียงเดียวไม่อาจเอาชนะสามเสียงได้ นางได้แต่ปล่อยให้พวกเขาหารือกันไปอย่างหมดปัญญา
ถึงอย่างไรก็เป็นการซื้อของราคาถึงสองพันตำลึง หลูซื่อนัดหมายกับบุตรชายสองคนในวันที่สิบห้าเดือนหน้าซึ่งเป็นวันพักของหลูจื้อว่าจะมาเมืองฉางอันอีกทีเพื่อไปเดินชมร้านเครื่องประดับในย่านตงตูฮุ่ยโดยเฉพาะ หลูจื้อยังต้องเรียนวิชายิงธนูขี่ม้าตอนบ่าย พอกินอาหารมื้อนี้เสร็จ หลูซื่อใช้รถม้าพาพวกเขาไปส่งที่ประตูหลังของสำนักศึกษาหลวง
ก่อนจากกัน หลูซื่อยัดเยียดถุงเงินใบหนึ่งให้หลูจื้อ ในนั้นนอกจากเศษก้อนเงินสิบกว่าตำลึง ยังมีตั๋วเงินห้าสิบตำลึงสองใบ หลูจื้อลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับไว้ เขายังกำชับให้มารดากับน้องสาวระวังเนื้อระวังตัวระหว่างทางกลับ ถึงพาหลูจวิ้นเข้าไป
กระนั้นสองแม่ลูกไม่ได้กลับไปที่ตำบลหลงเฉวียนทันที นานทีปีหนพวกนางจะออกมาข้างนอกสักครา ย่อมอยากจะเดินเที่ยวเป็นธรรมดา จึงสั่งสารถีพาพวกนางไปที่ย่านตงตูฮุ่ย ตั้งใจว่าจะไปหมายตาร้านเอาไว้ก่อนเพื่อจะมาเลือกซื้อเครื่องประดับในเดือนหน้าได้สะดวก
ย่านการค้าของฟากตะวันออกของเมืองฉางอันกว้างใหญ่มาก อาณาเขตทั้งหมดของย่านนี้ถูกแบ่งคั่นด้วยถนนใหญ่สี่สายที่ตัดผ่านกันเป็นตลาดที่ค้าขายกันอย่างอิสระเก้าแห่ง เมื่อเทียบกับย่านซีลี่เหรินฝั่งตะวันตกแล้ว ที่นี่ขายสินค้าชั้นเลิศเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่วัตถุโบราณตกแต่งเรือน เครื่องประดับอัญมณี ภูษาแพรพรรณ ไปจนถึงหมึก พู่กัน แท่นฝนหมึก และกระดาษ พร้อมพรั่งครบครัน งดงามประณีตทุกสิ่งสรรพ
หลูซื่อกับอี๋อวี้ไม่ได้มาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบครึ่งปีก่อนตอนยังตระเวนเร่ขายถังหูลู่อยู่ในเมืองฉางอัน ทำให้พอแจ่มแจ้งว่าตลาดแต่ละแห่งของย่านตงตูฮุ่ยขายของชนิดใดบ้าง
พวกนางตรงไปลงรถม้าที่ด้านหน้าของอันเจียงฟางโดยมิได้อ้อมไปทางอื่น จากนั้นอี๋อวี้เดินคล้องแขนกับหลูซื่อผ่านซุ้มประตูศิลาเขียวเข้าไป
ข้อดีของเมืองใหญ่คือไม่ว่าเป็นวันที่หนึ่งหรือวันที่สิบห้า ล้วนไม่มีที่ใดเงียบเหงา ถึงผู้คนไม่คึกคักเนืองแน่นเท่ายามเทศกาล แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนไม่เคยบางตา
เขตตลาดฝั่งตะวันออกนั้นมีการรักษาความสงบเรียบร้อยดีกว่าเขตตลาดฝั่งตะวันตกอยู่บ้าง มาตรว่ามีคนตะโกนขายของเช่นกัน แต่ไม่เห็นหาบเร่แผงลอยริมทาง บางครั้งบางคราจะมีเจ้าหน้าที่สวมชุดสีน้ำตาลคนสองคนเดินผ่านข้างกายพวกนางไป พอเห็นพ่อค้าแม่ค้าเร่หยุดนิ่งกับที่เกะกะขวางหน้าร้านค้า พวกเขาจะเข้าไปขับไล่
อี๋อวี้ลอบสะทกสะท้อนใจ ครึ่งปีก่อนพวกนางเป็นหนึ่งในคนเร่ขายของอยู่ข้างถนนเหล่านี้ ทั้งเคยถูกเจ้าหน้าที่ขับไล่ ถูกคนรอบด้านมองด้วยสายตาเหยียดหยามไม่ว่า ที่เคราะห์ร้ายกว่านั้นคือช่วงแรกเริ่มยังไร้ประสบการณ์ เคยผ่านเข้าไปในตรอกซอกซอยซึ่งมีการลาดตระเวนไม่ทั่วถึงโดยไม่ตั้งใจแล้วพบกับอันธพาลเจ้าถิ่น เงินที่หาได้จากการวิ่งวุ่นขายของครึ่งวันล้วนต้องยกให้พวกนั้นไปหมด
หลังจากห่างหายไปหลายเดือน พวกนางกลับมาเดินบนถนนในย่านตงตูฮุ่ยอีกครา กลับเป็นลูกค้าที่พกเงินนับร้อยตำลึงอยู่ในอกเสื้อมาจับจ่ายซื้อของที่นี่
หลงจู๊หลิวของร้านชิ่นเป่ายืนคำนวณบัญชีอยู่หลังชั้นวางสินค้าชั้นล่าง เสียงดีดลูกคิดดังต๊อกแต๊กๆ เวลานี้ไม่มีลูกค้าเข้ามา ลูกจ้างในร้านกำลังเช็ดเก้าอี้สูงเขียนลายหลายตัวที่ตั้งชิดผนังอยู่อย่างขมีขมัน
เถ้าแก่ของร้านชิ่นเป่าเปิดร้านในเมืองฉางอันมาตั้งแต่ช่วงรัชศกอู่เต๋อ จากร้านหัวมุมถนนจนมาตั้งอยู่ในย่านตงตูฮุ่ย ถึงไม่อาจเทียบได้กับร้านเครื่องประดับที่มีผู้ทรงอำนาจบารมีหนุนหลังบางแห่ง แต่ก็เป็นร้านเก่าแก่มีชื่อพอดู บางครั้งผู้สูงศักดิ์ในเมืองฉางอันยังมามองหาของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่นี่
หลงจู๊หลิวทำเครื่องหมายบนสมุดบัญชี หางตามองเห็นลูกค้าสองคนเดินเข้ามาทางหน้าประตู รอยยิ้มก็ระบายเต็มหน้าทันใด เขาตะโกนบอกลูกจ้างให้รินน้ำชา แล้วเชื้อเชิญพวกนางมาชมดูชั้นวางสินค้า พลางมองสำรวจลูกค้าท่าทางคล้ายเป็นแม่ลูกกันโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
อี๋อวี้กับหลูซื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าชั้นวางสินค้า ไล่สายตาไปตามกล่องบุแพรไม่มีฝากว้างราวครึ่งฉื่อสิบกว่าใบที่วางเรียงกันสองแถวอย่างเป็นระเบียบบนนั้น เครื่องประดับทุกชิ้นถูกจัดแบ่งตามแบบและวัสดุต่างๆ กันออกไป บางกล่องวางปิ่นปักผมบุรุษทำจากไม้สลักลวดลายละเอียดประณีตเรียงกันสิบกว่าแท่ง บางกล่องเป็นจี้หยกนานาชนิด ยังมีปิ่นสองขาฝังพลอยกับปิ่นมุกขาเดียววางรวมไว้ในกล่องเดียวกัน เป็นต้น ทำให้อี๋อวี้ซึ่งมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกเห็นแล้วตาลายไปชั่วขณะ
หลงจู๊หลิวแลมองสตรีออกเรือนแล้วที่แม้หน้าตาจะงดงามสุภาพ หากท่าทางกลับสำรวมระวังตนน้อยๆ ยังมีสาวน้อยรูปโฉมพริ้มเพรา ทว่าสีหน้าเต็มไปความอยากรู้อยากเห็นคนนั้น เขาก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจ พาให้รอยยิ้มเลือนหายไปสองส่วนทันใด
ขณะอี๋อวี้ยังพิศดูพวกหยกพกอยู่ หลูซื่อส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “หลงจู๊ ที่นี่มีเครื่องประดับทองฝีมือประณีตกว่านี้ แล้วก็พวกของประดับกายเด็กสาวชิ้นเล็กๆ กะทัดรัดหรือไม่”
“ล้วนอยู่ตรงนี้ทั้งหมดขอรับ ฮูหยินไม่ถูกใจของพวกนี้หรือ ท่านลองดูปิ่นดอกไม้ไหวฝังหยกลายผีเสื้ออันนี้…” หลงจู๊หลิวจงใจทำสายตางุนงงน้อยๆ ยกมือหนึ่งไปทางชั้นวางสินค้า ชี้ของชิ้นหนึ่งในนั้นพร้อมเริ่มพูดแนะนำ
ในร้านย่อมมีสินค้าฝีมือประณีตแน่นอน เพียงแต่เขาเห็นแม่ลูกคู่นี้สวมใส่อาภรณ์แบบผู้มาจากตระกูลเล็กๆ แทนที่จะหยิบของออกมาให้พวกนางจับๆ ดูๆ แล้วไม่ซื้อ มิสู้พามาเลือกสองสามชิ้นจากชั้นวางตรงนี้
กล่าวไปแล้วก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ก่อนที่แม่ลูกสองคนจะได้รับเงินห้าพันตำลึง แม้มีเงินเหลือเก็บไม่น้อย แต่ไม่เคยหักใจซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนั้น เพียงเปลี่ยนเรือนพำนักหลังใหม่ ส่วนที่เหลือล้วนเก็บหอมรอมริบไว้ ถึงการกินการอยู่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าไม่เหมือนกับพวกเศรษฐีในเมืองฉางอันที่ห่อหุ้มกายด้วยแพรพรรณหรูหรา และติดเครื่องประดับเต็มศีรษะ
วันนี้ทั้งคู่แต่งกายหมดจดสบายตามาก แต่ไรมาหลูซื่อชมชอบเสื้อผ้าสีเรียบๆ ส่วนอี๋อวี้สวมชุดกระโปรงรัดเอวสีฟ้านวล คลุมเสื้อตัวสั้นแขนสอบสีชมพูอ่อนทับไว้ด้านนอก ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น เรือนผมสีดำถักเป็นเปียสองเส้นแล้วม้วนขดไว้ข้างศีรษะเป็นทรงม้วยย้อย เสียบดอกอิ๋งชุนเล็กๆ สีเหลืองอ่อนหลายดอกตกแต่งง่ายๆ แม้นจะดูงามอ่อนหวานสุดจะเปรียบ แต่ไม่ละม้ายคุณหนูตระกูลเศรษฐีสักเศษเสี้ยว
อี๋อวี้ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในร้านเครื่องประดับพวกนี้มาก่อนเลยไม่เข้าใจคำกล่าวของหลงจู๊หลิว แต่นั่นมิได้หมายความว่าหลูซื่อจะจับความนัยของเขาไม่ออก
แม้ว่าวันนี้พวกนางไม่ตั้งใจซื้ออะไร กระนั้นมีตั๋วเงินร้อยสองร้อยตำลึงติดตัวมา มิต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น ถ้าจะซื้อเครื่องประดับศีรษะบนชั้นวางนี้ทั้งหมดก็น่าจะสองร้อยตำลึงเท่านั้น
หากเป็นเมื่อก่อน หลูซื่อถูกคนสบประมาทเช่นนี้ เกรงว่าคงโกรธเคืองไปนานแล้ว แต่บัดนี้นางอารมณ์เย็นลงไม่น้อย ทั้งรู้ว่าพฤติกรรมรังเกียจคนจน ชื่นชมคนรวยเป็นธรรมดาของปุถุชน หลงจู๊คนนี้หาได้มีเจตนาร้ายอันใด นางจึงมิได้รู้สึกไม่พึงใจอะไรมากมาย คิดแค่ว่าอีกประเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนไปดูร้านอื่นเป็นอันสิ้นเรื่อง
เห็นรอยยิ้มของหลงจู๊เลือนหายไปทีละน้อย หลูซื่อเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “อวี้เอ๋อร์ พวกเราไปดูร้านถัดไปเถอะ”
อี๋อวี้ได้ยินแล้วผงกศีรษะ ความรู้สึกของนางต่อของประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนี้เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ไม่ถึงขั้นพูดได้ว่าชื่นชอบ ขณะที่นางจะวางป้ายหยกเขียวลายเถาดอกไม้ที่หลงจู๊ยื่นให้นางเมื่อครู่นี้ในมือลง เห็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมากระชากหยกที่นางไม่ทันได้วางลงชิ้นนั้นไป เพราะอีกฝ่ายออกแรงเต็มที่ ส่งผลให้เชือกที่ร้อยป้ายหยกครูดกับโคนนิ้วโป้งจนนางเจ็บ
อี๋อวี้ขมวดคิ้วเบือนหน้าไป เห็นเด็กสาวร่างเตี้ยกว่าตนเองสองชุ่นยืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นางอยู่ในชุดกระโปรงผ้าไหมบางเบางดงามอ่อนช้อย สวมสร้อยไข่มุกส่องประกายวิบวับบนลำคอ ดูท่าทางรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้าของนางขาวผุดผ่องมาก แต่แววดูถูกเหยียดหยามที่ปรากฏขึ้นบนนั้นยามปรายตามองมาทำให้อี๋อวี้ไม่ชอบใจ
อี๋อวี้เพียงมองอีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งแล้วนวดคลึงโคนนิ้วโป้งที่เจ็บอยู่ จากนั้นหันไปหาหลูซื่อ ตั้งท่าจะสอดมือคล้องแขนมารดาเดินออกไป กลับพบว่านางจ้องเขม็งไปที่ด้านหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด หัวคิ้วของอี๋อวี้ย่นเข้าหากันอีกคำรบหนึ่ง ยังมิได้เหลียวหน้าไปก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของสตรีดังขึ้น
“อู่เอ๋อร์ ไฉนเจ้าวิ่งมาที่ร้านนี้เล่า”
อี๋อวี้หมุนกายไปเห็นตรงหน้าประตูร้านชิ่นเป่ามีเด็กสาวท่าทางคล้ายสาวใช้สองคนประคองสตรีแต่งกายหรูหรานางหนึ่งก้าวเข้ามา นางมุ่นผมมวยทิ้งเรือนอย่างสง่างาม ใบหน้าประทินโฉมแบบสตรีสูงศักดิ์ซึ่งกำลังแพร่หลายที่สุดของเมืองฉางอัน ส่วนเรือนร่างงามสล้างตามสมัยนิยม ดูจากรูปลักษณ์ของนาง เพียงย่างวัยสามสิบเศษ
หลงจู๊หลิวกำลังขุ่นใจรางๆ ที่เขาพูดแนะนำอยู่เป็นนาน สองแม่ลูกสกุลหลูกลับไม่ซื้อ ครั้นเห็นเด็กสาวที่แย่งป้ายหยกในมืออี๋อวี้ไปกับหญิงออกเรือนแล้วที่เดินผ่านประตูเข้ามา ใบหน้าเขาก็ฉีกยิ้มกว้างเกือบถึงใบหู ไม่สนใจอี๋อวี้กับหลูซื่อที่ยังยืนอยู่หน้าชั้นวางของ ก้าวเท้าฉับๆ เดินอ้อมผ่านพวกนางไปต้อนรับผู้มาถึง
อี๋อวี้พลันรู้สึกถึงแรงบีบตรงท่อนแขน จึงหันไปมองมารดาที่จู่ๆ ก็จับตัวนางอย่างฉงนใจ กลับถูกหลูซื่อที่ก้มศีรษะลงจูงออกจากร้านไปทันที พอก้าวพ้นประตูร้านยิ่งฉุดนางให้เดินเร็วขึ้นทุกที จวบจนห่างจากร้านชิ่นเป่ามายี่สิบกว่าจั้งถึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง
ในเวลานี้อี๋อวี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าหลูซื่อแข็งเกร็งไปทั้งตัว นางรั้งแขนมารดาพลางส่งเสียงเรียกเบาๆ ด้วยความห่วงใย “ท่านแม่?”
หลูซื่อไม่ขานตอบ เอาแต่ก้มหน้าเดินไป ผ่านไปครู่หนึ่งนางเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มฝืดๆ ให้บุตรสาว “แม่ไม่เป็นอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกเท่านั้นเอง ในร้านนั้นมีกลิ่นแปลกๆ” หลูซื่อไม่รู้เลยว่ายามนางกล่าววาจานี้ สีหน้าขาวซีดปานใด ริมฝีปากล่างมีรอยฟันกัดเต็มแรงชัดเจน
อี๋อวี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง ฝืนสะกดใจไม่ถามข้อกังขาออกจากปาก แสร้งทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะพูดตอบ “มิน่าข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ที่แท้ในร้านนั้นมีกลิ่นแปลกๆ ท่านแม่ พวกเราอย่าเดินเที่ยวอีกเลย กลับกันเถอะเจ้าคะ” หลูซื่อพยักหน้ารับ
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปทางที่รถม้าจอดอยู่ อี๋อวี้ก็พูดคุยต่อไปเรื่อยๆ หลูซื่อยังเหลียวมองไปด้านหลังไกลๆ ด้วยสีหน้าสับสน หาได้สังเกตเห็นไม่ว่ายามนี้อี๋อวี้ก็ลอบมองนางด้วยสีหน้าสับสนดุจเดียวกัน
หลังจากสองแม่ลูกสาวเท้าเร็วรี่ออกไปไม่นานนัก สตรีในชุดหรูหราผู้นั้นนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านชิ่นเป่า ขณะที่มือคลึงสร้อยลูกปัดหยกเขียวงามวิจิตรในหีบใบเล็กที่หลงจู๊หลิวยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม ปากก็พึมพำกับตนเองเบาๆ
“คล้ายกันจริงๆ…แต่ว่านาง…นั่นสิ ต้องไม่ใช่นางแน่”
(ติดตามต่อในเล่มฉบับสมบูรณ์)
Comments
comments
No tags for this post.